ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระโสดาบัน เมื่อเกิด เป็นมนุษย์ จะรู้ได้อย่างไร ครับ ว่าเป็นพระโสดาบัน  (อ่าน 2210 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

komol

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +7/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 643
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1

พระโสดาบัน เมื่อเกิด เป็นมนุษย์ จะรู้ได้อย่างไร ครับ ว่าเป็นพระโสดาบัน

 thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า
พลังจิต พลังปราณ พลังสมาธิ เป็นพลังสมดุลย์ เพื่อปัญญา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
น่าจะไม่มีทางรู้ได้ หรอก คะ เพราะเกินความสามารถ ปุถุชชน นะคะ

  :49: :58:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

กิเลสเหล่าใดที่อริยบุคคลได้ละแล้ว จะไม่กลับไปหากิเลสเหล่านั้นอีก

     [๑๘๐] คำว่า ย่อมเป็นผู้ถึงฝั่ง ไม่กลับมา เป็นผู้คงที่ มีความว่า อมตนิพพาน เรียกว่าฝั่ง ได้แก่ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา ความสำรอก ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด.
     ผู้ใดไปถึงฝั่ง บรรลุฝั่งแล้ว ไปถึงส่วนสุด บรรลุส่วนสุดแล้ว ไปถึงที่สุด บรรลุที่สุดแล้ว ฯลฯ
     ภพใหม่มิได้มีแก่ผู้นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ถึงฝั่ง.
     คำว่า ย่อมไม่กลับ คือ
     กิเลสเหล่าใด อันอริยบุคคลละแล้วด้วยโสดาปัตติมรรค อริยบุคคลนั้นย่อมไม่ถึงอีก ไม่กลับถึง ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น
     กิเลสเหล่าใดอันอริยบุคคลละแล้วด้วยสกทาคามิมรรค อริยบุคคลนั้น ย่อมไม่ถึงอีก ไม่กลับถึง ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น
     กิเลสเหล่าใดอันอริยบุคคลละแล้วด้วยอนาคามิมรรค อริยบุคคลนั้น ย่อมไม่ถึงอีก ไม่กลับถึง ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น
     กิเลสเหล่าใดอันอริยบุคคลละแล้วด้วยอรหัตมรรค อริยบุคคลนั้นย่อมไม่ถึงอีก ไม่กลับถึง ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้น
     เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าย่อมเป็นผู้ถึงฝั่ง ไม่กลับมา..ฯลฯ..

_________________________________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=29&item=180&items=1&preline=0&pagebreak=0


ask1 ask1 ans1 ans1

พระอริยะอาจไม่รู้ว่า..เป็นอริยะในชาติต่อไป
               
    ในคำว่า มาตรํ เป็นต้น มีอธิบายว่า หญิงผู้ให้กำเนิดนั่นแล ท่านประสงค์เอาว่ามารดา.
    ชายผู้ให้กำเนิด ท่านประสงค์เอาว่าบิดา.
    และพระขีณาสพที่เป็นมนุษย์ ท่านประสงค์เอาว่าพระอรหันต์.

    ถามว่า ก็พระอริยสาวกพึงปลงชีวิตคนอื่นหรือ.?
    ตอบว่า แม้ข้อนั้นก็ไม่ใช่ฐานะที่มีได้.
    ก็ถ้าใครๆ จะพึงกล่าวกะพระอริยสาวกผู้อยู่ในระหว่างภพ (ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก แม้อย่างนี้ว่า ก็ท่านจงปลงชีวิตมดดำมดแดงนี้แล้ว ครอบครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในห้องจักรวาลทั้งหมดดังนี้ ท่านจะไม่ปลงชีวิตมดดำมดแดงนั้นเลย.


    แม้ถ้าจะกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ถ้าท่านจักไม่ฆ่าสัตว์นี้ ฉันจักตัดศีรษะท่าน. แต่ท่านจะไม่ฆ่าสัตว์นั้น.
    คำนี้ท่านพูดเพื่อแสดงว่า ภาวะของปุถุชนมีโทษมากและเพื่อแสดงกำลังของพระอริยสาวก.

    ก็ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
    ความเป็นปุถุชนมีโทษมากตรงที่จักกระทำอนันตริยกรรมมีการฆ่ามารดาเป็นต้นได้
    ส่วนพระอริยสาวกมีกำลังมากตรงที่ไม่กระทำกรรมเหล่านี้.

_________________________________________________
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค พหุธาตุกสูตร       
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=234




ทารกสองคนสนทนาธรรมกัน เพราะระลึกชาติได้ว่าเคยปฏิบัติร่วมกันมาในอดีตชาติ

    ได้ยินว่า ครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีภิกรษุสองรูปเป็นสหายกัน.
    ในภิกษุสองรูปนั้น รูปหนึ่งบำเพ็ญสาราณียธรรม รูปหนึ่งบำเพ็ญภัตตัคควัตร.
    รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรม กล่าวกะรูปที่บำเพ็ญภัตตัคควัตรว่า ผู้มีอายุ ชื่อว่าทานที่ไม่ให้ผล ย่อมไม่มี การให้ของที่ตนได้แก่ผู้อื่นแล้วบริโภคจึงควรดังนี้.
    แต่รูปที่บำเพ็ญภัตตัคควัตรกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านไม่รู้หรือการให้ไทยธรรมตกไปไม่ควร ผู้ที่ถือเอาเพียงอาหารยังชีวิตของตนให้เป็นไปได้เท่านั้น บำเพ็ญวัตรในโรงครัวจึงควร.

   ในภิกษุสองรูปนั่น แม้รูปหนึ่งก็ไม่อาจจะให้อีกรูปหนึ่งอยู่ในโอวาทของตนได้.
   แม้ทั้งสองรูปบำเพ็ญข้อปฏิบัติของตน ครั้นจุติจากภพนั้น ก็บังเกิดในเทวโลกฝ่ายกามาพจร.
   บรรดาภิกษุสองรูปนั้น รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรมล้ำภิกษุอีกรูปหนึ่งด้วยธรรม ๕ อย่าง

   ภิกษุเหล่านั้นเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์สิ้นไปพุทธันดรหนึ่ง จึงเกิดในกรุงสาวัตถีในเวลานี้.
   รูปที่บำเพ็ญสาราณียธรรมถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล
   อีกรูปหนึ่งถือปฏิสนธิในท้องของหญิงรับใช้ของพระอัครมเหสีนั้นเหมือนกัน.

   คนแม้ทั้งสองเหล่านั้นก็เกิดในวันเดียวกันนั่นเอง. ในวันตั้งชื่อ มารดาให้คนเหล่านั้นอาบน้ำ
   แล้วให้นอนในห้องประกอบด้วยสิริ จัดเตรียมของขวัญในภายนอกไว้ให้แก่คนแม้ทั้งสอง.


     st12 st12 st12

   บรรดาคนเหล่านั้น คนที่บำเพ็ญสาราณียธรรมพอลืมตาก็เห็นเศวตฉัตรใหญ่ ที่นอนประกอบด้วยสิริที่เขาจัดไว้เป็นอย่างดี และนิเวศน์ประดับด้วยเครื่องอลังการ จึงได้รู้ว่า เราเกิดในราชตระกูลแห่งหนึ่งดังนี้.
   เขานึกอยู่ว่า เราทำกรรมอะไรหนอจึงได้เกิดในที่นี้ดังนี้ ก็รู้ว่าด้วยผลของการบำเพ็ญสาราณียธรรมดังนี้
   จึงนึกว่าสหายของเราเกิดที่ไหนหนอ ก็ได้เห็นเขานอนบนที่นอนต่ำ
   คิดว่าผู้นี้บำเพ็ญวัตรในโรงครัว ไม่เชื่อคำของเรา คราวนี้เราจะข่มเขาในฐานะนี้ก็ควร
 
   จึงได้พูดว่า เพื่อน เจ้าไม่เชื่อคำของเรา.
   เขาตอบว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเกิดอะไร.
   เขาได้บอกว่า เจ้าดูสมบัติของเราสิ เรานอนบนที่นอนมีสิริอยู่ภายใต้เศวตฉัตร เจ้านอนบนเตียงต่ำข้างบนลาดด้วยของแข็ง.
   สหายกล่าวว่า ก็ท่านอาศัยสิ่งนั้นแล้วยังทำ"มานะ"หรือ.?
   สิ่งของนั้น ทั้งหมดเขาเอาซี่ไม้ไผ่นำเอาผ้าขี้ริ้วห่อพันไว้ เป็นเพียง"ปฐวีธาตุ"เท่านั้นมิใช่หรือ.?
ดังนี้.

    :96: :96: :96:

  พระราชธิดาสุมนาทรงสดับถ้อยคำของคนทั้งสองนั้นแล้ว
   คิดว่า ที่ใกล้ๆ น้องชายทั้งสองของเราก็ไม่มีใคร ดังนี้
   เดินเข้าไปใกล้คนเหล่านั้นยืนพิงประตู ได้ยินคำว่า ธาตุ แล้วก็คิดว่า
   คำว่าธาตุนี้ในภายนอกก็ไม่มี น้องชายของเราจักเป็นสมณเทพบุตร
   คิดว่า ถ้าเราจักบอกแก่มารดาบิดาว่า คนเหล่านี้พูดกันอย่างนี้
   ท่านก็จักให้นำออกไปด้วยเข้าใจว่า คนเหล่านั้นเป็นอมนุษย์ดังนี้.

   เราไม่บอกเหตุนี้แก่คนอื่น จักทูลถามเฉพาะพระทศพลผู้เป็นมหาโคตมพุทธะบิดาของเรา ซึ่งเป็นเหรัญญิกบุรุษผู้ตัดความสงสัยได้ดังนี้. เสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จ ก็เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลขออนุญาตไปเฝ้าพระทศพล.

_______________________________________________________
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ สุมนวรรคที่ ๔ ,สุมนสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=31
ขอบคุณภาพจาก http://www.naiin.com/ http://www.oknation.net/


ask1

พระโสดาบัน เมื่อเกิด เป็นมนุษย์ จะรู้ได้อย่างไร ครับ ว่าเป็นพระโสดาบัน

 thk56 thk56 thk56


      ans1 ans1 ans1

      เรื่องนี้เป็นที่สงสัยกันมานานแล้ว ในเว็บไซต์ต่างๆเถียงกันไปมา ไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากไม่มีใครคนไหนออกมายืนยันว่า ตัวเองเป็นโสดาบันกลับชาติมาเกิด ที่สำคัญในพระสูตรก็ไม่มีตัวอย่างที่พอแก้ข้อสงสัยได้
      ในพระสูตรนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเพียงว่า โสดาบันกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่า คนๆนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโสดาบัน  ข้อมูลที่ผมค้นได้น่าจะให้ความกระจ่างได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็บอกได้ว่า ความเป็นโสดาบันไม่มีเสื่อม


    ประเด็มที่ถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโสดาบัน
    ตอบว่า คนที่เป็นโสดาบัน ถ้าระลึกชาติได้ก็น่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นโสดาบัน กรณีที่ไม่สามารถระลึกชาติได้ คงต้องสำรวจตัวเองว่า มีศีลสมบูรณ์หรือไม่ โดยให้เทียบกับสังโยชน์ ๓ ข้อแรก คือ สักกายทิฏฐิ สีลพตปรามาส และวิจิกิจฉา เพราะโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ข้อนี้ได้
    เรื่องนี้ขอให้เทียบกับเรื่องภิกษุสองรูปกลับชาติมาเกิดเป็นทารก เพราะขนาดปฏิบัติธรรมมาแต่ชาติก่อน แม้ไม่ได้เป็นโสดาบัน ก็ยังจำข้อธรรมต่างๆได้ ถ้าเป็นโสดาบันจะรู้ข้อธรรมขนาดไหน

    อีกอย่าง หาคนที่มีตาทิพย์หรือระลึกชาติของคนอื่นๆได้ มาตรวจดู ก็อาจจะทราบได้ว่าคนที่สงสัยเป็นโสดาบันหรือไม่
    อีกข้อสังเกตหนึ่ง ได้ยินมาจากครูบาอาจารย์ คนที่เป็นอริยบุคคลมาแต่ชาติก่อนๆ พอชาตินี้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก หากได้ปฏิบัติธรรม คนคนนั้นจะบรรลุได้เร็วมาก


    ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้  อึดอัดมาก...อยากเป็นโสดาบันเต็มแก่ :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2013, 07:44:53 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ