ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - lastman
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เปิดรับสมัครพระธรรมทูต รุ่นที่ 19/2556 เมื่อ: มกราคม 08, 2013, 02:40:46 am


เปิดรับสมัครพระธรรมทูต รุ่น 19/2556

 

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดรับสมัครพระภิกษุ ผู้มีพรรษา 5 ขึ้นไป และมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เข้าฝึกอบรมหลักสูตร พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 19 ซึ่งจะจัดอบรม ระหว่างเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม 2556 ผู้สำเร็จการอบรมจะได้วุฒิบัตรเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศ มีสิทธิในการขอหนังสือเดินทางราชการ และไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ


ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดใบสมัคร และยื่นใบสมัคร ได้ ที่ กองวิเทศสัมพันธ์ สำนักงานอธิการบดี ทั้งที่ วัดมหาธาตุ และ มจร. อยุธยา ได้ ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่


กองวิเทศสัมพันธ์ มจร อยุธยา ห้อง D300 อาคารเรียนรวม โทร 03-524-8071 โทรสาร 03-524-8065


กองวิเทศสัมพันธ์ มจร วัดมหาธาตุ ห้องมุขทิศตะวันตก ชั้น ๒ อาคารมหาจุฬา โทร 02-623-6328 โทรสาร 02-226-3398



2  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ข่าวประชาสัมพันธ์จาก มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) รับสมัครนิสิตใหม่ในปีการศึกษา 2556 เมื่อ: มกราคม 08, 2013, 02:32:26 am


 

ข่าวประชาสัมพันธ์จาก มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) รับสมัครนิสิตใหม่ในปีการศึกษา 2556 นำเอารูปทั้งพระเณรและฆราวาสชาย-หญิงมาเป็นแม่แบบในชุดสดใส ก็ดูสวยงามและแปลกตา นึกว่าเป็นโฆษณาของมหาวิทยาลัยทางโลก หรือนี่ มมร.-มจร. จะเข้าสู่การแข่งขันกับทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ดังนั้น เมื่อจะเข้าสู่เส้นทางดังกล่าว ก็จึงต้องใช้วิธีการไม่ต่างไปจากเขาเท่าใดนัก ว่าแต่ทาง มจร. จะออกป้ายโฆษณาแนวไหนฮะ อย่าให้เสียหน้า มมร. เขาล่ะ


http://www.alittlebuddha.com/
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เห็นตามความเป็นจริง เห็นเรื่องอะไรก่อน ครับ เป็นเรื่องแรก.... เมื่อ: เมษายน 22, 2012, 11:19:12 pm
เห็นตามความเป็นจริง เห็นเรื่องอะไรก่อน ครับ เป็นเรื่องแรก....

และควรดำเนินจิต ให้เห็นอย่างไร ตามความเป็นจริง ครับ ....

การภาวนา กรรมฐาน มุ่งหวัง เรื่อง การเห็นตามความเป็นจริง หรือ มุ่งหวังให้จิตมีความสงบ ครับ


 มาร่วมถามคำถาม .... ตามคำเชิญคุณ อิสรภาพ แล้วนะครับ

 สาธุ สาธุ สาธุ

  :s_hi: :c017: :25:
4  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / วัดพระพุทธบาท จัดอบรมเยาวชน และ พระปฏิบัติธรรม เดือน มี.ค.54 เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 03:08:57 pm






ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมกันตักบาตร พระคุณเจ้าคณะสงฆ์ที่เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม

ที่ป่าช้าตาลอย วัดพระพุทธบาท ตักบาตรในเวลา 06.30 - 08.30 มีเทศนาทุกเช้าเป็นเวลา 10 วัน

ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.54 - 28 มี.ค.54

 และอาราธนา นิมนต์พระสงฆ์ ที่ต้องการเข้าร่วมปฏิบัติ เข้าปฏิบัติธรรมได้ในวันที่ 18 - 19 มี.ค.54

 :s_good:
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ยามป่วย เราควรภาวนา อย่างไรถึงจะถูกกับกาละเทศะครับ เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 04:21:08 pm
เวลาป่วย ร่างกายก็อยากนอนเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อล้มตัวลงนอนแล้ว ก็มัีกจะเจริญสติไม่ทันก็จะเข้าสู่วิถีการหลับ

ผมมาคิดดูว่า ถ้าเกิดต้องตายในเวลาขณะนั้น ต้องเสียการณ์เป็นแน่

ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างนี้แต่ก็ไม่มีพลังในการเจริญภาวนา ต้องตั้งต้นอย่างไรครับ หรือควรจะต้องมุ่งในท่านั่ง

โดยไม่ต้องสนสภาพร่างกาย ที่ยอบแยบ อย่างนั้น

 :25:
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่อจง พุทธัสสโร เทพเจ้าแห่งคาามเมตตา วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 09:48:06 pm
หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร

เทพเจ้าแห่งคาามเมตตา วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา

 

                        หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร  เป็นครูบาอาจารย์รุ่นเก่าที่ได้ล่วงลับดับสังขารไปแล้ว  ตามวิสัยแห่งชีวิตมวลสัตว์โลกทั้งหลายที่มีเกิดแล้วต้องมีแก่ เจ็บ และตายไปในท้ายที่สุด

 

                        แต่ทว่าในช่วงชีวตของพระคุณท่าน  ได้สร้างสมความดีทั้งโดยฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมไว้เป็นอเนกอนันต์ เป็นที่เล่าขานบอกกล่าวกันมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น  แม้ว่าท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปนานนับเป็นสิบ ๆ ปี ก็ตาม

 

                        ตรงกันข้ามสภาวะแห่งความเจริญของสังคมยุคปัจจุบันที่มุ่งเน้นในวิทยาการสมัยใหม่  เป็นสังคมวัตถุนิยม  บูชาในคุณค่าของวัตถุเหนือสภาพจิตใจ  เป็นเหตุให้พลโลกทั้งหลายล้วนมีจิตใจที่เสื่อมทราบ  มีความเห็นแก่ตัวตนของตนมากยิ่งขึ้น  จนถึงกับมองข้ามหลักศีลธรรมจรรยาว่าเป็นสิ่งไร้ค่าหาสาระไม่มี

 

                        ด้วยความเป็นไปในสังคมยุคใหม่ที่ว่านั้น  จึงทำให้ผู้มีปัญญาหวนกลับมามองเห็นถึงคุณค่าแห่งศีลธรรม  ซึ่งเหตุนั้น เรื่องราวของครูบาอาจารย์ที่อุดมด้วยความดีงาม จึงโดดเด่นเป็นที่สนใจใคร่รู้ เป็นแบบอย่างอีกครั้งหนึ่ง

 

                        ชีวิตความเป็นมาของหลวงพ่อจง  พุทธัสสโร นี้ก็เช่นกัน  นับเป็นเนติแบบอย่างแก่ผู้ใฝ่ดีทั้งหลายได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะผู้อยู่ในเพศบรรพชิตด้วยแล้ว  หากได้อ่านได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้ว  ย่อมจะรู้ได้ว่า  ผู้เป็นพระนั้นควรจะเป็นอยู่อย่างไร

 

                        และ......เป็นพระแท้แล้วหรือยัง

 

ประวัติ

 

                        หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร  ท่านมีนามเดิมว่า “จง”  กำเนิดมาในตระกูลชาวนาในท้องที่ตำบลหน้าไม้  อำเภอบางไทร  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

                       

                        เรียกว่าเป็นเชื้อสายแห่งคนดีศรีอยุธยาอีกคนหนึ่ง  ที่ทั่วสรรพางค์กายล้วนเต็มเปี่ยมด้วยเลือดนักสู้  สมชาติชายไทย  บิดาท่านมีนามว่า นายยอด  มารดานามว่า  นางขลิบ  ซึ่งท่านทั้งสองมีบุตร-ธิดาด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน คือ

 

                        1. เด็กชายจง  ต่อมาคือ  หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร  เป็นบุตรคนโต

                        2. เด็กชายนิล  เป็นคนรอง  ต่อมาคือพระอธิการนิล  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน

                        3.  เด็กหญิงปลิก  เป็นน้องคนเล็ก และเป็นผู้หญิงคนเดียว

 

                        สำหรับวันเดือนปีเกิดหรือวันถือกำเนิดของหลวงพ่อจง  พุทธัสสโร นั้น เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ล่วงเลยผ่านพ้นมานาน  อีกทั้งการบันทึกก็มิได้มีหลักฐานที่เด่นชัด  เป็นแต่ระบุไว้พอรู้ความว่า  ได้กำเนิดในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี  ณ  วันพฤหัสบดี เดือน 4 ปีวอก  อันเป็นวันขึ้น 8 ค่ำ ที่ตรงกับวันที่ 6 เดือนมีนาคม พ.ศ.2415  และด้วยเวลานั้นยังไม่มีการใช้ชื่อสกุล  จึงไม่มีการระบุชื่อนามสกุลเดิมของท่านไว้

 

วัยเยาว์

 

                        เด็กชายจง  บุตรชายคนโตของคุณพ่อยอด  คุณแม่ขลิบ  เมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกแล้ว  ได้รับการเลี้ยงดูตามฐานะแห่งตระกูล  เช่นลูกหลานชาวท้องทุ่งท้องนาทั้งหลาย  มิได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีลักษณะพิเศษเกินกว่าเด็กชาวนาคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย

 

                        หรือแม้แต่อากัปกริยาที่จะแสดงอาการส่อแววว่า  ในโอกาสต่อมาเมื่อเติบใหญ่แล้ว  ชีวิตจะต้องก้าวเข้ามาสู่ฐานะภิกษุสงฆ์  อันเป็นที่เคารพบูชาของมวลชนทั้งหลาย  ดังที่ปรากฎเป็นเกียรติคุณเป็นที่ล่ำลือกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

 

                        แต่ทว่าชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจง หรือเด็กชายจงในเวลานั้น  กลับปกปิดความเป็นคนเหนือคนสามัญทั้งหลายไว้อย่างมิดชิดแนบแน่น  ด้วยการอยู่ในฐานะเช่นผู้อาภัพอับโชค  อุดมไปด้วยทุกขโรคามากกว่าชีวิตที่เป็นสุข มีความร่าเริงเบิกบานตามวิสัยเด็กทั้งหลายโดยทั่วไป

 

                        ด้วยการที่เด็กชายจง  ถูกโรคาพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย  จึงทำให้รูปร่างหน้าตาในสมัยเป็นเด็กค่อนข้างจะผอมโซ  หน้าตาซีดเซียว  ร่างกายไม่แข็งแรงดังเช่นลูกชาวนาทั้งหลาย  ซ้ำยังมีอุปนิสัยค่อนข้างจะขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพัง  ลักษณะดังเป็นเช่นเด็กทุพพลภาพ

 

                        ที่ร้ายไปกว่านั้น  เด็กชายจงยังถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมให้มีอาการหูอื้อจนเกือบหนวก  รับฟังเสียงอะไรต่างไม่ถนัดชัดเจน  นัยน์ตามืดมัว ฝ้าฟาง มองอะไรไม่ชัดเจน ทำให้อากัปกริยาการเคลื่อนไหวไปมาพลอยเชื่อช้าแบบเก้ ๆ กัง ๆไปด้วย และเป็นคนพูดน้อย  ชนิดถามคำก็ตอบคำ  หรือไม่ยอมพูดเอาเสียเลยก็มี  เหล่านี้คือบุคคลิกภาพในสมัยเยาว์วัยของเด็กชายจง

 

เป็นเช่นยามเฝ้าบ้าน

 

                        จากบุคคลิกภาพดังกล่าวมาของเด็กชายจง  ผสมกับสุขภาพที่ไม่สู้จะสมบูรณ์นัก  วัยเยาว์อันควรเป็นวัยที่แจ่มใสสดชื่น จึงเต็มไปด้วยความออดแอดขี้โรค ยิ่งเติบโตจากอายุ 8 ขวบ ไปแล้ว  อาการต่าง ๆ เหล่านั้นก็ยิ่งแสดงทีท่าว่าจะกำเริบหนัก  เลยทำท่าว่าจะไปไหนมาไหนโดยลำพังไม่ได้เสียเลย

                        เขาว่าคืนนี้มีลิเกสนุกอยากจะไปดู ก็ต้องให้ญาติพี่น้องจูงไม้จูงมือไต่เต้าตามหัวคันนา  บุกน้ำท่องโคลน เดินเดาสุ่มตามหลังคนอื่นไป พอไปถึงแล้วถึงเวลาลิเกเล่น มองเห็นตัวลิเกมั่งไม่เห็นมั่งไปตามเรื่อง  เพราะสายตาไม่ดี  และมักจะหลบฝูงชนออกไปซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ ตามโคนต้นไม้ห่างจากผู้คนอื่น ๆ ไม่นิยมการไปรวมกลุ่มอยู่กับใคร ๆ

 

                        การไปดูลิเกของเด็กชายจง  จะ ว่าเป็นการหาความบันเทิงจากการฟังเสียง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เพราะนอกจากตาไม่แจ่มใสแล้ว หูก็ยังไม่สามารถฟังเสียงอะไรได้ถนัดอีกด้วย  เสียงกลอง เสียงปี่ พิณพาทย์ เครื่องเสียงประกอบการแสดงของลิเก ถึงฟังได้ก็ไม่ตลอด แบบได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง  เอาเรื่องเอาราวอะไรไม่ได้

 

                        สรุปแล้ว การไปดูลิเกของเด็กชายจงจึงมีค่าเท่ากัน  จะไปหรือไม่ไปดูก็ไม่มีอะไรต่างกัน  ฉะนั้น เมื่อมีผู้ถามว่า  “ไง...ไปดูลิเกสนุกไหม”  คำตอบก็คือ หัวเราะ  หึ หึ ครั้นถูกถามว่าลิเกเล่นเรื่องอะไร คำตอบก็เช่นกันคือเพียงหัวเราะ หึ หึ

 

                        มีเหมือนกันเมื่อถูกรุกถามหนัก ๆ เข้าจึงตอบเป็นคำพูดสักคำว่า

                        “อือม์...สนุก”

                        และนั่นก็เป็นคำตอบที่ยาวที่สุด นาน ๆ ครั้งจึงจะมีผู้ได้ยินคำตอบอย่างนี้สักครั้งหนึ่ง  แต่จะมีเฉพาะกรณีถูกรุมเร้าหรือถูกรุมหนักเท่านั้น

 

                        ดังนั้นต่อ ๆ มา ลิกงลิเกหรืองานวัดอะไรต่างก็ไม่มีโอกาสได้ดูกับใครอื่นเขา เพราะคนที่จะพาจูงไปคร้านที่จะเอาธุระ  ซึ่งจะเพิ่มภาระให้เกิดแก่ตนเอง

 

                        ในที่สุดเด็กชายจงจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้เป็นพิเศษ คือเป็นยามเฝ้าบ้าน  ใครเขาจะไปไหนมาไหนก็ตามแต่  เด็กชายจงเป็นได้เฝ้าบ้านทุกครั้ง  แต่ก็มีอยู่ประการหนึ่งที่เด็กชายจงไม่ยินยอมเป็นยามเฝ้าบ้านให้เป็นเด็ดขาด  คือในเวลาที่มีการทำบุญตักบาตร  การไปวัดในวันธรรมสวนะ  เด็กชายจงเป็นต้องรบเร้าขอร้องให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง พาตนไปด้วยให้จงได้  ซึ่งถ้าถูกปฏิเสธห้ามปราม  เขาจะคร่ำครวญร่ำไห้แสดงความทุกข์ออกมาให้เห็นอย่างน่าสงสาร

 

                        จึงเป็นอันว่า เด็กชายจงจะได้ออกนอกบ้านก็เฉพาะแต่การไปทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามโอกาสงานบุญเท่านั้น

 

เข้าวัด....อยู่วัด

 

                        ชีวิตของหลวงพ่อจง  พุทธัสสโรในวัยเด็กไม่มีสิ่งใดผันแปร คงเป็นไปอยู่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ราบเรียบดังเช่นน้ำในอ่างดังเช่นที่กล่าวมาแต่ต้น  จนกระทั่งอายุได้  12  ปี ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น  คือทางพ่อแม่มีความเห็นถึงอุปนิสัยของเด็กชายจง  บุตรชายคนโตตรงกันว่า  เป็นผู้มีความชอบวัด ติดวัด รักชอบในอันที่จะไปวัดมากกว่าที่เที่ยวเตร่หาความสนุกในที่ใด ๆ ทั้งหมด

 

                        ดังนั้น  ท่านจึงสรุปความตรงกันว่า  เมื่อเด็กชายจงชอบวัด ต้องการจะไปวัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  แทนที่ตนหรือคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องลำบากจูงมือนำพาลัดเลาะคันนา ถึงแม้จะไม่ห่างไกลเท่าใดนักก็ตามเถิด  แต่เมื่อต้องทำอยู่ทุกบ่อย ก็ให้เกิดความคิดว่าน่าที่จะให้ไปอยู่วัดเสียเลย

 

                        คิดเห็นตรงกันดังนั้นแล้ว  จึงได้เผยความคิดเห็นดังกล่าวให้เจ้าตัว  คือเด็กชายจงได้รับรู้ด้วย  แทนที่จะคิดเสียใจน้อยใจในทำนองที่ว่า พ่อแม่จะตัดหางปล่อยวัดหรือเลยเถิดไปถึงว่าพ่อแม่สิ้นรักสิ้นเมตตาตนแล้ว  กลับเป็นความปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะวัดเป็นที่ร่มเย็น เป็นที่ปรารถนาของตนอยู่แล้ว  เด็กชายจงจึงรับคำพ่อแม่อย่างเต็มอกเต็มใจไม่มีอิดออด

 

                        เวลาต่อมา เด็กชายจงจึงได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดหน้าต่างใน
อันเป็นวัดใกล้บ้าน ที่เด็กชายจงเคยไปมาหาสู่อยู่เสมอนั่นเอง  และนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง  ตั้งแต่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว  โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รวมทั้งโรคหูอื้อ ตาฝ้าฟาง ที่เป็นเรื้อรังมานานปีกลับหายไปจนหมดสิ้น

 

                        สามเณรจงกลับมีสุขภาพสมบูรณ์พลานามัยดีมาก  เป็นสุขอยู่ในเพศพรหมจรรย์  ดุจเป็นนิมิตให้ทราบว่า  ท่านจะต้องครองเพศมีชีวิตอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปตลอดชีวิต  สมดังพุทธอุทานที่ว่า....สาธุ โข ปพพฺชชา...การบรรพชายังประโยชน์ให้สำเร็จ

 

                        ดังนั้น  เมื่ออายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ.2435  โยมบิดามารดาจึงจัดพิธีอุปสมบทให้ได้เป็นพระภิกษุต่อไป  ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างในที่พำนักอยู่ โดยมี

                        พระอุปัชฌาย์สุ่น (หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ)  เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์

                        พระอาจารย์อินทร์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก  เป็นพระกรรมวาจาจารย์

                        พระอาจารโพธิ์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน  เป็นพระอนุสาวนาจารย์

 

                        จากพิธีอุปสมบทในครั้งนั้น  พระภิกษุจงได้รับสมญานามตามเพศภาวะว่า “พุทธัสสโรภิกขุ”  และพำนักเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย  ตลอดจนวิชาการต่าง ๆ ที่พระภิกษุพึงจะต้องเรียนรู้เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น ณ วัดหน้าต่างในนั่นเอง

 

เรียนวิชาอาคม

 

                        ชีวิตของหลวงพ่อจง  หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว  ได้ปรากฎเหตุอันน่าแปลกมหัศจรรย์เด่นชัดขึ้น  เพราะนอกจากจะหายป่วยหายไข้แล้ว  เมื่อได้มาศึกษาหาความรู้ในด้านธรรมะ คือได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา  พร้อมทั้งฝึกฝนในด้านการเขียนอ่านอักษรทั้งไทยและขอมจากท่านพระอาจารโพธิ์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน  ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์

 

                        พระภิกษุจงได้แสดงออกถึงความในอัจฉริยะ  ด้วยการเรียนรู้จดจำสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาอย่างแม่นยำและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  จนใคร ๆ ทั้งหลายที่รู้พื้นความเป็นมาต่างพากันอดแปลกใจสงสัยเสียมิได้ว่า

 

                        “เอ๊ะ..ทำไมภิกษุจงจึงมิยักงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญา  เหมือนกับบุคลิกที่อ่อนแออมโรค  ที่ส่อแสดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบหรืออับ เรียนรู้จดจำอะไรไม่แม่นยำ”

 

                        และยิ่งเพิ่มความแปลกมหัศจรรย์แปลกไกลไปกว่านั้น  ภายหลังจากที่ได้กระจ่างแจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือพอสมควรแล้ว  พระอาจารย์โพธิ์ที่เล็งเห็นแววว่าน่าจะเป็นไปได้ของพระภิกษุจง  ได้ให้การถ่ายทอดวิชาในด้านเวทวิทยาคมที่ท่านเชี่ยวชาญจนเป็นที่เลื่องลือ  ถือกันว่า พระอาจารย์โพธิ์คือยอดแห่งผู้ทรงเวทในสมัยนั้นให้กับพระภิกษุจงด้วย

 

                        ผลก็ปรากฎว่า  พระภิกษุจงสามารถน้อมรับวิชาไว้ได้ทุกกระบวนมนต์ สำเร็จแตกฉานชนิดสิ้นภูมิผู้เป็นอาจารย์กันเลยทีเดียว  และด้วยการได้รับถ่ายทอดวิชาให้ชนิดไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นภูมิรู้ใดไว้ของพระอาจารโพธิ์  จึงทำให้พระภิกษุจงได้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่รวมใจ  ที่พึ่งพิงของญาติโยมแทนผู้เป็นอาจารย์ในเวลาต่อมา

 

ฝึกกรรมฐาน

 

                        การแสวงหาความรู้ของพระภิกษุจง  มิได้หยุดยั้งอยู่แต่เพียงภายในวัดหน้าต่างในที่พักอาศัยเท่านั้น  เมื่อเจนจบในภูมิความรู้ของพระอาจารย์โพธิ์ผู้เป็นอาจารย์แล้ว  ท่านยังคงเสาะแสวงหาที่เรียนต่อไปอีก  ได้รู้ได้ทราบข่าวว่าที่หนึ่งที่ใด สำนักไหนมีครูบาอาจารย์ที่ทรงภูมืความรู้  จะเป็นวิชาแขนงใดก็ดี หากเห็นว่าไม่ขัดฝืนต่อธรรมวินัย เป็นวิชาที่เอื้อต่อการพัฒนาจิตใจของตน  พระภิกษุจงเป็นไม่ลดละที่จะหาทางไปฝากตนเป็นศิษย์เรียนวิชาด้วย

 

                        หนทางที่ไกลแสนไกล ระหว่างทางล้วนมีแต่ความยากลำบากต้องฝ่าฟันในอุปสรรคและเสี่ยงต่อภยันตรายนานาสารพัดอย่าง  มิใช่สิ่งที่จะหยุดยั้งเปลี่ยนวิถีความตั้งใจในการเรียนรู้หาวิชาของภิกษุจงได้  สองเท้าท่านคงย่ำไปจนถึงทุกสำนัก แล้วก็กลับคืนมาพร้อมความสำเร็จทุกแขนงวิชาแห่งสำนักนั้น ๆ ทุกครั้งคราวไป

 

                        อย่างเช่นการไปเรียนวิชาฝ่ายกรรมฐาน กับพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง  เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า  ท่านเป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีผู้ยิ่งใหญ่ที่แตกฉานในสมถะวิปัสสนากรรมฐานท่านหนึ่งในยุคสมัยนั้น

 

                        พระภิกษุจงได้ไปฝากตัวหมั่นศึกษาพากเพียรเรียนวิชาด้วยอิทธิบาทที่แก่กล้าเป็นเวลาช้านาน  จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับในภูมิธรรมจากผู้เป็นอาจารย์  จึงได้เดินทางกลับสู่วัดหน้าต่างใน

 

เป็นเจ้าอาวาส

 

                        ในขณะที่พระภิกษุจง ยังคงพำนักอยู่กับผู้เป็นอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์โพธิ์ ที่วัดหน้าต่างใน  ซึ่งมีบ้านเป็นครั้งเป็นคราวที่ท่านขออนุญาตจากผู้เป็นพระอาจารย์ ไปเรียนวิชายังสำนักอื่น   แต่เมื่อเจนจบหลักสูตร       เป็นต้องกลับคืนสู่วัดหน้าต่างในต้นสังกัด

ทุกครั้งไป

 

                           แม้ว่าเวลานั้น ท่นจะยังคงอยู่ในฐานะพระลูกวัดศิษย์เจ้าอาวาสท่านพระอาจารย์โพธิ์  แต่ชีวิตแห่งการบวชเข้ามาอยู่ในเพศบรรพชิตของพระภิกษุจงก็นับได้ว่า เป็นชีวิตที่ได้รับความสำเร็จผลสมความตั้งใจ  เป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานานุรูป  และการปฏิบัติกรรมฐานทำความเข้าใจในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อใช้ปฏิบัติจิตให้บังเกิดความสงบสุขและบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์  ตลอดจนเป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางเวทย์วิทยาคม  ซึ่งมีพระอาจารย์โพธิ์เป็นปฐมพระอาจารย์ประสาทวิชาให้

 

                           วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา  นอกจากจะยังประโยชน์ให้บังเกิดเป็นความสุขสงบเย็นเฉพาะตนแล้ว  ยังสามารถใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป  ตามด้วยความเหมาะควรแก่กาละเทศะต่อปวงชนทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจด้วย

 

                           ด้วยภูมิธรรมความรู้ อันเกิดจากความวิริยะพากเพียรที่หนุนเนื่องด้วยบุญบารมีเดิม  จึงทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมปวงชนทั้งหลาย  ซึ่งนับวันก็แต่จะมีจิตศรัทธาเลื่อมใสมากยิ่ง ๆ ขึ้น  ฉะนั้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่ออินทร์สิ้นบุญในอันที่จะครองเพศเป็นภิกษุ  ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกได้ต่อไป  ทำให้หน้าที่การดูแลวัดปกครองสงฆ์ของวัดหน้าต่างนอกว่างลง  ซึ่งจำต้องรีบหาและแต่งตั้งเป็นการด่วน

                         

                           ในความคิดความเห็นของบรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย  ต่างเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่มีการนัดแนะมาก่อนว่า  พระภิกษุจง  พุทธัสสโร ศิษย์ของท่านพระอาจารย์โพธิ์ วัดหน้าต่างใน  เพราะสมกว่าใครอื่นทั้งหมด

 

                           ด้วยความเห็นนั้น  จึงได้ชักชวนกันไปหาท่านพระอาจารย์โพธิ์เพื่อขอพระภิกษุจงให้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหน้าต่างนอก  แทนท่านพระอาจารย์อินทร์  พระอาจารโพธิ์ได้รับรู้แล้ว พิจารณาเห็นถึงความเหมาะสมหลาย ๆ ประการ  เริ่มแต่ความศรัทธาของญาติโยมชาวบ้าน  ความเหมาะสมของผู้เป็นศิษย์  จึงเห็นควรตามที่ญาติโยมเขามาขอ

 

                           เมื่อศรัทธาเรียกร้อง  พระอาจารย์เห็นชอบ  พระภิกษุจงจึงมาทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกนับแต่นั้นมา

 

อยู่อย่างพระ

 

                           พระภิกษุจง  พุทธัสสโร  เมื่อมารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว  ก็ถูกขนานนามเป็น “หลวงพ่อจง”  ซึ่งเป็นการเรียกขานด้วยความเคารพเทิดทูน  ซึ่งเมื่อได้รับความเคารพบูชาเช่นนั้น  หลวงพ่อจงท่านก็ยิ่งพยายามปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในศีลธรรมวินัย  เจริญวัตรตามฐานะที่ผู้อยู่ในฐานะเป็นที่เคารพบูชาพึงจะกระทำตามสิกขาบท

 

                           เฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้านท่านได้สำแดงจิตอัธยาศัย  แผ่ไมตรีโอบอ้อมอารีต่อทุกบุคคลไม่เลือกหน้าว่าเป็นใคร  จะยากดีมีจนอย่างไร  หรือ แม้แต่เป็นคนถ่อยชั่วจนชื่อว่าเป็นพาลชนจะเข้าหารือขอร้องให้ช่วยงานช่วยกิจ ธุระหรือช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ให้ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกลอย่างไร  ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้มาขอได้รับความสุขตามปรารถนาอยู่เสมอ  ทำตามกำลังปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูปและกาลเทศะด้วยความเต็มใจอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

 

                           อากัป กิริยาของหลวงพ่อจงที่ปรากฎให้ทุกคนเห็น จะไม่มีการอำอึ้งขึ้งโกรธ แสดงความไม่ชอบใจ ไม่พอใจ หรือแม้การตั้งแง่อิดออดแต่อย่างใดเลย  ทุกคนที่ไปพบไปหาจะสัมผัสกับความเมตตา ความยิ้มแย้มยินดีทุกครั้ง

 

                           หลวงพ่อจงมองคนทุกชั้นว่าเหมือนกัน  และเท่าเทียมกันโดยสภาพแห่งมนุษย์ ไม่มีชั้นวรรณะ  ท่าน ต้อนรับปราศรัยด้วยจิตใจวาจาและเครื่องต้อนรับอย่างเดียวกัน ไม่มีการตั้งเก้าอี้ หรือลาดพรมปูเสื่อเพื่อท่านผู้นั้น ชั้นนั้นชั้นนี้ กุฏิหลวงพ่อจงเปิดอ้าไว้ต้อนรับทุกคนตลอดเวลา  หลายคนเคยปรารภว่า  มานมัสการหลวงพ่อจงแล้วน่าเลื่อมใสจริง ๆ  ท่านเป็นพระแท้ไม่มียศ ไม่มีเกียรติ ไม่ติดอามิสใด ๆ เลย แม้กระทั่งน้ำชา

                           หลวงพ่อเป็นบรรพชิตที่เหมาะสมแก่คนทุกชั้น  ไม่มีคำว่า “ขนาดเราไปหาท่านแล้วเข้าไม่ถึง”  โดยเด็ดขาด  ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อจงท่านทรงคุณธรรมอันสำคัญอยู่สามประการ คือ

                           1.  เมตตากรุณา  หลวงพ่อจงไม่เพียงแต่สอนให้ผู้อื่นมีเมตตากรุณาต่อกันเท่านั้น  แต่ตัวของหลวงพ่อเองก็มีเมตตากรุณาประจำใจด้วยอย่างสมบูรณ์  ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคน  ไม่เคยเห็นท่านแสดงท่าทางโกรธเคืองผู้ใด ไม่ว่าเวลาไหน  ใครมาหาท่านต้องการสิ่งใดท่านจะรีบทำให้ด้วยความเต็มใจและว่องไว  บางครั้งแขกมาหาเป็นเวลาที่ท่านจำวัดแล้ว  หลวงพ่อจงท่านยังรีบลุกจากที่จำวัดมาสงเคราะห์ให้จนสำเร็จประโยชน์

                           2.  อธิวาสนขันติ หลวงพ่อจงท่านรับแขกตลอดเวลา  ทุกเมื่อเชื่อวัน อดทนต่อความเมื่อยล้า  ไม่เคยแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยให้เห็นเลย

                           3.  ปริจจาคะ  หลวงพ่อจงท่านบริจาคทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ใครขออะไรแม้กระทั่งย่ามที่ท่านถืออยู่  ท่านยินดีมอบให้ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส

                           คุณธรรมสามประการนี้  เป็นวิหารธรรมที่หลวงพ่อจงท่านสร้างสมอยู่ชั่วชีวิตท่าน

 

เป็นพระทองคำ

 

                           หลวง พ่อจง เป็นพระเถราจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจาก หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล และหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อยุธยา พระอาจารย์ทั้งสองท่านนี้  ก็เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เช่นกัน

 

                           หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นสหายธรรมสนิทสนมกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นอันมาก  เนื่องจากมีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน  นัยว่าสองหลวงพ่อนี้เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน  จึงมีความสนิทสนมและต่างฝ่ายต่างเคารพนับถือธรรมปฏิบัติของกันและกันมากเป็นพิเศษ

 

                           หลวงพ่อปานมีสังฆกิจอย่างไร  ต้องนิมนต์หลวงพ่อจงไปในพิธีเสมอ  หลวงพ่อจงมีสังฆกิจเช่นไรก็จะต้องนิมนต์หลวงพ่อปานไปร่วมพิธีทุกครั้ง  หลวงพ่อปานท่านมักพูดแก่ศิษย์ของท่านเองว่า  พระอย่างหลวงพ่อจงนั้นเป็นทองคำทั้งองค์  พระขนาดนี้อย่างไปขออะไรท่านนะ   จะเป็นบาปหนัก  เพราะแม้เทพยดาชั้นสูง ๆ ยังต้องขอเป็นโยมอุปัฎฐากเลย

 

                           ด้วยเหตุนี้  ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปานจึงเคารพนับถือหลวงพ่อจงมาก  และท่านยังสั่งว่า  “ถ้าฉันไม่อยู่ติดขัดเรื่องธรรมะ ให้ไปถามท่านจงนะ  ท่านจงนี้น่ะ ท่านสอนเทวดามาแล้ว  ถ้าเธอไปเรียนกับท่านจงได้  ก็นับว่าเป็นบุญของเธอ”

 

ปฏิบัติเป็นกิจ

 

                           กิจวัตรประจำวันอันสำคัญที่หลวงพ่อจงนิยมปฏิบัติอยู่เสมอ คือ การทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้า  เวลาใกล้รุ่งระหว่างเวลา 04.00 น. ถึง 05.00 น. และเวลาเย็นประมาณ 18.00 น. (ถ้าไม่มีแขกมาหา)  หลวงพ่อจะต้องทำวัตรสวดมนต์เป็นประจำไม่ขาด  เว้นแต่อาพาธหรือติดกิจนิมนต์ไม่ได้อยู่วัดเท่านั้น

 

                           หลังจากสวดมนต์จบแล้ว  หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน อันเป็นธุระเอกของท่านอย่างสงบนิ่ง ประมาณวันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า  ฉะนั้น ผู้ที่เคยมาหาหลวงพ่อและรู้เวลาของท่านแล้ว เขาจะไม่รบกวนท่าน  รอจนกว่าท่านจะทำกิจเสร็จเรียบร้อย  เพราะถ้าใครไปปรากฎตัวหรือด้อม ๆ มอง ๆ ให้ท่านเห็น  หลวงพ่อจะรีบกราบพระลุกจากที่มาทันที  ด้วยความที่ท่านมีเมตตาเป็นปุเรจาริก  ปรารถนาจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้สำเร็จประโยชน์ที่เขาต้องการ

 

เป็นผู้รักความสะอาด

 

                           หลังเวลาทำวัตรเช้ามืดเสร็จแล้ว  และเวลาเย็นหลวงพ่อจะถือไม้กวาดฟั่นด้วยปอยาว ๆ เดินกวาดสถานที่ต่าง ๆ เช่น ถนนหนทาง กุฏิ ศาลา เป็นต้น ไม่ว่างเว้น  ท่านมีสุขนิสัยรักความสะอาดอย่างยากที่จะหาผู้ใดมาเปรียบได้

 

                           ท่านไม่รังเกียจว่า สถานที่ท่านกวาดนั้นเป็นกุฏิของผู้ใด  ถ้าหลวงพ่อพบฝุ่นละอองที่ไหน  ท่านจะปัดกวาดให้จนสะอาดเรียบร้อยไม่เคยว่ากล่าวผู้ใดทั้งสิ้น  ใบหน้าหลวงพ่อยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

 

                           ในระยะหลัง พระอุปัฏฐากและศิษย์รับใช้ เมื่อเห็นท่านปัดกวาด ต้องรีบมาทำแทนท่าน เพราะเห็นว่าท่านชราภาพมากแล้ว  ท่านหมั่นทำความสะอาดอยู่กระทั่งถึงวาระสุดท้าย  ลุกจากที่จำวัดไม่ได้

 

                           กิจกรรมเช่นนี้ เป็นที่ควรปฏิบัติตามสำหรับอนุชนเป็นอย่างยิ่ง  เพราะสิ่งเหล่านี้มีพระพุทธภาษิตรับรองอยู่ว่า

                           อสชฺฌายมลา  อนุตา  อนุฏฐานมลา  ฆรามลํ  วณฺณสฺสโกสชฺชํ
ปมาโท รกฺขโต  มลํ

                           ซึ่งแปลว่า เวทมนต์ที่ไม่ท่องบ่นย่อมเสื่อมคลาย เรือนทั้งหลายที่ไม่ปัดกวาดย่อมเสื่อมโทรม  ความเกียจคร้านเป็นความเศร้าหมองของผิวพรรณ  ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา

 

ปฏิปทาน่าฉงน

 

                           การปฏิบัติอันเป็นกิจวัตรของหลวงพ่อจง  บางอย่างก็แปลก ๆ เป็นปริศนาให้ผู้พบเห็นคิดอยู่นาน  เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา  อำเภอบ้านหมี่  จังหวัดลพบุรี  กล่าวคือ  พอตกกลางคืนท่านจะออกมาจากกุฏิ  โดยถือไม้กวาดแล้วกวาดลานวัดไปเรื่อย ๆ  กวาดจนรอบวัดแล้วยังกวาดใหม่อยู่อย่างนี้จนดึก

 

                           หลังจากนั้นก็เดินขึ้นกุฏิไปเข้ามุ้ง  แต่ไม่ดับตะเกียง  ท่านจะนั่งสมาธิอยู่เป็นครู่ใหญ่  แล้วออกจากมุ้งมากวาดลานวัดอีก  เมื่อกวาดรอบวัดเสร็จก็จะกลับขึ้นไปเข้ามุ้งในกุฎิ  ทำสมาธิ  หลังจากนั้นก็จะออกมากวาดลานวัดเป็นคำรบสาม  เสร็จแล้วก็เข้ามุ้ง  นั่งสมาธิ เป็นครั้งสุดท้าย  จากนั้นจึงดับตะเกียงจำวัด  หลวงพ่อจงปฏิบัติธรรมของท่านเช่นนี้ตลอดมา

 

                           ก่อนที่จะมรณภาพไม่นาน  ลูกศิษย์ใกล้ชิดเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่  ได้ถามท่านว่า  ทำไมถึงชอบกวาดลานวัดตอนดึก ๆ ขณะพระลูกวัดจำวัดหมดแล้ว  ท่านตอบสั้น ๆ ว่า  “วัดสะอาด  ใจก็สะอาด  กวาดวัด แล้วกวาดใจ  ตายแล้วไม่ไปอบายภูมิ”

 

มักน้อยสันโดษ

 

                           หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มักน้อยสันโดษอย่างมาก  ใครมาหาท่าน ท่านก็ต้อนรับขับสู้ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใสมีเมตตา  ใครจะนั่งอยู่ดึกดื่นค่อนคืนอย่างไร ท่านก็ยังคงต้อนรับอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งแขกเหรื่อหมดแล้ว ท่านจึงจะเข้ากุฏิ

 

                           หลวงพ่อจงเป็นพระที่เสียสละอย่างสูง  เมตตาของท่านท่วมท้นทั้งในอาณาจักรและศาสนจักร  ในประการหลังนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านรื้อกุฏิในวัดของท่านถวายแก่วัดที่ยากจน  ซึ่งท่านทำเช่นนี้เสมอมา  นี่คือเหตุผลที่ว่า  ทำไมวัดหน้าต่างนอกที่มีพระอาจารย์ชั้นเยี่ยมอย่างหลวงพ่อจงเป็นเจ้าอาวาส  จึงไม่ค่อยเจริญในด้านวัตถุมากนัก  ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า  พระสุปฏิปันโนเฉกเช่นหลวงพ่อจงนี้  ท่านมีแต่ขนออกแจกเขาอย่างเดียว  ไม่มีการนำเข้า มีแต่แจกออกไป  ใครถวายสิ่งใดแก่ท่าน ท่านก็นำออกมาถวายให้พระลูกวัดเป็นสังฆปัจจัยจนหมด

 

                           ในด้านสมณศักดิ์นั้นท่านก็วางเฉย  มีลูกศิษย์ที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาปรารภกับท่านบ่อย ๆ ทำนองใคร่สนับสนุน  แต่ท่านปฏิเสธไปอย่างสุภาพและนุ่มนวลอีกว่า  “อาตมาแก่แล้ว  สังขารไม่เอื้ออำนวย  มันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ไปบังคับมันไม่ได้ สังขารของอาตมาจึงไม่เหลือที่จะเป็นประโยชน์แก่กิจของสงฆ์อีกแล้ว”

 

                           แม่แต่ตอนที่ท่านมรณภาพ  เงินสักเฟื้องสักสลึงก็ไม่มีติดย่าม  ย่ามของท่านนั้นเล่าก็เก่าคร่ำคร่า  ย่ามดี ๆ ท่านก็ให้แก่พระลูกวัดใช้จนหมดสิ้น  สมบัติของท่านที่เหลืออยู่ให้เราเห็นในทุกวันนี้  มีเพียงเก้าอี้โยกเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  รูปปั้นฤาษี “พ่อแก่”  และพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็กที่ท่านบูชาประจำองค์เดีย
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ หลวงปู่บุญ ขนฺธโชติ วัดกลางบางแก้ว เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 09:42:59 pm
ประวัติ หลวงปู่บุญ ขนฺธโชติ วัดกลางบางแก้ว

กาลสมภพ
         หลวงปู่บุญชาตะ เมื่อวันจันทร์ขึ้น ๓ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๑๐ สัมฤทธิศกเวลาย่ำรุ่งใกล้สว่าง ตรงกับวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๙๑ อันเป็นปีที่ ๒๕ แห่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ท่านชาตะ ณ. บ้านตำบลท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร (ในครั้ง นั้นยังเป็นตำบลบ้านนางสาว อ.ตลาดใหม่ เมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี  ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นบ้านท่าไม้ อ.สามพราน จ.นครปฐม แต่ปัจจุบันนี้ ต.ท่าไม้ ได้โอนไปขึ้นกับ อ.กระทุ่มแบน จ.สุมทรสาคร)

โยมบิดาของหลวงปู่มีนามว่า "เส็ง" โยมมารดามีนามว่า "ลิ้ม" ท่านมี พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๖ คน โดยตัวท่านเป็นคนหัวปี มีน้องชายหญิง  ๕ คน ลำดับดังนี้

๑. นางเอม

๒. นางบาง

๓. นางจัน

๔. นายปาน

๕. นายคง

เหตุแห่งมีนามว่า "บุญ"

         เมื่อวัยทารก ท่านมีอาการป่วยหนักถึงแก่สลบไป และไม่หายใจในที่สุดบิดามารดาและญาติ เมื่อเห็นว่า ท่านตายเสียแล้วจึงจัดแจงจะเอาท่านไปฝัง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่จะได้ฝังท่านก็กลับฟื้นขึ้นมา บิดามารดา ได้ถือเอาเหตุนี้ตั้งชื่อให้แก่ท่านว่า "บุญ"

การศึกษาและบรรพชา

         เมื่อครั้งที่หลวงปู่บุญ ยังอยู่ในวัยเยาว์นั้น โยมทั้งสองได้ย้ายภูมิลำเนามาทำนาที่ตำบลบางช้าง อ.สามพราน  เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาได้ถึงแก่กรรม โยมป้าของท่านจุงนำไปฝากให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่กับพระปลัด ทอง ณ วัดกลาง ซึ่งในสมัยนั้นมีชื่อว่า "วัดคงคาราม" ต.ปากน้ำ (ปากคลองบางแก้ว) อ.นครชัยศรี เมื่อท่าน อายุได้ ๑๕ ปีเต็มพระปลัดทองจึงทำการบรรพชาให้เป็นสามเณรและได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ ต่างๆ ให้  เมื่อครั้งนั้นท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดจึงทำให้เป็นที่รักใคร่ของพระปลัด ทอง แต่เมื่อมีอายุได้ใกล้อุปสมบท ท่านมีความจำเป็นต้องลาสิกขาเนื่องด้วยความป่วยไข้เบียดเบียน

อุปสมบท

         หลวงปู่บุญ อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ณ พัทธสีมา วัดกลางบางแก้ว เมื่อวันจันทร์เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๒๓๑ เอกศกเพลาบ่ายตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๒ ในท่ามกลาง ที่ประชุมสงฆ์ ๓๐ รูป โดยมีพระปลัดปาน เจ้าอาวาสวัดพิไทยทาราม (วัดตุ๊กตา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ ปลัดทอง เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พระอธิการทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดงิ้วราย พระครูปริมานุรักษ์ วัดสุประดิษฐานราม และพระอธิการจับ เจ้าอาวาสวัดท่ามอญร่วมกันให้สรณาคมณ์กับศีลและสวดกรรมวาจา อนึ่ง การที่มีพระอาจารย์ร่วมพิธีถึง ๔ รูปเช่นนี้ก็เพราะพระเถระเหล่านี้เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้า ภาพอุปสมบทแล้วพระอุปัชฌาย์ขนานนามฉายาให้ว่า "ขนฺธโชติ" แล้วให้จำพรรษาอยู่กับพระปลัดทอง ที่วัดกลางบางแก้ว

การศึกษาทางปริยัติและปฏิบัติ

         หลวงปู่บุญ ถูกว่างพื้นฐานในทางธรรมมาอย่างดีแล้วตั้งแต่เป็นเด็กวัดและสามเณร ซึ่งช่วงระยะเวลา ดังกล่าวประมาณ ๕-๖ ปี ที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระปลัดทอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพื้นฐานในทางธรรม ของท่านถูกถ่ายทอดมาโดยพระปลัดทองทั้งสิ้น อาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านก็คือพระปลัดปาน เจ้าอาวาส วัดตุ๊กตา ซึ่งจากปากคำของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว) บางกอกน้อย  เคยกล่าวไว้ว่าหลวงปู่บุญได้เล่าเรียนกรรมฐานและอาคมกับท่านปลัดปาน อันที่จริงนั้นอาจารย์ที่ถ่ายทอด วิชาความรู้ทางธรรม ทั้งปริยัติและปฏิบัติตลอดจนพระเวท และพุทธาคมให้แก่ท่านยังมีอีกหลายรูป แต่จะกล่าวถึงในถัดไป

สมณศักดิ์และตำแหน่ง

ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอธิการปกครองวัดกลางบางแก้ว

ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาอีก ๔ เดือน คือวันที่ ๓๐ ธันวาคม ศกเดียวกันก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูมีราชทินนามว่า "พระครูอุตรการบดี"  และยกให้เป็นเจ้าคณะแขวง

เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ก็ได้รับพระกรุณาโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญา บัตรที่ "พระครูพุทธวิถีนายก" และให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรการคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมกับจังหวัด สุพรรณบุรี

ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะสามัญในราชทินนามที่  "พระพุทธวิถีนายก"

ประวัติชีวิตหลวงปู่บุญที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนย่อยในทั้งหมดของท่าน เพราะหากจะนำมาเขียนกัน จริงๆ คงต้องยืดยาวมาก อีกทั้งได้มีนักเขียนหลายท่านพรรณาไว้อย่างถูกต้องดีแล้วผู้เขียนจึงเว้นไว้ เสีย ไม่นำมากล่าวถึงอีก

เมตตาธรรม

         ปกติหลวงปู่บุญ เป็นพระที่มีความเมตตากรุณาแก่บุคคลทั้งหลายเป็นอันมาก ได้อุปการะพระลูกวัดตลอดจน สานุศิษย์ และเกื้อกูลชาวบ้านอยู่เป็นนิจ ตลอดอายุขัยของท่าน ทั้งนี้เกิดจากเป็นนิสัยโดยกำเนิดของท่านที่  เป็นผู้มีใจเป็นบุญกุศลและปฏิเสธการกระทำอันเป็นบาปมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว

ปล่อยปลาหมดข้อง

         สมัยเมื่อหลวงปู่บุญ ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่กับโยมทั้งสอง ก็มีลักษณะแปลกกว่าเด็กทั้งหลายคือ ไม่ยอมฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต และไม่ชอบการจับเอาสัตว์มาเล่น ทรมานเหมือนเด็กอื่นๆ โยมทั้งสองซึ่งมีอาชีพในการทำนานั้น  ขณะว่างจากงานก็จะเที่ยวหาปลาตามหนองน้ำต่างๆ เพื่อมาทำอาหารบริโภคเช่นเดียวกับชาวนาบททั้งหลาย  และโยมทั้งสองก็มักจะเอาท่านไปด้วย เพราะท่านเป็นบุตรคนหัวปี โดยมอบท่าน สะพายข้องใส่ปลาที่จับได้ ตอนแรกๆ ท่านไม่ยอมไปด้วย ก็ถูกโยมดุว่า ท่านจึงจนใจต้องสะพานย่ามติดตามโยมไปด้วย ในวันหนึ่งโยม จับปลาได้มาก ต่างก็พากันดีใจปลดปลาใส่ข้องได้หลายตัว ครั้นกลับมาถึงบ้านเตรียมนำเอาปลามาทำอาหาร  พอเปิดข้องออกดูปรากฏว่า ไม่มีปลาในข้องเลยแม้แต่ตัวเดียว

         เมื่อโยมถามท่านก็บอกว่าเอาปลาปล่อยไปตามทางหมดแล้ว เป็นอันว่าในวันนั้น แทบจะไม่มีกับข้าว รับประทานกันทั้งบ้าน โยมโกรธท่านมากและไม่ลงโทษเฆี่ยนตีท่าน อย่างรุงแรงหลังจากนั้นมา โยมก็มิได้ เอาท่านไปหาปลาอีกเลย และท่านก็ได้กลายเป็นเด็กที่ซึมเซาเหงาหงอยเบื่อความมีชีวิตอย่างโลภๆ หลวงปู่บุญ เคยเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่าท่านมีความรู้สึกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วว่า ชีวิตทางโลกเป็นหนทางที่มีแต่ความ เบียดเบียน และมีความปรารถนาจะเข้าวัดบวชเรียนเสียเร็วๆ และก็ได้มีโอกาสบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้  ๑๓ ปี และมีชีวิตในทางธรรมมาตลอด

อำนาจ ตบะเดชะ


         แม้ว่าหลวงปู่บุญ จะเป็นผู้เฒ่าที่ใจดี แต่ก็ไม่วายที่จะมีคนเกรงกลัวกันมาก กล่าวกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจ ในตัว กอปรด้วยท่านเป็นคนพูดน้อย มีแววตากล้าแข็ง จึงไม่ว่าใครๆ ต่างก็พากันเกรงขามท่านกันทั้งนั้น  ใครก็ตามที่มีธุระทุกข์ร้อยมาหาท่าน ท่านก็จะรับเป็นภาระช่วยบำบัดปัดเป่าทุกข์ภัยนั้น ให้ด้วยความเมตตา กรุณาโดยทั่วหน้ากัน บางคนมาขอฤกษ์ หรือมาให้ท่านทำนายเกณฑ์ชะตาบอกข่าว ในคราวประสพ เคราะห์กรรมต่างๆ บ้างก็ขอให้ท่านรดน้ำพุทธมนต์ หรือมิฉะนั้นก็มาขอยารักษาโรคจากท่าน ครั้นเมื่อท่าน จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะนั่งนิ่งๆ ไม่พูดจาว่ากระไรอีก คนที่มาหาท่านก็จะลงมือทำงานของท่านต่อไป  โดยปรกติแล้วในวันหนึ่งๆ หลวงปู่หาเวลาว่างจริงๆ ได้ยาก ท่านทำงานของท่านตลอดเวลา เว้นแต่เวลาฉัน  หรือเวลาจำวัดเท่านั้น

         บุคลิกพิเศษของหลวงปู่อีกประการหนึ่งทำให้คนเกรงขามก็คือ แววนัยน์ตาอันแข็งกร้าวอย่างมีอำนาจ ของท่าน ทุกครั้งที่ท่านพูดกับใครนัยน์ตาคู่นี้จะจับต้องนัยน์ตาของผู้นั้นแน่นิ่ง อยู่ตลอดเวลา นัยน์ตา ที่ทรง พลังอำนาจเช่นนี้อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้ขุนโจรใจโหดก็จะไม่กล้าสู่นัยน์ตาท่านได้

         ครั้งหนึ่งมีพระลูกวัด ๒-๓ องค์ แอบไถลมานั่งคุยกันเล่นอย่างสนุกสนานที่ท้ายน้ำหน้าวัดพร้อมกับร้อง ทักทายชาวบ้านที่พายเรือผ่านหน้าวัดไปมา โดยละเลยต่อการปฏิบัติศาสนากิจตามกำหนด หลวงปู่เดินมา เห็นเข้าพระเหล่านั้นต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดเกรงท่าน มีอยู่องค์หนึ่งที่ตกใจมากกว่าเพื่อนไม่รู้ว่า จะหลบหนีหลวงปู่ไปทางไหนดี เลยโดดหนีลงไปในแม่น้ำต่อหน้าต่อตาท่านทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว และน้ำในแม่น้ำก็เย็นจัดหลวงปู่ได้ร้องบอกว่า "ขึ้นมาเถอะคุณเดี๋ยวจะเป็นตะคริวตายเสียเปล่าๆ" แล้วท่านก็ลงมืออบรมสั่งสอนพระเหล่านั้นให้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องทำให้ พระทุกองค์พากันเข็ดขยาด ไปอีกนาน

         อีกเรื่องหนึ่งที่ หลวงปู่บุญไม่ ชอบ ก็คือ ชาวบ้านที่ชอบนุ่งโสร่งเข้าวัด ท่านมักจะปรารภในเรื่องนี้ว่า "การแต่งกายเป็นเครื่องสอนนิสัยใจคอคน การเข้าวัดเข้าวาไม่ควรนุ่งโสร่งลอยชายมันไม่สุภาพ ควรนุ่งห่มให้เรียบร้อยสักหน่อยจะสมควร" ข่าวอันนี้เมื่อล่วงรู้ไปถึงชาวบ้านละแวกนั้นเข้า ก็กลายเป็น ข้อปฏิบัติที่ว่าต่อไปเมื่อใครจะเข้าวัดจะต้องแต่งกายให้เรียบร้อย โดยจะต้องไม่นุ่งโสร่งเป็นอันขาด

อาพาธและมรณภาพ
 
          ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นต้นมา ซึ่งหลวงปู่บุญได้ รับพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะที่พระพุทธวิถี นายกนั้น ท่านมีอายุได้ ๘๑ ปีแล้ว งานบริหารกิจการสงฆ์จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีที่ผ่านมาก็ได้ ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย กิจการศาสนาในด้านต่างๆ โดยการนำของท่านก็ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดมาด้วยดี แต่ระยะหลังๆ นี้ หลวงปู่บุญ กำลังเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว สังขารก็ทรุดโทรร่วงโรยลงไปตาม วันเวลา จะเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็ไม่สะดวก ท่านจึงกราบทูลขอลาออกจากคณะสงฆ์ สมเด็จพระ สังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ มีรับสั่งถามหลวงปู่ว่าเวลานี้อายุได้เท่าไร ท่านก็กราบทูลว่า ๘๑ ปีเศษ ทรงรับสั่งว่า "จงอยู่ไปก่อนเถิด"

         ท่านจึงต้องทนปฏิบัติงานต่อไปจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ อายุ ๘๔ ปี ทางการคณะสงฆ์จึงเห็นเป็นการสมควร พักผ่อนเสียที โดยให้ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นกิติมศักดิ์ จึงได้ติดต่อให้กระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น  นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ยกเป็นกิติมศักดิ์ หลวงปู่จึงได้พักผ่อนจากการบริหารคณะสงฆ์ คงปฏิบัติแต่กิจพระศาสนา ทำนุบำรุง พระอารามเป็นการถภายในแต่นั้นเป็นต้นมา

มีหลักฐานบันทึกต่อไปถึงตอนมรณภาพของหลวงปู่ไว้ว่า

         ท่านเจ้าคุณไม่เห็นแก่ความยากลำบาก มุ่งทำกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์ทางศาสนา ด้วยความเคารพ อยู่ในธรรมเป็นประมาณ ควรกล่าวว่ามีจรรยา สมกับพุทธภาษิตที่ว่า "อโมฆ ตสฺส ชีวิตา " บุคคลผู้ประพฤติ ธรรมนั้นชีวิตไม่เป็นหมัน หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งพ้องกับภาษิตว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใดๆ ประพฤติธรรมสมควรธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ ผู้นั้นเชื่อว่าเคารพนับถือบูชาแก่พระตถาคตเจ้า ด้วย การบูชาอันสูงสุดยิ่ง คือมีความเป็นอยู่ ยังหิตานุหิตประโยชน์ให้สำเร็จแก่ตนและหมู่ชนต่างๆ ชั้น ซึ่งเป็น ตัวอย่างอันดี ที่ธีรชนผู้หวังคุณงามความดี น่าจะพึงดำเนินตามต่อไปหากว่าเจ้าคุณท่านยังมีชีวิตอยู่ คงทำ ประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณะทางพระพุทธศาสนาอีกมาก

         แต่นี่ท่านมาถึงมรณภาพเสียเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕  ปีชวด เวลา ๑๐.๔๕ น. โดยโรคคาพาธ ณ กุฏิของท่าน สิริรวมอายุท่านโดยปีได้ ๘๙ พรรษา ๖๗

ทั้งนี้ ก็เพราะสังขารของท่านประกอบด้วยชราภาพ จึงได้แปรปรวนยักย้ายไปตามธรรมดา ถึงแม้ว่าท่าน มรณภาพไปแล้วก็ดี คุณงามความดีซึ่งกระทำไว้ ก็ปรากฏตลอดมาจนบัดนี้ และคงปรากฏต่อไปอีกชั่วกาลนาน
8  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 09:32:16 pm
ประวัติหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ

หลวงปู่แขก (มรณภาพประมาณปี พ.ศ. 2466 อายุขณะมรณภาพประมาณ 80 ปี) เป็นอดีตเจ้าอาวาส รุ่นที่ ๒
ต่อจากสมภารพราหมณ์(หรือพรหม)วัดบางบำหรุ กรุงเทพมหานคร วัดบางบำหรุเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่
ตำบลบางบำหรุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ด้านฝั่งธนบุรี (อยู่หลังเซ็นทรัลปิ่นเกล้า) วัดนี้มีมาตั้งแต่
สมัยอยุธยาตอนปลายเคยมีการขุดพบพระเครื่องจากเจดีย์ใกล้วิหารเก่าเป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาศิลปะ
สมัยอยุธยาตอนปลายทั้งสิ้น บริเวณวัดอยู่ต่อกับวัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) และใกล้วัดนายโรง
หลวง ปู่แขก นั้นเป็นพระเกจิยุคเก่าที่แก่กล้าในพระเวทย์ วิทยาคม และโด่งดังในแถบย่านบางบำหรุและท่านเป็นพระอาจารย์ของสมภารฉาย (เจ้าอาวาสลำดับต่อจากหลวงปู่แขกและสมภารฉายเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อรัตน์ สุมโน) หลวงปู่แขกเป็นพระร่วมสมัยเดียวกับพระปลัดทองซึ่งพระอาจารย์ของหลวงปู่บุญ
วัดกลางบางแก้ว แต่เนื่องจากประวัติของหลวงปู่แขก นั้นมีการจดบันทึกไว้น้อยมากประกอบกับท่านสร้างวัตถุ
มงคลไว้ไม่มากและไม่ได้แพร่หลายไปยังพื้นที่ต่างๆ ประวัติของท่านจึงถูกลืมเลือนไปตามกาลสมัยที่ผ่านมา
ยาวนาน ทำให้ปัจจุบันมีผู้ทราบประวัติและรู้จักท่านน้อย
จากคำบอกเล่าของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) อดีตเจ้าอาวาส วัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว)
เขตบางกอกน้อย ซึ่งเล่าไว้เมื่อปี พ.ศ. 2517 ขณะท่านอายุ 97 ปี พรรษา 71 ว่า หลวงปู่รอด วัดนายโรง
(ปรมาจารย์ทางเบี้ยแก้อันโด่งดัง) ได้เล่าให้ท่านฟังว่า หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ เป็นพระที่มาจากนครชัยศรี
จังหวัดนครปฐม และหลวงปู่รอดได้ศึกษาวิชาเบี้ยแก้จากหลวงปู่แขก ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ
ขณะที่หลวงปู่แขกมาอยู่ที่วัดบางบำหรุนั้น ท่านเป็นพระมาแล้วโดยได้ธุดงค์มาจากนครชัยศรี พื้นเพหลวงปู่แขก
เป็นชาวอยุธยาเป็นสหายกับพระปลัดปาน วัดตุ๊กตา (พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว)
และพระปลัดทอง วัดกลางบางแก้ว (วัดคงคาราม) จังหวัดนครปฐม (พระกรรมวาจาจารย์และพระอาจารย์
ซึ่งสอนวิชาการต่างๆ และวิชาอาคมให้หลวงปู่บุญ) ส่วนหลวงปู่แขกจะมาธุดงค์มาจากวัดตุ๊กตา หรือ
วัดกลางบางแก้วนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด พระปลัดปาน พระปลัดทองและหลวงปู่แขกนั้นเป็นสหายกันหรืออาจเป็น
ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน
9  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มนุษย์ 5 จำพวก เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 11:39:15 pm
มนุษย์ 5 จำพวก

1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยฆ่าเจ้า ทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรมคือศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่า มนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น

2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทาน ก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย

3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ทีขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ผู้ไรศีลธรรม ดืมสุรา เสพยาบ้า กินกัญชา ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางๆผิดทำนองคลองธรรม นามว่า มนุสสติรัจฉาโน แปลว่ามนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง
คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ

3. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่คนรักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้คนเป็นคน มนุสสภูโต แปลว่ามนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนหัวขาดนันเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน

5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการคือ

-บำรงเลี้ยงมารดาบิดา
-ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญ
-พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล
- ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น
- ละความตระหนี่เหนียวแน่น
- รักษาคำสัตย์
- ไม่โกรธ
มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา

 ขอขอบคุณ
http://www.tangboon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=256391
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / แสดงเรื่องเปตร ในพระไตรปิฏก เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 11:38:36 pm
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีบันทึกไว้ว่า เปรตแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ
 เปรต 4 จำพวก ในเปตวัตถุ อรรถกถา แสดงเปรต 4 จำพวก คือ
 1. ปรทัตตูปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ เป็นต้น
 2. ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าวหิวน้ำอยู่เป็นนิตย์
 3. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
 4. กาลกัญชิกเปรต  เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือเป็นชื่อของอสุรกายที่เป็นเปรต
                       
 บางแห่งแบ่งเป็น 12 ตระกูล หรือแยกย่อยเป็น 21 ชนิดบ้าง
ชนิดของเปรต
     ในอปทาน อรรถกถา สุตตนิบาตอรรถกถา และพุทธวังสะอรรถกถา แสดงว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย นับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นต้นไป จะไม่เกิดเป็น ขุปปีปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต หรือกาลกัญจิกเปรต ถ้าจะต้องไปเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวิกเปรต ประเภทเดียว
          เปรต 12 ตระกูล ได้แก่
1.   วันตาสเปรต          เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
2.   กุณปาสเปรต         เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร
3.   คูถขาทกเปรต        เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4.   อัคคิชาลมุขเปรต    เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5.   สุจิมุขเปรต            เปรตที่ปากเท่ารูเข็ม
6.   ตัณหัฏฏิตเปรต       เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำเสมอ
7.   นิชฌามกเปรต        เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา
8.   สัพพังคเปรต          เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาวคมเหมือนมีด
9.   ปัพพตังคเปรต        เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อชครเปรต             เปรตที่มีร่างกายคล้ายสัตว์เดียรัจฉาน
11.  มหิทธิกเปรต         เปรตที่มีฤทธิ์มาก
12. เวมานิกเปรต          เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน

เปรต 12 ตระกูล     
         
         ตระกูลที่ 1 วันตาสาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว และอดอยากหิวโหย เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลด น้ำลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดเป็นอาหาร กินแล้วยังหิวโหยเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น
         กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในตระกูลนี้
          ตระกูลที่ 2 กุณปขาทาเปรต       
          เปรตตระกูลนี้มีรูปร่างน่าเกลียดมาก จะซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย ครั้นเห็นซากอสุภะของสัตว์ที่ล้มตาย กลายเป็นศพอืดเน่าเหม็น เปรตเหล่านี้จะดีอกดีใจวิ่งเข้าไปดูดโอชะที่เน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้น
         กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้
         ตระกูลที่ 3 คูถขาทาเปรต       
        เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน น่าเกลียด เปรตชนิดนี้จะเที่ยวแสวงหาคูถ คือ อุจจาระ ที่คนถ่ายเอาไว้ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากเท่าไรก็ยิ่งชอบ เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นอุจจาระจะดีใจจนเนื้อเต้น รีบวิ่งรี่เข้าไปที่กองอุจจาระเหมือนสุนัขอย่างนั้น ครั้นไปถึงก็ก้มหน้าดูดเอาโอชะของคูถนั้นเป็นอาหาร แต่ก็ไม่เคยอิ่มเลย
         กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งที่เป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม  จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า "ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก" แล้วก็ขับไล่ไสส่ง ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้
         ตระกูลที่ 4 อัคคิชาลมุขาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างผอมโซ มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน  ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์  ถึงกระนั้นไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปากและลิ้นหนักเข้าไปอีก
         กรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมีใคร มาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ  เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน
         ตระกูลที่ 5 สุจิมุขาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ รูปร่างแปลกพิกล คือ เท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม
         กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม
        ตระกูลที่ 6 ตัณหาชิตาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างผอมและอดอยากเช่นเดียวกับเปรตพวกอื่น คือ มีความอยากข้าว น้ำเป็นกำลัง ที่แปลกออกไป คือ เปรตเหล่านี้จะเดินตระเวนท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่นด้วย อำนาจกรรมบันดาล
         กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน ครั้นละโลกแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตอดอยากข้าวน้ำดังกล่าว

ตระกูลที่ 7 นิชฌามักกาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างเหมือนต้นเสาหรือต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ สูงชะลูดดำทะมึน แลดูน่ากลัวมาก มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยากเหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น
         กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่สมณพราหมณ์ เหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไวๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ
         ตระกูลที่ 8 สัพพังคาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร
         กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา ถ้าเป็นหญิงก็หยิกข่วนสามีของตน     
         ตระกูลที่ 9 ปัพพตังคาเปรต
         เปรตตระกูลนี้ มีร่างกายใหญ่เหมือนภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย เปรตเหล่านี้ต้องถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปานจะขาดใจ
         กรรมที่เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น
         ตระกูลที่ 10 อชครเปรต       
         เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่างเว้น แม้แต่วันเดียว
         กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
         ตระกูลที่ 11 มหิทธิกาเปรต       
         เปรตตระกูลนี้ เป็นเปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบคูถมูตร และของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร
         กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ มีความเข้าใจผิดว่า "เราบวชแล้ว รักษาแต่ศีลอย่างเดียวก็พอ ไม่เห็นต้องทำบุญให้ทานเหมือนฆราวาสเลย" ครั้นเมื่อละโลกจึงมาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เปรตตระกูลสุดท้าย   

ตระกูล ที่ 12 เวมานิก  เปรตตระกูลนี้จะมีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม
         กรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา

เรา จะเห็นได้ว่า การเสวยวิบากกรรมในภูมิเปรตนั้น เป็นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงไร ทุกข์ในเมืองมนุษย์เทียบเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นอย่ากระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานในภูมิเปรตนี้เลย
ขอขอบคุณเวบ
http://khonrayong.myfri3nd.com/web_blog/print.php?id=169422
11  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระพุทธบาท 5 รอย วัดเขาสนามแจง ( เขาวงกต ) อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 11:28:48 pm

-อยู่ที่วัดเขาสนามแจง(เขาวงกต) อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ใกล้ๆนี่เอง มีบันไดทางขึ้นไป 700 ขั้น ผมไปนมัสการมาหลายครั้งแล้วครับ

-รอย พระพุทธบาทสมเด็จองค์ปฐม และพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ในภัทรกัปป์นี้ ในอนาคตจะมีพระศรีอาริยเมตไตรยมาประทับไว้อีก 1 รอยเป็นรอยสุดท้าย

-หลวง พ่อเกษม สันตจิตโต อดีตเจ้าอาวาส ที่มรณภาพไปแล้วเป็นผู้ค้นพบ ท่านเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งเป็นบทกวีบอกกล่าวไว้ว่า ถ้าใครคิดว่าเป็นผู้รู้จริงแล้ว ให้มาพิสูจน์ที่นี่ว่า อะไร คือ อะไร? ที่นี่ มีหลักโลก หินพ่อหินแม่ ให้เป็นปริศนาธรรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น รอยบาทพระอรหันต์ต่างๆ ขอให้ท่านที่สนใจไปกราบนมัสการชมกันเองครับ.......
ผู้แสดงความคิดเห็น
 ชัย กรุงศรี คนดีศรีอยุธยา
(ChaiKrungsriKondeeSriayudhya-at-yahoo-dot-com)
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภาษิตไทย นำเสนอวันนี้ครับ "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า" เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2010, 07:12:43 am
ภาษิตไทย นำเสนอวันนี้ครับ "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า"

 ผมทำงานคร่ำหวอด ในวงราชการก็ อายุงาน30 ปีแล้ว ครับ

 วันหนึ่งๆ สัปดาห์หนึ่งๆ ปีหนึ่ง ๆ ก็ได้ฟังพวกเพื่อน รวมทั้งตัวผมด้วยครับ ที่มักจะบ่นกันเสมอ เรื่องของปัญหา

ในงาน ที่เกิดอุปสรรค ใหญ่ ๆ อันเนื่องจากบุคคลากรที่เป็นระดับเจ้านาย ที่ใหญ่กว่าเรา


   "ความคิดเห็นดี ๆ ผลงานดีๆ ความรู้ดีๆ การพัฒนาดี ๆ  ต้องไปติดแหงกอยู่ที่เจ้านายของเรา"

  ในแวดวงราชการ ก็เป็นอย่างนี้เสมอครับ โอกาสที่คนดี ๆถูกใจเรา มาอยู่ในหน่วยงานนั้น ก็มีน้อยครับ

 ประสพการณ์ที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ก็เรื่องการเข้าไปช่วยเหลือ คนประสพกับความเดือดร้อนอุทกภัย

  และเห็นความเห็นแก่ตัว ที่ไม่ได้ลงทุนของพวกเจ้านายที่เอาแต่ ปิดทองเบื้องหน้า ด้วยการปิดนามบัตร

  แม็กช์ลงไปในของบริจาค หรือ เปลี่ยนถุงแจก เอาถุงที่มีสกรีินของตนลงไปในถุงที่แจก ( ประสาเราเรียกว่า

 หน้าด้านครับ ) ก็มีการทำกันจริง ๆ แต่ครั้นจะพูดออกไปก็ดูเหมือนว่า จะเป็นอันตรายกับตัวเราก่อนแน่ ๆ

 อันนี้ยังพอทนครับ แต่ที่น่าเกลียดคือ ได้รับของบริจาคมาแล้วไม่เอาไปบริจาค นี่สิครับ คือเอาไปขาย โดย

บอกว่า เห็นใจผมลดราคาให้เป็นพิเศษ ช่วยต่อบุญที่ทำด้วยการบริจาคทรัพย์คนละ 20 บาทซื้อถุงนี้ครับ เพื่อช่วย

คนต่อไป แน่นอนครับก็มีคนซื้อถุง 20 บาท แน่นอนครับ ( อันนี้ทำยังกับ สังฆทานเวียนของพระเลย )

แต่บุญอะไรครับ พี่น้อง ไมได้ลงทุน เขาเอามาบริจาค กับเอาเงินเข้ากระเป๋า ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มีคนร้องเรียนไป

แล้วแน่ ๆ ถึงได้เป็นข่าวตาม ทีวี มีการแซวจากนักประกาศข่าว แบบเกรงใจ ว่าไม่น่าทำ กันอย่างนี้

   อ้าวแล้วมันเกี่ยวอะไร กับหัวข้อ ข้างต้นครับ แหม มันเกี่ยวมาก ๆ สิครับ เพราะว่า บรรดาผม เืพื่อนๆ ผม

ไม่ออกอาการวัยรุ่นครับ คือ เซ็ง จริง ๆ กับไอ้พวกเฮงซวย พวกนี้ ( ไม่ได้เจตนาให้หยาบ ครับ ) เพราะแผ่

เมตตาให้แล้ว แต่เขียนให้มัน ออกรสหน่อย จะได้อ่านไม่เบื่อกันก่อน เมื่อวัยรุ่นเซ็ง ( แก่กันแล้วทั้งนั้นครับ )

ก็คิดกันในใจว่า เกษียณอายุราชการกันดีไหม ครับ นี่แหละครับเป็น สาเหตุที่มาของคำว่า คนในอยากออก ครับ

ทีั่นี้พอพวกเราคิดว่า อยากออก ในขณะเดียวกันก็มีการนำตัวแทนมาแทนแล้ว โดยลูกพี่เรานี่แหละครับ ปั้นขึ้นมา

เรียกตัวมาจาก ที่เป็นพวกพ้องกันฝากกันเ้ข้ามา นี่แหละครับ เป็นที่มาของคำว่า คนนอกอยากเข้า

   ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อยากจะมาบ่นให้เพื่อนฟัง สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอตรงนี้ เป็นเรื่องของ ธรรมะ ครับ

 ธรรมะ เรื่องอะไรครับ เรื่องของความอยากไงละครับ ความอยากเป็นสิ่งที่มนุษย์ ทุกคนต้องมีครับถ้าใครไม่มี

ไม่อยาก ก็เรียกว่า ไม่ใช่มนุษย์ ครับ วิธีการแก้ความอยากพวกนี้เบื้อวต้นสำหรับคนที่กำลังมีความคิดอย่างนี้

นะครับ ผมจะขอนำเสนอแบบ ชาวปุถุชนนะครับ

   ก็คือ 1.ใช้ สติ ปัญญา มองความเป็นจริง อย่าให้ความสำคัญแก่ บุคคล ครับ จงให้ความสำคัญแก่งาน ครับ

         2. การใช้ชีวิตในสังคมนั้น พิจารณาความจริง ต้องให้คนดี มีมากที่สุด และ ให้คนดีมีอำนาจมาก ครับ

  อย่าปล่อยให้คนไม่ดีมีมาก และอย่าให้คนไม่ดีมีอำนาจ ตามพระราชโอวาทของพ่อหลวงแห่งแผ่นดินครับ

         3.ศึกษา หลักธรรม เรื่องอนุสสติ ให้มากขึ้นหน่อยเพื่อจะได้ ฉลาดในการใช้ชีวิต

         4.ฝึก กรรมฐาน เป็นพิเศษ สักหมวด เพื่อระงับใจ ให้เป็นปกติ

         5.อย่าเกษียณ กันก่อนงาน ครับ ถ้าไม่จำเป็น จงทำงานรับใช้ประชาชน ตามปฏิญาณให้ครบวาระครับ

         6.สร้าง ทายาท ทางความคิดในธรรม ไว้ นั่นก็คือการเผยแผ่ธรรมะ ลงไปให้กับคนที่สืบทอดต่อจากเรา

  เหนื่อยหน่อยแต่ต้องทำ ครับเพราะเพื่อโลกที่สงบ

         7.ทำใจไว้ครับ ว่า ในโลกนี้ ไม่มีอะไรยั่งยืนตลอด วัฏฏจักร สลับขึ้น สลับลง ครับ

   อย่าหลง เมื่อมี ยศ มีลาภ มีสุข และ สรรเสริญ เพราะยิ่งมี ก็มีเสื่อม มีทุกข์ มีนินทา ไปพร้อม ๆ กันครับ

         7 ข้อปฏิบัติ นี้ไม่ใช่ว่าจะเกี่ยวกับแวดวง ราชการเท่านั้นครับ แม้ชีวิตประจำวันเราก็อาจ จะเบื่อ ๆ อยากๆ

 เช่นครั้งพุทธกาล เป็นพระ ก็บวช ๆ สึก ๆ เป็นต้น เพราะอะไร เพราะแก้ต้นตอแห่งปัญหาให้ไม่ถูกจุดครับ มัน

ก็จะออก อาการ เบื่อ ๆ  อยาก ๆ ( ทำเป็นคนแพ้ท้องไปได้ )


          หรือเพื่อน สมาชิก มีคำแนะนำที่ดี ๆ ก็ช่วยกันแนะนำเพิ่มเติมด้วยนะครับ

 :25:

 
13  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมทอดกฐินสามัคคี ณ วัดแก่งขนุน สระบุีรี ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:21:34 pm
เนื่องด้วย ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

ทางวัดแ่ก่งขนุน ( วัดที่พระอาจาย์ สังกัดอยู่ ครับ ) มีการทอดกฐิน



ก็ขอเชิญ ศิษย์ และ บุคคลที่ต้องการทำบุญ ร่วมงานบุญ ที่วัดได้ในเวลา 08.00 น. เป็นต้นไป นะครับ

ประกาศนี้ ไว้เนื่องด้วยพระอาจารย์ ไม่ได้อยู่วัดมาร่วม จะปี แล้วครับ คราวข่าวทางวัดอาจจะไม่ได้อัพเดท นะครับ


 :25: :25: :25:

14  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / สถานการณ์น้ำท่วม ของสระบุรี เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 08:19:17 am
จากระดับน้ำที่มาจาก 3 สาย คือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คลองระพีพัฒน์ และ ลพบุรี นั้น

ขณะนี้ทางราชการได้ประกาศว่าระดับน้ำจากเขื่อนต้องปล่อยไปเรื่อย ๆ จนถึง 24 ต.ค. 2553

ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นวันละ 20 - 30 ซม.ต่อวัน เพราะน้ำทะเลจะหนุน 24 - 27 ต.ค.2553

ถ้าฝนไม่ตกหนักเพิ่มขึ้นอีก สถานการณ์น่าจะดีขึ้น ตั้งแต่ 28 ต.ค.2553 เป็นต้นไป

ตอนนี้ได้มีการช่วยเหลือ ของหน่วยงานราชการต่างๆ แต่บางจุดอาจจะยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ

ก็ขอให้พี่น้อง ที่ประสพภัยเข้าแจ้งขอความช่วยเหลือ

ในส่วนของเทศบาลเมือง ที่อยู่ในเมืองประสพกับความเดือดร้อนโดยตรงก็มีชุมชนวัดเขาครูบา วัดดาวเสด็จ

วัดป่าสัก ตามจุดต่าง ๆนั้นก็มีเต็นท์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสพภัยแล้ว แต่ยังขาดสิ่งอุปโภค บริโภค

จึงขอแจ้งให้เพื่อนสมาชิกที่อยู่จังหวัดสระบุรี ร่วมบริจาคกันได้ที่ศูนย์อำนวยการกันได้เลย นะครับ

 :25: :25: :25:
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญร่วมปฏิบัติธรรม กับหลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 06:08:25 pm




ข่าว: ประชาสัมพันธ์ กรุณาสมัครสมาชิก เพื่อสามารถดูรูปภาพและโพส ข้อความได้
งานเทศนาธรรมและการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐาน
๏ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ณ ศูนย์พัฒนาม่วงน้อย ซีเมนต์ไทยท่าหลวง (SCG) จังหวัดสระบุรี
๏ ทุกวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย อาคารศูนย์พลอยเอเชีย ๒๔๒ - ๒๕๐ ถนนมเหสักข์ ซอย ๒ สีลม กรุงเทพฯ
๏ ทุกวันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. คณะคุณสาลิณี และคุณอาภรณ์ จังหวัดนครปฐม
๏ ทุกวันพฤหัสบดีที่ ๔ ของเดือน เวลา ๑๙.๐๐ น. - ๒๑.๐๐ น. ณ ศูนย์พัฒนาม่วงน้อย ซีเมนต์ไทยท่าหลวง (SCG) ร่วมทำพิธีสวดมนต์ นั่งสมาธอัญเชิญพระอรหันตธาตุสายหลวงปู่มั่น จากชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดอ้อมแก้ว จังหวัดสระบุรี เป็นการชั่วคราว และจะนำไปประดิษฐานที่ สำนักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โพธิรังษี เป็นลำดับต่อไป
๏ มีการเก็บกัมมัฏฐานภาคปฏิบัติทุกเดือนที่สำนักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โพธิรังษี บ้านหนองฟักทอง ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
(สามารถขอทราบตารางเวลาการปฏิบัติกัมมัฏฐาน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ คุณสายพิณ โทร. ๐๘๙-๙๐๐-๗๓๙๙ หรือ www.kubajaophet.com)



ยินดีต้อนรับค่ะ คุณ นคร

การเดินทาง จากกรุงเทพ มาปากช่อง
1.รถตู้จากอนุเสาวรีย์ -ปากช่อง
2.รถทัวร์กรุงเทพ - สายอิสาน
3.รถไฟสายอิสาน ลงสถานีปากช่อง

จากปากช่องเข้ามาที่วัดไม่มีรถโดยสารประจำทาง
ต้องนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้าง(บอกไปบ้านหนองฟักทอง)
หรือ โทรหาพี่ณรงค์ T.085-6579644 ถ้าพี่ณรงค์ว่างจะออกมารับค่ะ

ปล.ทุกท่านที่จะขึ้นไปที่วัด ควรโทรแจ้งพี่ณรงค์ล่วงหน้าก่อนทุกครั้งนะคะ
16  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / แนะนำเว็ํบ ศูนย์ปฏิบัติธรรมสิริธรรมมุนี วัดปากเพรียว ครับ เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 07:30:07 am
http://www.dhammamunee.com/index.php


เป็นหน้าลิงก์ไปยังเว็บครับ ติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์ อื่น ๆ

คิดว่าคงจะมีข่าวสารมากขึ้นในอนาคต

 :25:
17  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประเทศไทย มีพระกรรมฐาน ที่เก่ง ๆ หรือป่าวครับ ? เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 07:03:47 am
คำถาม เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ก็เพราะที่จริง อยากทราบว่า

ในยุคนี้ พระที่ปฏิบัติ กรรมฐาน ที่น่าเลื่อมใส และ เก่ง มีที่ไหนบ้างครับ

ที่ปฏิบัติ กรรมฐาน เข้าสมาบัติได้ และ สามารถ สอน พุทธศาสนิกชน ได้เข้าใจ

-------------------------------------------------------------

ที่มา และ เหตุผล ผมเห็นตอนนี้ วงการคณะสงฆ์ ไทย ตอนนี้เหมือนจะยอมรับกลาย ๆ ว่า

ในเ้มืองไทยไม่มีพระเก่งกรรมฐาน และ ก็มีการนำพระสงฆ์ จากประเทศพม่า เข้ามาสอนและอบรม

พระกรรมฐานให้แก่ พระสงฆ์ไทย

http://www.phrathai.net/node/2881

ซึ่งมองมุมหนึ่ง ก็ดีว่าพระไทย ใจกว้างเรียนกรรมฐานกับพระต่างประเทศ ( ลดมานะ )

แต่สำหรับผมกับมองว่า คณะสงฆ์ไทย หมิ่นการภาวนาของ คณะสงฆ์ไทยกันเอง

( ข้อความนี้ผมก็ระวังมาก ไม่อยากให้เป็นการปรามาส )

-------------------------------------------------------------------

แท้ที่จริงแล้ว พระสงฆ์ไทย ไม่มี พระกรรมฐาน ที่เก่ง ๆ เลยใช่หรือป่าวครับ

หรือว่า กรรมฐาน ที่ดีต้องมาจาก สายพม่าเท่านั้น

======================================================

ในกระทู้นี้ ผมจึงอยากให้เพื่อน สมาชิก ช่วยกันแนะนำ วัด และ พระสงฆ์ ไทย ที่สอนกรรมฐาน

ได้ และ ปฏิบัติ ได้ให้เป็นที่รู้จักกันบ้างครับ

ควรมิเห็นควร แล้วแต่เพื่อน สมาชิก ครับ

18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / สำนักปฏิบัติธรรม ที่ประกาศเป็นทางการ จังหวัดสระบุรี เมื่อ: สิงหาคม 26, 2010, 12:00:01 am
๑. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๑  ตั้งอยู่ที่ วัดศรีบุรีรตนาราม ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี โดยมี พระสิริธรรมมุนี อายุ ๗๖ พรรษา ๕๕ ป.ธ. ๕ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดศรีบุรีรตนาราม และรองเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เป็นเจ้าสำนัก

๒. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๒  ตั้งอยู่ที่ วัดทองพุ่มพวง ตำบลดาวเรือง อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี โดยมี พระมงคลภัทราจารย์ อายุ ๙๗ พรรษา ๗๖ ป.ธ. ๔ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดทองพุ่มพวง และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลดาวเรือง เป็นเจ้าสำนัก

๓. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๓  ตั้งอยู่ที่ วัดเขาพระ ตำบลบ้านป่า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูภาวนาวรคุณ อายุ ๖๐ พรรษา ๔๐ ป.ธ. ๕ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดเขาพระ เป็นเจ้าสำนัก

๔. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๔ ตั้งอยู่ที่ วัดมะขามเรียง ตำบลโคกใหญ่ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูศุภธรรมคุณ อายุ ๔๙ พรรษา ๒๕ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดมะขามเรียง และ เจ้าคณะตำบลโคกใหญ่ เป็นเจ้าสำนัก

๕. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๕  ตั้งอยู่ที่ วัดพระพุทธบาท ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยมี พระธรรมปิฎก อายุ ๕๑ พรรษา ๓๑ ป.ธ. ๙ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาท และเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เป็นเจ้าสำนัก

๖. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๖  ตั้งอยู่ที่ วัดเขาวง ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูภาวนาพิลาศ อายุ ๖๔ พรรษา ๒๕ น.ธ. โท เจ้าอาวาสวัดเขาวง และรองเจ้าคณะอำเภอ-พระพุทธบาท เป็นเจ้าสำนัก

๗. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๗ ตั้งอยู่ที่ วัดเกาะแก้วอรุณคาม ตำบลหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูพิศาลกิจจาทร อายุ ๔๘ พรรษา ๒๖ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดเกาะแก้วอรุณคาม เป็นเจ้าสำนัก

๘. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๘  ตั้งอยู่ที่ วัดสมุหประดิษฐาราม ตำบลสวนดอกไม้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูโสภณปริยัติกิจ อายุ ๗๔ พรรษา ๕๔ ป.ธ. ๖ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดสมุห-ประดิษฐาราม เป็นเจ้าสำนัก

๙. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๙ ตั้งอยู่ที่ วัดถ้ำดาวเขาแก้ว ตำบลลำพญากลาง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยมี พระประเทศ ฐิตสทฺโธ อายุ ๔๒ พรรษา ๑๒ น.ธ. เอก ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดถ้ำดาวเขาแก้ว เป็นเจ้าสำนัก

๑๐. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสระบุรี แห่งที่ ๑๐ ตั้งอยู่ที่ วัดดอนพุด ตำบลดอนพุด อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี โดยมี พระครูวินัยธร จรูญ วราโภ อายุ ๔๑ พรรษา ๒๐ น.ธ. เอก เจ้าอาวาสวัดดอนพุด เป็นเจ้าสำนัก

ที่มา
http://sri.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=48&Itemid=82
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ๒๕-๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 11:37:25 pm
พุทโธพุทโธ
             


              วันเสาร์ที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐

                   เวลา ๐๙.๐๐น.-๑๐.๐๐น.     ลงทะเบียน  รับประทานอาหารเช้า

                   เวลา ๑๐.๐๐น. ๑๑.๐๐น.     รับศีลแปด ขึ้นกรรมฐาน รับประทานอาหารกลางวัน

                   เวลา ๑๓.๐๐น.-๑๔.๐๐น.    ฟังบรรยายธรรม  พักดื่มน้ำปานะ

                   เวลา ๑๔.๓๐น.-๑๖.๓๐น.    เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม

                   เวลา ๑๖.๓๐น.- ๑๗.๐๐น.   ทำวัตรเย็น นั่งกรรมฐาน เข้านอน

              วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓  แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐

                   เวลา ๐๖.๓๐น. -๐๗.๐๐ น.  ทำวัตรเช้า นั่งกรรมฐาน รับประทานอาหารเช้า

                   เวลา ๐๙.๐๐น.-๑๑.๐๐น.     เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม รับประทานอาหารกลางวัน

                   เวลา ๑๒.๓๐น.                  ลาศีลแปด กลับบ้าน
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ตักบาตรดอกไม้ประจำปี 2553 ที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี 25 - 27 ก.ค.53 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 11:53:14 pm
กำหนดการจัดงานประเพณีตักบาตรดอกไม้
.... ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เวลา 15.00 น.
.... ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ( วันอาสาฬหบูชา ) เวลา 10.00 น. และ 15.00 น.
.... แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ( วันเข้าพรรษา ) เวลา 10.00 น. และ 15.00 น.

.... วันเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
     ก่อนเดินทางสอบถามได้ที่ สำนักงาน ททท.ภาคกลาง เขต 7 ลพบุรี โทร 036-422768-9 
 

ข้อมูลเพิ่มเติม : -

 ตักบาตรด้วยดอกไม้ ประเพณีตักบาตรดอกไม้เป็นประเพณีที่สำคัญ ที่ชาวอำเภอพระพุทธบาท ยึดถือปฏิบัติสืบกันมานาน

 ดอกเข้าพรรษา การตักบาตรดอกไม้ จะใช้ดอกเข้าพรรษา ซึ่งจะผลิบานในช่วงเข้าพรรษา


http://www.technologymedia.co.th/column/columnview.asp?id=328





21  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / คนที่อยู่กันมา 10 กว่าปีต้องเลิกร้างกัน จะช่วยอย่างไรดี เมื่อ: มิถุนายน 29, 2010, 06:27:14 am
ปัญหาครอบครัว อีกแล้วเพื่อน ๆ สมาชิก เป็นข้อความจากเพื่อนของผม



อ้างถึง
แฟนผม มีปฏิกิริยาแปลก ๆ มา 3-4 เดือน ตั้งแต่ผมซื้อโทรศัพท์ให้เขา



    ปกติผมก็ไม่ค่อยได้สนใจกับเรื่องงานของแฟนผม เพราะเราแต่งงานอยู่กินกันมาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว มีลูกสาว 1 คนแฟนผมปีนี้อายุ 29 ปี ลูกสาวอายุ 10 ปี

   แฟนผมมีกิริยาแปลก ๆ คือชอบคุยโทรศัพท์กลางคืนบ่อยขึ้น และจะคุยหนุงหนิง เริ่มคุยนานขึ้นผมถามว่าคุยกับใคร เขาตอบว่าคุยกับแม่

    จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ไปหาแม่เขาเข้าและพูดขึ้นว่า เดี๋ยวนี้แม่ชอบคุยโทรศัพท์กับ ลูกสาว บ่อยนะ คำตอบจากแม่แฟนผมตอบมาว่า โทรศัพท์ ข้ายังไม่มีโทรศัพท์ สักเครื่องผมก็อึ้ง

    คืนนั้นผมก็เลยแอบฟัง แฟนผมพูดโทรศัพท์จนกระทั่งความแตก และจับได้ว่าแฟนผมมีกิ๊ก ผมก็แอบตามสืบดูจนรู้ว่าเป็นใคร มันเจ็บที่ใจมากครับพี่ มันปวดกลางใจ ( ก็น่าจะใช่เพราะงานที่เพื่อนผมคนนี้มันทำออกมาไม่ดีเลยมีผลกับงานมาก )

    จากนั้นมาอีกประมาณ 1 เดือนแฟนผมก็บอกเลิกกับผม เพราะอะไรจิตใจผู้หญิงถึงแปรปรวนอย่างนี้ หรือผมจะดีเกินไป ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย ทำงานหาเงิน เลี้ยงลูก และแฟนมาตลอด
     
ตอนนี้แฟนผมได้ขอหย่าผม และวางแผน เรื่องสมบัติอีก มีการมาหลอกให้เซ็นชื่อมอบอำนาจให้ตัวเขาเป็นผู้ดูแลลูก และสมบัติด้วย ทำไมเขาจึงหักหลังผมได้อย่างนี้


เพื่อนสมาชิก มีคำแนะนำดี ๆ ที่จะช่วยเพื่อนผมคนนี้ได้หรือป่าวครับ

ยิ่งตอนนี้ จากคนดี ๆ ไม่เคยกินเหล้า ก็มานั่งกินเหล้า นั่งเงียบ นั่งซึม

คนที่เคยขยันทำงาน ก็เป็นคนขาดงาน ขาดการ ซะนี่

ชีวิตคน ทำไมช่างวุ่นวาย เสียจริงครับ

ผมเอง ก็เป็นคนวัด ถึงแนะนำให้ปล่อยวาง ก็ยังไม่เกิดประโยชน์อะไร เลยกับคำแนะนำ


22  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปฏิบัติ กรรมฐาน ไม่มี วสีได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 13, 2010, 01:20:05 pm
ฟังบรรยายเรื่อง วสี แล้วผมจำไม่ได้

เวลาปฏิบัตินั้น ไม่ต้องสนใจเรื่อง วสี เลยได้หรือป่าวครับ
23  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอบริจาค คอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นเครื่องเปิด radio net เมื่อ: เมษายน 29, 2010, 05:34:31 pm
 :25: :25: :25: :25:


อีกเรื่องครับ พระอาจารย์ ให้ประกาศ ญาติธรรม ท่านใด มีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้แล้ว สเป็กสูงหน่อยนะครับ

ต้องการบริจาค

ท่านระบุไว้ครับว่า

intel daul core หรือ สูงกว่านี้

กราฟฟิก ที่ 256 mb

ram 1 gb
-------------------------------------------------------------------------------
จะนำมาเป็นเครื่องเปิด radio net stan by ทีั่บ้านโยมที่ดูแล เพราะตอนนี้ ชื้อ ชม. แบบรายเดือนแล้ว ที่ความเร็ว 4 mb

ฝากข่าวนี้ให้คุณ ทินกร และ คุณธรรมธวัช
ด้วยนะครับ พระอาจารย์ จะคุยรายละเอียดอีกที
-------------------------------------------------------------------------------
 :25: :25: :25:

24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญ ร่วมทำบุญตักบาตร ฟังธรรม เวียนเทียน เนื่องในวันวิสาขบูชา เมื่อ: เมษายน 29, 2010, 05:19:21 pm
พระอาจารย์ ฝากโพสต์ไว้ครับ

แจ้งคณะศิษย์ ทุกท่าน ร่วมทำบุญ ตักบาตร ปฎิบัติธรรม พิเศษ ในวันวิสาขบูชา ที่วัดแก่งขนุน

ในวันที่ 28 พ.ค. 2553 ( 15 ค่ำ เดือน 7 )
25  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำอธิษฐาน กับเรื่องบังเอิญ ? เมื่อ: เมษายน 29, 2010, 04:54:03 pm
เช้าวันนี้ ผมได้หยุดงาน ตั้งใจว่าจะไปสระบุรี แล้วอยากพบพระอาจารย์สนธยา

 :25:

ทุกท่าน เชื่อหรือป่าวครับ ผมอธิษฐานแบบนี้ ก็ืีทราบว่าพระอาจารย์อยู่มวกเหล็ก
แล้วจะ้เจอท่านหรือป่าวครับ

15.30 น.ผมพบท่านโดยบังเอิญ จริง ๆ ที่หน้า รพ. จึงได้มีโอกาสขับรถไปส่งท่านที่สถานีรถไฟ ท่านจะกลับมวกเหล็กครับ ผมว่าจะไปส่งท่านแต่ท่านบอกว่าไกลมาก ร่วม 75 ก.ม. ผมเลยไม่ได้ไปส่งครับ แต่ก็ดีใจครับ

 ;) :25:

จะเป็นเพราะเรื่อง บังเอิญ หรือ คำอธิษฐาน เป็นจริงน้อ
เพื่อนสมาชิกมีความเห็นว่าอย่างไรครับ
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เกี่ยวกับเรื่อง เซ็น เมื่อ: มีนาคม 31, 2010, 07:16:53 pm
ใครมีพอมีความรู้เรื่อง เซ็น หรือป่าวครับ ผมอ่านคำถามของคุณจำลอง แล้วก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง เซ็น
โดยส่วนตัวผมก็เคารพนะครับ อย่างพระอาจารย์เว่ยหล่าง ที่ ศพ ของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย อยู่ที่ประเทศจีนนี่ก็ปาไปตั้ง 1000 กว่าปีแล้ว แถมยังนั่งอยู่ในท่านั่งยิ้ม อีกด้วยผมเห็นรูปนี่มาแล้วครั้งหนึ่ง

ผมว่าหลักปฏิบัติของเซ้นนั้น จะเปรียบเทียบกับการปฏิบัติ กับพระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ได้หรือ แตกต่าง
กันอย่างไรครับ
 ;)
27  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ได้อะไรจากการ ปฏิบัติสมาธิ กันครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2010, 03:21:08 pm
 :73:

เฮีย natthaponson หายไปสงสัย ไปฝึก สมาธิ แน่เลย อิจฉา เอ๊ย อนุโมทนา ด้วยครับ
 :25:

การปฏิบัติสมาธิ นั้นได้อะไรบ้างครับ ?
บอกกันได้ไหมครับ ?
28  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ผมจะผนวกกรรมฐาน กับ โยคะ โดยเฉพาะท่าอาสนะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 06:35:33 pm
เนื่องจากแฟนผมเป็นชาวชมรมโยคะ แล้วเธอก็ฝึกโยคะ นั่งกรรมฐาน โดยการออกกำลังกายไปด้วย

ผมก็อยากให้เธอได้เรียนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับไปด้วย โดยบอกให้เธอ กำหนดจิตตามขั้นที่ หนึ่ง
เธอก็ทำ แล้วก็บอกว่าพัฒนาเป็น ท่ายืน ยกมือบ้าง

ผมมานั่งคิดดูว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเป็นการฝึกกรรมฐาน ผิดรูปแบบ แนวทางหรือป่าวครับ

เพราะหลวงพ่อพระครู ที่คณะห้า บอกผมไว้ว่า ให้ฝึกกรรมฐาน ทุก ๆ วัน  แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยก็อย่าหยุดฝึกซึ่งผมก็ปฏิบัติตาม ที่สอนครับ :angel:
29  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เปลี่ยนคำอธิษฐาน กรรมฐานได้หรือป่าว ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 06:30:26 pm
ผมไปขึ้นกรรมฐาน ที่วัดราชสิทธารามมาแล้วครับ แล้วผมก็พยายามพาลูกสาว อายุ 9 ขวบนั่งกรรมฐานด้วย
ตามบทอธิษฐานพระกรรมฐาน มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมนำลูกสาวว่า

"ขอจงเจ้ากู มาปรากฏบังเกิดอยู่ใน จักขุทวาร" เป็นต้น ลูกสาวผมบอกว่า พ่อนำพูดไม่ไพเราะเลย

ผมก็อึ้ง แล้วตอบลูกว่า นี่เป็นคำว่า สมัยก่อน ไพเราะมากแล้ว ลูกสาวผมก็เลยบอกให้ไม่เอา พ่อเปลี่ยนใหม่เถอะ ผมก็เลยเปลี่ยนนำลูกสาวผมว่า "ขอพระกรรมฐาน จงมาปรากฏบังเกิด ในภายใน ในใจ และในกาย"

ผมทำอย่างนี้ ผิดหรือถูก ครับ
30  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ถ้าร่างกาย อยู่ในอาการป่วย ควรทำอย่างไรครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 06:19:50 pm
ในขณะที่ร่างกายเราป่วยอยู่นั้น ควรจะทำอย่างไรกับ กรรมฐานดีครับ

ผมเองขณะป่วย ก็พยายามปฏิบัติ พระกรรมฐาน
มีวิธีปฏิบัติอย่างไร เพื่อขจัดอาการป่วย ได้ไหมครับ
หน้า: [1]