ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุใด.? พุทธศาสนาจึงดำรงอยู่ ได้เพียง ๕,๐๐๐ ปี  (อ่าน 735 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระศาสนาห้าพันปี (๑) : วิถีชีวิตสงฆ์เปลี่ยน ควรทำไม่ทำ ห้ามทำกลับทำ จากเสื่อมจึงดำเนินไปสู่อันตรธาน

ศาสนาของพระพุทธโคดม คือพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้-เป็นที่เข้าใจกันว่า จะมีอายุยืนยาวอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี นักนิยมการถกเถียงได้เถียงและถกกันมานานแล้วว่า ตัวเลข “๕,๐๐๐ ปี” เอามาจากไหน ใครว่า เป็นพระพุทธพจน์หรือเปล่า หรือว่าพูดกันไปคิดกันไปเอง

ญาติมิตรที่สนใจประเด็นนี้ ขอแนะนำให้ถอยไปตั้งหลักที่ “ครุธรรมของภิกษุณี” ตรงนั้นมีต้นเรื่องอันเป็นพระพุทธพจน์ (ศึกษาได้ที่ ภิกขุนีขันธกะ วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๕๑๘) เจอต้นเรื่องแล้ว ต่อจากนั้นจะแตกแขนงไปที่ไหนๆ อีก ก็คงตามไปได้ไม่ยาก ที่จะว่าต่อไปนี้ ขออนุญาตไม่ร่วมถกเถียงด้วยในประเด็นนั้น

ที่ว่าพระพุทธศาสนาจะมีอายุยืนยาวอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้น เราส่วนมากก็จะวาดภาพรวมๆ ว่า นับจากนี้ไปอีกประมาณ ๒,๕๐๐ ปี โลกก็จะไม่รู้จักพระพุทธศาสนา

ภาพสุดท้ายที่ท่านบรรยายไว้คือ ผู้ที่ได้นามว่า “ภิกษุ” รูปสุดท้ายถอดผ้ากาสาวะออกจากกายแล้วครองเพศคฤหัสถ์ อันเป็น “ลิงคอันตรธาน” คือการสูญสิ้นอวสานแห่งเพศสงฆ์ และคือการสูญสิ้นอวสานแห่งพระพุทธศาสนาด้วย

ภาพแรกและภาพสุดท้าย เห็นชัด แต่ภาพในระหว่างกลางๆ กว่าจะไปถึงภาพสุดท้าย ผมว่าเราไม่ค่อยสนใจที่จะคิดคำนึงกันเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่เราท่านในทุกวันนี้กำลังเป็นตัวแสดงอยู่ในภาพระหว่างกลางๆ ที่ว่านั้น ถ้าจะลองจับตาดูเฉพาะจุด จุดที่ควรพิจารณาเป็นตัวอย่าง ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นภาพในอนาคตได้ชัดขึ้นก็น่าจะเป็น “วิถีชีวิตสงฆ์” ซึ่งเป็นภาพตัวแทนแห่งพระพุทธศาสนาที่เด่นชัดกว่าจุดอื่น

    วิถีชีวิตสงฆ์มีเรื่องสำคัญอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น คือ
    ๑. เรื่องที่ห้ามทำ และ
    ๒. เรื่องที่ต้องทำ
    - เรื่องที่ห้ามทำ พระสงฆ์ไปทำเข้า ก็เสีย
    - เรื่องที่ต้องทำ พระสงฆ์ไม่ทำ ก็เสีย


@@@@@@@

ปัญหาที่ถกเถียงคาใจกันมากก็คือ พระทำอย่างนี้ได้หรือ พระทำอย่างนี้ไม่ผิดหรือ (ซึ่งอันที่จริงควรจะพูดในภาพรวมกว้างๆว่า ชาวพุทธทำอย่างนี้ได้หรือ ชาวพุทธทำอย่างนี้ไม่ผิดหรือ) อันเป็นเรื่องในข้อแรก-เรื่องที่ห้ามทำ แต่ที่เราแทบจะไม่ได้สนใจกันเลยก็คือ คำถามที่ควรจะถามกันว่า เป็นพระไม่ต้องทำเรื่องนี้ก็ได้หรือ กิจข้อนี้พระไม่ทำ ไม่เป็นการบกพร่องไปดอกหรือ

     ตัวอย่างที่เห็นง่ายที่สุด
     (๑) อุโบสถสังฆกรรมคือการประชุมฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน พระไม่ต้องทำก็ได้หรือ.?
     (๒) ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น พระไม่ทำ ไม่เป็นการบกพร่องไปดอกหรือ.?

เรื่องสำคัญมาก อันที่จริงสำคัญที่สุด คือ แทบจะไม่มีมีใครสนใจไต่ถามว่า พระภิกษุสามเณรไม่ศึกษาพระธรรมวินัยในชีวิตประจำวัน ไม่เป็นการบกพร่องไปดอกหรือ.? (และนี่ก็เช่นกัน ควรจะเพิ่มจาก “พระภิกษุสามเณร” เป็น “ชาวพุทธ” ด้วย)

“ศึกษาพระธรรมวินัย” ในที่นี้หมายถึงศึกษาเพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้อง แล้วเอาความรู้นั้นมาปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วเอาความรู้และข้อปฏิบัตินั้นไปบอกกล่าวเผยแผ่ให้แพร่หลายต่อไป

ปัญหาที่ว่า-พระทำอย่างนี้ได้หรือ พระทำอย่างนี้ไม่ผิดหรือ ที่เกิดขึ้นคาใจอยู่ทุกวันนี้ รากเหง้าก็มาจากการไม่ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจถูกต้องนั่นเอง
     เมื่อไม่เรียน ก็ไม่รู้
     เมื่อไม่รู้ ก็เอาความคิดความเข้าใจของตัวเองนำหน้า
     สิ่งที่ห้ามทำ ไปทำเข้า ก็ช่วยกันอ้างว่าทำได้ ไม่ผิด ผิดก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
     สิ่งที่ต้องทำ ละเลยเสีย ไม่ทำ ก็ช่วยกันอ้างว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร
 
@@@@@@@

เมื่อคิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้กันมากเข้า ในที่สุดก็ตกผลึก เกิดเป็นแนวคิดว่า
     ๑. อย่าเกณฑ์ให้พระเณรไปนิพพานกันหมดเลย ให้ท่านอยู่ช่วยสังคมกันมั่งเถิด
     ๒. พระเณรทุกวันนี้เป็นปุถุชนทั้งนั้น จะให้ท่านปฏิบัติเหมือนพระอริยะได้หรือ เอาแค่พอให้มีพระเฝ้าวัด มีพระไว้ให้ญาติโยมทำบุญก็พอแล้ว จะเอาอะไรกันนักกันหนา

แนวคิดแบบนี้ นับวันจะมีผู้เห็นดีเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ หยุดไว้ตรงนี้ก่อน ขอเชิญไปดูคำบรรยายสภาพความเสื่อมหรืออันตรธานของพระศาสนาตอนหนึ่งในพระไตรปิฎก

     "ภวิสฺสนฺติ โข ปนานนฺท อนาคตมทฺธานํ โคตฺรภุโน กาสาวกณฺฐา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา เตสุ ทุสฺสีเลสุ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ ทสฺสนฺติ,"
     "ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาลจักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล หยาบช้า คนทั้งหลายจักถวายทานอุทิศถึงสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น"

     "ตทาปหํ อานนฺท สงฺฆคตํ ทกฺขิณํ อสงฺเขยฺยํ อปฺปเมยฺยํ วทามิ น เตฺววาหํ อานนฺท เกนจิ ปริยาเยน สงฺฆคตาย ทกฺขิณาย ปาฏิปุคฺคลิกทานํ มหปฺผลตรํ วทามิ ฯ"
     "ดูก่อนอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ แม้ในเวลานั้น เราก็กล่าวว่ามีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่เราไม่กล่าวปาฏิบุคลิกทานว่า มีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ โดยปริยายไรๆ เลย"

____________________________________
ที่มา : ทักขิณาวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๗๑๓

@@@@@@@

อรรถกถาบรรยายขยายความไว้ดังนี้

โคตฺรภุโนติ โคตฺตมตฺตกเมว อนุภวมานา นามมตฺตสมณาติ อตฺโถ ฯ
คำว่า โคตฺรภุโน (เหล่าภิกษุโคตรภู) หมายถึง เพียงแต่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ในคณะสงฆ์ คือ เป็นสมณะแต่ชื่อ.

กาสาวกณฺฐาติ กาสาวกณฺฐนามกา ฯ
คำว่า กาสาวกณฺฐา คือได้ชื่อว่า พวกกาสาวกัณฐะ (แปลว่า “มีผ้ากาสาวะพันคอ”).

เต กิร เอกํ กาสาวกฺขณฺฑํ หตฺเถ วา คีวาย วา พนฺธิตฺวา วิจริสฺสนฺติ ฯ
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นไปไหนมาไหน ก็ผูกผ้ากาสาวะผืนหนึ่งไว้ที่มือหรือที่คอ (เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นภิกษุ).

ฆรทฺวารํ ปน เตสํ ปุตฺตภริยากสิวณิชฺชาทิกมฺมานิ จ ปากติกาเนว ภวิสฺสนฺติ ฯ
ทว่าภิกษุเหล่านั้นมีบ้านเรือน มีบุตรภรรยา มีการประกอบอาชีพ เช่น ทำไร่ทำนาค้าขายเหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป

_____________________________________________
ที่มา : ปปัญจสูทนี ภาค ๓ หน้า ๘๖๒ (อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร)

ผมจงใจยกคำบาลีมากำกับไว้ด้วย เพื่อให้ญาติมิตรได้คุ้นกับคำบาลี ท่านที่ไม่สะดวกจะอ่าน โปรดข้ามไป ส่วนท่านที่อ่าน ขอแนะนำให้ตั้งความรู้สึก-เหมือนท่านกำลังสวดมนต์ จิตจะได้เป็นกุศลเพิ่มขึ้น

ตอนหน้ามาดูกันว่า สภาพที่บรรยายไว้ในพระบาลีและอรรถกถาที่ยกมานี้ มาเกี่ยวอะไรกับสภาพที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน





ขอขอบคุณ :
บทความของ : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ,๑๘:๓๑
web : dhamma.serichon.us/2021/11/13/พระศาสนาห้าพันปี-๑/
posted date : 13 พฤศจิกายน 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2021, 09:51:15 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เหตุใด.? พุทธศาสนาจึงดำรงอยู่ ได้เพียง ๕,๐๐๐ ปี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2021, 09:39:06 am »
0


พระศาสนาห้าพันปี (๒) : กาลเวลาและสังคมเปลี่ยน วิธีคิดและวิธีให้เหตุผลจึงเปลี่ยน จากเสื่อมจึงดำเนินไปสู่อันตรธาน

สภาพที่บรรยายไว้ในพระบาลีและอรรถกถาที่ยกมาในตอนก่อนมาเกี่ยวอะไรกับสภาพที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน.? ขอให้ลองสมมุติดู

ฆรทฺวารํ ปน เตสํ ปุตฺตภริยากสิวณิชฺชาทิกมฺมานิ จ ปากติกาเนว ภวิสฺสนฺติ ฯ
ทว่าภิกษุเหล่านั้นมีบ้านเรือน มีบุตรภรรยา มีการประกอบอาชีพ เช่นทำไร่ทำนาค้าขายเหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป

สมมุติว่า สภาพที่ท่านบรรยายไว้นี้เกิดขึ้นในปัจจุบันวันนี้-เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๖๔ นี่เลย ไม่ต้องรอไปอีก ๒,๕๐๐ ปี เราท่านที่มีชีวิตอยู่ใน พ.ศ.นี้ จะยอมรับกันหรือไม่ว่า บุคคลที่ท่านบรรยายไว้นี้ก็ยังเป็น “ภิกษุ” ในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์.?

เราท่านที่มีชีวิตอยู่ใน พ.ศ.นี้ แม้จะไม่ได้ศึกษาหลักพระธรรมวินัยในชีวิตประจำวันถึงขั้นรู้เข้าใจปรุโปร่ง แต่ก็ยังมีความรู้หลักพระธรรมวินัยพื้นฐานที่ว่า ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุทันทีที่กระทำสำเร็จ ไม่ต้องรอให้มีการฟ้องร้องกล่าวโทษและมีคำตัดสินว่าผิดจริง จึงจะขาดจากความเป็นภิกษุ

แต่ในคำบรรยายในคัมภีร์ ไม่ได้บอกแค่ว่าเสพเมถุน แต่บอกว่ามีบุตรภรรยาโดยเปิดเผย (ปากติกาเนว-เหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป) ทว่าภิกษุเหล่านั้นมีบ้านเรือน มีบุตรภรรยา มีการประกอบอาชีพ เช่นทำไร่ทำนาค้าขายเหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป


    @@@@@@@

    ใครใน พ.ศ.๒๕๖๔ นี้ ถ้ายอมรับว่า-แบบนั้นก็ถือว่าท่านยังเป็นภิกษุอยู่ ก็บ้าแล้ว – ใช่หรือไม่.?
    แต่-ลองคิดดู ทำไมผู้คนในอีก ๒,๕๐๐ ปีข้างหน้า เขาจึงยอมรับกันทั่วไปว่า-แบบนั้นก็ถือว่าท่านยังเป็นภิกษุอยู่ ไม่มีใครว่าบ้าเลย
 
    ผู้คนในอีก ๒,๕๐๐ ปีข้างหน้าคิดยังไง ทำไม.?
    มองอดีต แล้วมองปัจจุบัน แล้วมองไปในอนาคต ก็จะเข้าใจและได้คำตอบ มีอะไรๆ หลายอย่างที่พระในอดีตท่านไม่ทำกัน-ไม่ต้องอดีตยาวไกลนัก ประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเท่านั้น

    พระเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วไปทำอะไรบางอย่างเข้า ชาวบ้านเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วจะตำหนิทันที
    แต่-อะไรๆ หลายอย่างที่พระในอดีตท่านไม่ทำนั้น พระใน พ.ศ.นี้ท่านทำ และชาวบ้านใน พ.ศ.นี้ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย ไม่ได้ตำหนิอะไร

     ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง
     พระไทยภาคกลางเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว รับของที่ผู้หญิงถวายจะต้องมีผ้ารอง ไม่รับจากมือโดยตรงเด็ดขาด รูปไหนรับจากมือโดยตรงผิดมหันต์ แทบจะโดนไล่สึกนั่นทีเดียว
     โยมผู้หญิงเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว จะถวายของให้พระ ต้องรอให้พระเอาผ้ารองจึงจะถวาย จะไม่ถวายถึงมือตรงๆ เด็ดขาด เพราะรู้เข้าใจหลัก

     แต่พระไทยภาคกลาง พ.ศ.นี้ รับของจากมือสตรีตรงๆ มีให้เห็นแล้วประปราย สตรีไทย พ.ศ.นี้ ส่งของให้ถึงมือพระโดยตรงก็มีให้เห็นแล้วประปราย แล้วก็มีคำแก้ต่างให้ว่าไม่ใช่เรื่องผิด เพราะหลักการประเคนบอกว่า “รับด้วยกายก็ได้ รับด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้” แปลว่า สามารถรับจากมือสตรีได้โดยตรง

     ลืมเฉลียวใจไปว่า บูรพาจารย์ของเราท่านก็รู้หลักนี้-รู้มาก่อนเราเกิดด้วยซ้ำ แล้วทำไมท่านจึงกำหนดให้ภิกษุในคณะสงฆ์ไทยรับประเคนจากสตรีต้องใช้ของเนื่องด้วยกายรับ ไม่ให้รับด้วยกายโดยตรง ท่านมีเหตุผลอะไร คนแก้ต่างไม่ได้คิดข้อนี้ เชื่อได้ว่า อีก ๕๐ ปีข้างหน้า พระไทยภาคกลางจะรับของจากมือสตรีโดยตรงกันทั่วไป และไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายแต่ประการใด

     อีกเรื่องหนึ่ง
     พระไทยเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว ถ้ามีโรคประจำตัวจำเป็นจะต้องรักษา ท่านใช้วิธี “สึกไปรักษาตัว” ทั้งนี้เพราะในกระบวนการรักษานั้น อาจจำเป็นต้องทำผิดพระวินัยในบางเรื่อง ท่านเห็นแก่พระวินัย ไม่อาลัยแก่อายุพรรษาที่บวชมา จึงถือคติ “สึกไปรักษาตัว” พระที่ถือคตินี้มีให้เห็น เป็นที่รู้กันทั่วไป

     แต่พระไทย พ.ศ.นี้ มีโรคอะไร ท่านรักษาทั้งเป็นพระ ละเมิดพระวินัยก็มีข้ออ้างว่าเป็นระเบียบของโรงพยาบาล หรือ “หมอสั่ง” ฟังขึ้นหมด ชาวบ้านใน พ.ศ.นี้ ก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย ซ้ำมีข้ออ้าง วินัยที่ละเมิดในกระบวนการรักษาเป็นแค่อาบัติเล็กน้อย รักษาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญกว่า

@@@@@@@

เรื่องอื่นๆ อีก ลองนึกดูก็จะเห็นได้อีก-พระสมัยก่อนไม่ทำ แต่พระสมัยนี้ทำ และเริ่มจะทำกันทั่วไป ชาวบ้านก็ยอมรับว่าทำได้ ไม่ได้เสียหายอะไร จะเห็นได้ว่า แค่ครึ่งศตวรรษ วิธีคิด วิธีให้เหตุผลเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนuh แล้วมองไปในอนาคต
     อีก ๕๐ ปีข้างหน้า
     อีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า
     อีก ๕๐๐ ปีข้างหน้า …
     กว่าจะถึง ๒,๕๐๐ ปีข้างหน้า วิธีคิด วิธีให้เหตุผลของคนเรา จะเปลี่ยนไปขนาดไหน

เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรแปลกใจว่า ถึงตอนนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีบ้านเรือน มีบุตรภรรยา ทำไร่ทำนาค้าขายเหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป ทำไมสังคมในสมัยหน้าโน้นจึงยอมรับว่า-แบบนั้นก็ถือว่าท่านยังเป็นภิกษุอยู่

ผมว่า ถ้าวันที่พระศาสนาอันตรธานเป็นก้าวที่ ๕,๐๐๐ เราท่านที่กำลังเป็นตัวแสดงอยู่ใน พ.ศ.นี้ ก็เป็นก้าวที่ ๕๐ หรือก้าวที่ ๕๐๐ ก้าวที่ ๕,๐๐๐ ก็ไปจากก้าวที่ ๕๐ หรือก้าวที่ ๕๐๐ ที่เรากำลังก้าวกันอยู่นี่แหละ

      อย่างไรเสียพระศาสนาก็เสื่อมแน่ และในที่สุดก็อันตรธานแน่นอน แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องช่วยกันเร่งให้อันตรธานวันนี้พรุ่งนี้มิใช่หรือ.?
      เวลาเราศึกษาอดีต เห็นปฏิปทาของบรรพบุรุษในอดีต-ตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพานเรื่อยมา เราจะระลึกถึงด้วยความเลื่อมใสศรัทธาชื่นชมในความมุ่งมั่นที่จะรักษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเข้มแข็ง
      เวลาคนในอนาคตศึกษาอดีต-คือปัจจุบันวันนี้ของพวกเรา เราจะให้เขาเห็นปฏิปทาแบบไหน.?
      และเราจะหวังให้เขาเลื่อมใสศรัทธาชื่นชมปฏิปทาของพวกเรา ได้มากน้อยแค่ไหน.?
      อย่าลืมถามตัวเองไว้เรื่อยๆ และฝากให้ช่วยกันถาม-จากรุ่นสู่รุ่น จนกว่าพระศาสนาจะครบห้าพันปี






ขอขอบคุณ :-
บทความของ : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย , ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ,๑๖:๑๑
web : dhamma.serichon.us/2021/11/14/พระศาสนาห้าพันปี-๒/ 
posted date : 14 พฤศจิกายน 2021 By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2021, 09:47:46 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ