ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 492 493 [494] 495 496 ... 554
19721  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สนิมลามหนัก.! "ปลียอดทองคำ"...องค์พระธาตุเมืองคอน เมื่อ: ธันวาคม 02, 2012, 04:42:07 am


สนิมลามหนัก.! "ปลียอดทองคำ"...องค์พระธาตุเมืองคอน

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเกิดฝนตกอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช มาเกือบตลอดสัปดาห์ ได้สร้างความเสียหายต่อพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ปูชนียสถานสำคัญของภาคใต้ เป็นมิ่งขวัญและสัญลักษณ์ของชาวนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช

    โดยส่วนที่ได้รับผลกระทบมากคือบริเวณปลียอดทองคำขององค์พระบรมธาตุเจดีย์
     ซึ่งในส่วนกลีบบัวคว่ำที่เป็นเนื้อทองคำ ฐานของปลียอดทองคำมีสีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
     ขณะเดียวกันบริเวณฐานล่างสุดของกลีบทองคำบัวคว่ำ ยังมีร่องรอยการผุกร่อน
     ขณะที่ส่วนปล้องไฉนที่เป็นเนื้อปูนแบบโบราณมีคราบสนิมมากกว่าเดิม
     และเพิ่มปริมาณขยายวงกว้างมากขึ้นจนเป็นที่วิตกของหลายฝ่าย
     ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตถึงสีของเนื้อทองคำที่เปลี่ยนไปบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติบางอย่าง


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช มาตรวจสอบด้วยการใช้กล้องสำรวจแบบทีโอโดไลน์ และสรุปทำรายงานเสนอไปยังกรมศิลปากรอย่างเร่งด่วน เพื่อให้กรรมการผู้เชี่ยวชาญชุดใหญ่ของกรมศิลปากร ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญแขนงกลุ่มงานช่างสิบหมู่ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาทางตรวจสอบและแก้ไขเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแจ้งกลับมาถึงแนวทางว่าควรดำเนินการอย่างไร ขณะเดียวกันจ.นครศรีธรรมราช อยู่ในช่วงมรสุมเกิดฝนตกเกือบทุกวัน เกรงว่าหากล่าช้าอาจทำให้ปลียอดพระธาตุเกิดความเสียหายเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ด้านนายฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช กล่าวว่า
     หลายฝ่ายค่อนข้างวิตกกับสัญญาณความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปลียอดทองคำ
     ก่อนหน้านี้ได้หารือเรื่องนี้กับสำนักศิลปากรแล้วเพื่อเร่งรัดหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
     หลายฝ่ายไม่สบายใจเนื่องจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นมรดกโลก
     อย่างไรก็ตามวันที่ 3 ธ.ค.จะประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5ETTBOVFF6T1E9PQ==&subcatid=
19722  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านฮือฮา.! พระพุทธรูปมีหนวด เมื่อ: ธันวาคม 02, 2012, 04:35:38 am



ชาวบ้านฮือฮา.!พระพุทธรูปมีหนวด

ชาวบ้านฮือฮาพระพุทธรูปมีหนวด แห่กราบไหว้เป็นผึ้งมาทำรังใต้คางพระจนมองเห็นชัดเหมือนพระมีหนวด เผย พระพุทธรูปสร้างมาแล้ว 5 ปี แต่เมื่อ 7-8 เดือนก่อนมีผึ้งมาททำรังจนอยู่ถาวรแบบนี้

วันนี้ ( 1 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านบ้านใหม่พัฒนา หมู่ 2 ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ว่าพบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลักษณะมีหนวดเคราที่คาง มองเห็นเด่นชัด โดยพระพุทธรูปดังกล่าวเป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก ตั้งอยู่หน้าวัดดอยอูปแก้ว หมู่ 2 ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ สร้างความฮือฮาให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปตรวจสอบก็พบบรรดานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางไปเที่ยวชมความสวยงามของวัดดังกล่าวเป็นจำนวนมาก บางรายขอเลขเด็ดด้วย

    โดยพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก ดังกล่าวมีองค์เป็นสีชมพูเข้ม สูงประมาณ 5 เมตร
     ตั้งสูงสง่าท่ามกลางขุนเขา แต่หากสังเกตดูบริเวณคางของพระพุทธรูปคล้ายกับมีเครานูนออกมา



พระสุภชีพ สุภาจาโร อายุ 55 ปี รักษาการเจ้าอาวาส วัดดอยอูปแก้ว เปิดเผยว่าที่บรรดาชาวบ้านแตกตื่นพบพระพุทธรูปมีหนวดเครานั้น เป็นพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก ซึ่งก่อสร้างมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว โดยทางพระครูอานันทร์ อานันโท เจ้าอาวาสวัดดอนจั่น ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้ทำการก่อสร้างไว้เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ซึ่งตอนสร้างมาก็ไม่ได้มีอะไรผิดแบบ หรือแปลกแตกต่างจากพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก ที่อื่นๆมากนัก

โดยประมาณ 7-8 เดือนที่ผ่านมา ได้มีฝูงผึ้งจำนวนมากได้บินมาจากไหนก็ไม่ทราบ และได้มาสร้างรังบริเวณใต้คางของพระพุทธรูป จนชาวบ้านได้มองเห็นในลักษณะแปลกกลายเป็นเคราของพระพุทธรูป มองดูน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดความสงบสุข แม้แต่ผึ้งยังมาทำรังอยู่อาศัย จึงไม่มีใครทำร้ายรังผึ้งแต่อย่างไร บ้างคนได้นำไปตีเป็นเลขเด็ด และถูกรางวัลกันหลายคนในหลายงวดที่ผ่านมา จนกระทั่งต้นเดือนที่ผ่านมาฝูงผึ้งก็ทิ้งรัง และบินไปที่อื่นเหลือไว้แต่รังว่างเปล่า



     
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
     สำหรับวัดอูปแก้วนั้นสร้างขึ้นในสมัยเจ้าแม่จามเทวี แห่งแคว้นหิริภุญไชย ลำพูน มีอายุนานกว่า 1,300 ปี   
     ปัจจุบันพบหลักฐานเจดีย์ 9 ยอด อยู่บนดอยในบริเวณวัด ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือจำนวนมาก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169978
19723  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพุทธรูปปางนาคปรก "องค์ใหญ่ที่สุดในไทย" จ.ลำปาง เมื่อ: ธันวาคม 02, 2012, 04:28:22 am


พระพุทธรูปปางนาคปรก "องค์ใหญ่ที่สุดในไทย"

ทำความรู้จักพระพุทรูปนาคปรกองค์ใหญ่ที่สุดในไทย กับความอัศจรรย์ที่ชาวบ้านนับถือ

เมื่อประมาณช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2541 หลวงปู่หลวงได้มีโอกาสไปพักผ่อนภาวนาที่น้ำตกแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง โดยไปพักอยู่ที่สวนของลูกศิษย์คนหนึ่ง อากาศที่แจ้ซ้อนเย็นสบายมาก
     วันหนึ่งหลวงปู่บอกว่า ได้นิมิตว่าเทวดามาบอกให้สร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่
     โดยเอาเลข 9 ขึ้นหน้า ให้สร้างไว้บนภูเขาใน จ.ลำปาง


     เมื่อสร้างเสร็จแล้วเมืองลำปางจะอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
     จึงมีดำริโครงการที่จะสร้าง “พระพุทธรูปปางนาคปรก” องค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 9.99 เมตร สูง 28 เมตร
     เพื่อปกป้องคุ้มครอง แล้วนำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดคีรีสุบรรพต (วัดสามัคคีบุญญาราม) บ้านทุ่งสามัคคี ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง ปัจจุบัน สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต ได้รับการยกฐานะขึ้นให้เป็นวัดอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ต่อมา วัดคีรีสุบรรพต ได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่โดยมีชื่อทางราชการว่า วัดสามัคคีบุญญาราม

เมื่อออกพรรษาในปี พ.ศ. 2541 แล้ว จึงได้ปรับปรุงเตรียมพื้นที่และได้ทำการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เพื่อทำการก่อสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่ โดยหลวงปู่หลวงได้มอบหมายงานทุกอย่างให้กับ พระเทพวิสุทธิญาณ (ท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ สุมงฺคโล) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระปัญญาพิศาลเถร แห่งวัดอนาลโยทิพยาราม ต.สันป่าม่วง อ.เมือง จ.พะเยา เป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งในเรื่องการเขียนแบบแปลน

การจัดหาช่างมาก่อสร้าง ซึ่งงานนี้เป็นงานที่สำคัญมาก โครงสร้างจะต้องแข็งแรงมั่นคงทำให้คำนวณแบบแปลนยาก กระทั่งเป็นเหตุทำให้งานก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ. 2545 นี้เอง ซึ่งการก่อสร้างได้ดำเนินการไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบประมาณกว่า 20 ล้านบาทโดยประมาณ ในที่สุดการดำเนินการก่อสร้างก็สำเร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย เป็นมิ่งขวัญแก่ชาวบ้านในท้องถิ่นแลนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/821/169839
19724  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งานศักดิ์สิทธิ์..เพราะจิตของคนทำงานไม่ขุ่นมัว เมื่อ: ธันวาคม 02, 2012, 04:21:05 am


งานศักดิ์สิทธิ์..เพราะจิตของคนทำงานไม่ขุ่นมัว
งานศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตของคนทำงานไม่ขุ่นมัว : มองนอกดูใน แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

      ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเชิญจาก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่ง "มูลนิธิไทยพึ่งไทย" ให้เดินทางไปประเทศเนปาล เพื่อร่วมโครงการ "บูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล" ซึ่งคณะกรรมการดำเนินงานได้จัดทำโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล

      โดยมี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศฯ เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายสงฆ์ และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายคฤหัสถ์ เพื่อร่วมถวายเป็นพุทธบูชาในโอกาสที่พระพุทธศาสนามีอายุครบ ๒,๖๐๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา

    ขณะนี้โครงการบูรณปฏิสังขรณ์ได้บูรณะเสร็จสิ้นไปแล้ว ๒ ส่วน คือ
     ทางเดินรอบวิหารมายาเทวี (จุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ) ระยะทาง ๕๐๐ เมตร พร้อมลานสักการะ และลานปฏิบัติธรรม จำนวน ๔ ลาน
     ที่เหลือคือ การก่อสร้างถนนเข้าสู่วิหารมายาเทวี ระยะทาง ๑ กิโลเมตร,
     อาคารอเนกประสงค์ เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูล และสถานพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมอาคารห้องน้ำ
     รวมทั้งจะมีการจัดสร้าง "พระพุทธเจ้าน้อย" ขนาด ๓.๕๕ เมตร ด้วยโลหะสัมฤทธิ์ นำไปประดิษฐาน ณ ทางเข้าสู่วิหารมายาเทวี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณะครั้งที่ ๓ ด้วย


     วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน เมื่อเดินทางถึงประเทศเนปาล คณะผู้ดำเนินงาน ผู้ร่วมเดินทาง และสื่อมวลชน เกือบ ๒๐๐ ชีวิต ได้เดินทางต่อไปยังพระมหาเจดีย์โพธินาถ (Boudhanath) เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" องค์จำลอง ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ครั้งที่ ๓ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

      ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยมีขบวนแห่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) องค์จำลอง อย่างยิ่งใหญ่ รอบมหาเจดีย์โพธินาถ ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล มีอายุกว่า ๑,๕๐๐ ปี ที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒



      วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน คณะได้เดินทางจากวัดไทยลุมพินี สู่สวนศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Garden) สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดย ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล และประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)
      กล่าวต้อนรับ นำเข้าสู่สวนศักดิ์สิทธิ์ นำสวดมนต์และเจริญจิตตภาวนา ณ ลานหน้าเสาหินอโศก และนำเดินเวียนเทียนรอบวิหารมายาเทวี พร้อมสวดบทอิติปิโสฯ เดินช้า ๑ รอบ พร้อมแจกแผ่นทองให้คณะผู้ร่วมบุญเขียน พร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอพร เพื่อนำไปวางที่ฐานพระพุทธเจ้าน้อยในวันรุ่งขึ้น


      วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ณ ลานด้านหน้าทางเข้าวิหารมายาเทวี หลังจากนั้น คณะผู้ร่วมเดินทางได้เข้าร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดย ส.ส.สมพล เกยุราพันธุ์ และพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ และถวายองค์ "พระพุทธเจ้าน้อย" ความสูง ๘๘ ซม. เพื่อประดิษฐาน ณ วัดไทยลุมพินี ทั้งนี้ การเดินทางในครั้งนี้ สำเร็จเรียบร้อยลงด้วยการสนับสนุนของสายการบิน "แอร์เอเชีย"

       พวกเราทุกชีวิตบนเครื่องบินของแอร์เอเชียต่างมาทำหน้าที่
       ต่างมีส่วนทำให้งานในครั้งนี้ศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัวของทุกคน
       ดังนั้น การเดินทางในครั้งนี้ เครื่องบินจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เพราะจิตของทุกคนที่นั่งอยู่บนเครื่องไม่ขุ่นมัว การทำงานที่ยิ่งใหญ่ต้องมาจากฐานกำลังของจิต จิตที่เกลี้ยงเกลาจากกิเลสจะเป็นจิตที่ทำของยากให้ง่ายได้
       ฉะนั้น อานิสงส์ หรือการสะสมบารมี การทำสิ่งยากให้ง่าย ต้องเริ่มจากปัจเจก คือ ตัวเรา
       จากนี้ ขอให้คณะผู้ร่วมเดินทางทุกท่านกลับไปดูแลจิต ดูจิต รู้จิตให้ติดต่อ
       เมื่อไรเห็นจิตเกลี้ยงเกลาจากกิเลส จิตก็เป็นอิสระ ควรแก่การงาน งานศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตของคนทำงานไม่ขุ่นมัว
       แล้วเมื่อไรที่นึกถึงการทำงานครั้งนี้ เมื่อนั้นก็จะเป็นมหากุศลทุกคราวไป


       จะมีสักกี่ครั้งในชีวิต ที่เราจะได้มีโอกาสร่วมทำบุญมหากุศล ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้k จุดกำเนิดแห่ง "พุทธะ" ก้าวแรกสู่จุดหมายอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
       ฉะนั้น จึงขอเชิญร่วมสร้างบุญมหากุศลกับโครงการ "บูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล" ได้ ณ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ใน "กองทุนลุมพินีสถาน"
       ดูรายละเอียดได้ที่ www.lumbinidevelopment.org หรือโทร.๐-๒๙๗๑-๗๕๗๕ ในเวลาราชการ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121129/145972/งานศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตของคนทำงานไม่ขุ่นมัว.html#.ULpyI2fjqxt
http://www.thairath.co.th/
19725  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กระทรวงคมนาคม ฉลอง 5 ธ.ค. "รถเมล์ฟรี 9 สาย - รถ.บขส"...พ่อจูงลูกนั่งฟรี เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 02:11:28 pm


คค.ฉลอง5ธ.ค.รถเมล์ฟรี9สาย-รถบขส.พ่อจูงลูกนั่งฟรี

กระทรวงคมนาคม ได้เปิดให้บริการรถเมล์ ขสมก.ฟรี 9 สายในวันที่ 5 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น.ด้าน บขส.ให้สิทธิ์ผู้โดยสารที่เป็นพ่อเดินทางไปกับรถโดยสาร บขส.ฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 - 20 ธ.ค.2555...

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2555 พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม ได้เปิดให้บริการรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ฟรี 9 เส้นทาง จำนวน 350 คัน ในวันที่ 5 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา และทรงโปรดเกล้าเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต

      สำหรับ 9 เส้นทาง ที่ให้บริการฟรี ประกอบด้วย
      1. ห้างฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต - วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร จำนวน 30 คัน
      2. บางเขน - วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหารจำนวน 30 คัน
      3. ตลาดบางกะปิ – แยกมัฆวาน จำนวน 40 คัน
      4. สำโรง – แยกมัฆวาน จำนวน 40 คัน
      5. คลองเตย – แยกมัฆวาน จำนวน 40 คัน
      6. สุขสวัสดิ์ กม.9 – แยกมัฆวาน จำนวน 40 คัน
      7. เดอะมอลล์บางแค – แยกมัฆวาน จำนวน 40 คัน
      8. สถานีรถไฟบางซื่อ – วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร จำนวน 30 คัน
      9. หมอชิต 2 - วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร จำนวน 60 คัน ซึ่งจุดที่ 1 , 2 และ 9 จะผ่านบริเวณอนุสาวรีชัยสมรภูมิ โดยจุดให้บริการต่างๆ จะมีป้ายรถพิเศษ 5 ธ.ค. มหาราช ติดไว้หน้ารถ




ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมช.คมนาคม กล่าวว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้จัดโครงการ “พาพ่อเที่ยว” ครั้งที่ 4 โครงกาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา และแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

      โดยให้สิทธิ์ผู้โดยสารที่เป็นพ่อเดินทางไปกับรถโดยสาร บขส.ฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 - 20 ธ.ค.
      โดยพ่อที่ต้องการใช้สิทธิ์ตามโครงการดังกล่าว ต้องเดินทางมากับลูก และต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ


       ทั้งนี้การใช้สิทธิ์สามารถใช้ได้กับรถโดยสาร ทุกประเภทของ บขส.
       ยกเว้น รถมาตรฐาน 1 ก. (วีไอพี 24 ที่นั่ง), รถมาตรฐาน 4 ก. (วีไอพี 32 ที่นั่ง) ,
       รถชานเมืองที่วิ่งระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร , รถโดยสารที่มีการจำหน่ายตั๋วบนรถ และรถโดยสารเส้นทางระหว่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่ใช้สิทธิ์ในโครงการนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิ์ส่วนลดอื่น ๆ ได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1490.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/eco/310051
http://www.oknation.net/,
19726  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธทำนาย..ภาพจิตรกรรม 'วัดบางอ้อยช้าง'...ไม่ตกยุค เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 01:31:24 pm


พุทธทำนาย..จิตรกรรม'วัดบางอ้อยช้าง'...ไม่ตกยุค

พุทธทำนาย๑๖ประการอมตะแห่งจิตกรรมไม่เคยตกยุคที่ 'วัดบางอ้อยช้าง' : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง / ภาพโดยไตรเทพ ไกรงู

    "ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ" ทุกแห่งถือว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี อย่างกับกรณีของ "อุโบสถกลางน้ำ" มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) อ.วังน้อย จ.อยุธยา ฝาผนังที่รวบรวมเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
      เช่น สึนามิ การชุมนุมประท้วงของม็อบสีต่างๆ ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้วัดสำปะซิว หมู่ที่ ๓ ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ได้เกิดความฮือฮาขึ้นเมื่อภาพวาดบนฝาผนังภายในอุโบสถ มีการวาดรูปและเรื่องราว เกี่ยวกับพระพุทธประวัติ และเรื่องราวของพระพุทธเจ้าสิบชาติ พร้อมสอดแทรกตัวการ์ตูนโดเรมอนและโนบิตะ


     อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาพเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จะสร้างความฮือฮาให้กับพุทธศาสนิกชนได้เป็นอย่างดี ส่วนความเป็นอมตะของภาพเหตุการณ์รวมสัมยย่อมหมดไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป แต่ยัมีภาพอยู่ชุดหนึ่งที่ไม่เคยตกยุค คือ
      "ภาพพุทธทำนาย ๑๖ ประการ" ที่กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน)ของพระเจ้าปเสนทิโกศล
     ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น ในยุคสมัยที่ศาสนาได้เสื่อมลง
     ซึ่งหลายอย่างได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เนื้อความดังกล่าวปรากฏใน อรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย โดยทรงวางหัวข้อไว้ดังนี้ว่า


        " โคอุสุภราชทั้งหลาย ๑ ต้นไม้ทั้งหลาย ๑ แม่โคทั้งหลาย ๑ โคทั้งหลาย ๑ ม้า ๑
        ถาดทอง ๑ สุนัขจิ้งจอก ๑ หม้อน้ำ ๑ สระโบกขรณี ๑ ข้าวไม่สุก ๑  แก่นจันทน์ ๑
        น้ำเต้าจม ๑ ศิลาลอย ๑ เขียดขยอกงู ๑ หงส์ทองล้อมกา ๑ เสือกลัวแพะ ๑ "
 
    "ภาพพุทธทำนาย ๑๖ ประการ" ภายในโบสถ "วัดบางอ้อยชช้าง" ตั้งอยู่เลขที่ ๗๙ บ้านบางอ้อยช้าง คลองบางกอกน้อย ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เป็นภาพที่ พระมหากำพล คุณงฺกโร เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างและ เจ้าคณะอำเภอบางกรวย ให้เขียนขึ้นมาใหม่ เมื่อ  พ.ศ.๒๕๔๙ ด้วยสีอะครีลิก ด้วยเหตุผลที่ว่า "เป็นคำสอนที่เป็นอมตะและตรงกับยุปัจจุบันที่สุด"





      ทั้งนี้ พระมหากำพล  ได้อธิบายบางส่วนของภาพพุทธทำนายให้ฟังว่า สุบินนิมิตข้อที่ ๕ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็น "ม้าตัวเดียว หัวเดียว มีสองปาก กินหญ้าได้สองทาง กินเท่าไรก็ไม่มีความอิ่มพอ" พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
      "อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีความต่าง ๆ จะใช้อุบายวิธีอันมีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเอาเงินจากคู่กรณีทั้งสอง เอาทั้งฝ่ายโจทก์ เอาทั้งฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นค่าจ้างรางวัลใน การวินิจฉัยคดีความบ้าง เอาค่านั้นบ้าง เอาค่านี้บ้าง ถ้าไม่ได้ตามความเรียกร้อง ก็จะไม่รับเรื่องที่มาร้องเรียน ต้องการเท่าไรก็เรียกร้องตามใจชอบ"

      สุบินนิมิตข้อที่ ๘ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็น "โอ่งน้ำใหญ่และโอ่งน้ำเล็กตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แล้วมีคนทั้งหลาย แย่งกันตักน้ำ เทใส่โอ่งน้ำใหญ่ จนล้นเหลือ ส่วนโอ่งน้ำเล็ก ไม่มีใครตักน้ำใส่เลย" พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
      "อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะมีคนทำบุญโดยเลือกหน้า พระองค์ที่มีอายุมาก พรรษามาก มียศถาบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งต่าง ๆ จะมีคนให้ความสนใจจะพากันถวายเครื่องไทยทานเป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ของที่ดี ๆ มีค่า มีราคา ข้าวปลาอาหาร ปิ่นโตเถาขนาดใหญ่ ตั้งต่อหน้า จนเหลือเฟือ ส่วนพระเล็กเณรน้อยนั่งอยู่รอบข้าง ไม่มีใครคิดถวายอะไรเลย มีแต่งนั่งดูตาปริบ ๆ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น"

     ในขณะที่สุบินนิมิตข้อที่ ๑๓ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็น "ก้อนศิลาแท่งทึบ ขนาดใหญ่เท่าเรือ ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับเรือสำเภาเปล่า ตามธรรมดาแล้ว ก้อนศิลาย่อมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก้อนศิลานั้นกลับลอยอยู่บนผิวน้ำ" พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
     "อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพาลสันดานชั่ว คนทุศีล คนทุธรรม คนขี้โกง คนหัวประจบสอพลอ คนทุจริตคิดมิชอบ คนไม่มีความละอาย จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม"

      สุบินนิมิตข้อที่ ๑๕ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็น "หงส์สีทองทั้งหลาย ไปห้อมล้อมอีกา อีกาไปไหน ฝูงหงส์สีทองทั้งหลาย ก็ห้อมล้อมเป็นบริวาร" พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
      "อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พระเณรผู้บวชใหม่ ใจยังมีความบริสุทธิ์อยู่ในศีลในธรรม จะห้อมล้อมพระที่ทุศีลทุธรรม จะยกให้เป็นครูอาจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้อย่างเหลือเฟือ อีกาฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาอาหารฉันใด พระทุศีลทุธรรมเหล่านี้ก็ฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาลาภสักการะได้ฉันนั้น"



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121130/146078/พุทธทำนายจิตกรรมวัดบางอ้อยช้างไม่ตกยุค.html#. 
19727  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบวัดชานกรุง..อายุกว่า 140 ปี 'ทิ้งร้าง' เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 01:21:03 pm


พบวัดชานกรุงกว่า140ปี'ทิ้งร้าง'

กรมศิลป์พบพระอุโบสถวัดลาดบัวขาวอายุกว่า 140 ปี ถูกทิ้งร้างไว้ชานเมืองหลวง เผย 'หลวงปู่ทอง' เจ้าอาวาสองค์แรกเกจิดัง ตระกูลสิงหเสนีสร้าง-กรมศิลป์ตั้งงบบูรณะ

      เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน นายธาราพงศ์ ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า สำนักโบราณคดีได้สำรวจพบวัดเก่าแก่ถูกทิ้งร้างตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง ได้แก่ วัดลาดบัวขาว หรือวัดราชโยธา ตั้งอยู่เลขที่ 33 หมู่ 14 ริมถนนวงแหวนรอบนอก เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ โดยพระอุโบสถซึ่งเป็นโบราณสถานมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้ตั้งงบประมาณดำเนินการซ่อมแซมบูรณะไว้เบื้องต้น

     "เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาพระอุโบสถซึ่งเก่าแก่มากจะหักโค่นลงมา กรมศิลปากรจึงได้ตั้งงบ 9 แสนไปทำการค้ำยันไม่ให้ตัวโบราณสถานหักโค่นลงมา และในปีงบประมาณ 2556 ได้จัดทำงบซ่อมบูรณะเบื่องต้นไว้ 5 ล้านบาท แต่คาดว่ายังไม่เพียงพอเพราะพระอุโบสมีความเสียหายมาก จึงจะตั้งของบประมาณต่อเนื่องปี 2557 อีก 5 ล้านบาทเพื่อทำการบูรณะอย่างถาวรและปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามด้วย"  นายธาราพงศ์ ระบุ
 
     ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กล่าวอีกว่า ได้เดินทางเข้าไปสำรวจพบว่า วัดหลวงปู่ทองเป็นวัดดังในย่านนั้นและยังมีพระสงฆ์จำวัดอยู่ แต่ปล่อยพระอุโบสถทิ้งร้างเพราะทางวัดไม่มีงบประมาณในการบูรณะ ซึ่งวัดลาดบัวขาวหรือวัดหลวงปู่ทองนี้ ถือเป็นวัดและโบราณสถานแห่งที่ 3 ที่สำนักโบราณคดีได้สำรวจโบราณสถานถูกทิ้งร้างกลางกรุง โดยก่อนหน้านี้ได้สำรวจพบไปแล้ว 2 แห่ง คือ อุโบสถเก่าที่วัดสวนสวรรค์ ใกล้สะพานพระราม 8 และอุโบสถวัดภุมรินราชปักษี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ปากคลองบางกอกน้อย เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า

       สำหรับประวัติวัดลาดบัวขาว หรือวัดหลวงปู่ทอง สร้างโดยพระยาราชโยธา (เนียม สิงหเสนี) และพระยาสุเรนทร์ราชเสนา (พึ่ง สิงหเสนี) สองพี่น้อง บุตรเจ้าพระยามุขมนตรี (เกด สิงหเสนี) หลานปู่ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อประมาณปี 2415 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี 2425 ชื่อว่า วัดลาดบัวขาว เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ใกล้กับบึงน้ำซึ่งมีดอกบัวสีขาวเป็นจำนวนมาก แต่ชาวบ้านยังคงเรียกชื่อว่า วัดราชโยธา หรือวัดพระราชโยธา มาจนทุกวันนี้



       หลังจากสร้างวัดเสร็จแล้วพระยาราชโยธาได้ไปนิมนต์หลวงปู่ทอง (อายะนะ) มาครองวัดเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ซึ่งท่านเป็นที่นับถือของประชาชนในละแวกวัดและบริเวณใกล้เคียงอย่างมากในเวลาต่อมา ท่านมีอายุยืนยาวถึง 117 ปี  เป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากโดยท่านเป็นศิษย์รุ่นน้องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกท่าน คือ หลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์)

     นอกจากนี้ สหายของหลวงปู่ทองที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
     เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้และวิชาอาคมต่างๆ ก็มี
     หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท,
     หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก, หลวงปู่ภู วัดอินทร์, หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง,
     หลวงปู่แช่ม วัดท่าฉลอง จ.ภูเก็ต, ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม, หลวงปู่ปั้นวัดเงิน ตลิ่งชัน


     ส่วนลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองก็มี หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน เพราะท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เอง นอกจากนี้ ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่านที่มาขอเรียนวิชาจากหลวงปู่ทอง ในสมัยก่อนหลวงปู่ทอง ท่านเป็นพระที่มีอาวุโสสูง และทรงไว้ซึ่งวิทยาคมแก่กล้า



       ด้านพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่ทองก็สร้างไว้พอสมควร
       แต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะหายากมาก
       แม้แต่ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี
       ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบินไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว
       และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง


       เพื่อคุ้มครองมิให้เป็นอันตรายจากระเบิดและคมอาวุธของข้าศึก
       และยังได้ขอร้องให้ท่านสร้างเสื้อยันต์เพื่อแจกทหารไปใช้ในสงครามด้วย
       ซึ่งเสื้อยันต์นี้มีกิตติศัพท์เลื่องลือกันมากว่าแคล้วคลาดยิงไม่ถูกหรือโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไร
       บางคนโดนยิงล้มลง ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ จนได้รับฉายาว่า ทหารไทยเป็นทหารผี


       หลวงปู่ทองท่านเป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีอภิญญาปาฏิหาริย์มากมาย
       หลวงปู่ทองท่านมรณภาพ ปี 2480 อายุรวม 117 ปี นับเป็นยอดพระเกจิอาจารย์ ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบันปัจจุบันลูกศิษย์ได้สร้างรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งของท่านไว้ที่วัดแห่งนี้ด้วย วัดลาดบัวขาวนับเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในพื้นที่เขตสะพานสูง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121130/146089/พบวัดชานกรุงกว่า140ปีทิ้งร้าง.html#.ULmdcGfjqxt
http://www.web-pra.com/,http://www.gingamegun.com/
19728  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.! คนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ "ปลื้มช็อปตลาดนัด" เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 01:00:07 pm


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! คนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ปลื้มช็อปตลาดนัด

คอตตอน ยูเอสเอ เผยผลสำรวจวิจัยตลาด 2012 COTTON USA Global Lifestyle Monitor ซึ่งเป็นการสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคใน 9 ประเทศ อันได้แก่ บราซิล จีน โคลอมเบีย เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ตุรกี รวมถึงประเทศไทย ในงาน “A Cottonista Trip: Discover The COTTON USA Experience” พบว่า

    ผู้บริโภคคนไทยร้อยละ 90 ยังคงนิยมซื้อเสื้อผ้าตามตลาดนัด
    ในขณะที่มีอัตราเฉลี่ยการใช้จ่ายเงิน สำหรับช็อปปิ้งในปีที่ผ่านมาลดลง
    จาก 10,400 บาท/คน/ปี เหลือ เฉลี่ยคนละ 6,300 บาทต่อปี


    โดยสินค้าท็อปฮิตที่คนไทยเลือกซื้อมากที่สุดคือ เสื้อผ้า ของใช้จุกจิก
    และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ในอัตราส่วนร้อยละ 44, 25 และ 11 ตามลำดับ


    โดย “เสื้อยืด” เป็นไอเท็มเสื้อผ้าที่คนไทยมีมากที่สุดถึงคนละ 14 ตัว
    และเมื่อถามถึงประเด็นที่ผู้บริโภคคนไทยมีความกังวลมากที่สุด ร้อยละ 96 ระบุว่ากังวลเรื่องปัญหาโลกร้อน และผู้บริโภคร้อยละ 70 ต้องการเสื้อผ้าที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้ายซึ่งผู้บริโภคมองว่าเป็นเส้นใยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด



โดยการสำรวจวิจัยตลาด COTTON USA Global Lifestyle Monitor ประจำปี 2555 ในประเทศไทยนั้นได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ผู้ที่เลือกซื้อเสื้อผ้าสวมใส่เอง จำนวน 500 คน โดยแบ่งเป็นเพศชาย 250 คน และเพศหญิง 250 คน ในช่วงอายุระหว่าง 15 – 54 ปี ที่พำนักอาศัยตามหัวเมืองใหญ่ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี หาดใหญ่ และนครราชสีมา ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา พบว่า
    ผู้บริโภคคนไทยร้อยละ 90 ชื่นชอบช็อปปิ้งเสื้อผ้าตลาดนัด
    และชอบซื้อเสื้อผ้าลดราคามากกว่า 20% เพิ่มมากขึ้น


      จากผลวิจัยพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงนิยมซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดนัดมากที่สุดถึงร้อยละ 90 ตามมาด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้อยละ 63 และดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ร้อยละ 57 แต่ความนิยมในการซื้อเสื้อผ้าจากร้านเสื้อผ้าอิสระมีความนิยมเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 16% (จาก 32% ในปี 2553 เป็น 48% ในปี 2555)
      และเมื่อเปรียบเทียบสถานที่ๆ ผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่ทำการสำรวจนิยมเลือกซื้อเสื้อผ้า พบว่า
      ผู้บริโภคชาวจีนนิยมซื้อเสื้อผ้าจากห้างสรรพสินค้า 71% และอินเทอร์เน็ต 69%
      ส่วนชาวตุรกีมักจะไปร้านเสื้อผ้าเฉพาะประเภท 80% และร้านเสื้อผ้าอิสระ 69% มากที่สุด


      และเมื่อถามถึงความถี่ในการซื้อเสื้อผ้าลดราคามากกว่า 20% ขึ้นไป พบว่า
      ผู้บริโภคคนไทยซื้อเสื้อผ้าลดราคามากกว่า 20% ขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น 5% (จาก 51% ในปี 2553 เพิ่มเป็น 56% ในปี 2555)
      ส่วนแหล่งที่มาของไอเดียในการซื้อเสื้อผ้า ผู้บริโภคคนไทยให้ความเชื่อถือบุคคลใกล้ชิดเป็นอย่างมาก
      โดยเฉพาะเพื่อน และเพื่อนร่วมงานที่มีอิทธิพลเป็นอันดับ 1 ถึงร้อยละ 53 ตามมาด้วยสมาชิกในครอบครัว ร้อยละ 40 และตัดสินใจโดยความชอบของตนเองร้อยละ 33



      ในขณะที่ตามร้านค้าปลีกนั้น ผู้บริโภคชาวไทยนิยมหาแหล่งไอเดียจากการจัดดิสเพลย์หน้าร้าน ถึงร้อยละ 33 แค็ตตาล็อกและพนักงานขาย ร้อยละ 14 และใบปลิว ร้อยละ 4
      โดยช่องทางการสื่อสารที่ผู้บริโภคได้ไอเดียในการซื้อเสื้อผ้ามากที่สุด คือ โทรทัศน์ ร้อยละ 32 นิตยสาร ร้อยละ 26 และดารานักแสดง ร้อยละ 12


      “เสื้อยืด” เป็นไอเท็มเสื้อผ้าที่คนไทยมีมากที่สุดถึงคนละ 14 ตัว

      เมื่อถามถึงประเภทเสื้อผ้าที่ผู้บริโภคคนไทยมีไว้ครอบครองในตู้เสื้อผ้า พบว่า เสื้อยืด เป็นไอเท็มเสื้อผ้าที่คนไทยมีมากที่สุด ถึงคนละ 14 ตัว ตามมาด้วยชุดชั้นในสตรีคนละ 12 ตัว กางเกงในคนละ 11 ตัว กางเกงขาสั้นคนละ 8 ตัว

      ในขณะที่ “ยีนส์” ยังคงเป็นไอเท็มยอดฮิต ที่ครองใจในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยมาติดต่อกัน
      โดยสัดส่วนจำนวน ไอเท็มยีนส์ที่ผู้บริโภคชาวไทยทั้งเพศหญิงและเพศชายมีไว้ในตู้เสื้อผ้า พบว่า
      ผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉลี่ยมีกางเกงยีนส์ถึง 6 ตัว ตามมาด้วย ยีนส์ขาสั้น 4 ตัว เสื้อเชิ้ตเดนิม 3 ตัว กระโปรงยีนส์ 2 ตัว เดรสเดนิม 2 ตัว และแจ็กเกต 1 ตัว


      และนอกจากนี้เมื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อผ้าส่วนใหญ่ พบว่า
      ผู้บริโภคชาวไทยพิจารณาถึงความทนทานในการใช้งานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ตามมาด้วยราคาและคุณภาพ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งยืนยันถึงความนิยมในการสวมใส่ยีนส์ของผู้บริโภคชาวไทยอย่างไม่เสื่อมคลาย



    ผู้บริโภคคนไทยร้อยละ 96 กังวลกับปัญหาโลกร้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้บริโภคประเทศอื่นๆ

     ด้านประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม ผู้บริโภคคนไทยให้ความกังวลกับปัญหาโลกร้อนมากที่สุดถึงร้อยละ 96 ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งผู้บริโภคคนไทยกว่าร้อยละ 60 ใช้ความพยายามในการหาซื้อเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
     โดยร้อยละ 91 เห็นพ้องต้องกันว่าเส้นใยฝ้ายเป็นเส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 7 ใน 10 ของผู้บริโภคต้องการเสื้อผ้าที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย และทำการตรวจสอบป้ายบอกรายละเอียดเส้นใยอย่างน้อยเป็นบางครั้งเมื่อทำการซื้อเสื้อผ้า



     จากผลวิจัยดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า ผู้บริโภคคนไทยนิยมซื้อสินค้าประเภทเสื้อผ้ามากที่สุด
     โดยผู้บริโภคคำนึงถึงความทนทาน ราคาและคุณภาพ โดยผู้บริโภคนิยมซื้อเสื้อผ้าในแบบเบสิกมากกว่าที่จะซื้อเสื้อผ้าตามกระแสแฟชั่น
      ซึ่งเสื้อผ้าประเภท “เสื้อยืด” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด และ “ผ้าฝ้าย” เป็นวัตถุดิบที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นเส้นใยที่ให้ความอบอุ่น มีคุณภาพสูงและเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น


 
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/309688
19729  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'นาซา' หวั่นคนฆ่าตัวตาย.."หนีโลกแตก" ปลอบประโลม..."เป็นเพียงเรื่องจินตนาการ" เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 12:40:23 pm


'นาซา' หวั่นคนฆ่าตัวตายหนีโลกแตก ปลอบประโลมเป็นเพียงเรื่องจินตนาการ

นักวิทยาศาสตร์แห่งนาซา หวั่นเยาชนฆ่าตัวตายหนีวันโลกแตก ตามความเชื่อที่มีคนตีความปฏิทินมายาผิด ใช้สังคมออนไลน์ปลอบประโลมเด็ก ชี้เป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่สร้างกันเอง...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 30 พ.ย. ว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ จากองค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) ปลอบประโลมความหวาดกลัวถึงความเชื่อวันโลกาวินาศ ในช่วงสิ้นปี 2012 พร้อมทั้งเตือนให้รับมือกับข่าวลือด้านมืด เนื่องจากเกรงหว่าอาจมีเด็กและเยาวชน ที่หวาดผวาเกี่ยวกับการสูญสิ้นของโลก จนอาจก่อเหตุฆ่าตัวตายได้

     ทั้งนี้ ความหวาดผวาดังกล่าว เกิดจากการตีความหมายปฏิทินชนเผ่ามายาแบบผิดๆ ของชาติตะวันตก ที่เชื่อกันเองว่าวันที่ 21 ธ.ค. นี้ เป็น “วันสิ้นโลก”
     เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย ที่ปรากฏในปฏิทินของชน้ผ่ามายา
     แต่ในความเป็นจริงถือเป็นการสิ้นสุดบัคตุนที่ 13
     ซึ่งเป็นการนับอายุเวลาตามปฏิทินของชนเผ่ามายา แหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือหลักฐานอยู่ในเม็กซิโก โดย 1 บัคตุนเทียบเท่ากับเวลา 394 ปี ทำให้วันครบรอบบัคตุนที่ 13 เท่ากับเวลา 5,126 ปีตามการนับอายุเวลาสากลปัจจุบัน


     นอกจากนี้ ความเชื่อยังมีอีกว่า อุกกาบาตอาจพุ่งชนโลกในวันดังกล่าว และทำให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกถึงคราวดับสูญ ซึ่งนาซาอธิบายว่า
     ในปัจจุบันทีมนักดาราศาสตร์มีความเชี่ยวชาญและแม่นยำ ในการตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนเข้าใกล้โลก
     และชี้ว่าไม่ต้องเป็นกังวลกับกรณีดังกล่าว โดย เดวิด มอร์ริสัน นักดาราชีววิทยา แห่งศูนย์วิจัยอาเมส ของนาซา กล่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ผ่านกูเกิลแฮงค์เอาท์ ว่า ความเชื่อโลกแตกเป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/oversea/309873
19730  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! นักวิทย์ฯเปิด..ภาพสุดหายาก "คลื่นน้ำแข็งสูงยักษ์" ที่ขั้วโลกใต้ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 12:33:32 pm


ฮือฮา นักวิทย์ฯเปิดภาพสุดหายาก"คลื่นน้ำแข็งสูงยักษ์"ก่อตัวตะหง่านเหนือขั้วโลกใต้(ชมภาพ)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ว่า นายโทนี่ ทราวูอิลลอน นักวิทยาศาสตร์ ได้บันทึกภาพสุดหายาก เป็นภาพ "น้ำแข็งสูงยักษ์ ขนาด 50 ฟุต อยู่ในสภาพแข็งตัวอย่างฉับพลัน ในบริเวณขั้วโลกใต้ ท่ามกลางการแสดงทัศนะของบุคคลต่าง ๆ


    โดยบางรายบอกว่า มันอาจเป็นคลื่นยักษ์ที่เกิดการเย็นตัวอย่างฉับพลันในขั้วโลกใต้
    ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งเปิดเผยว่า คลื่นดังกล่าวเป็นปรากฎการณ์ของน้ำแข็งขั้วโลกสีฟ้า
    โดยเป็นน้ำแข็งบริสุทธิ์ที่มีความหนาตัวเพียงพอที่จะดูดซับแสงแดงเข้ามา เพื่อขับปล่อยสีฟ้าออกไป


    ด้านนายโทนี่ บอกว่า เขาได้เดินทางไปยังขั้วโลกเหนือขณะทำปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยนิว เซ้าท์ เวลส์ ของออสเตรเลีย โดยเขาสนใจต่อการพัฒน่าโครงการด้านดาราศาสตร์อย่างมาก และเขามีหน้าที่จะต้องทำงานในสภาพที่ต้องเผชิญสิ่งแวดล้อมหลายประเภทในเชิงวิชาการ และโครงการวิจัยด้วย








ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354170795&grpid=01&catid=&subcatid=
19731  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ "พิธีถวายผ้าจุลกฐิน..แบบไทใหญ่" ที่ อ.ปาย แม่ฮ่องสอน เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 12:17:02 pm


ปัจฉิมลิขิตแห่งพิธีถวายผ้าจุลกฐินกับ 'เผ่าทอง ทองเจือ'

สำเร็จเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการถวายผ้าจุลกฐินที่วัดทุ่งโป่ง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 และจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่เพิ่งผ่านมาครับ มีท่านผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ที่มีใจศรัทธาแก่กล้า เดินทางไปร่วมงานอย่างหนาแน่นมากมาย ชนิดที่คาดเดาไม่ถึงจริงๆ ครับว่า

แฟนคลับทางด้านศิลปวัฒนธรรมของผม ทางคอลัมน์คนดังนั่งเขียนใน "ไทยรัฐออนไลน์" จะมีมากมายและเหนียวแน่น ผมและคณะผู้จัดจุลกฐินในครั้งนี้คือเพื่อนๆ ศิษย์เก่าของประถมสาธิตรุ่น 11 และมัธยมสาธิตรุ่น 15 ทุกคน จึงขอกราบขอบพระคุณทางไทยรัฐออนไลน์ ที่เป็นสื่อสำคัญที่ทำให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ และไปร่วมงานที่วัดทุ่งโป่งกันอย่างหนาแน่นในครั้งนี้ไว้ด้วยครับ



สำหรับเงินปัจจัยที่มีผู้บริจาคทำบุญกับองค์จุลกฐินในครั้งนี้นั้น ณ วันที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านอยู่ในวันนี้คือ พฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555 มียอดเงินมากกว่า 1,500,000 บาทแล้วครับ และยังมียอดเงินทำบุญที่ทยอยส่งมา รวมถึงโอนตามเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าคงแตะๆ 2 ล้านบาทครับ เงินจำนวนนี้ได้นำถวายวัดทุ่งโป่งทุกบาททุกสตางค์

โดยไม่ต้องให้ทางวัดรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเครื่องเสียง ค่าอาหารเลี้ยงผู้คนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะก่อนหน้านี้ ผมและเพื่อนๆ ประถมสาธิตประสานมิตร รุ่น 11 และมัธยมสาธิตประสานมิตร รุ่น 15 ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมไปแล้ว 4 ครั้ง และได้นำเงินรายได้ในส่วนนั้นมาสมทบกันเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานถวายผ้าจุลกฐินในครั้งนี้ครับ




ผ้าจุลกฐิน ที่ได้ทอดถวายเป็นพุทธบูชาในวาระนี้ เป็นผ้าที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง รวมทั้งกำลังใจจากผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน
     เริ่มตั้งแต่การตั้งจิตถวายสัตยาธิฐานว่า จะทำผ้ากฐินให้สำเร็จภายใน 24 ชั่วโมง
     ซึ่งคณะศรัทธาพวกเราเริ่มตอนบ่าย 4 โมงเย็น ของวันอาทิตย์ที่ 25 พ.ย.


     จากนั้นจึงเริ่มพิธีเก็บฝ้าย นำปุยฝ้ายที่เก็บได้ไปถวายเป็นพุทธบูชา
     แล้วจึงทำการผาติกรรมฝ้ายนั้นมาอิดแยกเมล็ด มาดีดให้เป็นปุย มาปั่นจนเป็นเส้นด้าย
     และนำขึ้นกี่ทอผ้า เมื่อได้ผ้าฝ้ายขาวเป็นผืนแล้ว ก็นำมาตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร
     และย้อมด้วยแก่นขนุนผสมกับหัวขมิ้น จนได้จีวรสีฝาด
     สำเร็จครบสำรับในเวลาเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 26 พ.ย.




   
    ในเวลา 8 โมงเช้า วันจันทร์ที่ 26 ได้นำผ้าจุลกฐินขึ้นไว้บนหลังนกการเวก
    และผ้าห่มองค์พระประธานขึ้นบนหลังช้างเผือกสมมติที่ทำจากปุยฝ้ายทั้งตัว
    และได้นำลงแห่ล่องแม่น้ำปายไปกว่า 2 กิโลเมตร เมื่อเทียบท่าขึ้นฝั่งแล้ว
    ได้ตั้งขบวนแห่ต่อทางบกโดยเดินเท้า ผ่านทุ่งนาป่าเขาตามแบบสมัยพุทธกาลอีกกว่า 1 กิโลเมตร
    จึงนำขึ้นทอดถวาย ณ อุโบสถวัดทุ่งโป่ง





การถวายผ้าจุลกฐินแบบไทใหญ่ครั้งนี้ ดำเนินขั้นตอนประเพณีตามแบบไทใหญ่ครบถ้วนอย่างละเอียดลออที่สุด ทางบริษัทแปซิฟิค ได้ช่วยมาถ่ายทำรายละเอียดไว้ทุกขั้นตอน ผมจะจัดทำ VCD ของงานครั้งนี้ ออกเผยแพร่ต่อไปครับ

สำหรับในวันนี้ ผมขอนำเสนอภาพของกิจกรรมการจัดทำและถวายผ้าจุลกฐินในครั้งนี้ให้ทุกท่านได้ชมกันเพลินๆ นะครับ หากปีหน้าฟ้าใหม่ที่ยังมีเรี่ยวมีแรง ซึ่งยังไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อใด ผมอาจมีโอกาสได้จัดจุลกฐินแบบนี้อีกครั้งครับ พบกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้านะครับ.


เผ่าทอง ทองเจือ
www.facebook.com/paothong.pan
www.facebook.com/paothong.thongchua


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/309500
19732  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ร่วมจารึกประวัติศาสตร์ "บูรณะลุมพินีสถานครั้งที่ ๓"...โดยคนไทย เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 01:09:47 pm


ส่งบุญต่อถึงคนไทยทุกคนครับ

เมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมบุญ ในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยงานนี้มีคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นผู้นำ มีสื่อมวลชน และผู้หลักผู้ใหญ่ไปกันอย่างคับคั่ง ร่วม 300 ชีวิต

    ซึ่งโครงการบูรณะสถานที่ประสูติฯ ถือเป็นความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนิกชนชาวไทย
    ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเนปาล และองค์การยูเนสโก
    ให้เข้าทำการบูรณะได้ และถือเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์การบูรณะสถานที่ประสูติแห่งนี้
    หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปกว่า 2,600 ปี


โดยการบูรณะแบ่งออกเป็น 3 เฟส สำหรับเฟส 1-2 เสร็จลุล่วงไปแล้ว รอบๆ วิหารมายาเทวี บริเวณนั่งปฏิบัติธรรม ทางเดินเวียนเทียนรอบวิหาร รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ทั้งหมด เสร็จสิ้นไปแล้วใน 2 โครงการที่ผ่านมา สำหรับเฟส 3 นี้ เป็นการปรับภูมิทัศน์ภายนอก สร้างทางเดินใหม่ สร้างอาคารอเนกประสงค์ใหม่

    ซึ่งมีความจำเป็นมากต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลกที่เดินทางมาที่นี่ เพราะถนนหนทาง แต่เดิมนั้นลำบากมาก
    และไม่มีห้องน้ำ สถานพยาบาล รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย เฟส 3 นี้ ได้เริ่มต้นมาพอสมควรแล้ว
    โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่จะนำพระพุทธเจ้าน้อย ที่ทุกท่านได้ร่วมบุญในการเช่าซื้อแผ่นทอง ร่วมกันบูรณะ ไปประดิษฐานไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการบูรณะครั้งที่ 3 โดยพุทธศาสนิกชนชาวไทยนี้ด้วย

    ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ได้มีการวางศิลาฤกษ์ ฐานพระพุทธเจ้าน้อยเป็นที่เรียบร้อย
    โดยใช้ฤกษ์ดี จากโหรระดับประเทศ เวลา 08.39 น. ของวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
    ส่วนองค์พระพุทธเจ้าน้อยจะมีการเททองหล่อพระพุทธเจ้าน้อยในกรุงเทพฯ และจะนำกลับไปประดิษฐานอีกครั้ง
    คาดว่าน่าจะประมาณเดือน มี.ค.56 พร้อมกับการเฉลิมฉลองอีกครั้งที่ยิ่งใหญ่
    และยังจะมีการจารึกพระนาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
    ที่บริเวณแท่นประดิษฐานพระพุทธเจ้าน้อย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ทั้ง 2 พระองค์ ในปีมหามงคลปีนี้ด้วย


    จึงนับได้ว่าเป็นการทำบุญใหญ่ของชาวไทยทุกคน
    ที่ไม่ว่าคุณจะมีส่วนร่วมมากน้อยอย่างไร หรือไม่ ผมก็นำบุญมาฝากให้ทุกๆ คนนะครับ


ณวัฒน์ อิสรไกรศีล


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/309692
19733  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จี้พระธรรมทูต "เก่งภาษา-รู้วัฒนธรรม" เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 12:38:01 pm

จี้พระธรรมทูต "เก่งภาษา-รู้วัฒนธรรม"

     มส.เห็นชอบผุดหลักสูตรสอนพระธรรมทูต เข้มต้องเรียนรู้วัฒนธรรม-พูดภาษาต่างแดนเก่ง

     เมื่อวันที่  29 พฤศจิกายน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดมาตรฐานการคัดเลือกพระสงฆ์ เป็นพระธรรมทูต เพื่อทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ

     เนื่องจากที่ผ่านมาการคัดเลือกพระธรรมทูตส่งไปต่างประเทศ ไม่มีระเบียบและหลักเกณฑ์มารองรับชัดเจน ส่วนใหญ่พระรูปใดต้องการเดินทางไปก็ไปได้
     ดังนั้น มส.และ พศ. เห็นตรงกันว่าจากนี้ไปต้องกำหนดมาตรฐานความรู้ คุณสมบัติของพระธรรมทูตให้ชัดเจน โดยให้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กรรมการ มส. เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ดำเนินการเรื่องกรอบหลักเกณฑ์และหลักสูตรสำหรับสอนพระธรรมทูต


     โดยประเด็นหลักๆ คือ ต้องมีความรู้สามารถ และมีทักษะการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
     ที่สำคัญสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ หรือว่าภาษาของประเทศนั้นๆได้ดี
     และมีความรู้เรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศต่างๆด้วย



     นายนพรัตน์ กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการอบรมพระธรรมทูตบ้างก็ตาม แต่จากการตรวจสอบพบว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ จากการอบรมได้ทำการประเมินความรู้ ความสามารถของพระธรรมทูตหลายรูปพบว่า ไม่ผ่านการประเมินหลายรูป ที่สำคัญมีพระธรรมทูตหลายรูปไม่ได้ผ่านการอบรมแต่ก็ยังเดินทางไปทำหน้าที่ด้วย

    ที่สำคัญเมื่อเร็วๆนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้เชิญตนไปรับฟังข้อสรุปปัญหาของพระธรรมทูต
    ซึ่งเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ รายงานปัญหามาพบว่า ปัญหาของใหญ่คือ
    พูดภาษาต่างประเทศไม่เก่ง สื่อสารไม่เข้าใจและไม่มีความรู้เรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่น
    เมื่อเดินทางไปถึงต่างประเทศก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในวัดอย่างเดียว


    “อีกปัญหาพบว่า พระธรรมทูตต้องปรับปรุงทักษะการเผยแพร่พระพุทธศาสนาใหม่
     ที่ผ่านมานำระบบการบังคับและการท่องจำ เหมือนกับที่ใช้ในประเทศไทยไปใช้
     ซึ่งในต่างประเทศเขาต่อต้าน และรู้สึกว่าถูกบังคับ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ
     เป้าหมายหลักของการทำหน้าที่ของพระธรรมทูต เราไม่ได้คิดว่าจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนา
     แต่ต้องการเผยแพร่ให้รู้ว่าศาสนาพุทธดีอย่างไร
     ที่สำคัญสามารนำหลักคำสอบดีไปปรับใช้ในชีวิตได้ก็พอแล้ว
” ผู้อำนวยการ พศ. กล่าว

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121129/146060/จี้พระธรรมทูตเก่งภาษารู้วัฒนธรรม.html#.ULhDkmfjqxt
http://www.tidga.net/
19734  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จีนเร่งบูรณะ “หอคอยวัดเอน..แห่งเมืองซีอาน” เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 12:22:43 pm

จีนเร่งบูรณะ “หอคอยวัดเอนแห่งเมืองซีอาน”

จีนเร่งบูรณะหอคอยวัดหว่านเฉา ในเมืองซีอาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง และเอนตัวลงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว สาเหตุจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

วันนี้ ( 29 พ.ย. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนว่า ทางการจีนเร่งบูรณะปฏิสังขรณ์หอคอยวัดโบราณแห่งหนึ่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างภายใน จนเอียงลงไม่ต่างกับหอเอนเมืองปิซา ของอิตาลี ก่อให้เกิดความกังวลว่า หอคอยอาจล้มลงทับโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงในอนาคต

    หอคอยวัดดังกล่าว คือ หอคอยวัด หว่านเฉา ตั้งอยู่ในเมืองซีอาน มณฑลชานซี
    ก่อสร้างขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์หมิง หรือในช่วงระหว่างปี 1911-2187
    เริ่มประสบปัญหาเอียงขึ้นทีละน้อย หลังเหตุการณ์พายุฝนกระหน่ำเมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว
    ทางการมณฑลชานซีต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่ใช้โครงเหล็กขนาดยักษ์เข้าค้ำยันหอคอยเพื่อไม่ให้เอียงไปมากกว่านี้


     อย่างไรก็ตาม บรรดาครู และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างแสดงความกังวลว่า หากเกิดเหตุลมกระโชกแรง หรือฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานอีก อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของหอคอยได้
     ขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดูแลยืนยันว่า โครงสร้างขอหอคอยยังมีความแข็งแรงพอ
     และยังไม่มีแนวโน้มว่า จะเอียงมากกว่านี้แต่อย่างใด


     นอกจากหอคอยวัดหว่านเฉาแล้ว ยังมีหอคอยวัดแห่งหนึ่งในมณฑลเสฉวน
     และเจดีย์เก่าแก่อายุ 900 ปี อีกแห่งหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้
     ที่เอียงเป็นมุมมากกว่าหอเอนอันมีชื่อเสียงของอิตาลี


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/world/169723
19735  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุโบสถวัด 'หลวงปู่ทอง' ถูกทิ้งร้างกลางกรุง กรมศิลป์เร่งบูรณะ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 12:17:46 pm


อุโบสถวัด 'หลวงปู่ทอง' ถูกทิ้งร้างกลางกรุง กรมศิลป์เร่งบูรณะ

ผอ.สำนักโบราณคดี เผยพบวัดลาดบัวขาวหรือวัดหลวงปู่ทอง ปล่อยทิ้งร้างกลางกรุง กรมศิลปากรเร่งชงงบฯบูรณะ...

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายธาราพงศ์ ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า สำนักโบราณคดีได้สำรวจพบวัดเก่าแก่ถูกทิ้งร้างตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง ได้แก่ วัดลาดบัวขาว หรือวัดหลวงปู่ทอง ตั้งอยู่เลขที่ 33 หมู่ 14 ริมถนนวงแหวนรอบนอก เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ โดยพระอุโบสถซึ่งเป็นโบราณสถานมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก

     เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาพระอุโบสถจะหักโค่น กรมศิลปากรจึงได้ตั้งงบ 9 แสนบาท
     ไปทำการค้ำยันไม่ให้ตัวโบราณสถานหักโค่นลงมา
     ในปีงบประมาณ 2556 ได้จัดทำงบประมาณดำเนินการซ่อมบูรณะเบื้องต้นก่อน 5 ล้านบาท
     แต่คาดว่ายังไม่เพียงพอเพราะพระอุโบสถเสียหายมาก
     จึงจะตั้งของบประมาณต่อเนื่องปี 2557 อีก 5 ล้านบาท
     เพื่อบูรณะอย่างถาวรและปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามด้วย


     “ผมได้เข้าไปสำรวจพบว่าวัดหลวงปู่ทอง เป็นวัดดังในย่านนั้นและยังมีพระสงฆ์จำวัดอยู่ แต่ปล่อยพระอุโบสถทิ้งร้างเพราะทางวัดไม่มีงบประมาณในการบูรณะ
     ขณะนี้กรมศิลปากรได้เข้าไปช่วยเหลือแล้ว ซึ่งวัดลาดบัวขาวหรือวัดหลวงปู่ทองนี้ถือเป็นวัดและโบราณสถานแห่งที่ 3 ที่สำนักโบราณคดีได้สำรวจโบราณสถานถูกทิ้งร้างกลางกรุง
     โดยก่อนหน้านี้ได้สำรวจพบไปแล้ว 2 แห่ง คือ อุโบสถเก่าที่วัดสวนสวรรค์ ใกล้สะพานพระราม 8 และอุโบสถวัดภุมรินราชปักษี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ปากคลองบางกอกน้อย เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า”

     ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/309758
19736  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิวัฒนาการ..สิ่งบรรจุน้ำมนต์ 'ขวด-สระ' เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 12:10:13 pm


วิวัฒนาการ..สิ่งบรรจุน้ำมนต์ 'ขวด-สระ'
วิวัฒนาการสิ่งบรรจุน้ำมนต์ จากบาตรสู่'ขวด-สระ' : สำราญ สมพงษ์รายงาน
   
      จากกรณีการแถลงข่าวของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ระบุว่า ตามที่พุทธมณฑลได้รับความไว้วางใจจากชาวพุทธทั่วโลกให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาโลก
      ดังนั้น ตนจึงเห็นว่าควรจะมีการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ต้องเดินทางไปไกล โดยจะเริ่มจากการนำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่างๆมารวมไว้ที่พุทธมณฑล เพื่อให้พุทธศานิกชนที่เดินทางมาปฏิบัติธรรม ได้นำไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล


     สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ได้มีคำสั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) ทั่วประเทศ อัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์จากสถานที่สำคัญในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการรวบรวมน้ำพระพุทธมนต์จากทั่วประเทศ

     ทั้งนี้ "น้ำมนต์ คือ น้ำที่ผ่านพิธีน้ำมนต์ ปกติจะสำเร็จด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ในงานพิธีมงคลต่างๆ หรือการเสกของพระภิกษุ หรือ คฤหัสถ์ ผู้ทรงวิทยาคุณ กล่าวคือ
     ผ่านการทำสมาธิ ที่แน่วแน่ และพระปริตร ที่เป็นมนต์ทางศาสนา มาแล้ว
     น้ำมนต์ นิยมนำมาอาบ ดื่ม หรือประพรมที่ศีรษะ ภายในบ้าน บริเวณบ้าน ป้ายร้านค้า เป็นต้น"
     นี่เป็นความหมายของน้ำมนต์ จากพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด ของ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ.9 ราชบัณฑิต





    ทำให้มีประเด็นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาฯจะเอาอะไรใส่น้ำพระพุทธมนต์ดังกล่าวนำมารวมที่พุทธมณฑลเสร็จ แล้วจะอำนวยความสะดวกให้กับญาติโยมนำติดตัวกลับบ้านอย่างไร

     หากได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุในการใส่น้ำพระพุทธมนต์นั้นจะเห็นได้ว่า ในพิธีกรรมที่เป็นมงคลจะมีการตั้งบาตรน้ำมนต์ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และหลังจากพระฉันภัตตาหารเสร็จแล้วให้พรก็จะมีการปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้กับญาติโยมที่ร่วมงาน และบางคนอาจจะขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นไปปะพรมที่บ้านหรือนำไปให้บุคคลอื่น อาจจะใส่แก้วใส่ขวดน้ำไป

     ขณะเดียวกันตามวัดต่างๆก็มีการอำนวยความสะดวกให้กับญาติโยมมากขึ้น
     อย่างเช่นที่วัดไตรมิตรวิทยา แถวย่านเยาวราช กรุงเทพฯ ก็จะนำน้ำพระพุทธมนต์ใส่ขวดเตรียมเอาไว้
     และมีการติดฉลากอย่างดีสามารถดื่มได้เพื่อความเป็นสิริมงคล
     พร้อมกันนี้มีบทสวดให้สวด 3 จบก่อนจะดื่มด้วย
     บางวัดก็จะจัดไว้เป็นแพคหรือใส่ในคูลเลอร์ เตรียมไว้ให้ญาติโยมตักไปใช้





    พร้อมกันนี้บางวัดก็มีการรวมน้ำจากเกจิดังทั้วประเทศมาใส่ไว้ในขวดอย่างเช่นที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯกำลังจะจัดทำอยู่ขณะนี้ และในฉลากก็จะมีการระบุ อย่างเช่น
    น้ำมนต์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง น้ำมนต์นคราฐานสูตร พิธีสมโภชเสาชิงช้า
    น้ำมนต์มหาสมัยสูตร สงกรานต์ 2551 วัดสระเกศ น้ำมันต์วิหารหลวง วัดสุทัศน์ฯ
    น้ำมนต์ วัดเบญจมบพิตร  น้ำมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี น้ำมนต์หลวงพ่อโบสถ์น้อย เป็นต้น


    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น เห็นจะเป็นที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
    ได้มีสระน้ำมนต์ที่ปูรา ตีตาร์ เอิมปุล ถือเป็นน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิที่สุดของชาวบาหลี
    เพราะเชื่อว่าสามารถรักษาสรรพโรคให้หายได้  ตามที่ผู้ใช้นาม "Zamar Sib Oon"
    ในเฟซบุ๊กได้โพสต์รูป และข้อความเกี่ยวกับสิ่งบรรจุน้ำพระพุทธมนต์ลักษณะต่างๆ
    รวมถึงสระน้ำมนต์นี้ ในกลุ่มสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)

    และที่ก้าวหน้าไปกว่านั้น ก็คือ
    มีการนำขวดน้ำพระพุทธมนต์จากสำนักต่างๆ มารวมในขวดเดียว ประมูลในเว็บไซต์ด้วย


    จึงถือได้ว่า น้ำพระพุทธมนต์ และสิ่งบรรจุได้มีวิวัฒนาการตามจินตนาการไปไม่น้อย
    ส่วนจะศักดิ์สิทธิ์อย่างไรนั้น วิญญูชนพิจารณาเอาเองเถิด


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145967/วิวัฒนาการสิ่งบรรจุน้ำมนต์ขวดสระ.html#.ULg7zmfjqxt
http://www.igetweb.com/
19737  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 'สวดมนต์' อย่างไร...ให้พ้นทุกข์ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 11:49:25 am


'สวดมนต์' อย่างไร...ให้พ้นทุกข์
'สวดมนต์'อย่างไรให้พ้นทุกข์ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่องและภาพ

การสวดมนต์ เชื่อไหมว่าเป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่วิมุติได้ ?
      แม้ว่าการทำวัตรสวดมนต์ไม่เคยเป็นประเพณีในครั้งพุทธกาลก็จริง แต่ก็เกิดขึ้นและสืบต่อกันในในประเทศที่พุทธศาสนาเข้ามาถึง เช่นในประเทศไทยเรานี้เอง
      สมัยก่อนการทำวัตรสวดมนต์ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย
      ด้วยเชื่อกันว่าพระคัมภีร์พระไตรปิฎกนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแปล
      และการแปลอาจจะทำให้เนื้อหาในพระไตรปิฎกคลาดเคลื่อนไปเรื่อยๆ
      แต่ถึงที่สุดแล้วการไม่แปลก็มีผลทำให้เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ความหมายในบทสวดมนต์นั้น มีความลึกซึ้งเพียงใด และเกี่ยวข้องกับการพ้นทุกข์อย่างไร

 
      การแปลบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น เริ่มกระทำกันอย่างจริงจังในสมัยท่านพุทธทาสภิกขุ หรือเมื่อราว ๗๕-๘๐ ปีก่อน ที่ท่านเห็นประโยชน์จากความหมายอันลึกซึ้งที่ควรให้ประชาชนได้พบกับเนื้อหาที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติขัดเกลากิเลสได้ถูกตรง
      อันจะนำไปสู่การพ้นทุกข์ในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอชาติหน้าให้เสียเวลาอีกต่อไป และเพื่อไม่ให้กระทบกับคณะสงฆ์ในกระแสหลัก คู่มือทำวัตรสวดมนต์จึงตีพิมพ์ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่มือสำหรับอุบาสก อุบาสิกาโดยเฉพาะ ให้สวดระหว่างที่พระฉันอาหารจะได้ไม่คุยฟุ้ง
 
      ในที่สุดหนังสือ 'คู่มืออุบาสก อุบาสิกา ภาค ๑-๒ ทำวัตรเช้า-เย็น และบทสวดมนต์พิเศษบางบท แปลไทย ของ สำนักสวนโมกขพลารามไชยา ก็เผยแผ่ไปทั่วประเทศ และทั่วโลก เป็นหนึ่งในต้นแบบหนังสือสวดมนต์ทำวัตรแปลที่ทำให้พุทธบริษัทสี่ได้เข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนาได้ด้วยตนเอง
 
      บทสวดมนต์สองเล่มนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๘๑ จำนวน ๕๐๐ ฉบับ จนถึงปัจจุบันตีพิมพ์ไปกว่า ๑๐๐ ครั้ง
      แต่ละครั้งมียอดพิมพ์ตั้งแต่ ๑,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ฉบับ ราคาขายเป็นราคาต้นทุนคือเล่มละ ๒๐ บาท และ ๑๕ บาท
      ในท้ายเล่มมีคำอธิบายประโยชน์ของการทำวัตรสวดมนต์ที่น่าสนใจคือ นี่เป็น ทางสู่วิมุติ เลยทีเดียว

 


     
      ทางที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นมีอยู่ ๕ ทางคือ
      การฟังธรรม แสดงธรรม สาธยายธรรม คิดนึกธรรม และ เจริญภาวนา

 
      การสวดมนต์เป็นหนึ่งในห้าเพราะการสวดมนต์ ก็คือ การสาธยายธรรมอย่างหนึ่ง
      ความหมายของบทสวดมนต์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องรู้เพื่อความเข้าใจ และการปฏิบัติให้ถูกตรง

 
      ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวไว้ในคำปรารภตอนหนึ่งว่า คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง
      ถ้ารู้จักแต่การทำมาหากินเลี้ยงร่างกายกันอย่างเดียว
      ไม่รู้จักแสวงหาธรรมะมาเลี้ยงจิตใจให้สะอาด สว่าง สงบ กันบ้างแล้ว
      การเกิดก็จะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทรมาน ติดคุกตะรางทางวิญญาณชาติหนึ่งไปจนตาย
 
      "ทำอย่างไรคนเราจึงจะได้ความสุขไปทุกวัย หรืออย่างน้อยให้เอาตัวรอดให้ได้ในวันสุดท้าย นี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดดูให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะไม่ด้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ และเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา"

 



      เมตตา พานิช ไวยาวัจกร วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม กล่าวว่า การอ่านบทสวดมนต์แปลที่จะนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์นั้น มีความจำเป็นมากที่เราควรจะเข้าใจคำบาลีทุกคำที่แปลเป็นไทยด้วย
 
      "อย่างเช่นใน บทที่๑ พุทธาภิตุติง คำว่า อะระหัง อันหมายถึง เป็นผู้ไกลจากิเลส หมายถึงอะไร
      ความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับอริยชนอยู่ตรงนี้คือ ปุถุชนอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ถูกกิเลสมันชักนำไป
      ส่วนอริยชน กิเลสไม่สามารถตามไปถึงได้
      เราสำรวจและทบทวนตัวเราได้ว่า ตอนนี้เราอยู่ใกล้ หรือไกลกิเลสมากน้อยแค่ไหน


      สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง อันนี้หมายความว่า พระพุทธองค์ใช้ชีวิตทั้งชีวิตทุ่มเท ฝึกฝนอบรมทุกวิถีทาง สู้ไม่ถอยจนพบได้ด้วยตนเอง
       เมื่อสวดถึงบทนี้ เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเอาชีวิตเข้าแลก เราได้พยายาม ทำตามบ้างไหม มันช่วยให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ เราคงเสียเวลามากในการศึกษาค้นหา

 
       มาถึงข้อ วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นอย่างไร
       เมตตาอธิบายว่า 'วิชชา' จะต้องมาคู่กับ 'จะระณะ' เสมอ
       "เราเคยตั้งคำถามกับตัวเราไหมว่า ทำไมชีวิตเราทุกวันนี้จึงทุกข์อยู่เรื่อยๆ เพราะเรามีแต่วิชา เรามีความรู้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ จริงๆ แล้ว เราไม่ต้องรู้ทุกอย่าง รู้เพียงไม่กี่อย่างแต่ทำได้ก็พอ ไม่ต้องขวนขวายที่จะรู้มากเกินไป แล้วก็ทำไม่ได้ ดูอย่างพระพุทธองค์ ทุกอย่างที่สอนทำได้หมดแล้ว


       ท่านพุทธทาส ทำไมพูดได้ทุกเรื่อง แจกแจง แยกแยะได้ เพราะท่านมั่นใจว่า ที่ท่านทำไว้ทั้งหมดถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ได้มาจากการจำ แต่มาจากการปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่องอานาปานสติ ท่านพูดไว้มากที่สุด เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากที่สุด "
 
       ทำไมคนส่วนใหญ่มีความรู้ แต่ยังดื่มเหล้าสูบบุหรี่
       เมตตาตั้งข้อสังเกตว่า เพราะมีความรู้ คือ 'วิชา' ที่ไม่ใช่ 'วิชชา' ทางพระพุทธศาสนา
       "วิชชาทางพระพุทธศาสนา คือ ความรู้ที่รู้แจ้งจนไม่ทำผิด เพราะชัดเจนแจ่มแจ้ง คือ
       มีวิชชาจาระณะสัมปันโน หมายถึง มีวิชชาแล้วปฏิบัติได้อย่างถูกตรง





       สุคะโต เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี หมายถึง ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ไปในทางที่ถูกตรงสมบูรณ์ ถ้าเข้าไปในกระแสอริยมรรค เป็นอริยบุคคลก็จะไม่กลับมาเป็นปุถุชนอีก

       "ต่อมาคำว่า โลกะวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
        ถ้าดูตามภาษิต ในอริยสัจสี่ ใช้คำว่าโลก แทนคำว่าทุกข์ รู้จักโลก ก็คือ รู้จักเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
        โลกคืออะไร โลกก็คือขันธ์ ๕ นี่เอง
        ถ้าพูดให้ชัดที่สุดก็ว่า รู้โลกอย่างแจ่มแจ้งก็คือ การเห็นปฏิจจสมุปบาท
        ว่าอวิชชาเกิดขึ้นได้อย่างไร จิตมันมีอาการอย่างไร และจะดับอวิชชามันได้อย่างไร 
        เราก็ค่อยๆ หัดเรียนรู้โลกและออกจากโลก ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล


        พระพุทธองค์ตรัสว่า โลกก็อยู่ในกายยาววา หนาคืบนี้เอง
        จะออกจากโลก ก็คือ ออกจากความคิดปรุงแต่งนี่เอง

 
        "เพราะฉะนั้น ทั้งหมดของการปฏิบัติธรรมก็คือ ให้รู้เมื่อทุกข์มันเกิด ทุกข์จึงเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้
        เมื่อไรที่ทุกข์เข้ามาก็รีบกำหนดรู้ พอกำหนดรู้แล้ว ทุกข์จะหายไป
        ลองสังเกตดู เวลาที่เราทุกข์เรื่องอะไร พอเรารู้ตัว ทุกข์จะหายไป"

 
        และนี่คือ หนึ่งในทางแห่งวิมุติที่พบได้
        เมื่อเราตั้งใจสาธยายธรรมแล้ว 'โอปนยิโก' น้อมเข้ามาใส่ใจ อย่างแท้จริง



ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145868/สวดมนต์อย่างไรให้พ้นทุกข์.html#.ULgwqGfjqxt
http://www.stopdrink.com/,http://i391.photobucket.com/,http://icare.kapook.com/





หมายเหตุ
    คำกล่าวที่ว่า
    "การแปลบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น เริ่มกระทำกันอย่างจริงจังในสมัยท่านพุทธทาสภิกขุ "
    ไม่ได้หมายถึง ท่านพุทธทาสเป็นคนแรกที่ริเริ่มการสวดมนต์แปล นะครับ
    คนแรกที่ริเริ่ม คือ สมเด็จพระสังฆราช พระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
    อยากให้เข้าใจตามนี้

        :25:
       
19738  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / รักษาจิตอย่างเดียว...อาจพ้นทุกข์ได้ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 02:05:03 pm


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓

    [๑๓] นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอกรักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยาก ให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น จิตนี้อันพระโยคาวจรยกขึ้นแล้วจากอาลัย คือ เบญจกามคุณเพียงดังน้ำ ซัดไปในวิปัสสนากรรมฐานเพียงดังบก เพื่อจะละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรน ดุจปลาอันชาวประมง ยกขึ้นแล้ว จากที่อยู่คือน้ำ โยนไปแล้วบนบก ดิ้นรนอยู่ ฉะนั้น

      การฝึกฝนจิตที่ข่มได้ยาก อันเร็ว มีปรกติตกไปในอารมณ์อันบุคคลพึงใคร่อย่างไร เป็นความดี เพราะว่าจิตที่บุคคลฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้
      นักปราชญ์พึงรักษาจิตที่เห็นได้แสนยากละเอียดอ่อน มีปกติตกไปตามความใคร่ เพราะว่าจิตที่บุคคลคุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้

      ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตอันไปในที่ไกล ดวงเดียวเที่ยวไป หาสรีระมิได้ มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
      ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์แก่บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ไม่รู้แจ่มแจ้งซึ่งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย
      ภัยย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ ผู้มีจิตอันราคะไม่รั่วรด ผู้มีใจอันโทสะไม่ตามกระทบแล้ว ผู้มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ผู้ตื่นอยู่
      กุลบุตรทราบกายนี้ว่า เปรียญด้วยหม้อแล้ว พึงกั้นจิตนี้ให้เปรียบเหมือนนคร พึงรบมารด้วยอาวุธ คือ ปัญญา
      อนึ่งพึงรักษาตรุณวิปัสสนาที่ตนชนะแล้ว และไม่พึงห่วงใย


     กายนี้อันบุคคลทิ้งแล้ว มีวิญญาณปราศแล้วไม่นานหนอ จักนอนทับแผ่นดิน ประดุจท่อนไม้ไม่มีประโยชน์
     โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกัน พึงทำความฉิบหายและความทุกข์ใด ให้จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหาย และความทุกข์นั้น
      มารดาบิดาไม่พึงทำเหตุนั้นได้ หรือแม้ญาติเหล่าอื่นก็ไม่พึงทำเหตุนั้นได้ จิตที่บุคคลตั้งไว้ชอบแล้ว พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น ฯ


       จบจิตตวรรคที่ ๓


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๓๖๖ - ๓๙๔. หน้าที่ ๑๗ - ๑๘.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=366&Z=394&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13





อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓
๒. เรื่องภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง [ยกมาแสดงบางส่วน] 
     

ภิกษุ ๖๐ รูปบรรลุพระอรหัต              
     เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้อาหารอันเป็นที่สบาย จิตก็เป็นธรรมชาติ มีอารมณ์เดียว (แน่วแน่). พวกเธอมีจิตแน่วแน่เจริญวิปัสสนา ต่อกาลไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย แล้วคิดว่า
     “น่าขอบคุณ! มหาอุบาสิกาเป็นที่พึ่งของพวกเรา; ถ้าพวกเราไม่ได้อาหารอันเป็นที่สบายแล้วไซร้, การแทงตลอดมรรคและผล คงจักไม่ได้มีแก่พวกเรา (เป็นแน่), บัดนี้ พวกเราอยู่จำพรรษาปวารณาแล้ว จักไปสู่สำนักของพระศาสดา”

     พวกเธออำลามหาอุบาสิกาว่า “พวกฉันใคร่จะเฝ้าพระศาสดา.”
     มหาอุบาสิกากล่าวว่า “ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย” แล้วตามไปส่งภิกษุเหล่านั้น, กล่าวคำอันเป็นที่รักเป็นอันมากว่า “ขอท่านทั้งหลาย พึง (มา) เยี่ยมดิฉันแม้อีก” ดังนี้เป็นต้น แล้วจึงกลับ.

พระศาสดาตรัสถามสุขทุกข์กะภิกษุเหล่านั้น               
     ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นแล ถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง อันพระศาสดาตรัสว่า
       “ภิกษุทั้งหลาย (สรีรยนต์มีจักร ๔ มีทวาร ๙) พวกเธอพออดทนได้ดอกหรือ?
      พวกเธอพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ดอกหรือ?
      อนึ่ง พวกเธอไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ?”


     จึงกราบทูลว่า “พออดทนได้ พระเจ้าข้า พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ พระเจ้าข้า,
     อนึ่ง ข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้ลำบากด้วยบิณฑบาตเลย,
     เพราะว่า อุบาสิกาคนหนึ่งชื่อมาติกมาตา ทราบวาระจิตของพวกข้าพระองค์.
     เมื่อพวกข้าพระองค์คิดว่า ‘ไฉนหนอ มหาอุบาสิกาจะพึงจัดแจงอาหารชื่อเห็นปานนี้เพื่อพวกเรา.’
     (นาง) ก็ได้จัดแจงอาหารถวายตามที่พวกข้าพระองค์คิดแล้ว”
ดังนี้แล้ว
     ก็กล่าวสรรเสริญคุณของมหาอุบาสิกานั้น.



อุบาสิกาจัดของถวายตามที่ภิกษุต้องการ               
     ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งสดับถ้อยคำสรรเสริญคุณของมหาอุบาสิกานั้นแล้ว เป็นผู้ใคร่จะไปในที่นั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว ทูลลาพระศาสดาว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักไปยังบ้านนั้น”
     แล้วออกจากพระเชตวัน ถึงบ้านนั้นโดยลำดับ ในวันที่ตนเข้าไปสู่วิหาร คิดว่า “เขาเล่าลือว่า อุบาสิกานี้ย่อมรู้ถึงเหตุอันบุคคลอื่นคิดแล้วๆ. ก็เราเหน็ดเหนื่อยแล้วในหนทาง จักไม่สามารถกวาดวิหารได้,
     ไฉนหนอ อุบาสิกานี้จะพึงส่งคนผู้ชำระวิหารมาเพื่อเรา.”


     อุบาสิกานั่งในเรือนนั่นเองรำพึงอยู่ ทราบความนั้นแล้ว
     จึงส่งคนไปด้วยคำว่า “เจ้าจงไป, ชำระวิหารแล้วจึงมา.”

     ฝ่ายภิกษุนอกนี้อยากดื่มน้ำ จึงคิดว่า
     “ไฉนหนอ อุบาสิกานี้จะพึงทำน้ำดื่มละลายน้ำตาลกรวดส่งมาให้แก่เรา.”
     อุบาสิกาก็ได้ส่งน้ำนั้นไปให้. เธอคิด (อีก) ว่า
     “ขออุบาสิกา จงส่งข้าวยาคูมีรสสนิทและแกงอ่อมมาเพื่อเรา ในวันพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่เถิด.”
     อุบาสิกาก็ได้ทำอย่างนั้น.


     ภิกษุนั้นดื่มข้าวยาคูแล้ว คิดว่า “ไฉนหนอ อุบาสิกาพึงส่งของขบเคี้ยวเห็นปานนี้มาเพื่อเรา.”
     อุบาสิกาก็ได้ส่งของเคี้ยวแม้นั้นไปแล้ว เธอคิดว่า “อุบาสิกานี้ส่งวัตถุที่เราคิดแล้วๆ ทุกๆ สิ่งมา, เราอยากจะพบอุบาสิกานั่น, ไฉนหนอ นางพึงให้คนถือโภชนะมีรสเลิศต่างๆ เพื่อเรา มาด้วยตนเองทีเดียว.”

     อุบาสิกาคิดว่า “ภิกษุผู้บุตรของเราประสงค์จะเห็นเราหวังการไปของเราอยู่”, ดังนี้แล้ว จึงให้คนถือโภชนะไปสู่วิหารแล้วได้ ถวายแก่ภิกษุนั้น.
     ภิกษุนั้นทำภัตกิจแล้ว ถามว่า “มหาอุบาสิกา ท่านหรือ? ชื่อว่ามาติกมาตา.”
     อุบาสิกา. ถูกแล้ว พ่อ.
     ภิกษุ. อุบาสิกา ท่านทราบจิตของคนอื่นหรือ?
     อุบาสิกา. ถามดิฉันทำไม? พ่อ.
     ภิกษุ. ท่านได้ทำวัตถุทุกๆ สิ่งที่ฉันคิดแล้วๆ, เพราะฉะนั้น ฉันจึงถามท่าน.
     อุบาสิกา. พ่อ ภิกษุที่รู้จิตของคนอื่น ก็มีมาก.
     ภิกษุ. ฉันไม่ได้ถามถึงคนอื่น, ถาม (เฉพาะตัว) ท่านอุบาสิกา
.

     แม้เป็นอย่างนั้น อุบาสิกาก็มิได้บอก (ตรงๆ) ว่า “ดิฉันรู้จิตของคนอื่น”
     (กลับ) กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ธรรมดาคนทั้งหลายผู้รู้จิตของคนอื่น ย่อมทำอย่างนั้นได้.”



ภิกษุลาอุบาสิกากลับไปเฝ้าพระศาสดา               
     ภิกษุนั้นคิดว่า
    “กรรมนี้หนักหนอ, ธรรมดาปุถุชน ย่อมคิดถึงอารมณ์อันงามบ้าง ไม่งามบ้าง, ถ้าเราจักคิดสิ่งอันไม่สมควรแล้วไซร้,
     อุบาสิกานี้ ก็พึงยังเราให้ถึงซึ่งประการอันแปลก เหมือนจับโจรที่มวยผมพร้อมด้วยของกลางฉะนั้น,
     เราควรหนีไปเสียจากที่นี้” แล้วกล่าวว่า “อุบาสิกา ฉันจักลาไปละ.”
     อุบาสิกา. ท่านจักไปที่ไหน? พระผู้เป็นเจ้า.
     ภิกษุ. ฉันจักไปสู่สำนักพระศาสดา อุบาสิกา.
     อุบาสิกา. ขอท่านจงอยู่ในที่นี้ก่อนเถิด เจ้าข้า.
     ภิกษุนั้นกล่าวว่า “ฉันจักไม่อยู่ อุบาสิกา จักต้องไปอย่างแน่นอน”
แล้วได้เดินออก (จากที่นั้น) ไปสู่สำนักของพระศาสดา.

พระศาสดาแนะให้รักษาจิตอย่างเดียว               
     ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเธอว่า “ภิกษุ เธออยู่ในที่นั้นไม่ได้หรือ?”
     ภิกษุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สามารถอยู่ในที่นั้นได้.
     พระศาสดา. เพราะเหตุไร? ภิกษุ.
     ภิกษุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (เพราะว่า) อุบาสิกานั้นย่อมรู้ถึงเรื่องอันคนอื่นคิดแล้วๆ ทุกประการ, ข้าพระองค์คิดว่า “ก็ธรรมดา ปุถุชนย่อมคิดอารมณ์อันงามบ้าง ไม่งามบ้าง, ถ้าเราจักคิดสิ่งบางอย่างอันไม่สมควรแล้วไซร้, อุบาสิกานั้นก็จักยังเราให้ถึงซึ่งประการอันแปลก เหมือนจับโจรที่มวยผมพร้อมทั้งของกลางฉะนั้น” ดังนี้แล้ว จึงได้มา.


     พระศาสดา. ภิกษุ เธอควรอยู่ในที่นั้นแหละ.
     ภิกษุ. ข้าพระองค์ไม่สามารถ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักอยู่ในที่นั้นไม่ได้.
     พระศาสดา. ภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจักอาจรักษาสิ่งหนึ่งเท่านั้นได้ไหม?
     ภิกษุ. รักษาอะไร? พระเจ้าข้า.
     พระศาสดาตรัสว่า
     “เธอจงรักษาจิตของเธอนั่นแหละ ธรรมดาจิตนี้บุคคลรักษาได้ยาก, เธอจงข่มจิตของเธอไว้ให้ได้ อย่าคิดถึงอารมณ์ อะไรๆ อย่างอื่น, ธรรมดาจิตอันบุคคลข่มได้ยาก

      ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
            ๒.    ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน    ยตฺถ กามนิปาติโน
                จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ    จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ
                การฝึกจิตอันข่มได้ยาก เป็นธรรมชาติเร็ว มักตก
                ไปในอารมณ์ตามความใคร่ เป็นการดี (เพราะว่า)
                จิตที่ฝึกแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้.



แก้อรรถ               
     บัณฑิตพึงทราบวิเคราะห์ในพระคาถานั้น (ดังต่อไปนี้).
     ธรรมดาจิตนี้อันบุคคลย่อมข่มได้โดยยาก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทุนฺนิคฺคหํ.
     จิตนี้ย่อมเกิดและดับเร็ว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ลหุ ซึ่งจิตอันข่มได้ยาก อันเกิดและดับเร็วนั้น.


     บาทพระคาถาว่า ยตฺถ กามนิปาติโน ความว่า มักตกไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั่นแล. จริงอยู่ จิตนี้ย่อมไม่รู้จักฐานะอันตนควรได้ หรือฐานะอันไม่ควรได้, ฐานะอันสมควรหรือฐานะอันไม่สมควร ย่อมไม่พิจารณาดูชาติ ไม่พิจารณาดูโคตร ไม่พิจารณาดูวัย, ย่อมตกไปในอารมณ์ที่ตนปรารถนาอย่างเดียว.

     เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่.”
     การฝึกจิตเห็นปานนี้นั้น เป็นการดี คือความที่จิตอันบุคคลฝึกฝนด้วยอริยมรรค ๔#- ได้แก่ ความที่จิตอันบุคคลทำแล้วโดยประการที่จิตสิ้นพยศได้ เป็นการดี.

____________________________
#- อริยมรรค ๔ คือ
               โสดาปัตติมรรค ๑ สกทาคามิมรรค ๑
               อนาคามิมรรค ๑ อรหัตมรรค ๑


    ถามว่า “เพราะเหตุไร?”
    แก้ว่า “เพราะว่า จิตนี้อันบุคคลฝึกแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ คือว่า จิตที่บุคคลฝึกแล้ว ได้แก่ทำให้สิ้นพยศ ย่อมนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่มรรคผล และสุขคือพระนิพพานอันเป็นปรมัตถ์.”

    ในกาลจบเทศนา บริษัทที่มาประชุมกันเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น, เทศนาสำเร็จประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=2
ขอบคุณภาพจาก http://www.watnonpang.com/,https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/,http://www.bloggang.com/,http://www.kanlayano.org/,http://www.dhammathai.org/
19739  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทเพลง : 4G....ธรรมะประพันธ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:28:05 am
!
อัปโหลดโดย sbbtv999 เมื่อ 29 พ.ย. 2011


ธรรมะประพันธ์ : สยามเมืองยิ้ม
บทเพลง : "4G"   
ขับร้อง : น้ำค้าง เดือนเพ็ญ

สามารถติดตามรับชมและรับฟังบทเพลงธรรมประพันธ์อื่นๆได้ที่
http://www.sbbtv999.tv/sbbtv999/mv.html


19740  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โสมขาวลด "การเสพติด..โทรศัพท์มือถือ" เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:20:37 am


โสมขาวลด "การเสพติด..โทรศัพท์มือถือ"

เด็กนักเรียนเกาหลีใต้ เข้าร่วมโครงการลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือกับโรงเรียน โดยนำเอาโทรศัพท์มือถือมาใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องเรียนตั้งแต่เข้าเรียน

     28 พ.ย. 55  เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมชิลโบในเมืองซูวอน ประเทศเกาหลีใต้
     เข้าร่วมโครงการลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือกับโรงเรียน
     โดยนำเอาโทรศัพท์มือถือมาใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องเรียนตั้งแต่เข้าเรียน


     ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการ
     ลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือของชาวโสมขาวกว่า 2.55 ล้านคน
      ที่ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
      จนถือเป็นอาการเสพติดอย่างหนึ่ง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145946/โสมขาวลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือ.html#.ULbh_Gfvolh
19741  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ห่มผ้า.."เจดีย์หลวง 700 ปี" วันลอยกระทง เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:15:20 am

ห่มผ้า.."เจดีย์หลวง 700 ปี" วันลอยกระทง

สมเด็จพระญาณสังวรฯประทานห่มผ้าเจดีย์หลวง 700 ปี วันลอยกระทง

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาประทานผ้าพระกฐิน ทอดถวายแด่พระสงฆ์ผู้จำพรรษา
     พร้อมประทานผ้าห่มพระประธานในพระอุโบสถ และผ้าห่มพระเจดีย์หลวงอายุกว่า 700 ปี
     ที่วัดราชบูรณะ อ.เมือง จ.พิษณุโลก
เป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
     และสูงที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก  ในช่วงวันลอยกระทง และเป็นวันพระ


ทั้งนี้ มีนายธงชัย  ศศิวิมล เป็นประธานในพิธีและประชาชนพร้อมในนุ่งขาวห่มขาวประกอบพิธีแห่ผ้าไปห่มพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  ศิลปะสมัยสุโขทัย
     จากนั้นได้ร่วมกันแห่ผ้าไปห่มบนเจดีย์หลวง เป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
     และสูงที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก อายุกว่า 700 ปี  เพื่อความเป็นสิริมงคลในการร่วมกันทำบุญในวันนี้
     หลังจากห่มผ้าเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่า ฝนได้โปรยปรายสร้างความชุ่มฉ่ำเป็นอย่างมาก



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคเหนือ/190713/ห่มผ้าเจดีย์หลวง-700ปีวันลอยกระทง
19742  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 4 ชาติเอเชียติด "ท็อปไฟว์" ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก...ไทยอยู่อันดับ 36 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:07:26 am

4 ชาติเอเชียติด "ท็อปไฟว์" ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก...ไทยอยู่อันดับ 36

ฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากการจัดอันดับโดยบริษัทด้านการศึกษาชื่อดังจากสหรัฐฯ "เพียร์สัน"

การจัดอันดับ ใช้การรวบรวมข้อมูลจากผลการสอบในระดับนานาชาติและข้อมูลเช่นอัตราการศึกษาในระหว่างปี 2006 และ 2010  เซอร์ไมเคิล บาร์เบอร์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านการศึกษาของเพียร์สัน เปิดเผยว่า ประเทศที่ติดในอันดับที่ดีส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับครูผู้สอน รวมถึงการมีวัฒนธรรมด้านการศึกษาที่ดี

    ตามหลังฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในอันดับที่ 3-5 นั้น ล้วนมาจากเอเชียทั้งสิ้น ได้แก่
      ฮ่องกง (จีน) อันดับ 3, ญี่ปุ่น อันดับ 4 และ สิงคโปร์ ในอันดับ 5
      ขณะที่อันดับ 6 ตกเป็นของอังกฤษ ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ ในอันดับที่ 7
      และ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดาในอันดับที่ 8-10 ตามลำดับ
      ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอื่นๆอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และเยอรมนี อยู่ในอันดับรองลงไป


      โดยในการจัดอันดับที่มีจำนวน 40 ประเทศนั้น อินโดนีเซีย บราซิล และเม็กซิโกมีคะแนนต่ำสุด
      ในอันดับที่ 40, 39 และ 38 ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 37

 

รายงานระบุว่า ความสำเร็จของประเทศในเอเชีย ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากประเทศดังกล่าวให้ความสำคัญกับการศึกษามากเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้ปกครองต่างก็พร้อมจะทุ่มเทให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
 
     แต่สิ่งที่สำคัญนอกจากการทุ่มเทให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่ดีนั้น
     สะท้อนให้เห็นค่านิยมที่ให้คุณค่าต่อการศึกษาในระดับสูง
     รวมถึงการคาดหวังของผู้ปกครอง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญแม้ครอบครัวจะย้ายไปยังประเทศอื่น

     ขณะที่อันดับหนึ่งและสองอย่างฟินแลนด์และเกาหลีใต้
     ค่อนข้างมีความแตกต่างกันหลายประการ
     แต่มีปัจจัยร่วมกัน คือ ความเชื่อทางสังคมที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษา
     และจุดประสงค์ด้านศีลธรรมที่แอบแฝงอยู่

 
   
     รายงานดังกล่าวยังเน้นเรื่องคุณภาพของครูผู้สอน และความจำเป็นต่อการจ้างครูที่ดีที่สุด
     ซึ่งอาจรวมถึงการได้รับความเคารพในทางวิชาชีพและสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับรายได้ที่ได้รับ
     อย่างไรก็ดี การจัดอันดับไม่ได้แสดงจุดเชื่อมโยงที่แน่ชัดระหว่างรายได้สูงและการสอนที่มีคุณภาพ
     รายงานระบุว่า ระบบการศึกษาที่สูงและต่ำยังมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจโดยตรง
     โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาแรงงานที่ใช้ทักษะ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354077710&grpid=01&catid=&subcatid=
http://blog.eduzones.com/,http://stanglibrary.files.wordpress.com/
19743  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! 'ทะเลสีเลือด' ในออสเตรเลีย เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:50:58 am



ฮือฮา.! 'ทะเลสีเลือด' ในออสเตรเลีย

ฮือฮา! นักท่องเที่ยวแห่ชมปรากฏการณ์ 'ทะเลสีเลือด' บริเวณชายหาดบอนได รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ออสซี่ประกาศปิดชายหาด-สั่งห้ามเล่นน้ำ

       28 พ.ย.55 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียประกาศปิดชายหาดบอนไดและชายหาดโคลเวลลี รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย หลังจากเกิดปรากฎการณ์ประหลาดน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายสีเลือด พร้อมออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้อยู่ห่างจากพื้นที่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำทะเล เนื่องจากมีปริมาณแอมโมเนียระดับสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองผิวหนังได้

       ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐนิวเซาธ์เวลส์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการลอยตัวของน้ำเย็น ประกอบกับการเจริญเติบโตของสาหร่ายสีแดงอย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ "สายน้ำสีแดง" และมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิและถฤูใบไม้ร่วง








ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145903/ฮือฮา!ทะเลสีเลือดในออสเตรเลีย.html#.ULbajmfvoli
19744  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สักการะ "รูปปั้นต้นแบบเจ้าแม่กวนอิม" องค์ใหญ่ที่สุดในโลก (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:36:03 am


สักการะ "รูปปั้นต้นแบบเจ้าแม่กวนอิม" องค์ใหญ่ที่สุดในโลก

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ นำองค์รูปปั้นสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมาให้ประชาชนได้ร่วมสักการบูชา

วันนี้ ( 28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี สมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทยจีน 2008 ได้นำรูปปั้นและหล่อองค์ต้นแบบของเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมทั้งนำส่วนพระหัตถ์ขององค์จริง มาให้ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาได้สักการบูชา

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ นายกสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทยจีน 2008 และประธานโครงการสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า
    สืบเนื่องจากเมื่อปีพ.ศ.2548 สหประชาชาติได้มีมติให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา
    ได้รับการปรึกษาจากมหาเถรสมาคมว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นศูนย์กลางได้
    จึงคิดว่าจะต้องสร้างสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เสนอที่จะสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

    ซึ่งทางพระมหาเถระเห็นด้วย และเมื่อการจัดสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลกได้รับความเห็นด้วย
    จึงเริ่มลงมือที่จะทำ แต่ติดตรงที่ว่าเวลานั้นเป็นส.ส. จึงติดขัดในส่วนของกฎหมาย ห้ามมิให้ส.ส.รับบริจาคเกิน 3,000 บาท
    จนกระทั่งปี2554 ไม่ได้เป็นส.ส.แล้ว จึงเริ่มทำโรงการดังกล่าว โดยเริ่มให้ช่างมาออกแบบและสร้างรูปปั้นและหล่อองค์ต้นแบบของเจ้าแม่กวมอิม







    ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวต่ออีกว่า
    หลังจากได้สร้างองค์จำลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปขยายให้ได้ขนาดความสูง 84 เมตร
    ก่อนเริ่มทำแม่พิมพ์ หลังจากได้แม่พิมพ์เสร็จสิ้น ก็ทำหนังสือกราบทูล ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เพื่อให้ท่านเสด็จเป็นองค์ประธานเททอง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2555 โดยวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างก็เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวเดียวกัน จึงอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย

     
    จึงจัดอัญเชิญองค์ต้นแบบไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีก 7 ประเทศ ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์และจีน






   
    นายกสมาคมฯ เปิดเผยอีกว่า คาดการณ์ว่าน่าจะตระเวนทั่วทั้งประเทศ
    รวมทั้งในต่างประเทศแล้วเสร็จประมาณปี 2557
    ในส่วนของการก่อสร้างก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559
    พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดความสูง 84 เมตร
    จะนำไปประดิษฐานที่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี

    สำหรับชาวกรุงเทพมหานคร สามารถไปสักการะและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกถึงความจงรักภักดี
    ได้ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จนกระทั่งถึงวันที่ 3 ธ.ค.
    ก่อนขบวนพิธีจะดำเนินต่อไปยัง จ.นครราชสีมา




เผยแพร่เมื่อ 28 พ.ย. 2012 โดย clipwebsite


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169536
19745  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ระยองจัดงาน "ทอดผ้าป่ากลางน้ำ"...หนึ่งเดียวในประเทศ (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:20:29 am




ระยองจัดงาน "ทอดผ้าป่ากลางน้ำ"...หนึ่งเดียวในประเทศ

จังหวัดระยองจัดงานประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำหนึ่งเดียวในประเทศไทย

วันนี้ ( 28 พ.ย.) ที่อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส ต.ปากน้ำ อ.แกลง จ.ระยอง นายพิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้เกียรติมาเป็นประธานประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำ และการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ

โดยมีนายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปากน้ำประแส ให้การต้อนรับ และยังมีนายสุรพล เทียนสุวรรณ นายอำเภอแกลง พร้อมด้วยนายวิทิต ลาวัณย์เสถียร ประธานมูลนิธิช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจน อ.แกลง นางประชิด ชินราช ประธานคณะกรรมการกองทุนบทบาทสตรีจังหวัดระยอง นางดวงพร เทียนสุวรรณ นายกกิ่งกาชาดอำเภอแกลง นางกนกวรรณ เบญจาทิกุล ส.อบจ.ระยอง เขตแกลง นายบรรพต เอื้อตระกูล ส.อบจ.เขตแกลง เข้าร่วมงานด้วย

โดยมีชาวบ้านเข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง และยังได้รับเกียรติจากนายสมจิตร จงจอหอ อดีตนักชกมวยสากลสมัครเล่นเหรียญทองโอลิมปิกมาร่วมงานด้วย

ซึ่งในช่วงเช้าได้มีพิธีทางสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ได้ทำพิธีสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลปากน้ำประแส ได้กล่าวรายงานประวัติความเป็นมาของการทอดผ้าป่ากลางน้ำ






   
    เสร็จจากพิธี นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยผู้มีเกียรติได้ลงเรือพายเพื่อทอดผ้าป่าที่มีเสาปักอยู่กลางคลองปากน้ำประแส โดยนำผ้าเหลืองมาวางไว้บนไม้เพื่อให้พระสงฆ์ได้ทอดผ้า จนเสร็จสิ้นพิธีของการทอดผ้าป่ากลางน้ำ

    จากนั้นได้มีการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ ได้มีชาวบ้านร่วมร้องรำทำเพลงอยู่สองฝั่งแม่น้ำสร้างความสนุกสนานในบรรยากาศการแข่งขันเรือพายด้านนายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลปากน้ำประแส ได้กล่าวว่า

    ประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำเป็นประเพณีที่ชาวปากน้ำประแสสืบทอดกันมายาวนานกว่าร้อยปี
    เป็นงานประเพณีที่สำคัญของจังหวัดระยองอีกงานหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวประมงบริเวณลุ่มแม่น้ำประแส จากพื้นเพดังกล่าว ชาวบ้านปากน้ำประแสนั้นทำการประมง


    จึงได้จัดงานทอดผ้ากลางน้ำโดยได้นิมนต์พระมาทอดผ้ากลางน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดมาทุกวันนี้
    และในงานยังได้มีการจัดการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ อีกด้วย
    และในการจัดประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำนั้น ทางเทศบาลปากน้ำประแสได้กำหนดไว้ 2 วัน คือในวันที่ 27 และวันที่ 28 พ.ย. 2555 ในวันที่ 28 นั้นยังเป็นวันลอยกระทง


    ทำให้มีชาวบ้านออกมาร่วมงานลอยกระทงยังท่าเรือบริเวณอนุสรณ์เรือรบหลวงประแสแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และในเวลากลางคืนยังมีมหรสพ การแสดงต่างๆ และมีการประกวดนางนพมาศ และคาราวานสินค้าโอทอปมาจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย




เผยแพร่เมื่อ 28 พ.ย. 2012 โดย Amontep nongyai

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169496
19746  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มุกดาหาร.ฮือฮา.! "พญานาค..โผล่กลางแม่น้ำโขง" วันลอยกระทง (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:09:25 am


ฮือฮา.! พญานาค..โผล่กลางแม่น้ำโขง

มุกดาหาร ฮือฮา เกิดปรากฏการของพญานาคขึ้นกลางแม่น้ำโขงขณะทำพิธีบุญกฐินน้ำลอยกระทง เพื่อบูชาพญานาค

วันนี้ ( 28 พ.ย.) นายอาชว์  ตั้งประกิจ ประธานที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร   เป็นเจ้าภาพจัดงานบุญกฐินโดยมี นายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร  เป็นประธานนำพุทธศาสนิกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญกฐินน้ำมุกดาหาร  พร้อมร่วมลอยกระทงประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหาร ได้มาร่วมทำบุญ กฐินน้ำ ลอยกระทงในแม่น้ำโขง เพื่อสักการบูชาพญานาค สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน คู่เมือง

การทำบุญทอดกฐินน้ำ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ของชาวพุทธและตรงกับวันลอยกระทง ทั้งนี้ตามความเชื่อของชาวมุกดาหาร  ที่ว่าการได้ร่วมกันทำบุญบูชาพญานาค  และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นเสมือนการได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร   สัมภเวสีทั้งหลายทั้งปวง  อีกทั้งยังได้ร่วมกันลอยกระทงเพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคา อีกด้วย

       



นายอาชว์  ตั้งประกิจ ประธานที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า  การจัดการทำบุญกฐินน้ำมุกดาหาร ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยเชื่อว่าการได้มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำโขง  ควรจะได้ร่วมกันสักการบูชาพญานาค  ซึ่งอยู่ใต้บาดาล

อีกทั้งยังได้ร่วมกันสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน  เพื่อให้พญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ  ได้ปกปักรักษาบ้านเมืองให้มีความร่มเย็นเป็นสุข  ทุกคนมีความรัก ความสามัคคีต่อกัน และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดมุกดาหาร อีกทางหนึ่งด้วย

       
โดยหลังเสร็จทำพิธีพระสงฆ์ 9 รูป ร่วมกันสวดเมตตาหลวง  เพื่อความเป็นสิริมงคล  และเมื่อผู้มาร่วมงานได้ร่วมกันส่งพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงสู่บาดาล  ผู้ร่วมทำบุญกฐินน้ำได้ร่วมนำข้าวตอก ดอกไม้ เงิน ทอง ลงแม่น้ำโขง พร้อมลอยกระทงพญานาค เพื่ออัญเชิญพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ออกมารับเครื่องสักการะ  ซึ่งขณะที่เรือกฐินขากลับผู้คนที่อยู่บนเรือก็พบสิ่งที่แปลกกระทงพญานาคที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร  เป็นผู้ลอยได้หยุดกลางแม่น้ำโขงโดยไม่ยอมไหลลงตามกระแสน้ำ





    โดยหลังจากพระสงฆ์ทำพิธี เพื่อสักการบูชาพญานาคทันได
    ก็เกิดปรากฏการของพญานาคขึ้นกลางแม่น้ำโขงผู้คนพุทธศาสนิกชน
    ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาลงเรือกฐินน้ำร่วม100คน  ร่วมทำบุญอยู่บนเรือ
    จู่ๆ ก็มีเสียงโห่ร้องพร้อมกันเนื่องจากผู้คนที่อยู่บนเรือบุญกฐิน 
    เห็นปรากฎการณ์พญานาค ชูหัวลอยเป็นเกลียวคลื่นลอยทวนน้ำขึ้นทิศเหนือกลางแม่น้ำโขง





ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169495
19747  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ปีติ..ในหลวง' เสด็จฯลอยพระประทีป พร้อมด้วย ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ในเทศกาลลอยกระทง เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 09:56:38 am


ปีติ‘ในหลวง’เสด็จฯลอยพระประทีป พร้อมด้วย‘สมเด็จพระเทพฯ’ เนื่องในเทศกาลลอยกระทง

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 28 พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ไปทรงลอยพระประทีปเป็นการส่วนพระองค์ เนื่องในเทศกาลลอยกระทง ที่ท่าน้ำบริเวณพลับพลาที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5

 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สูทสีเขียวอ่อน ทับฉลองพระองค์เชิ้ต สีขาวลายเขียว พระสนับเพลาสีดำ ฉลองพระบาทสีดำ พระหัตถ์ขวาทรงจูงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิน ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถเข็นพระที่นั่ง จากนั้นประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ ไปยังพลับพลาที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 โดยตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีพสกนิกร เฝ้าฯ รับเสด็จเป็นจำนวนมาก พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญอย่างพร้อมเพรียงกัน

     เมื่อเสด็จฯ ถึงพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะ
     จากนั้น ทรงเลือกพระประทีปที่ประดิษฐ์จากขนมปังสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ
     ตัวพระประทีปเป็นรูปกลีบบัวซ้อน ภายในมีเครื่องทองน้อย ประกอบด้วยพุ่มสีเหลือง 3 พุ่ม ธูปเงิน 1 ดอก
     เทียนทอง 1 ดอก ธูปและเทียนทำมาจากไม้ระกำเคลือบสีเงิน สีทอง
     สำหรับพระประทีปดังกล่าวเป็นฝีมือการประดิษฐ์ของวิทยาลัยในวังหญิง



สำหรับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงลอยพระประทีปขนมปังสีม่วง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่พระประทีปส่วนพระองค์ และพระประทีปในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่พระประทีปส่วนพระองค์ จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทหารเรืออัญเชิญไปลอยกลางแม่น้ำเจ้าพระยา

 โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรขบวนเรือประดับไฟ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 พ.ย. เป็นส่วนหนึ่งของงานสีสันแห่งสายน้ำมหกรรมลอยกระทง 2555 ภายใต้แนวคิด สว่างไสวสายน้ำแห่งเจ้าพระยาŽ ซึ่งมีขบวนเรือทั้งสิ้นจำนวน 10 ลำ ล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาจากสะพานพุทธยอดฟ้าฯ ถึงสะพานพระราม 8 พร้อมทอดพระเนตรการแสดงรำกลองยาวของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราช


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่เรือประดับไฟทั้ง 10 ลำล่องผ่านที่ประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงใช้กล้องถ่ายภาพส่วนพระองค์ บันทึกภาพเรือทุกลำที่ล่องผ่านด้วยความสนพระทัย กระทั่งเวลา 19.18 น. ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ กลับยังชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5ERXdPVGc1TkE9PQ==&subcatid=
http://1.bp.blogspot.com/
19748  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เปิดให้จองบูชา "ท้าวเวสสุวรรณ ,พระพิฆเนควร์ ,สุนทรีวาณี" ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 07:24:24 pm


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/banner/aj-ram.jpg
19749  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / สิ่งเลวร้าย.! บน 'Social Media' เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:53:42 am


สิ่งเลวร้าย.! บน 'Social Media'
สิ่งเลวร้ายบน Social Media : คอลัมน์ ดิจิตอลเลนส์ โดย... นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล

  ถึงแม้หลายบทความของผมหรือคอลัมนิสต์ท่านอื่นๆ จะบอกว่า Social Media มันน่าสนใจและวิเศษอย่างไรแต่เหรียญต้องมีสองด้าน อีกด้านนอกจากความวิเศษความสนุกสนานความคิดสร้างสรรค์ มีแง่มุมอันเลวร้ายแฝงอยู่เสมอๆ มีข่าวไม่ดีที่มีให้เห็นตามสื่อและอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นที่สนใจ

   สิ่งที่พูดกันอย่างมากและบ่อยไม่ว่าจะในบ้านเราหรือต่างประเทศ ก็คือ เรื่องของความเป็นส่วนตัวมีเคมเปญในต่างประเทศหลายตัวรณรงค์ในเรื่องนี้ เพราะยอดอาชญากรรมที่เกิดจาก Social Media ในเยาวชนพุ่งสูงขึ้น

    คำแนะนำในเรื่องนี้มีข้อสำคัญๆ อยู่ไม่กี่ข้อ
    - เรื่องแรก ก็คือ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่สามารถกำหนดได้ตั้งวิธีการรักษาความปลอดภัยเป็นการวางความปลอดภัยให้กับตัวเองง่ายๆ
    - และอีกเรื่องคือ การจะเป็นเพื่อนกับใครก็ได้บน Social Media แต่จำเป็นต้องเป็นคนที่รู้จักในชีวิตจริงๆ หรือเป็นเพื่อนของคนที่คุณรู้จักในชีวิตจริงมีตัวตนจริง
    - และสุดท้ายอย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปโดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลส่วนตัว เพราะข้อมูลเหล่าสำหรับคนที่ไม่หวังดีแล้วอาจเกิดเรื่องที่ไม่ปลอดภัยขึ้นได้


    พฤติกรรมการเสพติด Social Media กลายเป็นอีกเรื่องเลวร้ายที่น่ากังวลในคนรุ่นใหม่
    เยาวชนจำนวนมาก ใช้เวลาไปกับการแชทเล่นเกมใน Facebook
    และส่วนใหญ่ก็มักจะลืมไปว่า ถึงเวลาต้องพักและไปทำอย่างอื่น



    ข้อมูลที่ไม่ได้คัดกรองจำนวนมาก
    ข้อมูลบน Social Network ส่วนมากเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการสนทนากัน
    แน่นอนว่าเรื่องที่แท้จริง อาจถูกบิดเบือนความเป็นจริงไปได้
    อย่าเชื่อสิ่งที่ส่งต่อกันมาทั้งหมด เพราะอาจเป็นความจริงเพียงด้านเดียว


    ภาษาวิบัติเกิดขึ้น "มร้วกกก จุงเบย" ไม่รู้เป็นสิ่งเลวร้ายระดับชาติรึเปล่า แต่หลายคนมองว่ามันน่าวิตก
    แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องภาษาวิบัติในวัยรุ่นมันเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
    เพราะมันเกิดขึ้นแล้วก็หายไปตามเวลา มันคือแฟชั่น แฟชั่นมันมีเกิดขึ้นมา และดับไปตามความนิยม
    ผมว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายน้อยกว่า ต้องเปลี่ยนมากใช้ คอมพิวเตอร์ ซะอีกนะครับ

    มิจฉาชีพ และคนที่ไม่หวังดีใช้ประโยชน์จาก Social Media เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
    เรื่องเพศเป็นเรื่องอีกเรื่องเลวร้ายที่น่าวิตก เพราะวัยรุ่นยังไม่มีวิจารณญาณที่ดีพอในตัดสินใจ
    มีตัวเลขงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นยุคใหม่ใช้ Social Media ในเชิงชู้สาวมากขึ้น
    แต่สำคัญสำหรับผู้ปกครองคงต้องหันมาสนใจ สิ่งที่เราอาจจะไม่เคยสนใจ
    เพราะมันคือการป้องกันอันตรายให้กับเด็กๆ ได้ทางหนึ่ง ความจริงของเหรียญต้องมีสองด้านเสมอ



(หมายเหตุ สิ่งเลวร้ายบน Social Media : คอลัมน์ ดิจิตอลเลนส์ โดย... นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล)
ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20121127/145793/สิ่งเลวร้ายบนSocialMedia.html#.ULV5VGfvolh
http://www.bangkok-today.com/
19750  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ทวด 'องค์แพงที่สุดใลก'..๑๕ ล้าน.! เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:35:15 am


หลวงปู่ทวด 'องค์แพงที่สุดใลก'..๑๕ ล้าน!
หลวงปู่ทวดองค์แพงที่สุดใลก'๑๕ ล้าน!'กับ...๑๐ อันดับค่านิยมและความนิยมพระหลวงปู่ทวด
เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

    “พระหลวงปู่ทวด” วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ถือเป็นพระประเภทนิรันตราย ถือว่าประสบการณ์ชัดเจน มีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศ ผู้ที่นับถือต่างพบเห็นประสบการณ์มากมาย จนมีคำพูดว่า “แขวนพระหลวงปู่ทวดแล้วไม่ตายโหง”

     นอกจากนี้แล้วแม้พระหลวงปู่ทวดที่สร้างจากวัดอื่นหรือพระที่พวกมือผีจงใจปลอมแปลงขึ้นมา หากผู้บูชามีศรัทธาในหลวงปู่ทวดอย่างแท้จริงก็สามารถก่อให้เกิดปาฏิหาริย์เป็นอัศจรรย์ได้เช่นเดียวกัน และคติความเชื่อนี้เองทำให้มีการสร้างหลวงปู่ทวดออกมาจำนวนมาก จนมีคำพูดในวงการสร้างพระเครื่องว่า “สร้างพระหลวงปู่ทวดอย่างไรก็ขายได้และไม่ขาดทุน”
 
    ไม่น่าเชื่อว่าพระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งสร้างโดยพระครูวิสัยโสภณ หรือพระอาจารย์ทิม ธมมธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ หรือเมื่อ ๕๗ ปีที่แล้ว จะโด่งดังสูงล้ำด้วยค่านิยม ชนิดไล่หลังพระสมเด็จวัดระฆังเลยทีเดียว ทุกวันนี้กลับกลายเป็นค่านิยมที่มีการแสวงหากันทั่วประเทศ
 
      ส่วนรุ่นและองค์ที่ขึ้นชื่อว่าแพงสุดๆ และแพงกว่าพระสมเด็จ คือ "พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕" หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "เบตง ๑" โดยเฉพาะหมาย "เลข 999" ทั้งนี้ มีการตั้งประเมินค่านิยมไว้ว่า "หากใครอยากได้พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕ หมายเลข 999 ต้องใช้เงินเช่าอย่างน้อย ๑๕ ล้านบาท

    ส่วนเหตุผลที่ทำให้พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕ หมายเลข 999 มีคาราสูงมานั้น
    มีเหตุปัจจัยอยู่ ๓ ประการ คือ
       ๑.ผู้สร้างมีชื่อเสียง เป็นยอมรับ
       ๒.จำนวนการสร้างชัดเจน ๙๙๙ องค์ มีการตอกเลขกำกับ ซึ่งใช้เป็นข้อศึกษา และ
       ๓.เนื้อนวโลหะเทได้ดีมาก เลขตัวเดียวแพงกว่า ๒ ตัว เลข ๒ แพงกว่า ๓ ตัว

    นอกจากจากนี้ถ้าเป็นเลขมงคลก็จะเแพงขึ้นไปอีก

 



    สำหรับประวัติในการจัดสร้าง พระเครื่อง หลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐานเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ ทางวัดพุทธาธิวาสยังขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้างวิหารหลวงปู่ทวด คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยคุณสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกาซึ่งสมัยนั้น ท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาล อ.เบตง จ.ยะลา คุณชะลอ คุณเริ่ม คุณเรียง จึงจัดสร้างหลวงปู่ทวดรุ่นเลขใต้ฐานขึ้น
     โดยคุณสวัสดิ์เป็นผู้เดินทางไปจุดธูปขออนุญาตต่อหน้าสถูปหลวงปู่ทวด ที่วัดช้างให้
     โดยท่านอาจารย์ทิมเป็นผู้เห็นชอบด้วย

 
     การสร้างครั้งนี้ถือว่า เป็นการสร้างรูปหล่อโลหะหลวงปู่ทวดเป็นครั้งแรก
     โดยพิธีเททองหล่อในครั้งนั้นกระทำขึ้นที่บ้านนายช่างจรัสพัฒนางกูล บ้านช่างหล่อ กรุงเทพฯ
     โดยมีพระราชสังวราภิมณฑ์ หรือหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี
     เมตตาไปเป็นประธานนั่งปรกในพิธีเททองหล่อในครั้งนั้นด้วย
     ท่านอาจารย์ทิมยังได้มอบผงหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรก
     เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระหลวงปู่ทวดรุ่นนี้ด้วย
     อีกทั้งยังเดินทางไปเป็นผู้อุดผงด้วยตนเองในพิธีครั้งนั้นด้วย
     ซึ่งในการหล่อครั้งนั้นได้รูปหล่อที่ตัดจากชนวนแล้ว จำนวน ๙๙๙ องค์ มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ตัดออกจากชนวน องค์พระติดอยู่เป็นช่อ มีทั้งช่อละ ๙ องค์และช่อละ ๑๓ องค์ มีประมาณไม่เกิน ๑๐๐ ช่อ

 
    พระเครื่องหลวงปู่ทวดรุ่นเลขใต้ฐานนี้ลักษณะเป็นองค์หลวงปู่ทวดนั่งขัดสมาธิโดยไม่มีบัวคว่ำ บัวหงาย องค์พระเครื่องสูงประมาณ ๑ นิ้ว ฐานสูงประมาณ ๑/๒ ซม.กระแสเนื้อบนพื้นผิวจะออกกระแสแดง เมื่อได้สัมผัสการใช้ผิวจะออกดำ ใต้ฐานจะตอกหมายเลข ๑-๙๙๙ เป็นเลขอารบิคคมชัดทุกองค์ หากพลิกแล้วสังเกตที่ใต้ฐานให้ดีจะเห็นรอยปิดก้นซึ่งบรรจุผงเนื้อว่านเอาไว้ ด้วยโลหะชนิดเดียวกันอย่างแนบเนียน
 
     หลังจากที่บรรจุผงเนื้อว่านและตอกหมายเลขเรียบร้อยแล้วทางคณะกรรมการ จึงได้นำกลับมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างให้โดยท่านอาจารย์ทิมได้เมตตาปลุกเสกให้เป็นกรณีพิเศษหลังจากนั้นจึงนำไปที่วัดพุทธาธิวาสเพื่อออกให้เช่าบูชาในราคาองค์ละ ๑๐๐ บาท เท่านั้น


ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20121127/145779/หลวงปู่ทวดองค์แพงที่สุดใลก๑๕ล้าน!.html#.ULV1NWfvolh
19751  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ถือฤกษ์ 'วันที่ 12 เดือน 12 ปี 12'...เชื่อมไทย-ลาว เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:10:38 am

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ถือฤกษ์วันที่ 12 เดือน 12 ปี 12 เชื่อมไทย-ลาว

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน  ว่า  ตนได้ร่วมกับนายคะซึโอะ ชืบาตะ กงสุลใหญ่ประเทศญี่ปุ่นประจำ จ.เชียงใหม่ เดินทางไปดูความคืบหน้าการก่อสร้าง
    สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
    กับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้
    โดยมีคณะหอการค้า เช่น นายธนิสร กระฎุมพร รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ฯลฯ เข้าร่วมเยี่ยมชม


นายพัฒนากล่าวว่า ในอนาคตสะพานแห่งนี้จะผลักดันการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
     โดยปัจจุบันการค้าตามด่านชายแดนของ จ.เชียงราย ทั้ง 3 ด่านคือ
     อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ มีมูลค่าปีละกว่า 16,000 ล้านบาท
     หากสะพานแล้วเสร็จและมีการเปิดใช้จะทำให้มูลค่าการค้าในเบื้อตจ้นจะต้องขยับไปมากกว่าปีละ 20,000 ล้านบาท


ซึ่งไม่รวมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ประกอบการไทยก็ควรที่จะเตรียมความพร้อมต้องรับและเปิดธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง ที่สำคัญสะพานแห่งที่ 4 จะเป็นผลดีต่อระบบลอจิสติกส์ที่จะถูกลงกว่าการส่งสินค้าออกทางท่าเรือทางทะเล สินค้าของไทยก็จะมีโอกาสส่งออกมาขึ้นเกษตรกรก็จะมีตลาดใหญ่รองรับผลผลิตที่จะมีราคาขยับขึ้นกว่าที่เป็นอยู่



    ด้านนายวิรัตน์ แสนอุดุม ผอ.แขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า
     ในปัจจุบันโครงการก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่องกว่า 90% แล้ว
     โดยตัวสะพานก่อสร้างโครงสร้างหลักเกือบแล้วเสร็จแล้วเหลือเพียงส่วนประกอบ
     และเอกชนจีนซึ่งสร้างสะพานได้เริ่มขนย้ายอุปกรณ์บางอย่างออกไปแล้ว
     ขณะที่การก่อสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศพบว่า ทางเอกชนไทยได้เร่งก่อสร้าง
     โดยมีการลาดยางสร้างถนนไปถึงอาคารสถานที่ และมีถนนสับเปลี่ยนช่องจราจรก่อนถึงสะพานด้วย


     รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เกิดขึ้นจากรัฐบาลไทย จีน และ สปป.ลาว ได้ทำสัญญาว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนร่วมระหว่างบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย
     ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,486.5 ล้านบาท
     เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 และเดิมสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555
     รวมระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน
     แต่ช่วงกลางปี 2554 มีปัญหาเรื่องการใช้ค่าเงินจ้างเอกชนทำให้ล่าช้าออกไปถึงกลางปี 2556



     ล่าสุดมีรายงานด้วยว่า จะมีการทำพิธีเชื่อมสะพานอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
     หรือตรงกับตัวเลขวันที่ 12 เดือน 12 ปี ค.ศ.2012
     โดยจะมีระดับรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคาดว่า คือนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปทำพิธีเชื่อมแผ่นดินระหว่างกลางสะพานกับรองนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว ในวันดังกล่าว


     หลังการเชื่อมสะพานคงจะมีการปรับปรุงพัฒนาไปอีกระยะหนึ่ง
     จากนั้นเมื่อเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการก็จะทำให้การค้าชายแดนไทยและกลุ่มจีเอ็มเอสและจีน รวมทั้งการเข้าออกแดนด้านการท่องเที่ยวและอื่นๆ มีความคึกคักขึ้นอย่างมาก.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354008056&grpid=&catid=19&subcatid=1906
http://www.oknation.net/
19752  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แจก“น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์”ปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติฯ ณ พุทธมณฑล เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:52:19 am


แจก“น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์”ปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติฯ ณ พุทธมณฑล

พศ.อัญเชิญ “น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์” ทั่วประเทศ มาปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติในหลวง แจกประชาชนครั้งแรกในประวัติศาสตร์

วันนี้ (27 พ.ย.) ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ. กล่าวว่า ตามที่พุทธมณฑลได้รับความไว้วางใจจากชาวพุทธทั่วโลกให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาโลก

ดังนั้น ตนจึงเห็นว่าควรจะมีการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ต้องเดินทางไปไกล โดยจะเริ่มจากการนำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่างๆมารวมไว้ที่พุทธมณฑล

เพื่อให้พุทธศานิกชนที่เดินทางมาปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววันที่ 3-5 ธ.ค. ที่พุทธมณฑล ได้นำไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งทางพศ.ได้มีคำสั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) ทั่วประเทศ อัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์จากสถานที่สำคัญในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการรวบรวมน้ำพระพุทธมนต์จากทั่วประเทศ

 

นายวรเดช ช่างบุ ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล พศ. กล่าว่า น้ำพระพุทธมนต์ที่จะอัญเชิญจากจังหวัดต่างๆนั้นจะผ่่านการปลุกเสกมาแล้วจากคณะสงฆ์แต่ละจังหวัด และจากนั้นจะนำมารวมกันแล้วมีพิธีปลุกเสกพร้อมกันอีกครั้งในวันที่ 5 ธ.ค. ที่พุทธมณฑล เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ซึ่งหากพุทธศาสนิกชนที่สนใจจะรับน้ำพระพุทมนต์ดังกล่าวไปบูชาทางสำนักงานพุทธมนฑลก็จะเตรียมบรรจุใส่ขวดให้พุทธศาสนิกชนสามารถมาขอรับได้ ทั้งนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดต่างๆได้ทยอยอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามายังพุทธมณฑลแล้ว เหลือเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น

 

นายวรเดช กล่าวต่อไปว่า สำหรับน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่ต่างๆทั่วประเทศที่ได้อัญเชิญมายังพุทธมณฑลแล้ว เช่น
     วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) วัดบวรนิเวศวิหาร 
     วัดชนะสงคราม วัดอินทรวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
     วัดไตรมิตร วัดอรุณราชวราราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
     วัดไชยชุมพลชนะสงคราม วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี
     วัดธาตุ จ.ขอนแก่น
     วัดโสธรวราราม จ.ฉะเชิงเทรา
     วัดเขาบางทราย จ.ชลบุรี
     วัดไพรีพินาศ จ.ชัยภูมิ
     วัดธรรมามูลวรวิหาร จ.ชัยนาท
     วัดลอยเคราะห์ วัดเชียงยืน วัดสวนดอก วัดเจ็ดยอด วัดบุพพาราม วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร วัดเชียงมั่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
     วัดกะพังสุรินทร์ จ.ตรัง
     วัดพราหมณี(วัดหลวงพ่อปากแดง) จ.นครนายก
     วัดพระปฐมเจดีย์ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม
     วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/169280
http://i214.photobucket.com/,http://www.igetweb.com/
19753  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ "อัศจรรย์ทะเลหมอก"...กลางเมืองดูไบ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:40:41 am


อัศจรรย์ทะเลหมอกกลางเมืองดูไบ

ภาพปรากฏการณ์ที่หายากที่มีในเมืองกัลฟ์ประเทศดูไบ โดยในภาพเป็นรูปชั้นของเมฆสีขาวหนาทึบลอยต่ำกว่าตึกระฟ้า

วันนี้ (27 พ.ย.) เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ "เดอะซัน" ประเทศอังกฤษ นำเสนอภาพที่น่าอัศจรรย์ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่หายากที่มีในเมืองกัลฟ์ประเทศดูไบ โดยในภาพเป็นรูปชั้นของเมฆสีขาวหนาทึบลอยต่ำกว่าตึกระฟ้า


ทั้งนี้หมอกดังกล่าวเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างฤดูกาลที่มีอุณหภูมิสูงในระหว่างวันและตกกลางคืนมีความเย็นมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งหมอกนี้ลอยอยู่ประมาณ 30 เมตรเหนือพื้นดินแต่จะลงหนามากไม่กี่วันในแต่ละปี ปกติจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายนและพฤศจิกายน.









ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/world/169171
19754  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อยุธยา.หล่อเทียนชัยใหญ่ที่สุดในโลก สูงเกือบ 4 เมตร ถวายพ่อหลวง 5 ธันวามหาราช เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:35:02 am


หล่อเทียนใหญ่ที่สุดในโลกถวายในหลวง

อยุธยาหล่อเทียนชัยใหญ่ที่สุดในโลกสูงเกือบ 4 เมตรถวายพ่อหลวง 5 ธันวามหาราช

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วย นายวิทยา บุรณศิริ อดีตรมว.สาธารณสุข  นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา และ ว่าที่ ร.ต.สมทรง สรรพโกศลกุล นายกเทศมนตรีนครพระนครศรีอยุธยา ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ สถานศึกษา ภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน 61 แห่งในเขตเทศบาลนคร กว่า 1,000 คน ประกบพิธีบวงสรวงเบิกเนตรพระพุทธไตรรัตนนายก  หรือหลวงพ่อโต องค์จำลอง ที่หอพระหน้าเทศบาลนคร ฯ โดยมีพระสงฆ์ชั้นราชาคณะที่เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังมาเจริญพระพุทธมนต์และร่วมปลุกเสก

     จากนั้นได้ร่วมกันหล่อเทียนชัยพระพรชัยมงคลที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก
     เป็นเทียนสูง 3.99 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 99 เซนติเมตร น้ำหนักเทียน 499 กิโลกรัม
     ที่มีชนวนเทียนจากต้นเทียนจำนำพรรษาวัดต่าง ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เคยจุดใช้ในพระอุโบสถช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา


    โดยเทียนชัยพระพรชัยมงคลนี้กำใช้จุดในเย็นวันที่ 5 ธันวามหาราชที่มณฑลพิธีหน้าเทศบาล จัดงานจุดเทียนชัยพระพรชัยมงคล ในกิจกรรมแสดงความจงรักภัคดี งานวัน 5 ธันวามหาราช เพื่อร่วมสำนึกในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาและสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

   อย่างไรก็ตามในงานมีการขึ้นป้ายขนาดใหญ่ยาวกว่า 5 เมตร เป็นภาพถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยด้านล่างระบุข้อความ ขอน้อมเกล้าฯเฉลิมพระเกียรติ โดย ฯพณฯ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และพสกนิการชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/190431/หล่อเทียนใหญ่ที่สุดในโลกถวายในหลวง
19755  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กาญจน์ฉลองพุทธชยันตี อุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 ปี วันที่ 1-9 ธันวาคม 2555 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:29:40 am


กาญจน์ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี อุปสมบทพระภิกษุสมเณร 2,600 ปียิ่งใหญ่

นายชัยวัฒน์  ลิมป์วรรณธะ ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ได้ร่วมกับมูลนิธิวัดป่าหลวงมหาตาบัว ญาณสัมปันโน ร่วมสร้างประวัติศาสตร์และตำนานแห่งการสืบทอดรวมทั้งเผยแผ่พระพุทธศาสนาพร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกำหนดจัดงาน  “โครงการเปิดกาญจน์ ชาติภูมิ 99 ปี (9 สู่ 100 ปี) สมเด็จพระสังฆราชฯ 2,600 ปี พุทธชยันตีไทย บรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 รูป”

เพื่อร่วมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลองพระชันษา 99 พระชันษา ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถครบ 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 60 พรรษา

ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณหน้าศาลหลักเมือง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี



ทั้งนี้จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและประชาชนผู้สนใจทั่วไปร่วมงานพิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 รูป เพื่อร่วมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีและเฉลิมพระเกียรติ ผู้ที่มีจิตศรัทธาจะร่วมการบรรพชาอุปสมบทและบริจาคเงินทำบุญสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
     สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี โทร.0-3451-8799
     มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน เลขที่ 77 หมู่ 5 ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โทร.0-3435-1557
    หรือที่นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษมงคลชัย รองประธาน  มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน โทร.09-0986-1278
     หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขากาญจนบุรี ชื่อบัญชี “เมืองกาญจน์ ชาติภูมิ 99 ปี (9 สู่ 100 ปี) สมเด็จพระสังฆราชฯ 2,600 ปีพุทธชยันตีไทย”


ขอบคุณภาพข่วจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/190106/กาญจน์ฉลองพุทธชยันตียิงใหญ่
http://www.thairath.co.th/
19756  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบชะตานพเคราะห์ล้านนา สวดมนต์ข้ามปี-วัดพิพัฒน์ฯ สุโขทัย เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:20:45 am

สืบชะตานพเคราะห์ล้านนา สวดมนต์ข้ามปี-วัดพิพัฒน์ฯ

วัดพิพัฒน์มงคล ตั้งอยู่เลขที่ 464 หมู่ 9 บ้านท่าชุม ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ห่างจากที่ว่าการอำเภอทุ่งเสลี่ยม ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง สร้างขึ้นบนพื้นที่วัดร้างกลางทุ่งบ้านท่าชุม
     อาคารเสนาสนะประกอบด้วย รัตนอุโบสถ พุทธวิหารลายคำ เจดีย์ อาคารสุวรรณหอคำหลวง กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ศาลาอบรมธรรม ศาลาอเนกประสงค์ อาคารเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาราย โรงครัว พุทธมณฑจำลอง และสวนปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ปูชนียวัตถุมีพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระพุทธรัตนมณี หลายสิบองค์ ซึ่งขุดพบได้บริเวณสร้างวัด และพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา


    วัดพิพัฒน์มงคล เดิมทีเป็นป่ารกร้างกลางทุ่ง มีซากฐานพระเจดีย์ ฐานพระอุโบสถ และโบราณวัตถุต่างๆ ซึ่งบรรจุอยู่ในกรุพระเจดีย์ สันนิษฐานว่าเคยเป็นอารามหลวงมาก่อน คาดสร้างขึ้นในสมัยเวียงมอก พ.ศ.1672 ปัจจุบันมี "พระครู วรคุณประยุต" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

    ขณะจาริกธุดงค์ผ่านมาได้พักปักกลดบริเวณนี้เริ่มบูรณะก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ได้รับการตั้งชื่อวัดว่า วัดพิพัฒน์มงคล เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2528 และเมื่อวันที่ 28 ม.ย.2548 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้วัดพิพัฒน์มงคลได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ซึ่งมีกำหนดเขตกว้าง 7 เมตร ยาว 35 เมตร

    "พระครูวรคุณ ประยุต" เจ้าอาวาส วัดพิพัฒน์มงคลกล่าวว่า วัดแห่งนี้เป็นแหล่งธรรมเก่าแก่ จะมีพุทธ ศาสนิกชนเดินทางมาเที่ยวชมตลอด และทุกปีทางวัดได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมบารมีก้าวหน้า (ข้ามชาติ) 2 ปี 2 เดือน 2 วัน
     คืนวันที่ 31 ธ.ค.2555 พิธีสืบชะตาหลวงสะเดาะนพเคราะห์ 12 ราศี ปีที่ 30 ในแต่ละปีจะมีสาธุชนร่วมพิธีเกือบหนึ่งหมื่นคน ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ประกอบพิธีสืบชะตาหลวง
     วันอังคารที่ 1 ม.ค.2556 วันขึ้นปีใหม่ รอบเช้าเวลา 09.59 น. รอบบ่ายเวลา 13.39 น. ณ วัดพิพัฒน์มงคล


"พระเถราจารย์ผู้ทรงเวทแห่งล้านนาไทย 99 รูป เป็นผู้ประกอบพิธี โดยมี พระเดชพระคุณ พระอาจารย์พิพัฒน์มงคล (ครูบาญาณทิพย์) เป็นประธานพิธี พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นล้านนาไทยนี้หาทำได้ยากยิ่ง พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงเวทใน 9 จังหวัดภาคเหนือ เรียนรู้บทพุทธมนต์พระคาถาเสริมดวงชะตาได้ปลุกเสกเป่าแผ่นดวงชะตาของท่าน"



    สำหรับท่านที่เกิดใน 12 ราศี จะเป็นเดือนอะไรก็ตาม หากอายุของท่านลงท้ายด้วยเลข 3-7-1-9
หรือปี ชวด-ฉลู-มะโรง-มะเมีย-มะแม-วอก โบราณาจารย์ล้านนาถือว่าดวงชะตามีอุปสรรคติดขัดอยู่บ้าง

     โดยเฉพาะท่านที่เกิดวันอาทิตย์ตามโหราศาสตร์ไทยจักรราศีลัคนาชงกับวันอังคาร วันจันทร์ชงกับวันพฤหัสบดี วันอังคารชงกับวันอาทิตย์ วันพุธชงกับวันราหู วันพฤหัสบดีชงกับวันจันทร์ วันศุกร์ชงกับวันเสาร์ วันเสาร์ชงกับวันศุกร์
     ส่วนท่านที่ไม่ตรงตามนี้ถือว่าโชคดี ท่านจะเสริมดวงชะตาของท่านให้ดียิ่งๆ ขึ้นก็ได้ วันเดือนปีผ่านไปเราไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าชะตาชีวิตจะเป็นเช่นไร


     ในปีหนึ่งเรามาเข้าพิธีสืบชะตาสะเดาะ นพเคราะห์แบบล้านนาครั้งหนึ่งก็จะเป็นมงคล แก่ชีวิตเริ่มต้นดีก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
     ผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีให้มารับแผ่นดวงชะตายันต์มหาโภคทรัพย์ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องนำมาเอง
     ท่านจะทำบุญเกินอายุของท่านหรือบูชาครูเท่าไรก็ได้ ส่วนที่ไม่สามารถเข้าพิธีได้ให้ส่งแผ่น ดวงใบโพธิ์มหามงคลที่ทางวัดส่งให้นี้กลับมาพร้อมปัจจัยบูชาครู เพื่อนำแผ่นดวงเข้าพิธีแทนตัวท่าน
     แผ่นดวงใบโพธิ์นี้ต้องเขียนชื่อ-นามสกุลวันเดือนปีเกิดของท่านลงในแผ่นดวงแล้วนำเข้าพิธีก็เหมือนตัวท่านได้เข้าร่วมพิธีเช่นกัน


    ท่านที่ได้เข้าร่วมพิธียังได้ถวายต้นมหาสังฆทานสูง 9 วา จำนวน 9 ต้น
    รับน้ำพุทธมนต์ 99 พระเกจิอาจารย์ ของวัดที่มีชื่อมงคลเช่น วัดดับภัย วัดชัยมงคล วัดดวงดี วัดทุ่งเศรษฐี วัดหมื่นล้าน เป็นต้น


    อนึ่ง ทางวัดจะรวบรวมแผ่นดวงชะตาที่ตกค้างที่ส่งไม่ทันวันที่ 1 ม.ค.
    ทำพิธีอีกรอบในวันที่ 29 ม.ค.และวันที่ 16 เม.ย.2556 เวลา 09.09 น.
    วันที่ 16 เม.ย.คือวันขึ้นต้นปีใหม่ไทย

    ผู้ที่ไม่สามารถร่วมพิธีได้ ให้จัดส่งแผ่น ดวงชะตามาที่ พระครูวรคุณประยุต (หลวงพ่อพิพัฒน์มงคล)
    เจ้าอาวาสวัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย 64150
    หรือเข้าไปที่ www.pipatmongkol.com



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekkzTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tnc9PQ==
19757  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดสวนดอก-ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด จัดเทศน์ประวัติพระอุปคุต เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:06:37 am


วัดสวนดอก-ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด จัดเทศน์ประวัติพระอุปคุต

นายคีรินทร์ หินคง ตัวแทนชมรมรักษ์เป็งปุ๊ด จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า คณะสงฆ์และคณะกรรมการวัดสวนดอก พระอารามหลวง นำโดยพระศรีสิทธิเมธี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก กำหนด จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด ตามประเพณีเมืองเหนือ ในกลางดึกของคืนวันอังคารต่อวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เพื่อถวายแด่พระอุปคุต ที่ได้อัญเชิญมาให้พระพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ สักการะ 3 องค์ คือ
    พระอุปคุตหินหยกอายุหลายร้อยปี จากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า
    พระอุปคุตจากวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย และ
    พระอุปคุตที่หล่อจากวัดสวนดอก พระอารามหลวง
    กำหนดจัดพิธีในวันอังคารที่ 27 พ.ย. เวลา 22.30 น. เป็นต้นไป มีการสมาทานศีล ฟังเทศน์ 3 ธรรมาสน์ จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน จึงจะร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง



สำหรับประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ดนี้ พุทธศาสนิกชนชาวเหนือเชื่อว่าเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ และโชคลาภมหาศาล โดยวันเป็งปุ๊ดครั้งที่ 2 ของปี 2555 ถือเป็นโอกาสสำคัญสุดท้ายจะได้ร่วมฉลองสมโภชปีพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้อีกด้วย
     ในการนี้ขอเชิญฟังเทศน์ 3 ธรรมาสน์เกี่ยวกับประวัติพระอุปคุต โดยพระมหานิคม มหาภินิกขมโน วัดท่าตอน พระมหาดวงจันทร์ คุตตสีโล วัดพันแหวน และพระมหาสง่า ธีรสังวโร วัดผาลาด โดยนิมนต์พระภิกษุสามเณร 200 รูปมารับบิณฑบาต ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป



นายคีรินทร์กล่าวต่อว่า พุทธศาสนิกชนในภาคเหนือเชื่อกันว่า การตักบาตรเป็งปุ๊ดเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ จะนำมาซึ่งความสำเร็จและโชคลาภมหาศาล เชื่อว่าตักบาตรพระอุปคุตแล้วจะประสบความสำเร็จ โดยจะนิยมตักบาตรกับเณรในเวลากลางคืนตามความเชื่อ ทั้งนี้มีเรื่องเล่าถึงประวัติของวัดอุปคุต ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นต้นแบบของการตักบาตรเป็งปุ๊ดว่า

    มีสองสามีภรรยาพบสามเณรเดินผ่านในยามวิกาล จึงใส่บาตร
     เมื่อสามเณรรับบาตรแล้วก็หายตัวไปในป่ารก
     หลังจากนั้นสองสามีภรรยาดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจ
     จึงได้มา สร้างวัดอุปคุตไว้ตรงที่ใส่บาตร


     สำหรับวัดในจังหวัดเชียงใหม่ที่จัดพิธีตักบาตรเป็งปุ๊ด มีวัดอุปคุต วัดสวนดอกและวัดศรีดอนมูล
     ในระยะหลัง มีวัดอื่นๆ จัดพิธีดังกล่าวด้วย โดยจะนำปัจจัยทั้งหมดที่ได้ไปใช้ในการบูรณะพระวิหารหลวง ส่วนข้าวสาร อาหารแห้งที่ได้รับจะนำไปถวายวัดต่างๆ ต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจากุ
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEkzTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tnc9PQ==
http://www.oknation.net/,http://www.walkingstreetcm.com/
19758  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ กรมประชาสัมพันธ์ เปิดงาน "สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง" ปี ๒๕๕๕ เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 12:37:46 pm
กรมประชาสัมพันธ์เปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง
ประจำปี 2555 ตั้งแต่ 26-28 พ.ย.นี้


นางนพมาศของกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมลอยกระทง
ในพิธีเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง ประจำปี 2555 บริเวณสระน้ำภายในกรมประชาสัมพันธ์


น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ร่วมเซิ้งรำกับนายธีระพงษ์ โสดาศรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
ระหว่างการเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง ประจำปี 2555


บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ร่วมรำหน้าขบวนก่อนการเปิดงาน


วงดนตรีรำวงย้อนยุค ร่วมสร้างความสนุกสนาน
ในงานลอยกระทงกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย.นี้


ชิงช้าสวรรค์และหนังกลางแปลงภายในงานลอยกระทงกรมประชาสัมพันธ์


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/gallery/view/region/5890
19759  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "ข่มวาสนา รักษาศรัทธา" พระสารีบุตรแสดงไว้อย่างไร.? เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 05:51:32 am

"ข่มวาสนา รักษาศรัทธา" พระสารีบุตรแสดงไว้อย่างไร.?
    
     ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีท่านหนึ่งเกิดจิตศรัทธา ใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืนแด่พระสารีบุตร
     จึงนิมนต์ให้พระสารีบุตรไปรับประเคนที่บ้านของตน ระหว่างทางต้องข้ามท้องร่อง
     พระสารีบุตรกระโดดข้ามด้วยความว่องไว เศรษฐีรู้สึกขัดใจจึงคิดว่า


        “สมณะรูปนี้ไม่สำรวมเลย เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนเท่านั้น” เศรษฐีคิดในใจ

     เมื่อเดินทางผ่านท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรยังคงกระโดดข้ามอีก
     เศรษฐีจึงกำหนดหมายว่าจักถวายผ้าเพียงผืนเดียวเท่านั้น
     แต่พอผ่านมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม กลับเดินอ้อมไปอย่างสำรวม
     เศรษฐีจึงถามด้วยความแคลงใจว่า


         “ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดเล่า ขอรับ”
         “ถ้าอาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้ โยมก็ไม่ได้ถวายผ้าแน่ะซี”

     พระสารีบุตรในอดีตชาติได้ถือกำเนิดเป็นวานร
     เพราะฉะนั้น นิสัยกระโดดโลดเต้นจึงติดมา
     แม้ในปัจจุบันชาติ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว
      ยังไม่อาจตัดวาสนาแห่งวานรได้อย่างหมดจด


อ้างอิง คัดลอกมาจากประวัติพระสารีบุตร
ที่มา http://www.wattham.org/wattham_Buddha_monk_Saribood.php
ขอบคุณภาพจาก http://statics.atcloud.com



ความหมายของคำว่า "วาสนา"

วาสนา - อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็ว หรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น

    ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศล ก็มี เป็นอกุศล ก็มี เป็นอัพยากฤต คือ
    ป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็มีที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ

    แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
    ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบาย กับ ส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ
    ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้
    แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้
    จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา;


    ในภาษาไทย คำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป
    กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/,http://i2.ytimg.com/vi/y-rkP_R-kGs/


   
     พระสารีบุตรท่านมีเจโตปริยญาณ ล่วงรู้วาระจิตของเศรษฐีได้
     แต่เศรษฐีไม่ทราบว่า ท่านรู้ว่าเศรษฐ๊กำลังคิดอะไร
     การที่ท่านไม่กระโดดข้ามท้องร่องที่สาม ใช่ว่าท่านมีจิตคิดอยากได้ผ้าของเศรษฐี
     แต่เป็นการรักษาศรัทธาของเศรษฐีเอาไว้ เพราะเศรษฐีมีศรัทธาที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้น
     เหตุที่เศรษฐีมีศรัทธาหดเข้าหดออก ดังหัวเต่า เพราะไม่อาจเข้าใจวาสนาของพระสารีบุตร


    เรื่องนี้สุดท้ายแล้วเล่ากันว่า เศรษฐีได้กราบขอขมาและถวายผ้าทั้งสามผืนให้แก่พระสารีบุตร
     และได้มีภิกษุไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเล่าอดีตชาติของพระสารีบุตรให้ฟังว่า
     ท่านเคยเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ นิสัยชอบกระโดดจึงติดตัวมา ไม่อาจจะละนิสัยนี้ได้


      เรื่องการละวาสนาไม่ได้นี้ มีอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ
     พระปิลินทวัจฉเถระ เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา ผู้มีปกติเรียกคนอื่นว่า “คนถ่อย”
     การที่ท่านเรียกคนอื่นว่า "คนถ่อย" ก็เป็นวาสนาของท่านที่ละไม่ได้

     
     เรื่องการรักษาศรัทธานี้ ผมมีอีกตัวอย่างหนึ่ง เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เรื่องมีดังนี้ครับ


   
     นี้เป็นภาพมีในพุทธประวัติจากหินสลัก พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต พวกเด็ก ๆ ที่น่ารักกำลังนั่งเล่นดินเล่นทราย เอากะโหลกกะลามาทำข้าว ทำขนม ครั้นเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาต ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่าจะรับไหม

     พระพุทธเจ้าก็เปิดบาตรรับจากเด็กผู้มีจิตศรัทธาน้อมอยากจะให้ จิตที่คิดจะให้นั้นมันสบาย
     แล้วจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธานั้นชื่อว่าน้อยไม่มี
      เพราะขึ้นชื่อว่าจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธาแล้ว

     มันไม่มีคำว่าค่าน้อย มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก
      เพราะใจที่จะคิดให้นั้นมันยาก


      ซึ่งมันไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ แม้แค่ดินแค่ทรายล่วงล้ำเกินนิดเดียวเพื่อประโยชน์ของสาธารณะก็ยังยาก บางคนนี่ขยายที่รุกเขตกันเข้ามาจนหมดรั้วหมดหนทางเดิน นี่แหละ…จิตที่คิดจะให้มันยาก


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://kunkroo.com/2554/index1.php?page=bdhistory3_5
19760  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เสริมศักดิ์" ขานรับไอเดีย "วันพุทธ" หวังขัดเกลาเด็กอาชีวะ-ลดวิวาท-จ่อชงครม. เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 04:43:24 am


"เสริมศักดิ์"ขานรับไอเดีย"วันพุทธ" หวังขัดเกลาเด็กอาชีวะ-ลดวิวาท-จ่อชงครม.

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงมาตรการแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ก่อเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบัน ว่า

ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องเร่งหามาตรการแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม เพราะศธ.ไม่อยากให้เด็กและเยาวชน ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติ ต้องมาเสียเลือด เสียเนื้อ ด้วยการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเอง โดยเฉพาะเด็กที่เรียนสายอาชีวะเหล่านี้ ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นความต้องการหลักของตลาดแรงงานในอนาคต

ดังนั้น ในฐานะที่กำกับดูแล จึงวางกรอบแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวในเบื้องต้น โดยสถานศึกษาอาชีวะทุกแห่ง ต้องบันทึกประวัติของเด็กกลุ่มเสี่ยงอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล ที่อยู่ และชื่อผู้ปกครอง เพื่อใช้ในการติดตามตัวเด็กเมื่อเกิดปัญหา ทั้งนี้อาจให้เชื่อมโยงข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย



รมช.ศธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะสานต่อโครงการสุภาพบุรุษอาชีวะที่ดำเนินการอยู่แล้วต่อไป เพื่อให้เด็กอาชีวะฝึกความมีระเบียบวินัย และมีจิตอาสาต่อสังคม ตลอดจนนำแนวคิดของนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ภรรยา
    ที่เสนอให้ทุกวันพุธ เป็นวันของศาสนาพุทธ
    เหมือนศาสนาอิสลามที่ทำพิธีละหมาดใหญ่ในวันศุกร์
    หรือศาสนาคริสต์ ที่เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์


เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม ซึมซับการคิดดี ทำดี ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยจะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมองค์กรหลักศธ. หากทุกฝ่ายมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะประสานระดับกระทรวง ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

    และหากกำหนดให้วันพุธเป็นวันศาสนาพุทธแล้ว สถานศึกษาทั่วประเทศ
    ก็จะมีกิจกรรมตักบาตรตอนเช้า ตลอดจนการปฏิบัติธรรม
    ส่วนตัวมั่นใจว่าจะลดพฤติกรรมรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนได้


ขอบคุณภาพจข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFpIVXdNVEkyTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNeE5RPT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tmc9PQ==
http://2600-84.stopdrink.com/,http://web.chiangrai.net/
หน้า: 1 ... 492 493 [494] 495 496 ... 554