ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - ลูกคิด
หน้า: 1 [2] 3
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ดับ โดยสิ้นเชิง เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 09:30:45 am
ดังนั้น ต้องพิจารณา ความเกิด กับ ความดับ คู่กันใช่หรือไม่ครับ

 :25: :25: :25:
42  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อนุโมทนา กับผู้บริจาค เน็ตบุ๊ค ให้กับงาน สำันักงานส่งเสริมพระกรรมฐาน เมื่อ: กันยายน 22, 2011, 10:53:01 am
อ่านแล้ว ชื่นชมแทน ผู้บริจาค เลยอ่ะ เพราะอนุโมทนากันเยอะมากจริง

 :25:
43  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อความทุกข์ ลำบากเข้ามาถึง ทุกคนต่างก็ไม่ยอมกัน เพราะ... เมื่อ: กันยายน 15, 2011, 08:23:49 pm
อันที่จริงถ้า เทียบ กับพวก ปากีสถาน พวกนี้ยิ่งแย่กว่าเลยครับ

เพราะว่า องค์กรต่าง ๆ ของโลกนั้น ต้องเข้าไปช่วยเหลือ

 ที่บ้านเรา ยัง ชิว ๆ ครับ คนไทยยังส่งน้ำใจให้กัน อยู่ ถึงแม้รัฐบาล เองจะยังไม่ได้ช่วยเท่าไร ? ครับ

 เพราะออกหลัง ชาวบ้านครับ และ ยังจัดขอบริจาคไปอีกเมื่อวันก่อน...

  จะเห็นได้ว่า ประเทศไทย เราก็พร้อมในระดับหนึ่ง

  ความเดือดร้อน เป็นไปตามเส้นทางนะครับ

   เริ่มตั้งแต่ เชียงราย ตาก ลำปาง อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี อยุธยา   ตอนนี้เห็นหนัก ๆ ก็ที่ อุตรดิตถ์ ดินโคลนถล่ม  รอง ๆ ลงมา ก็ที่ นครสวรรค์ บ้านอยู่ริมคลอง

ก็จะเดือดร้อนมาก พังเพราะน้ำเซาะตลิ่ง หลายคนก็ต้องร้องไห้ ล่าสุดที่บ้านผมเอง สวนต้องเก็บผลผลิต กันเลยครับ ยังอ่อน ๆ อยู่เลย ก็ต้องเก็บแล้ว ถ้าไม่เก็บก็เจ๊งครับ เก็บก็ยังพอได้ขัดดอก เห็นว่ากันอย่างนี้

  ปีนี้เห็นว่า ผลผลิต หายไปเยอะ ถ้าปีหน้าเป็นอีก ทำอย่างไรดีเนี่ย แล้วรัฐบาลเอง จะเอาเงินที่ไหนมาอุดหนุน

เพราะ ภาษีก็เก็บไม่ได้ แถมต้องเอาเงินมาแจกอีก

   ซ้อม ๆ ไว้ก่อน เป็นพวกแรก

    :'( :'( :'( :'(
44  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฤาษีพุทธจรัล ฤาษีลอยตัว เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 11:11:38 am


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com

          นิโคลัส หลุยเซตติ (ซ้าย) และ จอห์น พอล โอลฮาเบอร์รี่ (ขวา) นักมายากลฝาแฝดชาวชิลี โชว์มายากลลับเฉพาะ โดยการขึ้นไปเกาะเสากลางใจเมืองแล้วลอยตัวอยู่บนนั้นนานกว่า 3 ชั่วโมง ในงานฉลองครบรอบ 200 ปี กรุงซานติอาโก เมืองหลวงของชิลี ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา

          งานนี้ทำเอาประชาชนชาวชิลีที่ชมอยู่เบื้องล่างต่างพากันตะลึง ทึ่ง และพยายามเดาวิธีเล่นกลนี้ไปตาม ๆ กัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน เพราะไม่มีใครเดาออกเลยว่า สองหนุ่มนักมายากลนี้เค้าใช้วิธีไหนถึงขึ้นไปยืนนิ่งอยู่บนนั้นได้นานถึง 200 นาที หรือประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า แถมยังไม่มีที่ท่าว่าจะเมื่อยอีกด้วยแน่ะ

         และนอกจากจะทำเอาบรรดาผู้คนตกตะลึงแล้ว สองหนุ่มนักมายากลยังได้รับค่าเหนื่อย และได้รับการจดบันทึกให้เป็นผู้ที่ลอยตัวอยู่บนอากาศได้นานที่สุดในโลกอีก ด้วย


45  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัตนะ 7 ของพระจักรพรรดิ เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 10:53:52 am
พระยาจักรพรรดิราชเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวงคือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลกโดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก
พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มากเมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช

เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรมพระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วยได้แก่

1.จักรแก้วคือแก้วอย่างที่หนึ่งจักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000 โยชน์เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทรก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเลพุ่งขึ้นไปในอากาศเกิดเป็นแสงส่องอันงดงามมาน้อมนบ

เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้นทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราชปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแล้วจึงเสด็จกลับพระนคร

2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์)คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาวตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว

3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์)คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอกกีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่งเหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว

4.แก้วดวง (มณีรัตน์)คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่งดังเช่นเวลากลางวัน

แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัยจึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม

5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์)คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็นมเหสีคู่บารมีของพระยาจักรพรรดิราชนางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน

และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราชในตระกูลกษัตริย์นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วนจะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช

6.ขุนคลังแก้วคือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐีขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ

เพราะขุนคลังแก้วมีหูทิพย์ตาทิพย์ดังเทวดาในสวรรค์หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใดขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวายได้

7.ลูกแก้วคือแก้วประการสุดท้ายของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราชมีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการบางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
46  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ด๊อกเตอร์รากหญ้า มทส. คิด “แพลอยน้ำท่อพีวีซี” น้ำท่วมอีกทีก็ไม่หวั่น เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 10:48:13 am
น้ำท่วม ทีไรผู้ประสบภัยก็ร้องหาเรือจากทางการส่วนพ่อค้าหัวใสก็รีบซื้อเรือมาโก่ง ราคาขายต่อให้ชาวบ้านในมุมมองของนักวิจัยสาขาวิศวกรรม มทส. ผู้เรียกตนเองว่า "ด๊อกเตอร์รากหญ้า"จึงคิดค้นนวัตกรรมง่ายๆราคาถูกที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ผล จริงแถมยังหาอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ได้แสนง่าย นั่นคือ “แพลอยน้ำจากท่อพีวีซี”







47  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไม เราต้อง พึ่งวัตถุมงคล กันคะ เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 09:25:04 am
มนุษย์เป็นอันมาก ได้ยึดถือเอาที่พึ่งผิดๆ

มนุษย์ทั้ง หลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง

ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์ศิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ:

นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด;


ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว

เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ

เห็นทุกข์, เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์,

เห็นความก้าวล่วงเสียได้ของทุกข์,

และเห็น มรรค อันประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ

ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความสงบรำงับแห่งทุกข์;

นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม,
นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด;

ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้



48  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมาธิชั่ว "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น" เมื่อ: กันยายน 01, 2011, 08:38:50 am
อ้างถึง
สติปัฏฐานเกิดแม้เพียงชั่วช้างกระดิกหู  หรือไก่ปรบ

ปีก หรืองูแลบลิ้น

 สติปัฏฐาน จัดเป็นสมาธิ หรือ สติ ครับ

  :smiley_confused1:
49  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: คนภาวนา หรือ ปฏิบัติธรรม คือคนที่ไม่ยุ่ง ไม่เอา อะไรกับสังคมใช่หรือไม่ครับ เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 10:10:19 am
นันทกสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=7619&Z=7710 


ในเรื่องของการเสวนากับคนอื่น ทรงสอนว่า 


           [๓๔๕] พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่ ยินดีในหมู่ บันเทิงร่วมหมู่ ย่อมไม่งามเลย ดูกรอานนท์ ข้อที่ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่ ยินดีในหมู่บันเทิงร่วมหมู่นั้นหนอ จักเป็นผู้ได้สุขเกิดแต่เนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด สุขเกิดแต่ความเข้าไปสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้ ตามความปรารถนาโดยไม่ยากไม่ลำบาก นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้

             ส่วนข้อที่ภิกษุเป็นผู้ผู้เดียว หลีกออกจากหมู่อยู่พึงหวังเป็นผู้ได้สุขเกิดแต่เนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด สุขเกิดแต่ความเข้าไปสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้ ตามความปรารถนา โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก นั่นเป็นฐานะที่มีได้
50  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธรรมะ 4 เกลอ ช่วยจำไว้ให้ดีๆ มันจะช่วยได้ เมื่อ: สิงหาคม 10, 2011, 09:16:02 am



....ธรรมะอะไรที่ถูกต้องและเพียงพอ...??
...เป็นคนมีสติ มีสติระลึกได้ไวๆเหมือนกับความเร็วของ
ลูกศร บาลีมันไม่มีเรื่องอะไรที่จะเปรียบเทียบความเร็วยิ่ง
ไปกว่าความเร็วของลูกศร ความเร็วของลูกศรเรียกว่า
'สติ' ระลึกได้เร็ว มีสติระลึกได้เร็ว แล้วก็ไปเอาปัญญาที่
เรียนรู้ไว้มา เอามาแก้ไขสถานการณ์ ปัญญาก็จะกลายเป็น
สัมปชัญญะเฉพาะเรื่องนั้นๆ ต่อสู้กับสถานการณ์นั้นๆ

แล้วถ้ากำลังมันน้อยไปก็เพิ่มสมาธิมีกำลังสมาธิให้ เรื่อง
มันก็สำเร็จ คือ ตัดปัญหาไปได้...นี่เป็นเคล็ด หรือว่าจะเป็น
เทคนิคอะไรก็ได้ของการมีธรรมะ จะต้องมีธรรมะอย่าง
น้อยสี่เกลอ...

ธรรมะ 4 เกลอ ช่วยจำไว้ให้ดีๆ มันจะช่วยได้คือสติระลึก
ได้ ปัญญาที่ศึกษาไว้เอามาด้วยสติ เอาปัญญามาแล้วมาทำ
เป็นสัมปชัญญะเฉพาะเรื่อง เฉพาะเหตุการณ์ เป็นสัมปชัญญะ
แล้วต่อสู้กับสถานการณ์ และถ้ากำลังจิตมันอ่อนแอต้องมี
สมาธิ สมาธิเป็นน้ำหนักเพิ่มให้แก่ปัญญา ปัญญานี้มันต้อง
คู่กับสมาธิ เพราะปัญญานั้นมันเป็นแต่เพียงความคม

ความคมแม้จะคมยิ่งกว่ามีดโกน คมเท่าคมอย่างไรก็ตาม
เถอะ แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักแล้ว มันไม่ตัด ความคมไม่มีน้ำหนัก
มากด มันไม่ตัด ความคมต้องมีน้ำหนักมากด มันจึงจะตัด
ดังนั้น จึงต้องมีสมาธิ...ปัญญาคม สมาธิหนักตัดลงไปได้
แล้วสถานการณ์อันยุ่งยากก็จะหมดไป จะพ้นจากความเลว
ร้ายทุกอย่างทุกประการ....

สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ....
นี่ 4 เกลอ เพื่อนคู่ชีวิต ใครมีธรรมะ 4 เกลอนี้เป็นคู่ชีวิต
คนนั้นจะต่อสู้ จะชนะได้ทุกสถานการณ์ คือหมดปัญหาแห่ง
การมีชีวิต สตินั้นคือ ความเร็วในการระลึกไปเอาปัญญามา
ปัญญาเอามาแต่ไหน เอามาจากการศึกษา อย่าไปศึกษาบ้า
หอบฟาง ไม่มีแก่นสาร ศึกษาให้ถูกเรื่องถูกราวโดยเฉพาะ
ที่จะดับทุกข์ได้ นี้เรียกว่า...ปัญญาที่แท้จริง

ปัญญาที่แท้จริงสะสมไว้ สะสมไว้ให้ครบทุกแง่ทุกมุม เพราะ
ว่าปัญหาหรือความทุกข์นั้น มันมีหลายร้อยชนิด เราก็ศึกษา
ปัญญาไว้ให้ครบทุกชนิด ศึกษาเก็บไว้ๆ นี้เรียกว่าปัญญา...
พอมีเหตุการณ์มา สติก็เป็นผู้ไปเอาปัญญามาเผชิญหน้าเหตุ
การณ์ให้ตรงกับเรื่อง....

เหมือนกับว่า เรามีอาวุธไว้มากมายในบ้านในเรือน พอจะใช้
ก็ใช้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ทุกอย่าง...เหมือนกับเรามีหยูก
ยาไว้ในตู้ยาครบทุกอย่าง แต่พอเวลากินก็กินอย่างเดียว....
นี่ปัญญามันมีไว้ครบทุกอย่าง แต่พอจะใช้แก้สถานการณ์
มันเพียงอย่างเดียว มันจึงต้องทำไว้ให้ครบทุกอย่าง แล้ว
สติ จะไปเลือกเอามาใช้ให้เหมาะแก่เหตุการณ์ ปัญญาที่เลือก
เอามา เฉพาะเหตุการณ์โดยเหมาะเจาะนั้น เขาเรียกว่า....

สัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้าย
ที่เผชิญหน้าอยู่นี้ก็เรียกว่าสัมปชัญญะ...ต่อสู้กับสถานการณ์
นั้น จนกว่าจะมีชัยชนะ ถ้ากำลังมันอ่อนลงไปก็ให้เพิ่มสมาธิ
น้ำหนักมันก็จะมีมากขึ้น ปัญญามันก็จะตัดได้ดีขึ้น ก็ชนะเหตุ
การณ์นั้นๆ จะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายอะไรก็ตาม เข้ามาทาง
ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอะไรก็ตาม...

ปัญญาหรือสัมปชัญญะ ที่ตรงกับเหตุการณ์มันจะแก้ได้...
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพยายามฝึกฝนให้มีธรรมะ
4 เกลอเป็นของคู่ชีวิตประจำตัว แล้วจะใช้ต่อสู้แก้ไขสถาน
การณ์ได้ทุกอย่าง ไม่ยกเว้นอะไร...ฯ

~ธรรมเทศนา...ท่านพุทธทาสภิกขุ~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮากว่ายิ่งลักษณ์ ! พิษณุโลกมีสัปเหร่อหญิง หนึ่งเดียวในเมืองไทย เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 08:18:10 am
ฮือฮากว่ายิ่งลักษณ์ !

พิษณุโลกมีสัปเหร่อหญิง หนึ่งเดียวในเมืองไทย

 

ไม่ต้องเลือกตั้ง เพราะอาชีพนี้อย่าว่าแต่ผู้หญิงไม่ค่อยประสงค์เลย แม้แต่ผู้ชายเองก็เถอะ กลัวผีกันทั้งนั้น

 

 

เปิดตัว 'สวง ขันทิพย์' ผู้หญิงเก่ง ยึดอาชีพสัปเหร่อ หนึ่งเดียวในพิษณุโลก ทำงานกับศพมานานร่วม 20 ปี

 

ประเทศไทยพ.ศ.นี้เรียกได้ว่า เป็นยุคผู้หญิงเก่ง ประเทศไทยกำลังมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ส่วนที่พิษณุโลก นางเปรมฤดี ชามพูนท นักการเมืองหญิงเก่ง ก็เพิ่งนั่งตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลกสมัยที่ 5 ขณะที่วัดท่ามะปราง อ.เมืองพิษณุโลก ก็มีผู้หญิงเก่งอีกคนหนึ่ง ทำงานกับศพมานานาร่วม 20 ปี ในตำแหน่งสัปเหร่อประจำวัด เรียกได้ว่า เป็นสัปเหร่อหญิงหนึ่งเดียวในจังหวัดพิษณุโลก


นางสวง ขันทิพย์ หรือ ป้าเตือน อายุ 54 ปี เรือนแพเลขที่ 100/3 ถนนพุทธบูชา อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในจังหวัดพิษณุโลก ที่ยึดอาชีพสัปเหร่อ เป็นอาชีพหลัก ทั้งที่มีหลายอาชีพให้เลือกทำหลายอย่าง แต่ป้าเตือน กับบอกว่าชื่นชอบในอาชีพสัปเหร่อแบบนี้ ทำแล้วสบายใจดี

 

ป้าเตือน เล่าว่า ด้วยบ้านอยู่ใกล้วัดท่ามะปราง ถนนพุทธบูชา อ.เมือง จ.พิษณุโลก ทำให้คลุกคลีอยู่กับวัดตั้งแต่วัยเด็ก พอโตขึ้นก็ช่วยลุงๆ ป้าๆ ที่มาทำครัวที่วัด เวลามีงานศพ งานบวช หรืองานบุญต่างๆ ก็พอได้กับข้าว บางครั้งได้ค่าแรง 20-30 บาทด้วย

 

หลังจากนั้น ก็ยึดทำครัวช่วยพระสงฆ์มาตลอด ซึ่งวัดท่ามะปรางเดิมมีสัปเหร่อเป็นชาย แต่เป็นพวกชอบดื่มเหล้า คงดูถูกตัวเอง และมองว่า สัปเหร่อเป็นอาชีพต่ำต้อย เวลาเมาก็อาละวาดทำลายเมรุเผาศพจนเสียหาย กระทั่งสัปเหร่อชายเลิกไป ป้าเตือนจึงบอกว่า ไม่ต้องไปหาสัปเหร่อที่ไหนหรอก เธอนี่แหละจะทำหน้าที่นี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นการทำอาชีพสัปเหร่อ โดยยึดเป็นอาชีพมานานกว่า 20 ปี

 

สำหรับหน้าที่สัปเหร่อ ที่ป้าเตือนทำ เรียกว่า ทำทุกอย่างเกี่ยวกับงานศพ ตั้งแต่เตรียมโลงศพ มัดตราสังค์ อาบน้ำศพ บรรจุลงโลง การเตรียมดอกไม้หน้าศพ (กรณีเจ้าภาพต้องการให้จัดเตรียมให้) การสวดพระอภิธรรมทุกคืนก่อนทำพิธีเผาศพ ในวัดประกอบพิธีเผาศพ ก็จะเตรียมนำศพออกจากโลงเย็น นำมาเวียนรอบเมรุ 3 รอบ ต้องดันรถลางโลงศพเอง จัดเตรียมวางรูป ดอกไม้หน้าเมรุ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหน้าศพ

 

สุดท้ายเปิดฝาโลงให้ญาติกราบลาศพ ผ่าน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ก่อนยัดศพลงเตา ขั้นตอนเผาให้ลูกหลานญาติจุดธูปใส่โลงศพ พรมน้ำให้ความเย็นปิดโลง ซึ่งขั้นตอนการเผาสมัยนี้ใช้น้ำมัน สะดวกสบายกว่าในอดีตที่ต้องใช้ใส่ฟืนเผาศพ ซึ่งต้องคอยใส่ฟืนให้ลุกไหม้จนกว่าศพจะถูกเผาหมด จากนั้นทิ้งข้ามคืน รุ่งเช้าวันใหม่ เวลา 06.00 น. ก็เก็บกระดูก โดยนำกระดูกมาทำพิธีปั้นหุ่น ต่อแขนขาตัว โปรยดอกไม้ น้ำหอมน้ำปรุง นิมนต์พระมาสวดบังสุกุลอีกครั้ง จากนั้น เก็บกระดูกใส่โกฐ ให้ญาตินำไปบูชา ส่วนที่เหลือนำไปลอยอังคาร เป็นเสร็จพิธี 1 ศพ

 

สำหรับค่าแรงสัปเหร่อ ต่อการทำพิธีศพนั้น ขึ้นอยู่กับญาติผู้เสียชีวิต บางงานก็ได้ 500 บาท บางงานก็ได้ 2,000-3,000 บาท บางงานเป็นคนจน คนไร้ญาติ ก็ทำไป ถือว่าได้บุญ

 

"ทำงานแบบนี้ชอบ เราไม่คิดอะไร เราทำให้คนตายครั้งสุดท้ายได้บุญกุศลดี สัปเหร่อเป็นอาชีพไม่มั่นคง บางเดือนไม่มีศพเลย ก็ไม่ได้เงิน บางเดือนก็มีศพเป็นกว่า 10 -20 ศพ"

 

ป้าเตือนเล่าว่า เป็นผู้หญิงบางคนมองว่าขวัญอ่อนต้องกลัวผี แต่เรากับคิดตรงข้าม มองว่าผีไม่น่ากลัว กลัวคนมากกว่า ทีมงานของเธอก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด มีผู้ช่วยทำความสะอาดสองคนคือป้าแจ๊ว กับป้าเอียด

 

"ผู้ชายเรื่องมาก ขี้เมา ผู้หญิงดีกว่า บางวันต้องนอนเฝ้าศพ ทำงานอยู่ในวัดกลางดึกก็ไม่กลัว ไม่เคยเจอผี เราทำดีกับเขาเขาก็ไม่ทำอะไรเรา ก็จะยึดอาชีพนี้ตลอดไปจนตัวตาย" ป้าเตือน กล่าวในท้ายที่สุด

 

 

ข่าว : คมชัดลึก
13 กรกฎาคม 2554
52  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บุคคลผู้เปรียบเหมือน ม้าอาชาไนย ปโตทสูตร เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 09:03:57 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.etcband.net

ปโตทสูตร
        [๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำพวกเป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ พอเห็นเงาปะฏักเข้าก็ย่อมสลด ถึง
ความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัว
เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวชเลยทีเดียว แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้
นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอเราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้า
อาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลดไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วย
ปะฏักถึงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวชว่าวันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจัก
ตอบแทนแก่เขาอย่างไรดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี
นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯอีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักก็ไม่สลด ไม่ถึง
ความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักถึง
ผิวหนังก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสังเวช ถึงความสลด
ว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๔ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลกฉันนั้นเหมือน
กัน ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น
มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเขาย่อมสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้
สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วย
นามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญพอเห็นเงาปะฏักย่อมสลดถึงความ
สังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง เขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยวย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญาม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนย่อมสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใดเรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้
แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำ
กาลกิริยาเอง แต่ญาติหรือสาโลหิตของเขาถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา เขาจึงสลด ถึงความ
สังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทง
ผิว หนังจึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๓ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ฯ
    อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง ทั้งญาติหรือสาโลหิตของเขาก็ไม่ถึงทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเองทีเดียว อัน
ทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ถูก
ต้องแล้วเขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้วเริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย
มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสลดถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าว
บุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้
เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
               จบสูตรที่ ๓


53  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: เข้าอ่านเนื้อหากระทู้ไม่ได้ คะ ใช้โปรแกรม IE คะ เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 04:04:13 pm
เย้ ใช้ได้แล้ว ครับ

 :s_good:
54  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / แจ้งเรื่อง RDN เดี่ยวมีเสียง เดี๋ยวก็ไม่มีครับ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 03:14:08 pm
วันนี้ตั้งใจเปิดฟังครับ แต่ไม่มีสัญญาณ มาตั้งแต่ช่วงเช้าครับ พึ่งจะมีสัญญาณช่วย บ่าย 3 ครับ

 :25: :25: :25:
55  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พุทธานุภาพ คือ อะไร ? อยากรู้ เราจะพึ่งพา พุทธานุภาพ ได้อย่างไร เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 03:12:01 pm
อ่าน ๆ แล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ กับ คำว่า พุทธานุภาพ อยู่ดีครับ

แต่ผมคิดว่า พุทธานุภาพ นั้นน่าจะเป็นส่วนกำลังใจ เท่านั้นครับ

 :c017:
56  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งกรรมฐาน จำเป็นต้องไปนั่งกรรมฐานที่ วัด หรือป่าวครับ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2011, 04:35:42 pm
เพราะนั่งที่บ้านไม่ได้ ก็ต้องไปนั่งที่วัด ครับ

นั่งที่วัดก็ดีนะครับมีพระ และ เพื่อนคอยช่วยด้วย

 :hee20hee20hee:
57  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / มีเหตุผล ดี ๆ ที่จะแนะนำให้เพื่อนปฏิบัติ สมาธิ กันบ้างหรือไม่ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 10:10:53 am
คือ ชักชวนเพื่อนให้นั่งสมาธิ

  เพื่อน ย้อนถามว่า มีเหตุผลดี ๆ สัก 10 ข้อ ของสมาธิบ้างหรือไม่ ?

  ผมก็ตอบไปตามเรื่อง แต่ รู้สึกว่า เพื่อน ๆ จะไม่สนใจกับคำตอบครับ

  ดังนั้น เพื่อมาเตรียมตัวในการซักซ้อมคำตอบ อยากได้คำแนะนำกับเพื่อน สมาชิกธรรม

  ช่วยแนะนำเหตุผล ในการชักชวนเพื่อนนั่งสมาธิกันหน่อยครับ

  :c017:
58  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งเฉยๆ สำรวมใจ ไม่กำหนดภาวนาอะไรเป็นสมาธิ หรือไม่ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 01:29:15 pm
นั่งเป็น ฌาน โดยไม่มีกระบวนท่า ทำได้ แต่ต้องมี วสี ( ความชำนาญ ) ด้วยครับ

ลำพังแต่นั่งปล่อยอารมณ์ ไปอย่างนั้น อันนี้เรียกว่าติด อทุกขมสุขเวทนา นะครับ

 :67:

59  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สำหรับ เพื่อนสมาชิก อะไรเรียกว่า "ประสพความสำเร็จในชีวิต" ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2011, 08:33:20 am
เป็นหมอที่พิชิต โรคร้ายได้อย่างราบคาบ

   เป้าหมาย ที่อยากทำจริง คือการวิจัย ซาลาแมนเดอร์ ในโครงการ อวัยยวะงอกเงยได้

 :67:
60  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อ: เมษายน 25, 2011, 08:11:21 am
วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

แสดงธรรมที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย  แสดงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๘

ณ สถานที่แห่งนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ภายหลังจากที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
มาทุกแบบทุกรูป และได้ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ สำนักอาจารย์ใด ฤาษีตนใด
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเก่งที่สุดในสมัยนั้น พระองค์ทรงไปศึกษาหมดทุกแห่ง
จนจบหลักสูตรของคณาจารย์นั้น ๆ สมัยนั้นนิยมการบำเพ็ญสมาธิเพื่อให้ได้ฌาน
ได้อภิญญา คือบำเพ็ญสมาธิแบบฌานสมาบัติมุ่งให้จิตสงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
อยู่ภายในจิตเพียงอย่างเดียว แล้วจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อสร้างชื่อเสียง
เป็นอันว่าคณาจารย์หรือนัก ปฎิบัติในสมัยนั้นยังถูกโลกธรรมหรือเอาโลกธรรม
เทิดไว้บนศีรษะเพราะยังติด อยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข การปฏิบัติก็มุ่งที่จะสร้างบารมี
ให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่นิยมนับถือของ ปวงชนในยุคสมัยนั้น จึงอยู่ในลักษณะ
การปฏิบัติเพื่อแสวงหาลาภ ผล แสวงหาบริวาร ไม่ได้มุ่งเพื่อความหลุดพ้นโดยตรง

แต่จะด้วยประการใดก็ตาม การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นก็เป็นการสร้างบารมี
เพราะความเข้าใจของคนในยุคนั้นความสำเร็จที่เขาพึงประสงค์อยู่ตรงที่ว่า
ในเมื่อปฏิบัติเคร่งครัด บำเพ็ญตบะแก่กล้า พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระเจ้า
ที่เขานับถือจะประทานพรให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งสุดแท้แต่เขาจะตั้งปณิธานความปรารถนา
ไว้อย่างไร ก็เป็นอันว่าการปฏิบัติก็เพื่อมุ่งลาภ ผล ชื่อเสียง ให้เป็นที่ประทับใจของคนในยุคนั้นสมัยนั้น
การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสร้างกิเลส เขาเอาโลกธรรมเทิดไว้บนศีรษะ

แต่เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ทรงศึกษาในสำนักของคณาจารย์นั้น ๆ
เข้าไปศึกษาในสำนักอาจารย์ใด อาจารย์นั้นก็หมดภูมิ คือหมดภูมิที่จะสอนพระองค์อีกต่อไป
เช่นอย่างไปศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็สอนพระองค์ได้เพียงฌาน ๔ คือ
ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เท่านั้น เมื่อถึงฌานขั้นนี้แล้ว อาจารย์ทั้งสอง
ก็บอกว่าหมดภูมิแล้ว ไม่มีอะไรจะสอนท่านอีกต่อไป ขอให้ท่านอยู่ในสำนัก
เพื่อช่วยสั่งสอนประชาชนอบรมศิษยานุศิษย์ต่อไปเถิด

เมื่อพระองค์ได้พิจารณาดูโดยรอบคอบแล้ว คือพระองค์สังเกตอย่างนี้ ในขณะที่จิตของพระองค์
อยู่ในสมาธิ ฌานขั้นที่ ๔ ร่างกายตัวตนหายไปหมด มีแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่าง ลอยเด่นอยู่
ในท่ามกลางแห่งความว่าง มีจิตอาศัยความสว่างเป็นอารมณ์ ความรู้สึกยินดีไม่มี
ความรู้สึกยินร้ายไม่มี คณาจารย์เหล่านั้นจึงถือว่าเขาหมดกิเลสแล้ว แต่เมื่อพระพุทธองค์
ได้ไปศึกษาจนจบหลักสูตรของอาจารย์ดังกล่าว ในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิ มองหากิเลสตัวใดไม่มี
เป็นจิตบริสุทธิ์สะอาดแท้จริง แต่ยังไม่เป็นอมตะ เพราะเมื่ออกจากสมาธิแล้ว
เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ความยินดียินร้ายมันยังมีปรากฏอยู่ในจิต พระองค์จึงพิจารณาอย่างรอบคอบว่า
มันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าหากว่าเราหมดกิเลสอย่างแท้จริง อยู่ในสมาธิเป็นอย่างไร กิเลสไม่มี
เมื่ออกจากสมาธิแล้ว กิเลสก็ต้องหมดไป สิ่งที่ส่อแสดงให้พระองค์รู้ว่าพระองค์ยังมีกิเลสอยู่ก็คือ
พระองค์ยังมีความยินดียินร้ายพอใจ ไม่พอใจ แล้วก็ยังยึดมั่นอยู่ในสังขารร่างกายว่าเป็นเรา เป็นเขา
เป็นของเรา ของเขา ดังนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ว่ายังทรงไม่สำเร็จ

ภายหลังจากที่พระองค์ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ของโสตถิยพราหมณ์ กุสะ แปลว่า หญ้าคา
คา แปลว่าข้อง ติด มาตอนนี้พระองค์ทรงเอาหญ้าคา ๘ กำ มาขดเป็นบรรลังก์ประทับนั่ง
มุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติ โดยไม่มุ่งผลประโยชน์อันใดในด้านวัตถุธรรม
มุ่งแต่เพียงจะดำเนินไปสู่การตรัสรู้ คือความหมดกิเลส สู่ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
จึงได้ชื่อว่าเอาโลกธรรม ๘ มารองนั่ง แทนที่จะเอาเทิดไว้บนศีรษะดังก่อน คราวนี้เอาโลกธรรมมารองนั่ง

พระองค์ประทับนั่งอย่างไร เราเคยเห็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอย่างไร พระองค์ก็ประทับนั่งอย่างนั้น
อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ทีนี้เมื่อพระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิเป็นที่เรียบร้อย พระองค์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
คือกำหนดรู้ที่จิตของพระองค์เพียงถ่ายเดียว ไม่ได้สนใจกับสิ่งใด ๆ แต่ในช่วงขณะจิตนั้นเอง
พอพระองค์มาวิตกว่าเราจะเริ่มกันที่จุดไหน อตีตารมณ์คืออารมณ์ในอดีตได้ผุดขึ้นมา
ในพระทัยของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงรำลึกถึงเมื่อสมัยยังเป็นพระกุมาร
พระบิดาทำพิธีแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงนางนมผูกพระอู่ให้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า
ในช่วงที่พี่เลี้ยงนางนมหรือคนทั้งหลายเขาเพลิดเพลินในการดูมหรสพ ดูพิธีแรกนาขวัญ
พระองค์ถูกปล่อยให้บรรทมในพระอู่ใต้ต้นหว้าแต่เดียวดาย

ณ โอกาสที่ว่างจากการคลุกคลีจากผู้คนนั้นเอง พระองค์ผู้เป็นพระกุมารน้อย ๆ ทรงวิตกถึงลมหายใจ
กำหนดรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์ นับว่าพระองค์ได้สำเร็จปฐมฌานตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อพระองค์มารำลึกถึงที่ตรงนี้ พระองค์ก็ได้ความรู้ตัวขึ้นมาว่า จุดเริ่มของการปฏิบัติอยู่ตรงนี้
คือการกำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์เพื่อกำหนดให้รู้ความเป็นจริงของร่างกาย
แล้วพระองค์ก็มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก

วิธีการของพระองค์นั้น เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้อยู่เท่านั้น แต่เพราะอาศัยที่
กายกับจิตของพระองค์ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เมื่อจิตอยู่ว่าง ๆ สิ่งที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือลมหายใจ
เพราะอาศัยที่พระองค์เคยบรรลุปฐมฌานมาแล้ว จิตของพระองค์จึงจับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
แต่พระองค์เพียงมีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจ ไม่ได้บังคับลมหายใจ ไม่ได้บังคับจิตให้สงบ
ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่พระองค์กำหนดเอาพระสติอย่างเดียวรู้ที่จิต
บางครั้งลมหายใจก็ปรากฏว่าหยาบ คือหายใจแรงขึ้น พระองค์ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ในบางครั้งลมหายใจค่อย ๆ ละเอียดขึ้น ๆ คล้าย ๆ กับจะหยุดหายใจ พระองค์กลัวว่ามันจะเลยเถิด
เมื่อกระตุ้นเตือนจิตให้มีความหยาบขึ้น ลมหายใจก็เด่นชัดชัดขึ้น เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจอย่างไม่ลดละ
แล้วพระองค์ไม่ได้นึกว่า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด
เพียงแต่กำหนดรู้เฉยอยู่เท่านั้น ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของจิต
เมื่อหนัก ๆ เข้า จิตยึดลมหายใจอย่างเหนียวแน่น ในบางครั้งพระองค์จะมองเห็นลมหายใจวิ่งออกวิ่งเข้า
เป็นท่อยาว สว่างเหมือนหลอดไฟนีออน หนัก ๆ เข้า พอจิตสงบละเอียดไปในระหว่างอุปจารสมาธิ
จิตของพระองค์วิ่งเข้าไปสว่างนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกายไปรวมตัวอยู่ใน
ท่ามกลางระหว่างทรวงอก ความสว่างไสวแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกาย พระองค์มีความรู้สึกประหนึ่งว่า
ความสว่างได้ครอบคลุมพระกายของพระองค์อยู่ ในช่วงนั้น พระองค์เกิดความรู้ความเห็น
เห็นอาการ ๓๒ ที่เรายึดมาเป็นบทสวดมนต์ในปัจจุบันนี้

อะยัง โข เม กาโย - กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย - มีอยู่ในกายนี้
เกสา - คือผมทั้งหลาย โลมา คือขนทั้งหลาย
นะขา - คือเล็บทั้งหลาย ทันตา คือฟันทั้งหลาย
ตะโจ - คือหนัง มังสัง คือ เนื้อ
นะหารู - คือเอ็นทั้งหลาย อัฏฐิ คือกระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง - เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง - ตับ
กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง - ไต
ปัปผาสัง ปอด อันตัง - ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง - อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า มัตถะเก มัตถะลุงคัง - เยื่อในสมอง
ปิตตัง น้ำดี เสมหัง - น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง - น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ เมโท - น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา วะสา - น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา - น้ำมูก
ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตัง - น้ำมูตร
เอวะมะยัง เม กาโย - กายของเรามีอย่างนี้
อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ อย่างนี้แล

ความรู้อันนี้พระพุทธองค์ได้รู้เห็นก่อนการตรัสรู้ แล้วกลายเป็นกายคตาสติสูตร
ที่เราผู้ปฏิบัติยึดเป็นแนวทางแห่งการพิจารณาอสุภกรรมฐาน
เมื่อจิตของพระพุทธองค์ไปสงบนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้พระองค์รู้ความเป็นจริง
ของร่างกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว คือพระองค์มองเห็นหัวใจกำลังเต้น ฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย มองเห็นปอดกำลังสูดอากาศเข้าไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับกำลังแยกเก็บ
อาหารส่วนละเอียดไว้ไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับอ่อนกำลังทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหาร
และนำเอากรดมาช่วยย่อยอาหาร ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
พระองค์รู้ทั่วถ้วนหมดทุกสิ่งทุกอย่างในขณะจิตเดียว แล้วพระจิตของพระองค์ก็วิตกอยู่กับสิ่งเหล่านี้
กำหนดรู้อยู่กับสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งจิตละเอียดลงไป ๆ กายจางหายไป ยังเหลือแต่จิต
นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในจักวาลนี้รู้สึกว่ามีแต่จิตของพระองค์ดวงเดียวเท่านั้น
สว่างไสวอยู่ ในตอนนี้จิตของพระองค์เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตเป็น อัตตาทีปะ
มีตนเป็นเกาะ เป็น อัตตสรณา มีตนเป็นที่ระลึก คือ ระลึกอยู่ที่ตน รู้อยู่ที่จิต
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ จิตมีตนเป็นตนของตน เมื่อจิตของพระองค์ไปดำรงอยู่ในสมาธิ
ขั้นจตุตถฌานนานพอสมควร

ต่อไปนี้จะได้ลำดับองค์ฌาน ปฐมฌาน มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
วิตก หมายถึง จิตไปรู้อยู่กับสิ่ง ๆ หนึ่ง หรือบางทีไปรู้เฉพาะในจิตเพียงอย่างเดียว
แล้วก็มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง คือจิตรู้อยู่ที่จิต อันนี้เป็นปฐมฌาน
ทุติยฌาน จิตไม่ได้ยึดสิ่งรู้ แต่รู้อยู่ที่ตัวเอง
แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีปีติ มีสุข แล้วก็มีเอกัคคตา
เมื่อจิตสงบละเอียดลงไป ปล่อยวางปีติ ยังเหลือแต่ความสุขก็อยู่ในฌานที่ ๓
ตอนนี้จะรู้สึกว่ากายละเอียด ค่อย ๆ จางไป แต่ยังปรากฏอยู่ จิตจะเสวยสุขในปีติอย่างล้นพ้น
ซึ่งจะหาความสุขใดเปรียบเทียบไม่ได้ แล้วในที่สุดกายก็หายไป ความสุขก็พลอยหายไปด้วย
ยังเหลือแต่จิตนิ่งสว่างไสวอยู่อย่างนั้น จิตเป็นหนึ่งคือ เอกัคคตา แล้วก็เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม
ซึ่งเรียกว่า อุเบกขา ขอย้ำอีกที่หนึ่งว่า

- ฌานที่ ๑ ประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
- ฌานที่ ๒ ประกอบไปด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
- ฌานที่ ๓ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ สุข กับเอกัคคตา
- ฌานที่ ๔ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ เอกัคคตา กับอุเบกขา

เป็นอันว่าในช่วงนั้นจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน เมื่อเข้าถึงจตุตถฌานแล้ว
แทนที่จะก้าวหน้าไปอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตะนะ อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่พอขยับจะเคลื่อนจากฌานที่ ๔ วกเข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ
คือเข้านิโรธสมาบัติ จิตอยู่ในนิโรธสมาบัติ ดับความสว่าง จิตรู้อยู่ในจิตอย่างละเอียด
สัญญาเวทนาดับไปหมด แต่ก็ยังมีเหลือรู้อยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นฐานสร้างพลังจิต คือพลังสมาธิ
พลังสติปัญญา
เพื่อเตรียมก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตตระ

เมื่อจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ สร้างพลังเพียงพอแล้ว
จิตเบ่งบานออกมาทีหนึ่งสามารถแผ่รัศมีสว่างไสวครอบคลุมจักวาลทั้งหมด
ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังจิตดวงนี้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ แม้จะส่องแสงลงมาสู่โลก
ก็ส่องไปได้เฉพาะที่ไม่มีสิ่งกำบัง แต่จิตของพระพุทธองค์นั้นส่องสว่างไปทั่วหมดทุกหนทุกแห่ง
ไม่มีสิ่งกำบัง ไม่มีอะไรที่จะปิดบังดวงจิตดวงนี้ได้ มองทะลุจนกระทั่งบาดาลถึงพิภพพญานาค
มองทะลุจนกระทั่งผืนแผ่นดิน พระองค์สามารถกำหนดความหนาของแผ่นดินได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
ในช่วงนั้นทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก

โลก ตามความหมายในทางธรรมะ มีอยู่ ๓ โลก
1. ยมโลก ได้แก่โลกเบื้องต่ำ คือต่ำกว่าภูมิมนุษย์และภูมิสัตว์เดรัจฉาน ลงไป
ได้แก่ภพของภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก อันนั้น เรียกว่า ยมโลก
2. มนุสสโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสัตว์ผู้มีกายมีใจ
3. เทวโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของเทวดา ตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุ ฯ สูงสุด
จนกระทั่งพรหมโลกชั้นอกนิษฐาพรหม

พระองค์รู้พร้อมในขณะจิตเดียว ทั้งยมโลก มนุสสโลก เทวโลก แล้วเกิดความรู้ต่อไปอีก
ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อันนี้พระองค์ยังไม่ได้คิดเช่นนั้น
เป็นแต่มองเห็นความแตกต่างของสัตว์และมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์
ภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกายทั้งหลายเท่านั้น แล้วก็รู้กฎของกรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ
รู้กิเลสคืออวิชชาที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม แต่ในขณะที่รู้นั้น
พระองค์รู้นิ่งอยู่เฉย ๆ ทรงรู้จนกระทั่งเหตุ รู้ทั้งปัจจัย รู้ความเป็นไปของมวลหมู่สัตว์ทั้งหลาย
ในจักวาลนี้ แต่จิตดวงนี้คิดไม่เป็น พูดไม่เป็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วก็สามารถ
บันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมดทั้งเรื่องของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
บันทึกไว้พร้อมไม่มีขาดตกบกพร่อง ตามนิสัยของพระสัพพัญญู

อันนี้เป็นการตรัสรู้ของพระองค์ พระองค์ตรัสรู้ในขณะที่จิตไม่มีร่างกายตัวตน
ซึ่งแม้ไม่มีร่างกายตัวตน จิตสามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ว่าพูดไม่เป็น คิดไม่เป็น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จิตของเรานี่จะคิดได้ต่อเมื่อยังสัมพันธ์อยู่กับร่างกาย
เมื่อแยกจากร่างกายออกไปแล้วไม่มีเครื่องมือจึงคิดไม่เป็น ความคิดมันเกิดจากประสาทสมอง
จิตไม่มีร่างกายตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีร่าง จึงไม่มีมันสมองที่จะใช้ความคิด
เพราะฉะนั้นรู้เห็นอะไรก็ได้แต่นิ่ง แต่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไว้พร้อมหมดไม่มีขาดตกบกพร่อง

เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นโลกวิทูละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว จิตของพระองค์ถอนจากสมาธิขั้นนี้มา
พอมารู้สึกว่ามีกาย ตอนนี้ได้เครื่องมือแล้ว จิตของพระองค์จึงมาพิจารณาทบทวน
ถึงสิ่งที่รู้เห็นนั้นซ้ำอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเจริญวิปัสสนา ทรงพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
การระลึกชาติหนหลังได้ ตั้งแต่ชาติหนึ่ง ชาติสอง ชาติร้อย ชาติพัน ชาติหมื่น ชาติแสน ชาติล้าน....
ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าพระองค์เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างกว่าจะได้มาถึงการตรัสรู้นี้ 

นอกจากพระองค์จะรู้เรื่องของพระองค์เองแล้ว ยังสามารถรู้เรื่องของคนอื่นสัตว์อื่นได้ด้วยว่า
มวลสัตว์ทั้งหลายในจักวาลนี้ได้เกิดมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง
อันนี้เป็นความรู้เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จิตของพระองค์คิดพิจารณา
เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม และในมัชฌิมยามพระองค์ได้พิจารณา
เรื่องการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย จุติก็คือตาย เกิดก็คือเกิดนั่นแหละ
ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
เพราะกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย จึงเป็นสุภาษิตขึ้นมาว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ กัน เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์มาสอนธรรมแก่มวลสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จึงสอนให้พิจารณากรรม
เป็นส่วนใหญ่ว่า เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กฎของกรรมนี่เกิดจากการทำ การพูด โดยอาศัยความคิดเป็นผู้ตั้งเจตนา
ว่าจะทำจะพูดจะคิด ในเมื่อทำอะไรลงไปโดยเจตนา สิ่งนั้นสำเร็จเป็นกรรม
เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในมัชฌิมยาม

แล้วก็ทรงคำนึงต่อไปอีกว่า อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม
ก็มาได้ความเป็นภาษาสมมติบัญญัติว่าอวิชชาความไม่รู้จริง ความรู้ไม่จริงนี่เป็นเหตุ
ให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมตามที่ตนเข้าใจว่ามันถูก ต้อง แต่สิ่งที่สัตว์เข้าใจและมีความเห็นว่าถูกต้องนั้น
บางอย่างมันก็ถูกต้องตามใจของตนเอง แต่ขัดกับกฎธรรมชาติ บางอย่างมันก็ถูกต้อง
ตามใจของตนเอง และถูกกับกฎธรรมชาติ ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายผู้รู้ไม่จริง
จึงทำกรรมดีทำกรรมชั่วคละเคล้ากันไป หมายถึงทำกรรมที่เป็นบาป ทำกรรมที่เป็นบุญ
ทำกรรมที่เป็นชั่ว ทำกรรมที่ดี ภาษาบาลีว่า กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรมคือกรรมชั่ว
ทำไปตามความเข้าใจของตนเอง ในเมื่อทำแล้วก็ย่อมได้รับผลของกรรม
ได้รับผลของกรรมแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดมาอีกก็ต้องอาศัยกิเลสคืออวิชชาตัวเดียวนั่นแหละ
ทำกรรมแล้วทำกรรมเล่า เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร
เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในปัจฉิมยาม

ในเมื่อพระองค์ได้พิจารณา ๓ เรื่อง ตามลำดับยามทั้ง ๓ จบลงแล้ว
จิตของพระองค์ยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตรัสรู้นี้
เป็นความจริงแท้ไม่แปรผัน ในช่วงขณะจิตนั้น อรหัตตมัคคญาณจึงบังเกิดขึ้น
ตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไปในปัจฉิมยาม จึงได้พระนามว่า อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ด้วยประการฉะนี้ อันนี้คือลักษณะการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมะบรรยายนี้ผมได้รับจากคุณ Li แห่งลานธรรม ขออนุโมทนาสาธุครับ
เห็นว่ามีประโยชน์แก่คนทั่วไปจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ

จากคุณ    : kaveebs
ที่มา http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/11/Y9945536/Y9945536.html
61  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เพื่อน ๆ มีวิธีการจัดการอย่างไร เวลาเราจะชักชวนเพื่อนให้มาภาวนากรรมฐาน ด้วยกัน เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 07:50:47 am
คือ ผมพยายามชักชวน พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ให้มาภาวนากรรมฐานกันบ้าง แต่ 1 ปี มานี้ไม่ว่า จะพยายามโน้มน้าวอย่างไรก็ตามก็ไม่ประสพความสำเร็จในการชักชวน ซ้ำยังถูกหาว่าบ้า ด้วย

เช่น ญาตผู้ใหญ่ ของผมคนหนึ่ง ประสพอุบัตเหตุ ถึงขั้น เอ็นขาด กระดูกหัก ทั้งตัว จนตอนนี้มีโรคประจำตัวเกิดขึ้นแก่กาย คือ่จะปวดกระดูกทั้งตัว ผมก็อยากให้ ญาติท่านนี้ได้ภาวนากรรมฐาน เพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดบ้าง แต่การชักชวนของผม ก็ยังไม่สำเร็จเลยครับ ในปัจจุบัน ผมก็ยังชักชวนต่อไป แต่ญาติท่านนี้ ท่านจะชอบทำบุญกันเป็นประจำ จะใส่บาตรทุกวันไม่ขาด

อยากทราบว่าเพื่อน ๆ สมาชิกใครมีวิธี โน้มน้าว ชักจูง คนได้สำเร็จ ช่วยแนะนำหน่อยครับ

 :c017:
62  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: น้ำป่าซัดสะพาน ข้ามแม่น้ำหลังสวน ดินถล่ม ที่ชุมพร เมื่อ: มีนาคม 29, 2011, 10:30:12 am
น่าเศร้าใจจังนะครับ เพราะว่าตั้งแต่ปีที่แล้วมา ชาวบ้านอีก หลาย ๆ ท่านยังตั้งหลักกันไม่ได้เลยครับ

ปลูกข้าว ปลูกผัก จะได้ผลก็เจอน้ำท่วม ตอนนี้อากาศท้องฟ้าแปรปรวน น่าตกใจกับเหตุจริงๆ ครับ

สงสัย ปี 2012 จะมีอะไรเกิดขึ้นแน่เลยครับ
 :03:
63  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พม่าเขย่าเท่าปรมาณู6ลูก เมื่อ: มีนาคม 29, 2011, 10:28:12 am
ตอนนี้ยังแผ่นดินไหวอยู่เลยครับที่ ลำปาง เชียงราย เชียงใหม่

น่ากลัวครับเดินตัวโคลงเลยครับ เหมือนคนฉุดแขนเลยครับ
 :41:

64  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: รายการ RDN ช่วงนี้ไม่ได้ยินเสียงครับ เมื่อ: มีนาคม 25, 2011, 04:57:22 pm
รู้สึกว่าจะไม่ได้เปิด นะครับ
แต่มีเหตุจำเป็น ก็ต้องปิดเพื่อดูสถานการณ์ ใช่หรือ ไม่ครับ

 :015:
65  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ไม่อยากให้ลูกชายกลายเป็นลูกสาว เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 11:09:53 am
ไม่เห็นด้วยเลยครับ ดัดแปลงการนุ่ง ห่มอีกต่างหาก ทำเป็นผ้าเกาะอก สงเสียง กรี๊ด ๆ นี่ละก็

ผมเคยเจอที่วัดสิงห์ เชียงใหม่ครับ

66  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำบุญ โดยเขียนชื่อ พ่อ แม่ ลงไป ท่านจะได้บุญหรือไม่ คะ เมื่อ: มีนาคม 20, 2011, 09:18:43 am
ผมว่าน่าจะได้บุญ นะครับ ถ้าเราทำเหมือนอุทิศส่วนกุศลให้ ถึงแม้ท่านจะทราบ หรือ ไม่ได้ทราบก็ตาม
 :13:
67  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ขอคำปรึกษา เพื่อนสมาชิกธรรม เรื่อง วัตถุ หน่อยครับ เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 09:12:49 am
ไม่รู้โพสต์ถูกห้องหรือไม่ คือ ผมอยากจะซื้อ คอมสำหรับพกพา

  ระหว่าง เน็ตบุ๊ค  และ ไอแพด หรือ โน๊ตบุ๊ค ในราคาย่อมเยาว์ อันไหน น่าซื้อกว่ากันครับ

  และประโยชน์ ใช้สอย ที่ควรได้ครับ

  ในราคาไม่เกิน 30000 บาทครับ     

:c017:
68  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สลด “ครูพละ” กระหน่ำยิง “นร.ม.3” ดับสยองคาโรงเรียน ก่อนลั่นไกฆ่าตัวตายตาม เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 12:21:46 pm
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ ครับ สถาบัน ครู นักเรียน ต้องเก็บนำมาเป็นเรื่องเตือนใจด้วยครับ
เพราะความไม่งาม ระหว่าง ครู และ ศิษย์ ( เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประเพณีด้วย )

 :96:
69  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ปีใหม่...ไปเข้าปริวาสแวะสักการะหลวงพ่อโสธร..วัดโสธร & หลวงพ่อทวด..วัดห้วยมงคล เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:15:24 am
อนุโมทนา กับภาพ ที่นำมาซึ่งความศรัทธา ทำให้ผมอยากไปกราบ หลวงพ่อโสธร และ หลววปู่ทวด

กราบขอบคุณ ท่าน เผ่าพงษ์พระกฤษณะ ( ไม่ทราบว่าเป็นพระอาจารย์วัดทุ่งเซียดใช่หรือไม่ครับ ) ด้วยนะครับ

 :25: :25: :25:
70  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จิตปภัสสร เป็นเช่นไร เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 02:02:27 pm
อ้างถึง
ภวังคจิต แม้จะบริสุทธิ์ตามปกติ  ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะ
อุปกิเลสที่จรมา 
อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ
โทสะและโมหะ ซึ่งมีความกำหนัดขัดเคือง และความหลงเป็น
สภาวะในขณะแห่งชวนจิต เหมือนบิดามารดาเป็นต้นเหล่านั้น
ได้ความเสียชื่อเสียง เหตุเพราะบุตรเป็นต้น ฉะนั้นแล.

ถ้าพิจารณาตรงนี้ ก็หมายความตีความแล้วว่า จิตเดิม ภวังคจิต ก็ยังประกอบด้วยกเลส นะครับ
 :13:

71  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องเล่า น่าคิด แครอท ไข่ กาแฟ เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 10:50:24 am

เรื่องเล่า น่าคิด

 

วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบ่นถึงชีวิตอันแสนรำเค็ญให้พ่อฟังว่า . . .  เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการ ต่อสู้และการแข่งขัน

พ่อสอนให้ลูกสาวรู้คิดโดยการต้มน้ำให้เดือดในหม้อสามใบ ใบแรก ใส่แครอท ใบที่สอง ใส่ไข่ ใบที่สาม ใส่กาแฟ เมื่อผ่านไป 20 นาทีจึงยกลง พร้อมกับถามลูกว่า “เห็นอะไรบ้าง”

“แครอท ไข่ กาแฟ”  เธอตอบ

 

เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัส แครอท เธอจึงรู้ว่า มันนิ่ม  แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่ นั้นได้ต้มจน สุกแล้ว  ท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบ กาแฟ ดู เธอยิ้มและลิ้มรสอัน หอมกรุ่น นั้น

พ่ออธิบายว่า “เราได้กระทำต่อ 3 สิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิม  แครอท ดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก  ไข่…ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน  แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่ กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล  เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป . .."

ถ้าเป็น  “แครอท” แม้จะดูแข็งโป๊ก  แต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอ  และสูญเสียเรี่ยวแรง  และกำลังไป

หรือจะเป็น  “ไข่” ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรก  แต่หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการเลย์ออฟ . .แม้เปลือกภายนอกยังคงเดิม แต่หัวใจ และจิตวิญญาณของอาจปวดร้าว และแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นไปได้

หรือหากคุณเหมือน  “กาแฟ” เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด  แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว ยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย. ..


คุณเป็นคนแบบไหนคะ แครอท ไข่ หรือกาแฟ


Credit :  sakid//
72  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ต่อไปนี้คุณผู้ชายที่ชอบ "ไข่แล้วทิ้ง" ผิดกฏหมาย คร้า..... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 02:44:40 pm
ถ้าทุกคนช่วยกัน ส่งเสริม ศีลธรรม กฏหมายก็คงไม่ต้องมี

 แต่กฏหมาย มีก็ดีครับ :97:
73  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะหลัก 6 อ. สร้างสุขภาพคนไทย เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 01:42:00 pm
แนะหลัก 6 อ. สร้างสุขภาพคนไทย

สุขภาพ กายที่ดี หมายถึงกายที่ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราสามารถดูแลสุขภาพได้ดีตลอดไปได้ด้วยตนเองและสามารถป้องกันการเจ็บป่ายที่ เกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติตัวตามแนวทางสู่การมีสุขภาพดีเมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ เราก็ต้องดูแลตนเองให้ดีเพื่อให้หายป่วยเร็วขึ้น หรือเพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่และลดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนการมีสุขภาพจิตที่ดีก็ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่แข็งแรง หายจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้นได้เช่นกัน 

          การมีสุขภาพที่ดี ตามหลัก 6 อ.สร้างสุขภาพคนไทย ต้องปฏิบัติดังนี้
 
          1.อาหาร กินอาหารโดยยึดหลักการกินให้หลากหลายชนิดมากที่สุด ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันและแป้งในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวานได้ ควรเน้นอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้น
 
          2.ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดห์ละ 3  ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ
 
          3.อารมณ์ อารมณ์มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์มีผลต่อร่างกาย อารมณ์ดีส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น เมื่อมีความสุข ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟิน ส่งผลให้ร่างกายต้องตื่นตัวกระชุ่มกระชวย ผ่อนคลายการทำงานของสมองจะดี หายป่วยเร็วขึ้น อายุยืนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ไม่ดีจะส่งผลทำลายสุขภาพทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง กินอาหารได้น้อย นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด ก้าวร้าว ความดันโลหิตสูง ดังนั้น การรู้จักควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม มีผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจทำให้การดำรงชีวิตประจำวันมีความสุข
 
          4.อนามัยสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมในบ้านที่ดีเอื้อต่อการมีสุขภาพดีของคนในครอบครัว ขณะเดียวกันก็ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในชุมชนด้วย
 
          5.อโรคยา หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูง ลดการกินอาหารรสจัด ไม่กินอาหารที่สุก ๆดิบๆ หรืออาหารที่มีสารปนเปื้อน การจัดการกับความเครียด โดยทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ การคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถยนต์ สวมหมวกกันน็อกขณะขับขี่มอเตอร์ไซค์
 
          6.อบายมุข งดเว้นบุหรี่ สุรา ยาเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจ
 
          นอกจากการมีสุขภาพกายที่ดีแล้ว ยังต้องมีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพจิตที่ดี คือมีจิตใจที่พร้อมเผชิญความไม่แน่นอนในชีวิต ด้วยการเรียนรู้ที่จะอยู่กับบุคลคลอื่นด้วยความรักการแบ่งปัน รู้จักการแบ่งเวลาให้เหมาะสมและมองโลกในแง่ดี ปรับตัวปรับใจได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงได้
 
74  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 02:36:16 pm

ประวัติ  หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

นามเดิม :- คำคะนิง

เกิด :- ที่บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน ๔ ปีกุน พ.ศ ๒๔๓๗

โยมบิดา - มารดา :- ชื่อนายดิน ทะโนราช และนางนุ่น

(หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน ๑๕ ปี )

บรรพชา

เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี บวชได้ ๙ วัน เพื่อทดแทนคุณบิดามารดาที่ตายไป หลังจากนั้นพบครบก็ต้องลาสึก แม้ว่าอยากจะบวชต่อเพียงไรแต่เพราะมีหน้าที่ความจำเป็นต้องเลี้ยงดูครอบครัว (ท่านแต่งงานเมื่ออายุ ๑๘ ปี มีบุตร ๒ คน ) แต่ท่านก็ยังยึดมั่นในการปฏิบัติธรรมโดยการทำงานหาเงินให้เมียกับลูกตอนกลาง วัน พอกลางคืนท่านก็ไปนอนที่วัด ถือศีลปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนาไม่กลับไปอยู่ที่บ้าน เพียงดูแลลูกและเมียไม่ให้อดอยาก ทำเช่นนี้จนภรรยาทนไม่ได้ที่เห็นสามีปฏิบัติตัวแบบนี้ จึงอนุญาตให้หลวงปู่บวชได้ตามใจปรารถนา เมื่อเป็นดังนั้นท่านจึงกลับไปวัดที่ตนเคยบวชเณรอีกครั้ง เพื่อพักอาศัยปฏิบัติธรรม อยู่ต่อมาได้ไม่นานท่านก็ได้เพื่อนสหมิกธรรมร่วมอีกสองคน จึงมีความดำริที่คิดจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์

ก่อนจะบวชก็เคยออกสืบเสาะหาพระอาจารย์ด้านกรรมฐานเก่งๆ ได้มีสหาย ๒ คนร่วมเดินทางไปหาอาจารย์สีทัตถ์ เมืองท่าอุเทน แต่ก็ผิดหวัง เมื่ออาจารย์สีทัตถ์กล่าวปฏิเสธ แต่ก็แนะนำให้ไปหาอาจารย์เหม่ย ทั้งหมดรีบมุ่งไปหาอาจารย์เหม่ย เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์ อาจารย์เหม่ยนิ่งฟังแล้ว กล่าวด้วยเสียงห้วนๆ

“ถ้าจะมาเป็นศิษย์เรา ทั้งสามคนนี้จะมีคนตายหนึ่งคน มีใครกลัวตายบ้าง” อาจารย์เหม่ยชี้ถามรายตัว เพื่อนอีกสองคน ยอมรับว่ากลัวตาย ครั้นมาถึงนายคำคะนิง เขาได้ตอบอาจารย์ออกไปว่า “ไม่กลัวตาย”

อาจารย์เหม่ยเลยให้เพื่อนอีกสองคนที่กลัวตายกลับไป แล้วหันมาทางนายคำคะนิงแล้วพูดว่า “การเรียนวิชากับอาจารย์นั้น มีทางตายจริงๆ เพราะมันทุกข์ทรมานอย่างที่สุด” ให้นำเสื้อผ้าที่มีสีสันทิ้งไป ใส่ชุดขาวแทน เป็น “ปะขาว” ในฐานะศิษย์

ในสำนักมีแต่ข้าวตากแห้งกับน้ำเพียงประทังชีวิตพออยู่รอดไปวันๆเวลานอนก็ เอา มะพร้าวต่างหมอนนายคำคะนิงอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องการตายขึ้น ของชายผู้หนึ่งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ คนผู้นี้นั่งสมาธิจนตาย อาจารย์สั่งนายคำคะนิงให้แบกศพที่ตายเข้าป่า โดยมีอาจารย์เดินนำหน้า ข้ามเขาลูกหนึ่งไปสิบกว่ากิโลเมตรไปถึงต้นไม้ใหญ่สองคนโอบ แล้วสั่งให้เขามัดศพกับต้นไม้นั้น จากนั้นสั่งกำชับว่า “เจ้าจงเดินเพ่งศพนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน อย่าได้หยุด ให้พิจารณาอสุภกรรมฐานอย่างถ่องแท้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน” นายคำคะนิงจึงได้เริ่มพิจารณาศพตามที่อาจารย์เหม่ยสั่งไว้ ถึงรุ่งเช้านายคำคะนิงจึงกลับไปสำนักตามที่อาจารย์กำหนด อาจารย์เหม่ยถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเจอหน้า “เป็นอย่างไงบ้าง”“ศพนั้นก็เหมือนตัวศิษย์ครับอาจารย์ ไม่มีอะไรแตกต่างตรงไหนเลย” นายคำคะนิงบอก “กลัวไหม” อาจารย์ถาม “ไม่กลัวครับ เพราะเขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา” อาจารย์ไม่ถามอะไรอีก สั่งให้ไปเอามีดเล่มหนึ่งทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างเดินทางกลับไปหาศพ ณ ที่เดิมพอไปถึง ก็สั่งให้แก้มัดเอาศพออกมานอนราบกับพื้นดิน แล้วสั่งให้นายคำคะนิงผ่าท้องเอาศพออก จากนั้นอาจารย์ก็กล่าวว่า ให้หยิบอะไรออกมา ต้องอธิบายอวัยวะนั้นได้ และต้องบอกดังๆ เมื่อนายคำคะนิงชำแหละศพ ตัดหัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ และสิ่งต่างๆ ก็จะตะโกนบอกอาจารย์ด้วยเสียงอันดัง จนครบหมดถูกต้อง

“เอ๊า… คราวนี้ชำแหละเนื้อลอกออกให้เหลือแต่กระดูก” อาจารย์เหม่ยสั่งให้เขาทำต่อ และนั่งดูจนเสร็จเรียบร้อย จึงได้สั่งอีกเอากองเนื้อและเครื่องในไปเผาให้หมด เอากระดูกรวมไว้ต่างหาก แล้วเอาไปต้มล้างให้สะอาด เหลือแต่กระดูกล้วนๆ อย่าให้มีอะไรติดอยู่

นายคำคะนิงปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งทุกประการ เนื้อตัวของนายคำคะนิงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด, น้ำเหลือง และมีกลิ่นศพติดตัวเหม็นคละคลุ้ง อาจารย์เหม่ยยังไม่เลิกรา สั่งต่อไปให้เขานับกระดูกและเรียงให้ถูก เขาลงมือปฏิบัติตามทันที

“กระดูกมีสองร้อย แปดสิบท่อนครับ อาจารย์”

อาจารย์เหม่ยอธิบายอีกว่า คนที่จะบรรลุธรรมด้วยความเพียรบำเพ็ญ ต้องมีกระดูกครบสามร้อยท่อนกระดูก คือ พระวินัย เนื้อหนังมังสาเป็นพระวินอก ส่วนระเบียบคือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า หลังจากได้เรียนรู้วิชาจากอาจารย์เหม่ยหลายสิ่งหลายอย่าง อาจารย์ก็ไล่ให้ไปสืบเสาะหาความรู้เพิ่มเติมเอาเอง นายคำคะนิงจึงยึดเอาโยคี

เป็นรูปแบบภายนอก และถือศีลภาวนาอย่างพระภิกษุตั้งแต่บัดนั้นมา

พบหลวงพ่อปาน(พระครูวิหารกิจจานุการ)วัดบางนมโค

ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ในปีหนึ่ง เดินธุดงค์คราวนี้หลวงพ่อปานได้นำศิษย์เอก ๔ รูป ไปด้วยมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง) หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก และพระเขียน หลวงพ่อปานพาลูกศิษย์ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม มุ่งหน้าไปทางภาคเหนือ ข้ามเขตชายแดนลึกเข้าไป กระทั่งเข้าเขตเชียงตุง

วันหนึ่ง…คณะของหลวงพ่อปานได้ผ่านไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง และได้พบกับปะขาวคำคะนิง ขณะนั้นท่านปล่อยผมยาวรุงรังมาถึงเอว หนวดเครางอกยาวรุ่ยร่าย นุ่งห่มด้วยผ้าซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นผ้าสีอะไร เพราะปุปะและกระดำกระด่าง หลวงพ่อปานจึงเปรยขึ้นว่า

“นี่พระหรือคน ? ”

“ไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ? เฮ้ย ! พระมันอยู่ที่ไหนวะ ? ” พูดสวนด้วยน้ำเสียงขุ่นเหมือนไม่พอใจ

“อ้าว..ก็เห็นผมยาว ผ้าก็อีหรุปุปะ สีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครจะรู้ว่าเป็นคนหรือพระล่ะ ?”

“พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ?”

“ไม่ใช่” หลวงพ่อปานตอบยิ้มๆ

“แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า?”

“พระน่ะอยู่ที่ใจใสสะอาด”

“ถ้าอย่างนั้นละก้อ เสือกมาถามทำไมว่าเป็นพระหรือคน”

“เห็นผมเผ้ารุงรังอย่างนั้นนี่ ใครจะไปรู้เล่า?”

“ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูที่ใจคน ไอ้พระบ้านพระเมืองกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันต้องเห็นดีกันละ”

พูดจบ ปะขาวคำคะนิงก็หยิบเอาหวายยาวประมาณหนึ่งวาโยนผลุงไปตรงหน้า หวายเส้นนั้นกลายสภาพเป็นงูตัวใหญ่ยาวหลายวาน่ากลัว ชูคอร่าก่อนจะเลื้อยปราดๆ เข้ามาหาหลวงพ่อปานพระลูกศิษย์เห็นอย่างนั้นต่างถอยไปอยู่เบื้องหลังหลงพ่อ ปาน

หลวงพ่อปานไม่ได้แสดงอาการแปลกใจหรือตื่นกลัวท่านก้มลงหยิบใบไม้แห้งขึ้น มา ใบหนึ่งแล้วโยนไปข้างหน้า ใบไม้นั้นก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่คล้ายเหยี่ยวหรือนกอินทรี

นกซึ่งเกิดจากอิทธิฤทธิ์โผเข้าขยุ้มกรงเล็บจับลำตัวงูใหญ่เอาไว้ แล้วกระพือ ปีกลิ่วขึ้นไปเหนือทิวยอดไผ่ ต่อสู้กันเป็นสามารถงูฉกกัดและพยายามม้วนตัวขนดลำตัวรัด ขณะที่นกใหญ่จิกตีและจิกขยุ้มกรงเล็บไม่ยอมปล่อย แต่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแพ้ชนะ ตราบกระทั่งร่วงหล่นลงมาทั้งคู่พอกระทบพื้นดิน งูกลายเป็นช้างป่าตัวมหึมา งายาวงอนส่วนใบไม้แห้งแปรรูปเปลี่ยนเป็นเสือลายพาดกลอน แล้วสองสัตว์ร้ายก็โผนเข้าสู้กันใหม่ เสียงขู่คำรามของเสือเสียงโกญจนาทของพญาคชสารแผดผสานกึกก้องสะท้านป่า

นี่ไม่ใช่ภาพมายา แต่เกิดจากฤทธิ์อภิญญา! ครั้นสองตัวประจัญบานไม่รู้แพ้ชนะได้ครู่หนึ่งก็หายไป ปะขาวยาวหนวดยาวเครารุงรังได้บันดาลให้เกิดไฟลุกโชติช่วงประหนึ่งจะมีเจตนา จะให้ลามมาเผา แต่หลวงพ่อปานก็บันดาลพายุฝนสาดซัดลงมาดับไปเกิดฝุ่นตลบคลุ้งไปทั้งป่า

ลองฤทธิ์กันหลายครั้งหลายครา ปรากฏว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แทนที่ทั้งสองฝ่ายจะโกรธเกรี้ยว กลับทรุดลงนั่งหัวเราะด้วยความขบขัน

คณะศิษย์ของหลวงพ่อปานพากันประหลาดใจ หลวงพ่อปานจึงอธิบายว่า “เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน” พร้อมกันนั้นก็หันไปพูดกับปะขาวผมยาวหนวดเครารุงรังว่า ลูกศิษย์ของท่านนั้น “เอาจริง”

หมายถึงปรารถนาบรรลุสู่พระนิพพานกันจริงๆ ทุกรูป การที่ท่านและปะขาวผมยาวเล่นฤทธิ์ประลองกันก็เพื่อให้ศิษย์ทุกคนได้เห็น “ของจริง”

แล้วหลวงพ่อปานก็ให้คณะศิษย์ของท่านเข้าไปทำความเคารพ ซึ่งปะขาผมยาวก็ได้นอบน้อมถ่อมตนว่าท่านไม่ได้เก่งกาจเกินว่าหลวงพ่อปานเลย แม้แต่น้อย

หลวงพ่อปานและศิษย์ของท่านพักอยู่กับปะขาวผมยาวนานนับครึ่งเดือนเพื่อให้ ทุก รูปได้รับคำแนะนำสั่งสอนด้านอภิญญาเพิ่มเติม เมื่อพักอยู่ที่คูหาถ้ำพอสมควรแกเวลาแล้ว หลวงพ่อปานและคณะศิษย์ก็ออกธุดงค์ต่อไป ปะขาวผมยาวคนนั้นก็คือปะขาวคำคะนิง หรือหลวงปู่คำคะนิงนั้นเอง

หลังจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคและคณะศิษย์ของท่านจากไปแล้วปะขาวคำคะนิงก็ออกเดินทางต่อไป

โยคีคำคะนิง ดั้นด้นไปยังภูอีด่าง ซึ่งสมเด็จลุนพระอริยเจ้าแห่งราชอาณาจักรลาวจำพรรษาอยู่ พร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ของตนให้ท่านทราบ สมเด็จให้ความปราณีมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้โยคีคำคะนิงไปค้นคว้า ศึกษา ครั้นท่านโยคีคำคะนิงศึกษาธรรมจากพระคัมภีร์เรียบร้อยก็เอาเก็บไว้ที่เดิม มิได้นำมาเป็นสมบัติส่วนตัว โยคีคำคะนิงลงจากภูเขาได้พบชาวบ้าน และได้ทำการรักษาคนป่วยจนหายทุเลา ท่านเดินทางไปเรื่อย เจอใครก็รักษาโรคภัยให้หมด

อุปสมบท

เรื่องของโยคีตนนี้ ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าศรีสว่างวัฒนาเจ้ามหาชีวิตของประเทศลาวถึงกับสน พระทัย จึงได้โปรดให้โยคีคำคะนิงเข้าเฝ้าท่ามกลางพระญาติและเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงตรัสถาม “ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไม่”

“ไม่” โยคีคำคะนิงตอบสั้นๆ

“ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนจึงลือไปทั่วประเทศ” ตรัสถามอีก

“ใครเป็นคนพูด” โยคีคำคะนิงไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ประชาชนทั้งประเทศ” พระองค์บอก

“นั่นคนอื่นพูด อาตมาไม่เคยพูด” โยคีคำคะนิงตอบออกไป

พระเจ้าศรีสว่างวัฒนาทรงแย้มพระสรวล ในการตอบตรงๆ ของโยคีคำคะนิง จึงตรัสถามว่า

“ขอปลงผมท่านที่ยาวถึงเอวออกได้ไหม”

คำคะนิงถึงกับอึ้งชั่วครู่ จึงได้กราบทูลไปว่า “ถ้าปลงผม หนวดเคราก็ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ”

“ยินดีจะจัดอุปสมบทให้ท่านเป็นพระราชพิธี” เจ้ามหาชีวิตยื่นข้อเสนอให้ โยคีคำคะนิงจึงได้กล่าวตกลง และได้บวชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ณ วัดหอเก่าแขวงนครจำปาศักดิ์ คือศาสนสถาานที่กำหนดให้เป็นวัดอุปสมบทของปะขาวคำคะนิง มีประกาศป่าวร้องให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ถึงวันอุปสมบทปะขาวคำคะนิง โดยพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงมีพระบรมราชานุเคราะห์ให้จัดขึ้น

พอถึงวันอุปสมบท ประชาชนทุกชนชั้นทุกอาชีพ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่าต่างมาร่วมในงานพระราชพิธีแน่นขนัดเป็น ประวัติการณ์ แต่ละคนเตรียมผ้าไหมแพรทองมาด้วยเพื่อจะมาปูรองรับเส้นเกศาของปะขาวคำคะนิง ตอนแรกจะมีการแจกเส้นเกศาให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงกันหม ครั้นถึงเวลปลงผมจริงๆ ประชาชนกลัวจะไม่ได้เส้นเกศาจึงแออัดยัดเยียดเข้ายื้อแย่งกันอลหม่าน เกินกำลังเจ้าหน้าที่รักษาการจะห้ามปรามสกัดกั้นได้ ในที่สุดเหตุการณ์ก็สงบลงเมื่อเส้นเกศาถูกแย่งเอาไปจนหมด

จากนั้นพระราชพิธีอุปสมบทก็ดำเนินต่อไปโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์ ประธานฝ่ายสงฆ์ เจ้ามหาชีวิตพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธี ๒๘ รูป เมื่อพิธีการอปุสมบทเสร็จสิ้นปะขาคำคะนิงซึ่งครองเพศพรหมจรรย์ เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รับฉายาว่า “สนฺจิตฺโตภิกขุ” หรือ “พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต”

หลังจากเป็นพระภิกษุ พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็กลับขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำบนภูอีด่างเช่นเดิม ดำรงวัตรปฏิบัติตามแนวทางของพระป่าอย่างเคร่งครัด และนับตั้งแต่เป็นพระภิกษุคำคะนิง สนฺจิตฺโต ประชาชนก็ยิ่งหลั่งไหลไต่ภูเขาขึ้นไปกราบนมัสการ และขอความช่วยเหลือจากท่านจนไม่มีเวลาปฏิบัติภาวนาบำเพ็ญธรรม

วันหนึ่ง..พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็หายไปจากภูอีด่าง และไม่กลับมาอีกเลย ประชาชนลาวรู้แต่ว่าท่านออกธุดงค์สาบสูญไปแล้ว ต่างพากันร่ำไห้โศกเศร้าอย่างน่าสงสาร

หลวงปู่ชอบจารึกธุดงค์ฝั่งลาวเพราะหมู่บ้านยังไม่เยอะเท่าฝั่งไทย ป่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ และในช่วงปลายชีวิตท่านก็ตัดสินใจจำพรรษา วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี เป็นที่สุดท้ายของท่าน
มรณภาพ

หลวงปู่ป่วยเป็นโรคปอดบวม และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๑.๑๓ น. ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ ท่านได้อยู่ในเพศฤาษีได้ ๑๕ ปี และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ๓๒ พรรษา
ธรรมเทศนา

อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม

“อด” คือความอดทนวิริยะในธรรมอันบริสุทธิ์ เช่นหนาวก็ไม่ให้พูดว่าหนาว ร้อนก็ไม่ให้พูดว่าร้อน เจ็บก็ไม่ให้พูดว่าเจ็บ เพราะมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ทุกรูปทุกนาม ครบอาการ ๓๒ อย่างบริบูรณ์นั้นก็ด้วยธรรม ได้แต่งให้เกิด อันมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมจะรู้และเห็นอยู่ทุกวันว่า มีคนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เพราะเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ เมื่อเกิดมีขันธ์ ๕ ย่อมมีดับ

ทุกสิ่งในโลกมักจะมีคู่ เช่น หญิงกับชาย ดีกับชั่ว ในทำนองนี้ พระพุทธเจ้าเอง ปรารถนาอย่างยิ่งคือคำว่าหนึ่งไม่มีสอง ก็หมายความว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย เมื่อไม่มีตาย ย่อมไม่มีเกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ถึงการหลุดพ้นจากกิเลสหมดสิ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ให้รู้จักตัวเจ้าของเองให้มากที่สุด อย่าไปสนใจในสิ่งที่ห่างจากตัว ให้อ่านตัวเองให้ออก เพราะธรรมที่ทุกคนอยากได้ อยากเห็นนั้นมันอยู่ในตัวของแต่ละบุคคล แต่ที่เรามองไม่เห็น อ่านมันไม่ออกก็เพราะกิเลสมันบังอยู่ อุปมาดังตัวเรานี้เหมือนแก้วน้ำที่ใสสะอาดบรรจุไปด้วยน้ำสกปรกอันมีกิเลส ตัณหาความอยากโลภโมโทสัน ความอยากร่ำอยากรวย ความไม่รู้จักพอนี้ สะสมอยู่ในจิตก็ย่อมจะมีแต่ความมืดมน ถ้าทุกคนพยายามหยิบและตักตวงเอาสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาออกจากจิตออกจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสวแห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสว แห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างสะอาดไม่มีสิ่งใดบรรจุ นั่นคือ ตัวธรรมที่แท้จริง

ส่วน “อัด”คืออะไร ทุกคนที่เกิดมาในโลกย่อมจะรู้จะเห็นว่าอะไรเป็นเรื่องของทางโลก เช่น คนพูดกันหรือทะเลาะกัน คนฆ่ากัน รถชนกัน สิ่งเหล่านี้ เราไม่ต้องไปสนใจ ปิดหู ปิดปาก ปิดตา ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้เห็น ไม่ให้พูด ไม่ต้องรับรู้จากสิ่งที่จะทำให้เป็นตัวกั้นความดี ให้วางให้หมด ดูแต่ใจเจ้าของแต่ผู้เดียว รู้แต่ลมเข้าออกเท่านั้น จะทำอะไรก็ให้อยู่ในศีลธรรมให้ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา เราต้องอัดไม่ให้เสียงเข้ามาในหู ไม่ให้รูปเข้ามาทางตา ไม่พูดสิ่งที่ต่ำไป สูงไป ให้พูดแต่สิ่งที่พอดี นี่คือธรรมตัวจริง

“อุด” คืออะไร หมายถึงเมื่อเราอด เราอัด ปิดกั้นความเลวร้าย ความชั่ว ความวุ่นวายทั้งหลายไม่ให้เข้ามาทางตา หู ปาก ของเราแล้วก็อุดความดีเอาไว้ในตัวของเราไม่ให้มันไหลออกไป กาย วาจา ใจของเราก็จะบริสุทธิ์ในธรรม ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ ตาอย่าได้ดูในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม หูอย่าได้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ปากอย่าได้พูดในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม อุดความดีทั้งหลายเอาไว้ ให้เกิดความบริสุทธิ์ในธรรม ถ้าทุกคนพยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติก็จะพบแต่ความสำเร็จปรารถนาไว้ทุกประการ

อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม คือการปฏิบัติส่งเสริมคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้ซึ้งถึงธรรมของพระพุทธองค์ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นตัวธรรมะที่พาให้เห็นธรรมอันแม้จริง อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมคือการปฏิบัติที่ทำให้เราระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ อยู่ชอบ กินชอบ นั่งชอบ นอนชอบ ไปชอบ มาชอบ วาจาชอบ อด อัด อุด เป็นขันติบารมีธรรม คือความอดทนให้เกิดปัญญามีที่เป็นปรมัตถ์ มัดหูมัดตา มัดจิต มัดใจ มัดมือ มัดตีนให้เป็นธรรม อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมนี้ดีเลิศทำให้หน่ายในโลกจักรวาล มีจิตเบิกบาน ถ้าเข้าใจดีปฏิบัติด้วยจิตที่ตั้งมั่น จะหันหน้าเข้าสู่สวรรค์นิพพาน ไม่หนึ่งเกิด สองตาย อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมไม่มีตาย ไม่มีเฒ่า ไม่มีเข้าพยาธิ.

75  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน พระเกจิเถราจารย์ทางด้านธุดงค์วัตร เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 10:55:55 am
เกี่ยวกับ หลวงปู่เกษม นั้นถือว่าชาวลำปาง แม้แต่ตัวผมเอง บ้านพี่น้อง ต่าง ๆ ล้วนนับถือท่าน
ถึงแม้บางสิ่งเราไม่ได้ไปสัมผัสกับตา แต่การเป็นอยู่ของหลวงปู่ ที่สุสานไตรลักษณ์ นั้นถือได้ว่า

เป็นตัวอย่างแบบพระที่ดี สันโดษ และ มุ่งบำเพ็ญเพียรปฏิบัติภาวนา จริง ๆ
 :13: :13: :25:
76  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อวยพรส่งท้ายปีเก่า 2553 และ ต้อนรับปีใหม่ 2554 กันเถอะคร้า.... เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 06:32:42 pm


77  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร' เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 04:34:58 pm
จาก วีรกร ตรีเศศ    มติชนรายสัปดาห์

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551    ปีที่ 28 ฉบับที่  1466

ได้อ่านเรื่องที่น่าประทับใจซึ่งส่งต่อๆกันมาจึงขอนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ต่อ

มันเป็นตอนเช้าเวลาประมาณ 08.30 น. ที่วุ่นวายเอาการ   เมื่อสุภาพบุรุษสูงอายุท่านหนึ่งในวัย  80 กว่ามารับ บริการแพทย์ตัดไหมจากแผลที่หัวแม่มือ  และบอกว่าขอให้รีบหน่อย  เพราะมีนัด ตอน  09.00 น.

เมื่อผมตรวจร่างกายตามปกติเสร็จ  ผมก็ขอให้นั่งรอ  โดยผมรู้ว่า  อย่างไร เสีย  ก็ไม่หนีหนึ่งชั่วโมงกว่า  ที่จะถึงคิว  ผมเห็นสุภาพบุรุษท่านนี้  ดู นาฬิกาหลายครั้งอย่างกระสับกระส่าย

ผมว่างอยู่พอดีจึงเข้าไปดูแผลให้  เมื่อตรวจดูก็เห็นเป็นปกติ ผมจึงเดินไปหารือกับหมอคนหนึ่งที่ให้บริการอยู่   เอายาและวัสดุมาทำแผลให้

ขณะที่ตัดไหมอยู่ผมก็ถามว่า  มีนัดกับหมออีกคนหรือจึงดูรีบร้อน

สุภาพบุรุษท่านนี้ตอบว่าไม่หรอก  แต่จำเป็นต้องรีบไปเนิร์ซซิ่งโฮมเพื่อกินอาหารเช้ากับภรรยา

ผมก็ถามถึงสุขภาพของภรรยา

ก็ตอบว่าภรรยาอยู่ที่นั่นมานานพอควรแล้ว  และเธอเป็นโรคAlzheimer's

ขณะที่คุยกันผมก็ลองถามดูว่า  เธอจะรู้สึกกังวลเป็นทุกข์ไหมถ้าไปสายสักหน่อย

สุภาพบุรุษท่านนี้ก็ตอบว่า  เธอไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร  เธอจำผมไม่ได้มา 5 ปีแล้ว

ผมรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า  'แล้วคุณก็ยังไปทุกเช้า  ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใครก็ตาม'

สุภาพบุรุษสูงอายุยิ้มและตบเบาๆ บนมือผมและพูดว่า 'ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร'

ผมต้องกลั้นน้ำตา  ขณะที่เดินจากไป  ขนบนแขนผมลุกชันและคิดว่า

'นั่นคือความรักอย่างที่ผมต้องการในชีวิต'ความรักที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของ กายภาพหรือโรแมนติก  ความรักที่แท้จริง  คือการยอมรับทุกสิ่งที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันได้เป็นมาตลอด  รวมทั้งที่จะเป็น และที่จะไม่เป็นด้วยคนที่มีความ สุขที่สุด  ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสิ่งดีที่สุดของทุกสิ่ง  เขาเพียงทำสิ่งที่ เขามีอยู่ให้ดีที่สุด  ผมขอบอกว่า 'ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการทำอย่างไรให้รอด จากพายุฝน  แต่เป็นเรื่องของการจะเล่นน้ำฝนอย่างไร'(Life  is not about how to survive the storm, but how to dance in  the rain)
78  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การฟ้อนรำ ขับร้อง กับ การรำมวย ท่าออกกำลังกาย เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 10:40:46 am
บทว่าในศีล คือ เว้นจากขับร้อง ประโคมดนตรี เป็นต้นนั้น

กับ การออกกำลังเต้นแอโรบิก รำมวย เหล่านี้ ถือว่า เป็นการผิดศีลหรือป่าว ครับ

 :25:
79  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาชวนเพื่อน ฝึกสมาธิ มักได้รับคำปฏิเสธว่า กลัวเป็นบ้า จิตฝั่นเฟือน เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 01:14:05 pm
เวลาชวนเพื่อน ฝึกสมาธิ มักได้รับคำปฏิเสธว่า กลัวเป็นบ้า จิตฝั่นเฟือน

  อยากถามพระอาจารย์ ว่า

   1. คนฝึกสมาธิ นั้น จะเป็นโรคจิต นี้จริงหรือ ป่าวครับ

   2. เราจะอธิบายอย่างไร ให้เพื่อนทราบว่า การฝึกสมาธิ นั้นไม่ทำให้เป็นบ้า

   :25: :25:
80  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลานั่งสมาธิแล้ว มีอาการคล้ายกับจะหลับหรือหลับ? เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 09:20:30 am
ถาม   เวลานั่งสมาธิแล้ว มีอาการคล้ายกับจะหลับหรือหลับ?


ตอบ   พึง ทำความเข้าใจว่า การทำสมาธิคือการนอนหลับ เมื่อเราภาวนาแล้วจิตมันเคลิ้มๆลงไป บางทีใจลอยๆ นั่นคืออาการที่มันจะเกิดความหลับ เมื่อมันวูบ วูบ ลงไป อาการหลับวูบลงไปเป็นอาการที่จิตก้าวเข้าสู่ภวังค์ เมื่อจิตถึงที่สุดของภวังค์แล้ว จิตหยุดนิ่ง ถ้าพลังสมาธิยังไม่เพียงพอก็นอนหลับอย่างธรรมดาแต่ถ้าพลังของสมาธิเพียงพอ สติพร้อมจิตวูบลงไปนิ่งปั๊บ สว่างโพลงขึ้นมา กลายเป็นสมาธิ


โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
หน้า: 1 [2] 3