(ซ้าย) พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ซารินา พระราชโอรส และพระราชธิดา (ขวา) มกุฎราชกุมารอเล็กซิส
โหรไทยกับประวัติศาสตร์โลก : เมื่อโหรไทยทำนายดวงพระชะตามกุฎราชกุมารรัสเซียในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา โหราศาสตร์ดูจะเป็นศาสตร์หนึ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีความสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยการกำหนดฤดูกาลการเพาะปลูกและปฏิทิน โดยกำหนดพิธีการทางศาสนา เทศกาลบวงสรวงเทพเจ้า และโดยกำหนดพระราชพิธีและกิจกรรมอื่นๆ ของรัฐหรือพระมหากษัตริย์ เช่น การเคลื่อนพลกรีฑาทัพ ฯลฯ นอกไปจากนั้นโหราศาสตร์ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับศาสตร์อื่นๆ เช่น ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และแม้แต่ศาสตร์ใหม่ๆ อย่างคอมพิวเตอร์ศาสตร์
ศาสตร์เพื่อมวลชน
ดังนั้นแม้ว่าความคิดและวิทยาการของโลกจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรอบศตวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีการพัฒนาตัวมันเองช้ามาก ในด้านรูปแบบและเทคนิควิธีการ แต่โหราศาสตร์ก็หาได้เสื่อมความนิยมไปจากประชาชนไม่ ในทางตรงกันข้าม มีแนวโน้มที่ชี้ให้เห็นชัดว่า ในขณะที่เดิมโหราศาสตร์เป็นสิ่งที่ผูกขาดเฉพาะในราชสำนัก ในสังคมของชนชั้นสูงฝ่ายปกครอง หรือในสังคมของพระหรือนักบวช ในปัจจุบันโหราศาสตร์ได้ขยายแวดวงออกมาถึงมือประชาชนสามัญมากขึ้น ถึงกับบางครั้งมีการอ้างว่า โหราศาสตร์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงตนเองจากโหราศาสตร์เพื่อศักดินาเป็นโหราศาสตร์เพื่อมวลชน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ทุกวันนี้เราจะพบว่าโหราศาสตร์ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย เกือบทุกตรอก ถนน หรือซอย จะมีป้ายโฆษณาสำนักโหรหรือไม่ก็มีสำนักโหรตั้งอยู่ วัดที่มีพระที่เป็นโหรมีชื่อก็จะมีคนขึ้นคึกคัก โบสถ์หรูหรา กุฏิติดแอร์ มีทั้งตู้เย็น ทีวี แถมรถเก๋งอย่างดี ส่วนพระที่เป็นโหรก็มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าคุณเร็วกว่าพระอื่นๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเกือบทุกฉบับ คอลัมน์โหราศาสตร์ก็ดูจะเป็นของขาดไม่ได้ บางฉบับถึงกับพัฒนาวิธีการนำเสนอเพื่อเป็นการดึงดูดคนอ่านในรูปแบบที่แปลก รายการโทรทัศน์ก็มีเรื่องโหราศาสตร์จนเกิดคำพูดที่ติดปากว่า “ฟันธง” ปิดท้ายคำทำนายทายทักพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉายร่วมกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย อย่างเป็นกันเองในคราวเสด็จประพาสยุโรป ร.ศ. ๑๑๖
การเมืองเรื่องของโหร
นอกไปจากนั้น สำหรับสังคมไทยโหราศาสตร์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการเมืองอยู่ไม่น้อย ในการทำรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายเผด็จการเท่าที่ผ่านมาโหรผู้ให้ฤกษ์มีความสำคัญมากเท่ากับเสนาธิการฝ่ายยุทธการ หรือฝ่ายกำลังพล นักการเมืองและนายทหารชั้นสูงสมัยประชาธิปไตยหลัง ๑๔ ตุลาคม ส่วนใหญ่ก็ยังมีโหรประจำตัวสำหรับคอยชี้นำทางปฏิบัติให้อยู่
ปรากฏการณ์ที่คนให้ความสนใจหลงใหลโหราศาสตร์มากขึ้นนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนระดับหนึ่งที่มีปัญหาด้านการครองชีพแร้นแค้น ก็เนื่องมาจากการที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่งที่หวังสำหรับอนาคตของตนได้อีกแล้ว สังคมที่ตนอยู่ก็ไม่ได้เอื้อโอกาสที่จะทำให้วิถีชีวิตของตนดีขึ้น มิหนำซ้ำยังถูกคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และมีอิทธิพลอยู่ในสังคมกดขี่ขูดรีดอยู่ทุกวิถีทางทั้งโดยตรงโดยอ้อม ทั้งยังได้มอมเมาความคิดที่ให้ยอมรับสภาวะที่เป็นอยู่และอดทนรอให้ “บุญ” และ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” มาช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดีความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ในต่างประเทศโหราศาสตร์ก็ได้เข้ามาสัมผัสกับมวลชนมากขึ้น ในบางกรณีถึงกับกลายเป็นเรื่องระดับชาติ อย่างที่เราคงเคยจำได้ว่าในรอบ ๑๐-๒๐ ปีหลังนี้ ได้มีโหรระดับชาติหลายคนที่สร้างข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลกอยู่เสมอ และมีผลในการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมอยู่มากพอสมควร ด้วยการทำนายว่าโลกจะแตกภายใน ๕ ปีบ้าง ผู้นำสำคัญคนโน้นคนนี้จะตายภายในปีนี้ หรือไม่ก็หมดอำนาจบ้าง หรือไม่ก็สงครามโลกจะเกิดขึ้น คนจะตายกันหมดเพราะระเบิดปรมาณู ฯลฯ ซึ่งก็ปรากฏว่าผิดเสียมากกว่าถูก
อดส่งโหรออกนอก
ในประวัติศาสตร์ไทยก็ปรากฏว่าได้มีโหรไทยอยู่ ๒ ท่าน สามารถทำนายประวัติศาสตร์โลกได้ถูกต้องค่อนข้างแม่นยำอย่างน่าทึ่ง โดยที่ท่านเจ้าตัวผู้ทำนายเองก็คงจะไม่ตั้งใจและนึกไม่ถึง เนื่องจากการทำนายครั้งนี้เป็นการทำนายของโหรหลวงในราชสำนักไทย จึงไม่ได้มีการเผยแพร่ออกสู่โลกภายนอก และคำทำนายก็ถูกเก็บรักษาในแฟ้มเป็นอย่างดี จนกระทั่งถูกค้นพบโดยบังเอิญในแฟ้มเอกสารประวัติศาสตร์ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพราะฉะนั้นความสามารถของโหรไทย ๒ ท่านนี้ในสมัยนั้นจึงไม่มีโอกาสดังเป็นพลุแตกเหมือนโหรรอื่นๆ ในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้โหรไทยคงเป็นที่เรียกร้องของคนทั่วโลก และคงมีโอกาสเป็นสินค้าออกไปขุดทองที่เมืองนอก เหมือนอย่างหมอไทย พยาบาลไทย แรงงานไทย และโสเภณีไทย
คำทำนายของโหรไทยทั้ง ๒ ท่านนี้คือหลวงโลกทีปและหลวงไตรเพท ซึ่งเป็นโหรหลวงประจำราชสำนักของรัชกาลที่ ๕ [หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บัญชีเอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ กระทรวงต่างประเทศ หมู่ที่ ๑๙ (ว่าด้วยรัสเซีย) เลขที่ ๒๖ เรื่องดวงชะตาแกรนดุ๊กอาเล็กซิส มกุฎราชกุมารรัสเซีย (รหัสไมโครฟิล์ม มร.๕ ต./๖๔)]
การต่อต้านจักรวรรดินิยม
ก่อนที่จะกล่าวถึงรายละเอียดในคำทำนาย ๒ ฉบับที่มีส่วนไปพัวพันกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์โลกนี้ ควรที่จะทราบเบื้องหลังที่ทำให้เกิดคำทำนายดังกล่าวบ้างเล็กน้อย
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ประเทศไทยเปิดความสัมพันธ์กับต่างประเทศทางตะวันตกมากมายหลายประเทศ และในขณะเดียวกันก็ต้องถูกคุกคามจากภัยจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคมของฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งแข่งขันกันอย่างหัวหกตีนขวิด เพื่อที่จะเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในประเทศไทย และมีผลทำให้ดินแดนที่ไทยถือว่าได้ปกครองอยู่ในขณะนั้นถูกเฉือนไปเป็นอันมาก รวมไปถึงผลประโยชน์อื่นๆ อีกหลายอย่างที่ต้องสละไปชั่วคราว
นโยบายของประเทศไทยในการต่อต้านจักรวรรดินิยมในขณะนั้นก็คือ พยายามปรับปรุงกิจการบริหารประเทศให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพกว่าเดิม และรวมทั้งการผูกมิตรกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ มากขึ้น เพื่อที่ว่ามหาอำนาจเหล่านั้นจะได้เกรงใจกัน ไม่กล้าฮุบเอาประเทศไทยไปเป็นเมืองขึ้นอย่างหน้าตาเฉย หรือพูดง่ายๆ ก็เป็นการค้านอำนาจกันเองระหว่างมหาอำนาจต่างๆ
รัชกาลที่ ๕ ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์อันสนิทสนมแน่นแฟ้นกับราชสำนักของมหาอำนาจต่างๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักในอังกฤษ ราชสำนักเยอรมัน ราชสำนักเดนมาร์ก หรือราชสำนักรัสเซีย ได้เสด็จไปเยือนยุโรปด้วยพระองค์เองถึง ๒ ครั้ง ในระหว่างที่ทรงครองราชย์ และได้เชื้อเชิญพระราชวงศ์ชั้นสูงในราชสำนักเหล่านั้น เสด็จเยือนประเทศไทยในหลายโอกาส นอกจากนั้นยังได้ทรงส่งพระราชโอรสของพระองค์ไปศึกษาในประเทศเหล่านั้น อย่างเช่น เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (ต่อมาทรงครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๖) ที่ประเทศอังกฤษ เจ้าฟ้าบริพัตรฯ ที่เยอรมนี กรมหมื่นนครไชยศรีฯ ที่เดนมาร์ก บรรดาพระราชโอรสทั้งหลายนี้เองที่ได้กลายเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ระหว่ารัชกาลที่ ๕ กับราชสำนักเหล่านั้น
มหามิตรรัสเซีย
ในบรรดามหาอำนาจยุโรปเหล่านี้ ราชสำนักรัสเซียนับเป็นราชสำนักยุโรปที่รัชกาลที่ ๕ ทรงมีความสนิทสนมด้วยดียิ่งเป็นพิเศษกว่าราชสำนักอื่นๆ เริ่มด้วยการเชิญเสด็จมกุฎราชกุมารรัสเซีย (ต่อมาครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์องค์สุดท้ายของรัสเซีย พระนามนิโคลัสที่ ๒) มาเยือนประเทศไทยในตอนต้นของปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ในโอกาสที่มกุฎราชกุมารนิโคลัสเสด็จผ่านประเทศทางเอเชียทางชลมารคเพื่อไปไซบีเรีย การรับเสด็จครั้งนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งเท่าที่ราชสำนักไทยเคยจัดมา
การคุกคามของฝรั่งเศสต่อไทยในเวลาต่อมา โดยเฉพาะกรณี ร.ศ. ๑๑๒ ทำให้รัชกาลที่ ๕ ต้องพึ่งรัสเซียในการช่วยเจรจากับฝรั่งเศส ในการเสด็จเยือนยุโรปครั้งแรกของพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ก็ทรงกำหนดให้รัสเซียเป็นประเทศแรกที่เสด็จเยือนอย่างเป็นทางการ ประการสำคัญในปีต่อมา พระองค์ทรงตัดสินพระทัยส่งพระราชโอรสองค์ที่โปรดที่สุด คือเจ้าฟ้าจักรพงษ์ไปศึกษาที่ประเทศรัสเซีย โดยทรงฝากฝังไว้กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ซึ่งก็ได้ทรงรับเป็นผู้อุปการะและทรงให้ความสนิทสนมแก่เจ้าฟ้าจักรพงษ์อย่างดียิ่ง โดยทรงถือว่าเป็นเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัวของพระองค์เอง
ความสัมพันธ์ต่างๆ ดังกล่าว ได้มีผลให้พระราชวงศ์ทั้งสอง คือราชวงศ์จักรีและราชวงศ์โรมานอฟสนิทสนมกันมาก รัชกาลที่ ๕ เองมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ถึงพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ เพื่อปรึกษาและขอความสนับสนุนเกี่ยวกับปัญหาทางด้านการเมืองและรวมทั้งเกี่ยวกับการศึกษาและความเป็นอยู่ของเจ้าฟ้าจักรพงษ์อยู่เนืองๆ
ปัญหาหนึ่งที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ทรงกลัดกลุ้มพระทัยมากอยู่ในขณะนั้นก็คือ สายโลหิตของพระองค์ที่พระมเหสีอเล็กซานดราทรงให้กำเนิด ๔ พระองค์แรกเป็นพระธิดาทั้งหมด ยังหามีราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อไม่ จนถึงขนาดที่บางครั้งทรงต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ผล
อย่างไรก็ดีในที่สุดหลังจากที่ทรงรอคอยมาได้ ๑๐ ปี ในเดือนสิงหาคม ๒๔๔๗ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ได้พระราชโอรสสมพระทัยปรารถนา ทรงนามว่าอเล็กซิส ทั่งทั้งรัสเซียในเวลานั้นได้มีการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีอย่างขนานใหญ่ที่ในที่สุดมกุฎราชกุมารก็ได้ประสูติ ในวันเดียวกับที่มกุฎราชกุมาร (หรือเรียกในภาษารัสเซียว่า Tsarevitch) อเล็กซิสประสูตินั่นเอง พระยาศรีธรรมสาสน (ทองดี สุวรรณศิริ) อัครราชทูตไทยที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงของรัสเซียในเวลานั้น (ปัจจุบันคือนครเลนินกราด) ก็ได้มีโทรเลขเข้ามาทูลฯ กรมหลวงเทวะวงศ์ฯ เสนาบดีต่างประเทศของไทย ซึ่งกรมหลวงเทวะวงศ์ฯ ก็ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแก่รัชกาลที่ ๕ ให้ทราบ และได้มีพระราชโทรเลขแสดงความยินดีไปยังราชสำนักรัสเซียโดยทันที(ซ้าย) มกุฎราชกุมารอเล็กซิสเมื่อพระชันษา ๒ ปี, (ขวา) พระมเหสีอเล็กซานดราทรงต้องเฝ้าไข้พระราชโอรสที่ทรงพระประชวรอยู่บ่อยครั้ง
ดวงรัชทายาท
ในเดือนต่อมา ภายหลังที่รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงรับรายงานละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาประสูติขององค์มกุฎราชกุมารอเล็กซิสที่อัครราชทูตไทยส่งมาถวาย พระองค์ได้มีพระราชกระแสให้กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ “สอบวันแลเวลาประสูตรตรงกับวันเรา ส่งไปให้โลกทีปผูกดวงดูสักที…” [พระราชกระแสรัชกาลที่ ๕ วันที่ ๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๒๓) ในเอกสารรัชกาลที่ ๕ ต ๑๓.๑ (เจ้านายต่างประเทศประสูติโอรสธิดา) เลขที่ ๗ (สมเด็จพระนางเจ้ารัสเซียประสูติพระโอรส)] การที่ทรงสั่งให้สอบวันและเวลาการประสูติก็เนื่องมาจากว่า นอกจากเวลาที่รัสเซียและไทยจะต่างกันมากแล้ว ระบบปฏิทินที่รัสเซียใช้เวลานั้นก็ยังต่างไปจากสากลนิยมอีกด้วย คือช้ากว่าวันในปฏิทินสากลนิยม ๑๓ วัน
๓ วันต่อมา กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ก็ได้มีรับสั่งให้หลวงโลกทีป โหรหลวงดำเนินตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๕ ตามร่างหนังสือที่มีไปถึงหลวงโลกทีป ที่แนบวันเวลาที่คำนวณออกมาอย่างละเอียดดังนี้
“ร่างหนังสือกรมราชเลขานุการ ที่ ๖๖/๘๘๔ วันที่ ๒๔ กันยายน ร.ศ. ๑๒๓”
“ถึงหลวงโลกทีป ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผูกดวงพระชาตาแกรนดดุกอเล็กซิส มกุฎราชกุมารกรุงรัสเซียทูลเกล้าฯ ถวาย ได้ส่งจดหมายวันประสูตรมาพร้อมกับหนังสือนี้แล้ว”
“ประสูตรวันที่ ๓๐ กรกฎาคม คฤสตศักราช ๑๙๐๔ เวลาบ่ายโมง ๑ กับ ๑๕ นาที ตามวิธีวันที่ใช้ในประเทศรัสเซีย แลเวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอค”
“วันรัสเซียช้ากว่าวันที่ใช้อยู่ในกรุงเทพฯ ๑๓ วัน ต้องเอา ๑๓ บวก”
เวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอคแก่กว่าเวลาที่เมืองกรินิช ๒ โมง ๑ นาที ๑๓ วินาที”
“เวลาที่กรุงเทพฯ แก่กว่าเวลาที่เมืองกรินิช ๖ โมง ๔๑ นาที ๕๒ วินาที”
“เอาอันน้อยลบอันมาก ตกเปนเวลากรุงเทพฯ แก่กว่าเวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอค ๔ โมง ๔๐ นาที ๓๙ วินาที ต้องเอาไปบวกเวลาประสูตร”
“จึ่งตกเปนวันเวลาในกรุงเทพฯ เปนวันที่ ๑๒ สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓ เวลาบ่าย ๕โมง กับ ๕๕ นาที ๓๙ วินาที นี้เปนวันแลเวลาที่จะผูกดวง”
[ร่างหนังสือกรมราชเลขานุการ ถึงหลวงโลกทีป เอกสารรัชกาลที่ ๕ ต ๑๓.๑ เลขที่ ๗) (รหัสไมโครฟิล์ม มร.๕๓/๖๑)]
ตามร่างหนังสือข้างต้น จะเห็นว่ากรมราชเลขานุการมีความประสงค์ที่จะให้หลวงโลกทีปผูกดวงแต่เพียงผู้เดียว และให้ผูกตามวันและเวลากรุงเทพฯ เท่านั้น อย่างไรก็ดีในวันที่ ๒๗ เดือนเดียวกัน กรมราชเลขานุการก็ได้รับคำทำนาย ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นคำทำนายของหลวงโลกทีปทำนายตามเวลาที่กรุงเทพฯ ที่คำนวณออกมา ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นคำทำนายของหลวงไตรเพท ทำนายตามเวลาที่รัสเซีย ซึ่งคำทำนายอันหลังนี้เข้าใจว่าคงจะทำขึ้นเป็นพิเศษนอกเหนือที่กรมราชเลขานุการสั่ง เพราะไม่ปรากฏในร่างหนังสือที่อ้างถึงข้างต้นได้กล่าวไว้เลขที่ ๒๖ ตามเวลาที่กรุงเทพฯ
หลวงโลกทีป ทำนาย
แกรนดดุกอเล็กซิสมกุฎราชกุมาร ประสูตร์วันที่ ๑๒ สิงหาคมรัตนโกสินทรศก ๑๒๓ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๙๐๔ ซึ่งตรงตามจันทรคติณวัน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรงฉอศกศักราช ๑๒๖๖ เวลาบ่าย ๕ โมงกับ ๕๕ นาที ๓๙ วินาที ตามวิธีเวลาที่ใช้ในกรุงเทพ, ลักขณาสถิตย์ณราษีธนู เกาะฉัฐณวางค์ (๔) ทุติยตรียางค์ (๓) เสวยบุพพาสาทฤกษ์ ๒๐ ประกอบไปด้วยมหัดธโนฤกษ์
วัน ๖ เปนวันมรณะแลอุปาสนะโลกยวินาศน์ด้วยในคัมภีร์อุทาสินรามัญ พยากรณ์ว่า ใครอุบัติวันนั้นย่อมเปนผู้มาแต่นรก มักชอบบริโภคอาหารอันประกอบไปด้วยของสดคาว แลเสพย์อาหารมากกว่ามนุษย์ธรรมดา
ลักษณาสถิตย์ณธนูราษี ทายตามพยากรณ์ว่า ที่เกิดนั้นทิศอิสาณมีสวนแลป่า ทิศบูรพาแลอาคเณย์มีสถานอันเปนที่เคารพนับถือของชาติสาสนา
พยากรณ์ตามส่วนลักษณาว่า มีรูปฉวีวรรณ์ขาวงามสอาด ประกอบด้วยสติปัญญา ทั้งถ้อยคำเจรจาก็อ่อนหวานไพเราะ จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติเปนอันมาก
นัยหนึ่งพยากรณ์ตามส่วนลักษณาที่ราหูร่วมธาตุกับลักษณา แลเปนกาฬกิณีทั้งราหูร่วมธาตุกับพฤหัศบดีด้วย ว่ารูปแลพรรณ์สติปัญญาถ้อยคำเจรจาทรามกว่าธรรมดา ทั้งโภคก็ขาดถอยไม่บริบูรณ์เต็มที่
ในไวยทั้ง ๓ ที่เปนไป ปถมวัยมัชฌิมวัยจะได้รับความเดือดร้อนเปนอันมาก ต่อปัจฉิมวัยจึงจะได้รับความศุข ล่วงอายุถึง ๗๘ ปีเปนไขยเขตร์สิ้นกำลังแห่งชาตาแล
พระเคราะห์ ๓ ๔ ๕ ๗ ขับออกทวารได้ชาตาชื่อทุกขะตะ ในพยากรณ์ว่าจะตกทุกข์ได้ยากถึง ๓ หน แม้จะมีโภคะสมบัติไม่วัฒนาการยืนยงคงอยู่เปรียบปานประหนึ่งว่า แม้แต่อาหารที่จะหาบริโภคได้ก็ขัดสน ใจมักเปนบาปไม่เปนที่ยินดีแห่งชนทั้งหลาย ถ้าประกอบกิจทางใช้อาวุธก็จะถึงแก่ความมรณะด้วยคมอาวุธ
พระเคราะห์ราหูเปนกาฬกิณีสถิตย์ณราษีสิงห์ แลเปนปัตนิในคัมภีร์พยากรณ์ว่า ญาติสาโลหิตจะมีความรังเกียจติเตียนหาเหตุต่างๆ ให้เสื่อมเสียซึ่งวงษ์ตระกูล
พระเคราะห์ราหู ร่วมธาตุกับพระพฤหัศบดี แลร่วมกับพระเคราะห์ ๒๔๖ ในคัมภีร์ทักษาพยากรณ์ว่า ชนทั้งหลายจะมีความหมิ่นประมาททั้งพาหนะที่เปนทวิบาทว์จัตุบาทว์ อีกโภคทรัพย์ก็จะไม่ดำรงค์อยู่ได้นาน มีแต่จะอันตรทานล่วงโรยเสื่อมถอยไปโดยไม่เปนประโยชน์
อนึ่งแม้จะมีอำนาจหรือกำลัง ก็ไม่เปนที่ยำเกรงแก่บุคคล กับจะได้รับผลแห่งความประมาท ล่วงเลยจนถึงต้นตระกูล
พระเคราะห์เสาร์สถิตย์ณมังกรราษี เปนเกษตรในมหาทักษาพยากรณ์ว่า จะมีอิศิริยศแลกำลังอำนาจมาก แต่มักมีสัตรูคิดประทุษฐร้ายอยู่เสมอ เปรียบประดุจดังเงาติดตามตัวไปเปนนิตย์
พระเคราะห์อังคารสถิตย์ณราษีกรกฏเปนนิตย์ ในพยากรณ์ทำนายว่า ตั้งแต่อายุ ๓๐ ขึ้นไป แม้ว่าจะกระทำกิจการอันใดมักไม่ยั่งยืนโดยมีเหตุให้มากีจกั้นไปต่างๆ
พระเคราะห์อาทิตย์สถิตย์ณกรกฎราษี เปนมหาจักร์ในพยากรณ์ว่า เปนอนุชาตบุตร์ ประกอบด้วยสิลปวิทยาต่างๆ แลจะได้สืบตามตระกูลวงษ์ต่อไป แต่ความประพฤติ์มักพอใจมากไปด้วยเมถุน อันมิได้ปราศจากโทษแห่งกามมิจฉาจาร
ตามพื้นแห่งชาตานี้ รวมใจความตามในคำพยากรณ์ว่า ตั้งแต่อุบัติ์คู่ครรภ์มารดามา กระทำให้บิดามารดาแลญาติสาโลหิต ทั้งข้าทาษกรรมกรมีความวิวาทพรัดพรากจากกันแลกันไม่ใคร่ขาด ทั้งสัตรูหมู่อมิตร์มีความหมิ่นประมาทโดยมาก ย่อมจะได้รับความทุกข์ยากก่อน จึงจะได้รับผลแห่งความศุขต่อภายหลังตามเวลาที่รัสเซีย
หลวงไตรเพท ทำนาย
แกรนดดุกอเล็กซิสมกุฎราชกุมาร ประสูตร์วันที่ ๑๒ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๓ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๙๐๔ ตามจันทรคติซึ่งตรงกับณวัน ๖ ๑ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะโรงฉอศักราช ๑๒๖๖ เวลาบ่าย ๑ โมง กับ ๑๕ นาที ตามวิธีเวลาที่ใช้ในประเทศรัสเซียนั้น ลักขณาสถิตย์ณราษีดุล เกาะฉัฐณะวางค (๕) ทุติยตรียางค์ (๗) เสวยสวัสดิ์ฤกษ์ ๑๕ ประกอบไปด้วยเทวีแห่งฤกษ์
ขอพระราชทาน ดวงชาตาดังนี้ซึ่งชนกกรรมนำมาอุบัติบังเกิดในตระกูลใดๆ ก็ดีในชั้นต้น จัดเปนอะวะชาตบุตร์ คงประพฤติตนอย่างหินชาติ์อันต่ำช้า
คือพระเคราะห์ (ศุกร์) เปนตนุร่วมราษีแห่งกาฬกิณีแลเปนลาภะกับลักขณา (ทำนายว่า) ถึงจะมีตระกูลอันสูงศักดิ์ฉันใดก็ดี ย่อมเสื่อมอำนาจราชศักดิ์ โดยอกุศลกรรมซัดให้เปนคนถอยต่ำกว่าตระกูล
พระเคราะห์ (เสาร์) ซึ่งเปนอุสาหะสถิตย์ ณ ราษีมังกรเปนหริกับตนุ (ทำนายว่า) จักอุสาหะพยายามกิจกานุกิจใดหวังว่าเปนคุณภายหลังจะกลับเปนโทษเพราะฉนั้นจะดำริห์การสิ่งใดมักไม่ตลอด
พระเคราะห์ (พุฒ) เปนกะดุมภะอยู่ด้วยกาฬกิณีณราษีสิงห์ (ทำนายว่า) ทรัพย์สมบัคิทั้งปวงจะอุดมภ์สักเท่าใด ก็ไม่อาจคุ้มครองป้องกันไว้ได้ หรือสัมพันธุ์มิตร์แลวงษ์ญาติ์ย่อมจะแตกต่างทางสามัคคี ไม่เปนที่บำรุงซึ่งกันแลกันให้รุ่งเรืองเจริญได้
พระเคราะห์ (อังคาร) ซึ่งเปนศิริสถิตย์ณราษีกรกฎ เปนวินาศนกับตนุ เพราะฉนั้น (ทำนายว่า) ไม่สามารถจะรักษาอิศิริยศแลปริวารยศรับรองทัพสำภาระชาติตระกูลเนื่องต่อไปได้
พระเคราะห์ (พฤหัศบดี) ซึ่งเปนมนตรีสถิตย์ณราษีเมษ ต้องด้วยบังคับเปน ๗ กับลักขณา แต่ร่วมธาตุกับกาฒกิณี เพราะฉนั้น (ทำนายว่า) สติปัญญาแลความคิดโลภเจตนาแต่เจือเปนพาล เพราะฉนั้นประกอบกิจสิ่งใดไม่รู้จักที่ได้ที่เสีย เห็นแต่จะได้นั้นฝ่ายเดียว ไม่เปนที่สรรเสริญแห่งนักปราชฌ์ราชบัณฑิตย์
พระเคราะหฺ (ราหู) ซึ่งเปนกาฬกิณีสถิตย์ณราษีสิงห์ เปนลาภกับลักขณา (ทำนายว่า) ถึงสรรพคุณพระเคราะห์องค์หนึ่งองค์ใดจะให้ผลบ้างย่อมมีกาฬกิณีกีดขวางให้เปนที่ฝืดเคือง ที่สุดจะมีสัมพันธุมิตร์อันสนิทชิดเชื้อ มักจะไม่ซื่อตรงต่อย่อมแตกร้าว ทั้งสัตรูที่จะประทุษฐร้ายก็มีมาก
พระเคราะห์ (จันทร์) ซึ่งเปนเดชสถิตย์ณราษีสิงห์ ร่วมกับกาฬกิณี (ทำนายว่า) เดชานุภาพแลอำนาจราชศักดิ์ย่อมเสื่อมถอยทั้งจิตร์ก็เปนพาลประกอบการทุจริต อนึ่งคนจะย่ำยีล้างอำนาจ ถึงจะมีชนมายุยืดยาวต่อไปย่อมจะไร้ที่พึ่ง
พระเคราะหฺ์ (อาทิตย์) ซึ่งเปนอายุสถิตย์ณราษีกรกฎ เปนวินาศนกับตนุเศษ (ทำนายว่า) เกรงชนมายุจะไม่วัฒนาแต่ปถมวัยไปจนถึงชนมายุ ๒๕ ปี ในระหว่างนี้มักจะเคลิ้มเขลาในส่วนราชการที่ประกอบจะให้โทษเล่ห์ประหนึ่งจะอับปาง
อีกประการหนึ่งต้องด้วยคัมภีร์ขับชาตา พระเคราะห์ทั้ง ๘ พระองค์ร่วมเอกราษี (ทำนายว่า) ในตอนต้นย่อมจะทุกข์ยากลำบากเสียก่อนให้จงได้ เมื่อชนมายุวัฒนาต่อ ๒๕ ปีนั้นไปแล้ว ย่อมจะกลับจิตร์เห็นผิดแลชอบ เสมออนุชาตบุตร์ ดำเนินตามวงษ์ตระกูลสืบต่อไป
สิ่งอัปมงคล
คำทำนายดวงชาตามกุฎราชกุมารอเล็กซิส ที่หลวงโลกทีปและหลวงไตรเพททำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันไปบ้าง เนื่องจากแต่ละท่านใช้เวลาคนละอย่างในการคำนวณและผูกดวง แต่สาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคำทำนายนั้นก็คล้ายคลึงกันมาก ในประเด็นที่ว่ามกุฎราชกุมารพระองค์นี้จะได้รับความเดือดร้อนแต่วัยประถม แมัจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ จะมีศัตรูคอยทำร้าย จะทำให้พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรแตกแยกพลัดพราก ไม่สามารถรักษายศศักดิ์ ฐานะ บริวารของตระกูลได้ ฯลฯภาพการ์ตูนล้อเลียนราชวงศ์โรมานอฟที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสปูติน
ความมุ่งหมายในชั้นต้นของรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงให้มีการผูกดวงของมกุฎราชกุมารอเล็กซิสครั้งนี้ ก็คงเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเป็นอย่างดีระหว่างพระองค์และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ดังนั้นอาจสันนิษฐานได้ต่อไปว่าพระองค์คงตั้งพระทัยที่จะส่งคำทำนายของโหรหลวงไปให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ในฐานะพระสหายและเพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ได้พระราชโอรสสมพระราชประสงค์ แต่หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นคำทำนายทั้งสองที่ดูจะไม่เป็น “มงคล” แล้ว ก็ไม่ได้โปรดให้ส่งคำทำนายนี้ไปถวายแต่อย่างไร เพียงแต่มีรับสั่งถึงกรมราชเลขานุการ “ให้หลวงประสิทธิ์ดู แล้วหาที่เก็บไว้ให้ดี” เท่านั้น คำทำนายนี้จึงไม่มีโอกาสได้รับการพิสูจน์
เชื่อดีหรือไม่
ถ้าพิจารณาดูสาระสำคัญที่ปรากฏในคำทำนายทั้งสองนี้ ควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของมกุฎราชกุมารอเล็กซิส นับตั้งแต่ประสูติ จะเห็นได้ว่าสอดคล้องต้องกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่มกุฎราชกุมารอเล็กซิส ทรงพระประชวรด้วยโรคโลหิตชนิดหนึ่ง (Haemophilia-โรคโลหิตไหลไม่หยุด) ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หลังจากที่ประสูติได้ไม่นาน และต้องทนทรมานด้วยโรคดังกล่าวอยู่เสมอ จนไม่อาจดำเนินชีวิตเฉกเช่นเด็กในวัยเดียวกันได้ และทำให้เกือบตกสิ้นพระชนม์หลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ดีการประชวรด้วยโรคดังกล่าว ไม่ได้มีผลกระทบกระเทือนถึงวิถีชีวิตของมกุฎราชกุมารองค์นี้เพียงเท่านั้น แต่มีผลที่สัมพันธ์กับชะตากรรมของครอบครัวของพระองค์ นั่นคือราชวงศ์โรมานอฟกับประเทศรัสเซีย และในที่สุดถึงประวัติศาสตร์โลก เพราะการประชวรนี้เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งในการนำไปสู่การปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ และสถาปนารัฐสังคมนิยมรัฐแรกขึ้นในโลกในเดือนตุลาคม ๒๔๖๐ ดังคำกล่าวของ นายปีแอร์ ยิลเลียร์ด ชาวสวิสผู้ถวายการสอนแก่พระราชโอรสและธิดาทุกพระองค์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ว่า
“การประชวรขององค์มกุฎราชกุมารได้นำเงามืดมาสู่ระยะสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒…การประชวรนี้เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่นำความหายนะมาสู่พระองค์ เพราะการประชวรนี้เองที่เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้เข้ามามีบทบาท และทำให้ราชสำนักต้องห่างเหินจากโลกภายนอกมากขึ้นอย่างน่ากลัว…”