ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ระยะทางของพุทธศาสนา ยิ่งนานวันยิ่งผันแปร | จับต้องแต่เปลือก ไม่เคยชิมเนื้อใน  (อ่าน 880 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ระยะทางของพุทธศาสนา ยิ่งนานวันยิ่งผันแปร | จับต้องแต่เปลือก ไม่เคยชิมเนื้อใน

ผู้เข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในฐานะเป็นคฤหัสถ์หรือในฐานะเป็นบรรพชิต เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็มักจะแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเกี่ยวด้วยหลักพระธรรมวินัยอันเป็นตัวพระศาสนาออกมาให้สังคมได้รู้ได้เห็น ถ้าความเห็นนั้นถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย

กรณีการแสดงความเห็น หรือประกาศความเห็นของตนออกไปให้สังคมรับรู้ แล้วปรากฏว่าความเห็นนั้นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย จะทำอย่างไรกัน ประเด็นนี้แหละที่น่าศึกษา

ตามที่ได้ศึกษาสังเกตมา ผมเห็นว่าผู้ที่แสดงความเห็นออกไป แล้วความเห็นนั้นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย จะมีลักษณะ อาการ หรือท่าทีที่พอจะแบ่งเป็นระยะๆ ได้ดังต่อไปนี้


@@@@@@@

ระยะที่ ๑. หมายถึง ในยุคสมัยแรกๆ ต้นๆ ที่มีผู้ที่แสดงความเห็นไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัยออกมา ในยุคแรกๆ นั้นเมื่อมีใครทักท้วงขึ้น อ้างหลักฐานว่าความเห็นเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ผู้แสดงความเห็นจะยอมรับฟัง และในที่สุดจะยอมรับโดยดีว่าความเห็นของตนผิดไป และขอถอนความเห็นเช่นนั้น

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย ทำอะไรลงไปแล้วมีผู้ทักท้วงว่าผิด ก็จะสะดุ้งกลัว และจะไม่ทำอีกเพราะรู้แล้วว่าทำแบบนั้นผิด

ระยะที่ ๒. ครั้นล่วงกาลผ่านเวลาต่อมา เมื่อมีความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัยปรากฏออกมาอีก แล้วมีผู้ทักท้วงขึ้น อ้างหลักฐานว่าความเห็นเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ผู้แสดงความเห็นจะไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมรับทันทีว่าความเห็นของตนผิด แต่จะพยายามตรวจสอบหลักฐานต่างๆ การตรวจสอบหลักฐานนั้นไม่ใช่เพราะต้องการจะได้ความรู้ หากแต่เพราะต้องการจะหาข้ออ้างเอามายืนยันว่าความเห็นของตนไม่ผิด แต่เมื่อไม่พบหรือไม่มีหลักฐานที่จะเอามายืนยันได้ ในที่สุดก็จะยอมรับว่า ความเห็นของตนผิดไป และขอถอนความเห็นเช่นนั้น ข้อเปรียบเทียบก็คือ
      ระยะที่ ๑ ยอมรับทันทีเพราะมีหลักฐานว่าผิด
      ระยะที่ ๒ ไม่ยอมรับทันที พยายามจะเถียงแย้ง แต่เมื่อจำนนด้วยหลักฐานจึงยอมรับ

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย ทำอะไรลงไปแล้วมีผู้ทักท้วงว่าผิด จะยังไม่ยอมรับทันที แต่จะพยายามหาช่องโต้แย้งว่าไม่ผิด เมื่อไม่มีช่อง จึงยอมรับว่าผิดจริง และพยายามระวังที่จะไม่ทำ (แต่ถ้าจำเป็นก็ทำอีก)

ระยะที่ ๓. เหตุการณ์เริ่มต้นเหมือนกัน แต่ในระยะนี้แม้จะยอมจำนนด้วยหลักฐานว่าความเห็นของตนนั้นผิดพลาดจริง แต่ก็จะไม่ยอมแก้ไข คือยังคงยึดความเห็นผิดอยู่เช่นนั้น รู้ว่าผิด เถียงไม่ขึ้น แต่ไม่ยอมปล่อย ใช้วิธีดื้อนิ่ง เทียบกับระยะที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อจำนนด้วยหลักฐานว่าความเห็นนั้นผิด ก็จะยอมรับและถอนความเห็น แต่ระยะที่ ๓ นี้จะไม่ยอมพูดออกมาเด็ดขาดว่าความเห็นของตนผิด-แม้ว่าจะผิดจริง และลึกๆ แล้วตัวเองก็รู้ว่าผิด แต่จะให้รับ ไม่รับ อาจเป็นเพราะ-ถ้ารับก็จะไปกระทบกับความน่าเชื่อถือหรือ “อัตตา” ของตนที่ได้ประกาศให้สังคมรับรู้ไปแล้วตั้งแต่ต้น

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย แม้จะรู้ว่าผิด และตัวเองก็ยอมรับว่าทำเช่นนั้นผิดจริง แต่ก็ยังขืนทำอยู่ ไม่มีความตั้งใจที่จะสำรวมระวัง ละเมิดจนชิน จนเคย สิกขาบทมีก็มีไป รับรู้ว่ามี แต่ไม่คิดจะปฏิบัติตาม



ระยะที่ ๔. เริ่มต้นเหมือนกัน คือประกาศ-แสดงความเห็นผิดประพฤติผิดออกมา มีผู้แย้ง มีหลักฐานว่าผิดจริง ยอมรับว่าผิดตามหลักฐาน แต่มาถึงขั้นนี้เริ่มจะแย้งย้อนกลับไปว่าบทบัญญัตินั้นๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรง จะมามัวคิดเล็กคิดน้อยทำไมกัน โลกเขาไปถึงไหนๆ แล้ว สังคมก็เปลี่ยนไปแล้ว ดูแต่ที่นั่นที่โน่นเขายังทำอย่างนั้นอย่างโน้นได้ ก็คือจะบอกว่า-หลักฐานหรือหลักพระธรรมวินัยก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นจะต้องยึดถือปฏิบัติตามเสมอไป

มาถึงขั้นนี้ เริ่มจะนิยมอ้างพุทธานุญาตที่ว่า
     อากงฺขมาโน อานนฺท สงฺโฆ มมจฺจเยน ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ สมูหนตุ.
     ดูก่อนอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเรา สงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างจงถอนเถิด

_________________________________________________
ที่มา : มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๔๑

แต่ก็จะทำเพียง “อ้างสิทธิ์” ตามพุทธานุญาตนี้เท่านั้น หากแต่จะไม่ศึกษาให้ตลอดต่อไปอีกว่า คณะสงฆ์เถรวาทมีมติอย่างไรต่อพุทธานุญาตนี้ (ศึกษามติสงฆ์เถรวาทได้ที่ปัญจสติกขันธกะ วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๖๒๐-๖๒๑)

ในทางพระวินัย แนวคิดที่เด่นในระยะนี้ก็คือ – “อาบัติก็แค่ทุกฏ” คือเห็นว่าการละเมิดในเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แล้วก็พากันประพฤติเสมือนว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่มีข้อห้าม ทั้งๆ ที่ข้อห้ามก็มีอยู่แท้ๆ ข้อนี้จะตรงกันข้ามกับพระสงฆ์ในอดีต โดยเฉพาะในสมัยพุทธกาล ที่ท่านถือหลักว่า “อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี” อาบัติเล็กน้อยขนาดไหนก็เห็นเป็นเรื่องน่ากลัว และจะสำรวมระวัง ไม่ละเมิด

ระยะที่ ๕. เริ่มต้นเหมือนกัน และพัฒนาแนวคิดต่อมาก็เหมือนระยะที่ ๔ แต่มาถึงระยะที่ ๕ นี้ จะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ เกิดแนวคิดโต้แย้งหลักพระธรรมวินัย เช่น หลักพระธรรมคำสอนเรื่องนั้นไม่เหมาะสม ไม่น่าจะถูกต้อง หลักพระวินัยข้อนี้น่าจะไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ปฏิบัติตามไม่ได้ สมัยนี้ถ้าปฏิบัติตามพระวินัยข้อนั้นๆ ก็จะไม่สามารถเป็นพระอยู่ได้ จึงไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามอีกต่อไป

วี่แววที่เริ่มจะปรากฏแล้วในเวลานี้ก็อย่างเช่นแนวคิดที่ว่า อย่าให้พระไปนิพพานกันหมดเลย อยู่ช่วยสังคมกันบ้างเถิด อาตมาเป็นพระปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ เพราะฉะนั้นอย่ามาบังคับกันมากนัก ผู้คนก็เริ่มจะมองว่า สอนให้ไปนิพพานผิด สอนให้ช่วยสังคมดีกว่า (ถึงตอนนี้ นิพพานคืออะไรกันแน่ ก็ไม่คิดจะศึกษาให้เข้าใจถูกต้องกันอีกแล้ว)

จากระยะที่ ๕ นี้ ก็จะเริ่มขยายตัวไปเรื่อยๆ กล่าวคือ หลักพระธรรมข้อนั้น หลักพระวินัยข้อนี้ จะถูกโต้แย้ง ถูกต่อต้าน ถูกยกเลิกไปทีละเรื่องทีละอย่าง คำสอนและแนวคิดของคนสมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่ สภาพแบบ “กลองอานกะ” ในอาณิสูตรก็จะเกิดขึ้น (อาณิสูตร สังยุตนิกาย นิทานวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๖ ข้อ ๖๗๒-๖๗๓) รูปร่าง เปลือกนอก ยังยอมรับกันว่าเป็น “พระพุทธศาสนา” แต่เนื้อในที่ประพฤติกันอยู่ เป็นคำสอนและแนวคิดของแต่ละคน

@@@@@@@

ที่บรรยายมานี้ ถ้าเอาโครงสร้างอริยสัจสี่มาจับ ก็เป็นแค่ “ทุกข์” คือ การบรรยายสภาพของปัญหา แล้วจะทำอย่างไรกันดี อันจะเป็นขั้นตอนต่อไปของอริยสัจ คือ สมุทัย-นิโรธ-มรรค เป็นเรื่องที่จะต้องคิดกันต่อไป ทุกคนมีสิทธิ์คิดได้เอง ไม่ต้องรอให้ใครคิดแทน คิดเพื่อช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยไว้ อย่าคิดเพียงแค่เพื่อให้สิ่งที่เราเรียกกันในบัดนี้ว่า “พระพุทธศาสนา” อยู่ได้เท่านั้น ส่วนเนื้อในจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ.!!





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ,๑๗:๓๕
web : dhamma.serichon.us/2021/11/15/ระยะทางของพระพุทธศาสนา/
posted date : 15 พฤศจิกายน 2021, By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2021, 09:50:51 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ