แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
16761
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จวกยับ.!! เณรแต๋ว "เป่าเค้กวันเกิด" ในวัด
|
เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 08:17:45 am
|
จวกยับเณรแต๋วเป่าเค้กวันเกิดในวัด แชร์ว่อนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คภาพสามเณรแต่งสวยฉลองวันเกิด แถมโพสท่าวาบหวิวบนศาลาวัด ชี้ทำตัวไม่เหมาะนักบวช วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ไข ก่อนศาสนามัวหมองมากไปกว่านี้
วันที่ 4 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการแชร์ว่อนเน็ตเรียกเสียงด่าจากชาวโซเซียลมีเดียอย่างล้นหลามหลังเจ้าของเพจเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า “ราตรีแมงกาเบี้ย และ สาวใส้ให้กากินศูนย์ระบุตัวตนพระตุ๊ดแห่งประเทศไทย”เผยแพร่ภาพกลุ่มสามเณรแต่งสวยถ่ายภาพงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ16 ปีภายในวัดแห่งหนึ่ง และภาพสามเณรโพสต์ท่าวาบหวิวบนศาลาวัดพร้อมระบุข้อความว่า“สมควรปัดฝุ่นได้แล้วหรือยัง..อย่ามัวแต่แย่งอำนาจกัน..ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันจะดีกว่า..บัดนี้วงการภิกษุสงฆ์ได้เสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านศีลธรรมคือล่วงละเมิดศีลอาจารวิบัติคือทำตัวไม่เหมาะสมกับเพศภาวะของนักบวชในพุทธศาสนา”ภายหลังชาวเน็ตได้ชมภาพดังกล่าว ส่วนใหญ่ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในพฤติกรรมด้งกล่าว พร้อมวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขก่อนที่ศาสนาจะมัวหมองไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามภาพลักษณะดังกล่าวก่อนหน้านี้เคยหลุดออกมาทางเฟซบุ๊กจนมีการสืบสวนหาต้นตอ จนรู้ว่าเป็นวัดใดจากนั้นได้มีการว่ากล่าวตักเตือน กระทั่งล่าสุดได้มีภาพแบบเดิม ๆ ออกมาโชว์ความไม่เหมาะสมอีก.ขอบคุณภาพข่าวจาก www.dailynews.co.th/Content/regional/264274/จวกยับสามเณรแต๋วเป่าเค้กวันเกิดในวัด
|
|
|
16763
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิด ม.นาลันทา ปิดร้างมา 800 ปี
|
เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 08:08:25 am
|
เปิด ม.นาลันทา ปิดร้างมา 800 ปี มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยเก่าแก่โบราณของอินเดีย กำลังจะเปิดเรียนใหม่ขึ้นอีก หลังจากโดนการรุกรานจากต่างชาติ ต้องปิดร้างไปนานถึง 800 ปี
มหาวิทยาลัยนาลันทา ตั้งอยู่ในแคว้นพิหาร ทางตะวันออกของอินเดีย กษัตริย์ราชวงศ์คุปต์ของอินเดีย ทรงสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 5 กล่าวกันว่าได้รับความนิยมจากทุกแว่นแคว้นไพศาล มีนักปราชญ์และนักคิดจากทั่วโลกมาชุมนุมกันอยู่จำนวนเป็นเรือนพัน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 1736 ถูกกองทัพต่างชาติจากตุรกีบุกทำลายลง
นสพ.ไทม์ ออฟ อินเดีย รายงานว่า มหาวิทยาลัยนาลันทาที่จะเปิดใหม่ จะเปิดขึ้นในพื้นที่กว้างขวางขนาด 443 เอเคอร์อยู่ถัดจากที่เดิมไป 15 กม.มหาวิทยาลัยนาลันทาตั้งอยู่ทางตะวันออกของอินเดีย รองอธิการบดี โกปา สุพรรณวาล แจ้งว่า ในระยะแรกนี้ แม้จะมีนักศึกษาจาก 40 ประเทศ จำนวนพันกว่าคนติดต่อมา แต่ยังรับได้แค่ 15 คน ในจำนวนนี้มีมาจากญี่ปุ่น ภูฏานและจากอินเดียเอง แต่จะรับนักศึกษาเพิ่มได้อีกในเดือนกันยายน
รองอธิการบดียังแจ้งว่า งานก่อสร้างต้องล่าช้ากว่ากำหนด เดิมทีกำหนดไว้ในปี พ.ศ.2563 นี้ การเรียนการสอนอาจจะต้องอาศัยศาลาประชาคมท้องถิ่นไปสักพักก่อนตามหลักสูตรกำหนดจะเปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนาและสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยได้รับทุนอุดหนุนจากรัฐบาลอินเดีย และจากชาติที่ประชุมสุดยอดกลุ่มชาติเอเชียตะวันออก 18 ชาติ เช่น จีน สิงคโปร์ และออสเตรเลียด้วย.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/447700
|
|
|
16765
|
เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / รู้นะว่ามองอะไรอยู่ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:56:53 am
|
รู้นะว่ามองอะไรอยู่ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี ในศตวรรษที่ 21 ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่าเป็นยุคแห่งสารสนเทศ ยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไอที ต้องข้องเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตไปเสียเกือบทุกอย่าง คำว่า อีคอมเมิร์ซ ( e-Commerce)
ในศตวรรษที่ 21 ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่าเป็นยุคแห่งสารสนเทศ ยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไอที ต้องข้องเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตไปเสียเกือบทุกอย่าง คำว่า อีคอมเมิร์ซ ( e-Commerce) ตอนนี้กลายเป็นคำที่คุ้นหูและเป็นคำติดปากนักการค้าสมัยใหม่ไปเสียแล้วนะครับ ซึ่งถ้าพูดถึงการโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แล้ว เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลาย ๆ คนคงจะนึกถึงป้ายโฆษณาหรือป้ายแบนเนอร์ (Banner) ที่มักมีแปะอยู่เต็มรอบ ๆ ระหว่างที่เรากำลังอ่านเว็บไซต์ใช่ไหมครับ
แต่คุณผู้อ่านทราบไหมครับ ว่าเทคนิคการใช้แบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์ ที่ดูเป็นเทคนิคพื้นฐาน เห็นกันจนชิน และ ดูปกติธรรมดาเอามาก ๆ สำหรับการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนี้ ปัจจุบันเริ่มจะเสื่อมความนิยมลงแล้ว มีบริษัทหลายแห่งที่ทิ้งรูปแบบการประชาสัมพันธ์ด้วยแบนเนอร์วางบนเว็บไซต์นี้ไปเลย สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเบื่อหรืออะไรหรอกนะครับ แต่เพราะพวกเขาเริ่มตระหนักถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Banner Blindnessปรากฏการณ์ Banner Blindness พูดง่าย ๆ ก็คือ อาการที่นักท่องอินเทอร์เน็ตเข้าไปดูเว็บไซต์หนึ่ง ๆ โดยมองข้ามแบนเนอร์โฆษณาทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง เรียกว่าไม่ได้แม้แต่จะสังเกตเห็นชื่อร้านค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เขียนอยู่บนแบนเนอร์เหล่านั้นแม้แต่น้อยเลยล่ะครับ สาเหตุของอาการนี้ไม่ใช่เพราะว่าแบนเนอร์เหล่านั้นดีไซน์มาไม่สวยไม่โดนใจผู้เข้าชมเว็บไซต์นะครับ แต่เพราะนักท่องอินเทอร์เน็ตเกิดความ “เคยชิน” กับตำแหน่งของแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์นั้น ๆ ไปเสียแล้วต่างหาก
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านนึกสงสัยบ้างไหมครับ ว่า บรรดาเจ้าของบริษัทและนักประชาสัมพันธ์เขารู้สึกถึงปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร ไปไล่ถามจากนักท่องอินเทอร์เน็ตแต่ละคน หรือ คอยแอบสังเกตเวลาใครกำลังดูเว็บไซต์อยู่หรือเปล่า จริง ๆ วิธีเหล่านั้นก็สามารถทำได้ครับ แต่เดี๋ยวนี้เรามีตัวช่วยเป็นเทคโนโลยี Eye-Tracking หรือ เทคโนโลยีที่ทำให้สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้ลูกตาของคน ๆ หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ที่จุดไหนในภาพอยู่ โดยผลที่ได้จากการวิเคราะห์นี้นอกจากจะสามารถรู้ได้ว่าใครมองอะไรที่จุดไหนในภาพบ้างแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์ต่อได้ด้วยว่า ใครใช้เวลามองมากหรือน้อยในจุดไหน และ ลำดับในการกวาดสายตาของเราเริ่มจากตำแหน่งไหนไปตำแหน่งไหนจากรายงานในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาของ Business Insider มีการนำเทคโนโลยี Eye-Tracking มาใช้วิเคราะห์การมองภาพของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผลที่ได้ก็น่าสนใจหลายประการเลยครับ ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ที่ผู้เข้ารับการทดลองเอาแต่อ่านเนื้อความหลักของเว็บไซต์โดยไม่สนใจจะมองแบนเนอร์ที่วางอยู่ด้านข้างเลย หรือ ผลในหน้า New Feed ของเฟซบุคที่พบว่า ผู้เข้ารับการทดลองสนใจมองกันแต่ที่รูปภาพมากกว่าที่จะมองส่วนที่เป็นตัวอักษรหรือคำบรรยาย สำหรับในระบบการค้นหาข้อมูลด้วยกูเกิล พบว่ากลุ่มทดลองส่วนใหญ่ให้ความสนใจมองแต่ผลการค้นหาที่ถูกเขียนอยู่ใน 5 อันดับแรกเท่านั้น ส่วนผลในลำดับอื่น ๆ ที่ถัดมานั้นแทบจะไม่ได้รับความสนใจในการมองดูเลย
เห็นไหมครับว่าการดีไซน์ออกแบบและการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แล้ว ต่อให้เอาข้อมูลไปวางไว้อยู่ในทุก ๆ เว็บไซต์ ก็ใช่ว่าคนที่เข้ามาชมจะสนใจมองดูข้อมูลนั้นเสมอไป ถ้าหากว่าสิ่งที่มุ่งหวังจริง ๆ คือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้ชมที่ผ่านไปมาแล้วล่ะก็ ความสวยงามทางศิลปะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียว แต่ปัจจัยทางด้านแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันเองก็ไม่สามารถจะละเลยได้ แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ พร้อมหรือยังที่จะนำศาสตร์แห่งเทคโนโลยีมาประสานเข้ากับศิลป์แห่งการออกแบบ เพื่อทำให้ธุรกิจหรืองานของเราโดดเด่นสะดุดตาไม่แพ้ใครบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ที่เดิมพันด้วยสายตาของชาวไซเบอร์จำนวนนับไม่ถ้วนแห่งนี้ .
ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช มหาวิทยาลัยรังสิต chutisant.k@rsu.ac.th ขอบคุณภาพและบทความจาก www.dailynews.co.th/Content/IT/263718/รู้นะว่ามองอะไรอยู่+-+รอบรู้ไอที+รอบโลกเทคโนโลยี
|
|
|
16766
|
เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ทำได้ง่ายๆ วิธีป้องกันรูปใน iCloud ให้พ้นมือแฮกเกอร์
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:49:45 am
|
ทำได้ง่ายๆ วิธีป้องกันรูปใน iCloud ให้พ้นมือแฮกเกอร์ กรณีภาพหลุดสุดสยิวของบรรดาคนดัง ที่ถูกแฮกเกอร์มือมืดแอบเจาะระบบสำรองข้อมูลออนไลน์ iCloud ไปเผยแพร่ว่อนอินเทอร์เน็ต ไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเสนอวิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลบน iCloud เพื่อผู้ใช้งานไอโฟนและไอแพดทุกคน...
กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก กับกรณีภาพหลุดสุดสยิวของบรรดาคนดังต่างประเทศ และดาราฮอลลีวูด เช่น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถูกแฮกเกอร์มือมืดแอบเจาะระบบสำรองข้อมูลออนไลน์ iCloud (ไอคลาวด์) ที่เป็นบริการเสริมของ แอปเปิล สำหรับผู้ใช้ไอโฟน ขโมยเอารูปภาพสุดสยิวในมุมส่วนตัวที่ถ่ายไว้ดูเล่น โดยคาดว่าจะมีคนดังตกเป็นเหยื่อของการเจาะไอคลาวด์หลายร้อยรายiCloud ระบบที่น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่วายมีช่องโหว่ คำคามที่คนสงสัยว่า ระบบ iCloud ที่น่าจะปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากที่สุดของแอปเปิล โดนเจาะได้อย่างไร ทำไมแอปเปิลถึงมีระบบความปลอดภัยที่หละหลวม จนแฮกเกอร์สามารถเข้าไปขโมยข้อมูลส่วนตัวของคนดัง และดารานักแสดงชื่อดังออกมาได้ โดยในความเป็นจริง iCloud เป็นระบบที่ดีมาก แต่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ "บรมโง่" และเผยจุดอ่อนของผู้ใช้งานได้ ในเวลาเดียวกันฟังก์ชั่น Photo Stream แม้แอปเปิลยังไม่มีการแถลงเกี่ยวกับกรณีการรั่วไหลของภาพดังกล่าว จึงยังไม่อาจระบุได้ชัดว่า บริการ iCloud คือ สาเหตุของเรื่องนี้ได้ แต่รายงานล่าสุดของ ZDNet ก็รายงานว่า แอปเปิลได้เร่งอุดช่องโหว่ ที่อาจเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าสู่ระบบได้ รวมถึงการเข้ามาขโมยพาสเวิร์ด ไอคลาวด์ จากบัญชีของบุคคล ที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่จะมารอให้เกิดเรื่องอีกรอบคงไม่ใช่การแก้ไขและป้องกันแน่นอน ไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเสนอวิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลบน iCloud แบบง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน ไอโฟน และ ไอแพด
บนระบบปฏิบัติการ ไอโอเอส (iOS) มีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Photo Stream (โฟโต้สตรีม) ปกติเมื่อถ่ายภาพจากกล้องถ่ายภาพ รูปจะเก็บไว้ที่ Camera Roll แต่ถ้าหากเลือกเปิดโฟโต้สตรีม รูปภาพจะไปอยู่ที่อัลบั้ม My Photo Stream โดยภาพที่อยู่ใน My Photo Stream จะถูกอัพโหลดขึ้นไปบนไอคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ โดยจะเก้บรูปภาพที่ถ่าย 30 วันล่าสุด และสามารถเชื่อมโยงภาพถ่ายจากไอโฟนไปยังไอแพด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ไอแมค และ แมคบุ๊ก รวมทั้งเครื่องพีซีที่ใช้วินโดวส์ได้ ถือเป็นการแบ็กอัพที่ดีในยามที่เราต้องเดินทางไปพักร้อน ก็มั่นใจได้ว่ารูปภาพต่างๆ ที่ถ่ายไว้จะไม่หายไปไหนอัลบั้ม My Photo Stream จะแบ็กอัพข้อมูลบนไอคลาวด์ สามารถดูรูปได้จากทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมโยง แอปเปิล ไอดี แล้วคำถามต่อมา เราจะลบภาพออกจาก My Photo Stream อย่างไร
หากเราบังเอิญถ่ายภาพที่ไม่ได้ตั้งใจ ภาพหลุด ภาพที่ไม่น่าดู ถ่ายออกมาไม่สวย แล้วอยากลบภาพใน My Photo Stream ก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ แค่ไปเลือกภาพที่ต้องการลบใน My Photo Stream แล้วกดลบ ภาพก็จะหายไปจาก My Photo Stream และไม่ปรากฏในอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย แต่ถ้าอยากจะให้หายไปทั้งหมด ก็ต้องลบรูปต้นฉบับที่อยู่ใน Camera Roll ด้วยผู้คนที่ใช้ไอโฟนถ่ายภาพ แล้วเราจะป้องกันบัญชี iCloud ของเราอย่างไร
เพราะว่าแฮกเกอร์มักชอบเดาพาสเวิร์ดที่เราใช้งาน แล้วเราก็มักจะเลือกพาสเวิร์ดที่เราจำง่าย หรือเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว ขณะที่บางคนก็มักง่ายตั้งพาสเวิร์ดที่เดาง่าย เช่น 1234567 หรือ Iloveyou เป็นต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้งานควรเลือกพาสเวิร์ดที่แร็งแรง หรือเดายาก มีการผสมกันของตัวเลขและตัวอักษรพิมพ์เล็ก-ใหญ่ หรือเลือกเป็นคำที่เรารู้ของตัวเราเอง เป็นต้น สำหรับวิธีการเปลี่ยนพาสเวิร์ด iCloud หรือ Apple ID ก็มีวิธีง่ายๆ ดังนี้iCloud สามารถแบ่งปันรูปภาพไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ ไม่ใช่แค่เพียงแบ็กอัพข้อมูล และรายชื่อผู้ติดต่อในเครื่องเท่านั้น ไปที่หน้า My AppleID คลิกที่ "Manage your Apple ID" เลือก "Password and Security" จากนั้นเลือก "Change Password แล้วใส่พาสเวิร์ดเก่า แล้วตามด้วยพาสเวิร์ดใหม่ที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรพิมพ์เล็ก-ใหญ่ จำนวน 8 ตัวเมนู iCloud Backup และ My Photo Stream ที่หากเลือกเปิดภาพจากในไอโฟนจะอัพโหลดขึ้นไอคลาวด์แบบอัตโนมัติ ข้อมูลส่วนตัว อาทิ อีเมล์ วันเดือน ปี เกิด ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวแรก โรงเรียนที่เรียนจบ หรือทีมกีฬาที่ชอบ ไม่จำเป็นอย่าเปิดเผย ให้คนอื่นได้รู้ (ในทางปฏิบัติโชว์หราเต็มเฟซบุ๊ก) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่ควรมีอีเมล์เพียงอันเดียว ควรมีอีเมล์หลายๆ บัญชี ใช้เป็นตัวหลัก ตัวสำรองกรณีไว้กู้คืนข้อมูล และอีเมล์สำหรับติดต่องาน ควรแยกออกจากกันเพื่อความปลอดภัย
ที่สำคัญต้นตอของภาพสุดสยิว หวาดเสียว ทั้งหลายแหล่มาจากพฤติกรรมของตัวผู้ใช้งานแต่ละคนเอง หากรู้ว่าตัวเองถ่ายภาพวาบหวิว ภาพที่อยากเก็บไว้ดูคนเดียว ก็ไม่ควรเปิด My Photo Stream หรือทำ iCloud Backup เด็ดขาด รวมถึงแอพพิเคชั่นคลาวด์สตอเรจ เช่น Dropbox และ Onedrive ก็ไม่ควรเปิดฟังก์ชั่นแบ็กอัพออนไลน์เช่นกัน.ที่มา : mashable http://www.thairath.co.th/content/447505
|
|
|
16767
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เที่ยว “เขาค้อ-พิษณุโลก” หน้าฝน ไหว้พระทำบุญ อุ่นกาย สบายใจ
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:11:00 am
|
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เที่ยว “เขาค้อ-พิษณุโลก” หน้าฝน ไหว้พระทำบุญ อุ่นกาย สบายใจ หลายคนอาจจะบอกว่าการท่องเที่ยวในหน้าฝนนั้นเปียกแฉะ พอฝนตกทีก็ออกไปไหนไม่ได้ แต่ “ตะลอนเที่ยว” อยากจะบอกว่า หน้าฝนนี่แหละ ที่บรรยากาศรอบตัวจะชุ่มฉ่ำเย็นสบาย โดยเฉพาะการไปเที่ยวตามป่าเขา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูเขียวขจีสบายตา ลมพัดเย็นๆ สบายใจ อย่างในทริปนี้ที่ได้มาเที่ยวที่ จ.เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก สองจังหวัดที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์สดชื่นมากๆ ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับการท่องเที่ยวของเรา จึงขอเริ่มแวะเที่ยวกันที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ตั้งอยู่ที่ ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ภายในมีการประดิษฐานพระพุทธรูปให้สักการะ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เป็นวัดที่มีความสวยงามและตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างที่เขียวชอุ่มได้เป็นอย่างดี วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ในนาม พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว ต่อมาในปี 2553 ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัดในชื่อ “วัดพระธาตุผาแก้ว” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งเดิมนั้นชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว” จุดเด่นอันแตกต่างของวัดก็คือ การตกแต่งในจุดต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็น ผนัง เสา หรือแม้กระทั่งพื้น ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องและลูกแก้ว ที่ไม่ว่าจะมองไปยังจุดไหนของวัดก็จะมองเห็นอย่างสะดุดตา เมื่อกระทบกับแสงแดดแล้วช่างระยิบระยับสวยงามจริงๆ สมกับเป็นการตกแต่งที่ไม่เหมือนที่ไหนจริงๆมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง หากมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังจะเห็นความสวยงามโดดเด่นของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขา มีสีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ที่ขับให้ตัววัดดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก สิ่งที่ถือเป็นหัวใจของวัดแห่งนี้ก็คือ "เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของวัด ด้วยรูปทรงที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ ด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ในระยะไกล บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนภายในเจดีย์ก็แบ่งเป็นชั้นต่างๆ โดยจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ให้สักการะกันด้วย ด้านสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ภายในวัดก็มี ศาลาปฏิบัติธรรม (ศาลาพระหยกเขียว), พระพุทธเลิศรัตนโชติมณี, พระพุทธรัตนสัมฤทธิ์ผล ฯลฯ และขณะนี้ก็มีการก่อสร้าง “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ และเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรมพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก นอกจากที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่มีความงดงามแล้ว ในพื้นที่เขาค้อก็ยังมีพระเจดีย์อีกแห่งที่มีความงดงามมากเช่นกัน นั่นคือ “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ที่ผนังของฐานด้านล่าง เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ซึ่งมีการใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ฐานชั้นบน มีผนังเป็น 8 เหลี่ยม เป็นลักษณะที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยทวารวดี บริเวณเหนือซุ้มคูหา ตอนบนขององค์เจดีย์ เป็นกลีบบัวรับองค์ ระฆังทรงกลม แบบสมัยอยุธยา ถัดขึ้นไปตอนบนเป็นบัลลังก์รับบัวกลุ่ม 5 ชั้น ทางคติมีความหมายถึงพระเจ้า 5 พระองค์ไหว้พระด้วยการจุดเทียนปักไว้ในจาน ภายในเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ให้ประชาชนได้เข้าไปสักการบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งที่นี่จะไม่มีการจุดธูป แต่จะจุดเทียนเพื่อการบูชาพระพุทธรูปและพระสารีริกธาตุ โดยจะจุดเทียนปักไว้ในจาน รอบๆ ฐานด้านในขององค์เจดีย์ตีระฆังอธิษฐาน บริเวณรอบๆ พระบรมธาตุเจดีย์นั้นร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ช่วยเสริมสร้างความสดชื่นให้กับอากาศที่สามารถสูดเข้าไปได้อย่างเต็มปอด ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่บ้าง หรือจะเดินออกไปด้านข้างก็มีระฆังเรียงรายเป็นแถวยาว ใครอยากจะเดินไล่ตีระฆังไปจนสุดทางก็ได้ เชื่อกันว่า หากได้เดินตีระฆังจนครบทุกใบแล้ว ก็จะสมประสงค์ตามที่อธิษฐานไว้แวะพักผ่อนที่ Route 12 ไหว้พระทำบุญกันไป 2 แห่งแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ขอแวะพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อย มากันที่ “Route 12” ที่ตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 12 ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดแวะพักริมทาง ที่นี่มีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก โดยตกแต่งในสไตล์ตะวันตก เมื่อเข้ามาเดินเล่นแล้วก็รู้สึกเหมือนกับหลงอยู่ในดินแดนคาวบอยเลยทีเดียวสัญลักษณ์ที่เห็นได้โดดเด่นของ Route 12 Route 12 นับเป็นแหล่งรวมพลของคนที่ชมชอบการถ่ายรูป เพราะมีมุมดีๆ ให้ส่องผ่านเลนส์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามร้านค้าต่างๆ ทิวทัศน์โดยรอบที่เขียวขจี สวนดอกไม้เล็กๆ และกลุ่มมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หลากหลายประเภทที่มักจะแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอ ใครที่จะแวะมาที่นี่ ขอแนะนำว่าให้เผื่อเวลาสำหรับการเดินเที่ยวเล่นเสียหน่อย เพราะอาจจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแบบไม่รู้ตัวล่องแก่งในลำน้ำเข็กสุดมันส์ พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ยังมุ่งหน้าต่อไปบนถนนสาย 12 ผ่านเข้าสู่เขต จ.พิษณุโลก แวะทำกิจกรรมผจญภัยกันเล็กน้อยที่ อ.วังทอง ซึ่งกิจกรรมนี้ต้องเตรียมตัวเปียกกันเสียหน่อย เพราะเราจะไปล่องแก่งในลำน้ำเข็กกัน “ลำน้ำเข็ก” กำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขต อ.เขาค้อ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จากนั้นไหลผ่าน อ.วังทอง จึงถูกเปลี่ยนเป็นชื่อแม่น้ำวังทอง แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านที่ อ.บางกระทุ่ม ลำน้ำเข็กสามารถใช้เรือยางมาล่องแก่งได้อย่างสนุกสนานตลอดเส้นทาง ตั้งแต่บ้านปากยาง ใน อ.วังทอง ไปจนกระทั่งถึงน้ำตกแก่งซอง รวมระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ระหว่างเส้นทางในลำน้ำเข็กจะมีแก่งต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ไล่ระดับความยากตั้งแต่ระดับ 1-5สักการะพระพุทธชินราช ในส่วนของการเดินทางมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กแห่งนี้ก็มีความสะดวกสบาย เนื่องจากลำน้ำจะอยู่ใกล้ถนน เมื่อลงจากรถก็สามารถมาขึ้นแพยางได้เลย หรือเมื่อล่องแก่งเสร็จแล้ว ก็สามารถขึ้นจากแพยางแล้วมาขึ้นรถต่อได้ทันที ไม่ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้าไปเหมือนลำน้ำอื่นๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เตรียมอุปกรณ์ ใส่เสื้อชูชีพ เตรียมไม้พาย และฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่จะพาล่องแก่ง ก็ได้เวลาลงไปล่องลอยในสายน้ำ ความสนุกสนานของการล่องแก่งอยู่ที่การต่อสู้กับความแรงของสายน้ำ ประคับประคองเรือให้ลอยอยู่ได้โดยไม่คว่ำไปเสียก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดที่ได้ยินตลอดทางบอกได้ถึงความสนุกสนานเร้าใจ ซึ่งหากใครที่อยากสนุกแบบนี้ สามารถมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กได้เฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่กระแสน้ำมีความเหมาะสมมากที่สุดพระพุทธชินสีห์องค์จำลอง ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกกันเต็มที่แล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินทางต่อไปยังตัวเมืองพิษณุโลก ซึ่งเมื่อมาถึงตัวเมืองแล้วก็ต้องแวะไปสักการะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของที่นี่ ซึ่งก็คือ “พระพุทธชินราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” ซึ่งถือกันว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย องค์พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย โดยในคราวเดียวกันนี้ ก็สร้าง “พระพุทธชินสีห์” และ “พระศรีศาสดา” ขึ้นพร้อมกัน ปัจจุบัน พระพุทธชินราชยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ทางวัดจึงสร้างองค์จำลองขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ที่พิษณุโลกพระศรีศาสดาองค์จำลอง สำหรับคนที่เข้ามายังวัดแห่งนี้ ก็ต้องมุ่งหน้าตรงเข้าไปสักการะพระพุทธชินราชก่อนเป็นอันดับแรก แต่ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็ยังมีพระพุทธรูปองค์สำคัญอีกหลายองค์ อย่างเช่น พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา องค์จำลอง ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารด้านซ้ายและขวาขององค์พระพุทธชินราช “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ใกล้กับวิหารพระศรีศาสดา ถือเป็นพระพุทธรูปอีกปางที่หายากในประเทศไทย เชื่อกันว่าหากต้องการผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ให้กราบที่หีบศพและอธิษฐานก็จะได้สิ่งที่หวังสักการะ “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ส่วนด้านหน้าทางเข้าวิหารหลวงนั้นก็ยังมี “หลวงพ่อเหลือ” ที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา เนื่องจากทองสัมฤทธิ์ที่ใช้หล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นยังเหลืออยู่ จึงนำมาหล่อพระอีกหนึ่งองค์ ทำให้ชื่อว่าพระเหลือ และทองที่เหลือก็ยังสามารถหล่อพระสาวกได้อีกสององค์ ยืนอยู่ด้านหน้าองค์หลวงพ่อเหลือ เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้ตามชื่อของท่าน ที่ด้านหลังของพระวิหารจะมองเห็น “พระอัฎฐารส” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ สร้างขึ้นในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ เรียกว่า เนินวิหารเก้าห้องเชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้ สักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแล้ว หากมีเวลา อย่าลืมมาเดินเล่นที่ด้านหน้าของวัด บริเวณริมแม่น้ำน่าน นั่งเล่นรับลมเย็นๆ ให้สบายตัว ก่อนจะกลับเข้าไปซื้อของฝากกลับบ้านไปฝากพ่อแม่พี่น้อง มาเที่ยวต่างจังหวัดในหน้าฝนแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนแตกต่างจากหน้าอื่นก็คือ ความเขียวชอุ่มชุ่มชื้นของบรรยากาศรอบๆ ยิ่งในบริเวณที่มีภูเขา ช่วงหลังฝนตกใหม่ๆ อากาศก็ยิ่งสดชื่น หรือในช่วงเช้าวันไหนที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ก็จะเห็นสายหมอกลอยเอื่อยๆ เห็นภาพที่เห็นแล้วสบายตาสบายใจมากๆลานพระยืนใน“วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (ดูแลพื้นที่พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000100646
|
|
|
16768
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ วิถีประเพณีอีสานใต้
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:59:17 am
|
ร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ วิถีประเพณีอีสานใต้ สุรินทร์-ศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนในพื้นที่ และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนนักท่องเที่ยวร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ ประเพณีอีสานใต้ ด้วยประชากรที่อาศัยในพื้นที่ของ จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และจ.ศรีสะเกษ ของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา ส่วนใหญ่จึงเป็นชาวไทยเชื้อสายเขมรมีขนบธรรมเนียมประเพณีอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่าง “ประเพณีแซนโฎนตา” ที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีคุณ หรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พร้อมใจกันทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งยังเป็นกุศโลบายแฝงของบรรพชน ที่ต้องการให้ญาติพี่น้องในต่างถิ่นได้เดินทางกลับมาพบเจอกัน สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น ในภายภาคหน้าต่อไป จังหวัดศรีสะเกษ จึงกำหนดจัดงาน “รำลึกพระยาไกรภักดี ประเพณีแซนโฎนตา บูชาหลักเมือง ลือเลื่องกล้วยแสนหวี” ประจำปี 2557 ระหว่างวันที่ 18 - 19 กันยายน 2557 ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ชมและร่วมพิธีเซ่นไหว้ศาลหลักเมือง/ศาลพระภูมิ พิธีอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษ รับเครื่องเซ่นไหว้พร้อมอัญเชิญกลับสู่ภพภูมิ ขบวนแห่สำรับเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษสุดยิ่งใหญ่อลังการทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้นานาชนิด (ในวันที่ 19 กันยายน 2557 เวลา 11.00 น.) การสาธิตการทำข้าวต้มรูปแบบต่างๆ การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดกล้วยงามเมืองขุขันธ์ การจำหน่ายกล้วยน้ำว้าคุณภาพรวมถึงกล้วยพันธุ์ต่างๆ จากทุกอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษจังหวัดสุรินทร์ จึงกำหนดจัดงาน “ประเพณีแซนโฎนตาบูชาบรรพบุรุษ” ประจำปี 2557 ในวันที่ 19 กันยายน 2557 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ชมขบวนแห่เครื่อง จูนโฎนตา ที่ยิ่งใหญ่งดงาม สำรับอาหารคาว หวานของสดและผลไม้ สำหรับไหว้ผู้อาวุโสในครอบครัว) ขบวนแห่เครื่องแซนโฎนตา สำรับอาหารคาวหวาน ขนม ข้าวต้มมัด กระยาสารท ฯลฯ การประกอบพิธีแซนโฎนตา บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง การแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ เจรียง ลิเก กันตรึม และกิจกรรมสาธิตการทำขนมพื้นเมืองสุรินทร์ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ปกครองอำเภอขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โทร.0-4567-1004, เทศบาลเมืองขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โทร.0-4567-1022, กองการศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ โทร.0-4451-4524, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ โทร.0-4451-4447 - 8 ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000101129
|
|
|
16769
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:53:54 am
|
อภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ องค์การเภสัชกรรม ต่อยอดงานวิจัยสารสกัด "สมุนไพรพรมมิ" พัฒนาเป็นอาหารเสริม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง บำรุงสมองและความจำ...
นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่าองค์การฯ ได้นำผลงานวิจัย "พรมมิ สมุนไพรบำรุงความจำ" ซึ่งมี รศ.ดร.กรกนก อิงคนินันท์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นหัวหน้าคณะวิจัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ทำการศึกษาวิจัย สารสกัดสมุนไพรพรมมิ ที่ผลิตในรูปแบบเม็ดมาอย่างต่อเนื่องจนมีผลการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือ ได้นำมาต่อยอดพัฒนากระบวนผลิตในระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจรตั้งแต่การปลูกวัตถุดิบ การสกัดเพื่อให้ได้สารสำคัญด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน
รวมทั้งการผลิตภายใต้มาตรฐาน GMP จนได้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดสมุนไพร "พรมมิ บำรุงความจำ" ในรูปแบบเม็ด ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง บำรุงสมองและความจำ ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในการดำเนินชีวิตในโลกสังคมข้อมูลข่าวสารอภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ นพ.สุวัช กล่าวว่า ผลงานวิจัยของ รศ.ดร. กรกนก ที่ได้ศึกษาไว้ ได้มีวิจัยและทดสอบอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ อาทิ มีการทดสอบเภสัชวิทยาและพิษวิทยา การทดสอบทางเภสัชวิทยาต่อการเรียนรู้ และความจำในสัตว์ทดลอง พบว่า พรมมิสามารถป้องกันการสูญเสียความจำได้ และสามารถป้องกันการสูญเสียความจำในหนูที่ถูกชักนำให้เกิดภาวะความจำเสื่อม อีกทั้งผลการศึกษาทางพิษวิทยา (พิษเฉียบพลัน) พบว่าไม่มีหนูตายภายหลัง 2 สัปดาห์ ซึ่งบ่งบอกถึงความปลอดภัยของสารสกัดพรมมิ
และผลการศึกษาพิษกึ่งเรื้อรังพบว่าไม่พบความผิดปกติเกิดขึ้นกับสัตว์ทดลอง การศึกษาทางพยาธิ กายวิภาค และจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะ สมอง ตับ ไต และหัวใจของหนูทั้งหมดไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุม ส่วนการศึกษาพิษเรื้อรังพบว่าสารสกัดพรมมิไม่ได้ก่อให้เกิดพิษเรื้อรัง
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดพรมมิยังได้มีการศึกษาทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี อายุมากกว่า 55 ปี จำนวน 60 คน โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาหลอก กับกลุ่มที่ได้รับสารสกัดพรมมิ ขนาด 300 และ 600 มิลลิกรัมต่อวัน ในระยะเวลา 3 เดือน พบว่า
สารสกัดพรมมิมีศักยภาพในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีผลเพิ่มสมรรถภาพทางกาย เพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว เพิ่มสมรรถภาพด้านจิตใจ ทำให้เพิ่มการตื่นตัวต่อสิ่งเร้า มีสมาธิเพิ่มขึ้น คลายความซึมเศร้า เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำได้ดีขึ้น จากการศึกษาไม่พบความเป็นพิษและภาวะข้างเคียงสมุนไพร 'พรมมิ' สมุนไพรพรมมิ (Brahmi) เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ขึ้นในที่น้ำชุ่ม มีดอกสีขาวหรือม่วงอ่อน มีบันทึกในคัมภีร์อายุรเวท ของอินเดีย เมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน มีสรรพคุณเด่นในด้านการบำรุงสมอง เพิ่มความจำ เพิ่มความสงบ ทำให้อ่อนวัย รวมถึงเป็นยาในตำรับอายุวัฒนะ ในประเทศไทยมีการรับประทานพรมมิเป็นอาหาร โดยใช้เป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกและตำราสมุนไพรแผนโบราณใช้พรมมิ ในรูปแบบวัตถุดิบ พรมมิผสมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ยาเขียว
"ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดสมุนไพรพรมมิบำรุงความจำที่นำผลงานวิจัยมาต่อยอดผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในระดับอุตสาหกรรมนี้เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอย่างกว้างขวาง สมุนไพรพรมมิซึ่งเป็นสมุนไพรที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทย ถือเป็นการลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบอีกด้วย" นพ.สุวัชกล่าว.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/447617
|
|
|
16771
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิจัยเผย.!! อาหารขยะ อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:45:49 am
|
วิจัยเผย.!! อาหารขยะ อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง การศึกษาที่ออสเตรเลีย พบว่าอาหารขยะ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะลดโอกาสที่ร่างกายจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ และทำลายระบบควบคุมตัวเอง ซึ่งได้มีการทดลองกับหนู โดยการป้อนอาหารจำพวกพาย , คุกกี้ และเค้ก เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ปรากฏว่าหนูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 10% จากเดิม แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับพฤติกรรมของหนูที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะมันไม่สนใจอาหารตามธรรมชาติหรืออาหารที่ควรทาน
นักวิจัยจึงได้สรุปว่า อาหารขยะ ทำให้สมองของหนูเกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการตัดสินใจ
ศาสตราจารย์มาร์กาเรต มอร์ริส มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบครั้งนี้ คือถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในมนุษย์ อาหารขยะอาจส่งถึงผลการตอบสนองต่ออาหารแต่ละประเภทขอบคุณภาพข่าวจาก men.sanook.com/3717/วิจัยเผย-อาหารขยะ-อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง/
|
|
|
16772
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อย วัดป่ามณีกาญจน์
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:42:00 am
|
น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อย วัดป่ามณีกาญจน์ เชื่อว่าใครที่ได้ชมคลิปน้องกรณ์ ลูกศิษย์วัดตัวน้อย ที่นั่งสัปหงก ในศาลาการเปรียญ คงอดยิ้มไม่ได้แน่นอน
สำหรับเด็กน้อยที่นั่งสัปหงก อยู่คลิปวีดีโอที่ได้ชมกันนั้น มีชื่อว่าน้องกรณ์ เด็กชายจิรกรณ์ เสือแผ้ว อายุ 1 ปี 9 เดือน โดยสาเหตุที่น้องกรณ์นั่งสปหงก ก็คงเป็นเพราะว่าน้องง่วงหลังจากที่กลับมาจากการทำหน้าที่เด็กวัดช่วยพระสงฆ์ ที่วัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ออกบิณฑบาต นั่นเอง โดยทุกๆ เช้าน้องกรณ์จะเดินตามพระบิณฑบาต ที่ตลาดบางคูลัด โดยต้องตื่นตั้งแต่ 05.30 น. น้องกรณ์จะเดินนำหน้าพระเพื่อรับของที่ญาติโยมนำมาใส่บาตร ทุกครั้งที่มีคนใส่บาตรน้องจะยกมือไหว้ทุกครั้ง ระยะทางที่น้องกรณ์ต้องเดินรอบตลาดประมาณครึ่งกิโลเมตร
คุณแม่วริษฐา เสือแผ้ว อายุ 39 ปี เล่าว่าตนได้พาน้องเข้าวัดตั้งแต่อายุได้ประมาณ 3 เดือน โดยพาน้องกรณ์ไปวัดเกือบทุกวัน น้องกรณ์จึงได้รับการปลูกฝังให้ใกล้ชิดกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การใส่บาตรตอนเช้าซึ่งน้องก็ต้องตื่นแต่เช้า การล้างจาน การเดินตามพระบิณฑบาต และครอบครัวได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ในวัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ช่วยกันให้น้องได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างดี ทำให้น้องเริ่มคุ้นเคยกับกิจของสงฆ์ เข้าร่วมการทำวัตร กราบไหว้ครูบาอาจารย์ และกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้อาหารสัตว์เพื่อลด ละ ความเห็นแก่ตัว รู้จักเมตตาต่อสรรพสัตว์ ฯลฯ
ในส่วนอนาคตคุณแม่ก็จะพาน้องกรณ์ไปวัดเรื่อยๆ โดยถ้าอนาคตน้องกรณ์ต้องการจะบวชคุณแม่ก็ยินดี สำหรับเพื่อนๆ sanook!campus คนไหนชื่นชอบน้องกรณ์สามารถติดตามน้องกรณ์ได้ในแฟนเพจ facebook.com/nongkornfanpage ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามน้องกรณ์แล้วราว 4 แสนคน โดยในแฟนเพจก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและรูปภาพน่ารักๆ ของน้องกรณ์ให้แฟนๆ ได้ชื่นชมกัน
สำหรับน้องกรณ์ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ในวัดและจะสนุกกับการที่ได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ร้องไห้ งอแง เหมือนเด็กวัยเดียวกัน จนกลายเป็นขวัญใจของหลายๆคนน้องกร ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก : มติชน ขอขอบคุณคลิปสัมภาษณ์จาก : รายการตื่นมาคุย ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : facebook.com/nongkornfanpage __________________________________________________________ คุณแม่และน้องกรณ์ รายการตื่นมาคุย น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อยที่ดังมาก ในโลก Social น่ารักมากๆ จากคลิป " ง่วงก็ไปนอนเถอะลูก " น้องได้มาคุยกับ "ตื่นมาคุย" เช้านี้ ไปชมกันเลยครับ!!
ขอบคุณภาพข่าวจาก campus.sanook.com/1373393/น้องกร-ลูกศิษย์วัดตัวน้อย-วัดป่ามณีกาญจน์/
|
|
|
16773
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดซึ้ง! แมวฮีโร่ช่วยเจ้าของรอดตายจากไฟไหม้บ้าน
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:35:21 am
|
สุดซึ้ง! แมวฮีโร่ช่วยเจ้าของรอดตายจากไฟไหม้บ้าน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า แมวเหมียวแซลลี่ ได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ หลังจากที่ช่วยให้ นายเครจ จีฟส์ ชายวัย 49 ปี เจ้านายของมัน รอดชีวิตจากเหตุไฟไหม้บ้านในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
โดยระหว่างเกิดเหตุไฟไหม้นายจีฟส์ กำลังนอนหลับอยู่ แต่เขาก็ต้องตกใจตื่นเมื่อแซลลี่กระโดดขึ้นบนศีรษะของเขา พร้อมกับส่งเสียงคล้ายกรีดร้องเพื่อให้เขารู้สึกตัว เมื่อตั้งสติได้เขาก็รีบวิ่งหนีออกจากบ้านที่ไฟกำลังลุกโชน
เจ้าหน้าที่ดับเพลิง บอกว่า นายจีฟส์ โชคดีมากที่หนีออกจากกองเพลิงได้ทันท่วงที ขณะที่ นายจีฟส์ ต้องอาศัยกับเพื่อนบ้านจนกว่าจะซ่อมบ้านเสร็จ ซึ่งนายจีฟส์ ได้รับเจ้าแซลลี่มาจากสถานดูแลแมวจรจัดเพื่อหาบ้าน ซึ่งจีฟส์ถือว่าเจ้าแซลลี่คงได้ตอบแทนบุญคุณเขาในการช่วยให้รอดตายในครั้งนี้ขอบคุณภาพข่าวจาก ch3.sanook.com/31999/แมวฮีโรช่วยเตือนเหตุไฟ
|
|
|
16775
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล 197 ใบ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ
|
เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 08:15:52 am
|
สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล 197 ใบ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังการประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 กันยายน 2557 ครั้งนี้ดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษในหลายพื้นที่ ช่วงที่ผ่านมาต่างมีกระแสข่าวพบผู้ถูกรางวัลเป็นจำนวนมาก ทั้งรางวัลที่ 1 หรือรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น
ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากแห่กันไปแก้บนที่วัดพระธาตุดอยคำ ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เมืองเชียงใหม่ เพื่อกราบไหว้พระเจ้าทันใจ หรือ หลวงพ่อทันใจ อายุ 502 ปี ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนท้องถิ่น โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบโชคลาภและความโชคดีแก่ชาวบ้าน ซึ่งบรรยากาศหลังวันประกาศผลรางวัลฯ เนื่องแน่นไปด้วยผู้คนที่ส่วนใหญ่ถูกล็อตเตอรี่งวดล่าสุด
เช่นเดียวกับ นางศิวณัณฐ รัชตดำรงรัตน์ ซึ่งระบุว่า ถูกล็อตเตอรี่รางวัลเลขท้าย 2 ตัว หมายเลข 22 จำนวน 196 ใบ และถูกล็อตเตอรี่รางวัลเลขท้าย 3 ตัว หมายเลข 912 อีก 1 ชุด รวมเป็นเงินรางวัลกว่า 780,000 บาท
นางศิวณัณฐ เปิดเผยว่า มากราบไหว้หลวงพ่อทันใจที่วัดแห่งนี้ พร้อมกับขอพรไปอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะทำการเสี่ยงเซียมสีได้เลขออกมาและไปทำการวิเคราะห์ซื้อล็อตเตอรี่เอง จนกระทั่งถูกรางวัลในที่สุด ทั้งนี้ นางศิวณัณฐ ยังบอกอีกว่า การถูกรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเคยถูกรางวัลมาแล้วก่อนหน้านี้ถึง 21 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของชาวบ้านที่เคารพนับถือหลวงพ่อทันใจ หากได้รับโชคลาภจะต้องนำเอาพวงมาลัยดอกมะลิมาแก้บน เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้ช่วงหลังวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน บรรยากาศที่วัดพระธาตุดอยคำจะคึกคักเป็นพิเศษนำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก สำนักข่าวไทย ที่มา news.sanook.com/1660705/สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล-197-ใบ-อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ/
|
|
|
16777
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปวดกายแต่ไม่ปวดใจ พระอรหันต์ทำได้อย่างไร.?
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:43:41 am
|
ปวดกายแต่ไม่ปวดใจ พระอรหันต์ทำได้อย่างไร.? : ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ ดิฉันมีข้อข้องใจอยากถามพระอาจารย์ แต่ขอออกตัวก่อนว่าอาจเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสำหรับผู้อื่น เพียงแต่เป็นข้อข้องใจของดิฉันเองที่อยากรู้เจ้าค่ะ คือ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องปวดฟันเพราะฟันผุ พยายามหาวิธีรักษาแบบธรรมชาติอยู่ค่ะ และก็ใช้ธรรมะในการตามดูตามรู้ความปวดและความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วก็เกิดความสงสัยอยากรู้ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเคยมีปัญหาเรื่องแบบนี้หรือไม่เจ้าคะ แล้วท่านมีวิธีหรือใช้แนวทางใดในการบรรเทาความปวดฟันได้บ้าง เพราะเชื่อว่าสมัยก่อนการหาทันตแพทย์คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ได้เผยแผ่ธรรมะให้แก่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้นำมาเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติได้เหมาะสมกับชีวิตในปัจจุบัน ขอให้พระอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงเจ้าค่ะ ขอกราบนมัสการลาเจ้าค่ะ...สาธุ
วิสัชนา : เท่าที่ทราบ ในพระไตรปิฎกไม่มีกล่าวถึงพระอรหันต์ที่มีปัญหาปวดฟัน มีแต่อาพาธเพราะโรคอื่น แต่ท่านป่วยแค่กาย ใจไม่ป่วย อาทิ พระอนุรุทธะแม้อาพาธหนัก แต่ทุกขเวทนาทางกายไม่อาจครอบงำจิตของท่าน เนื่องจากท่านอยู่ด้วยสติปัฏฐาน ๔ ส่วนพระโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะก็เคยอาพาธหนัก แต่เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องโพชฌงค์ให้ฟัง ท่านทั้งสองก็หายจากอาพาธ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความป่วยกายหายไปด้วยอำนาจแห่งธรรมโอสถ
สายด่วนให้คำปรึกษาทางจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย 'เตรียมตัวก่อนสู่วาระสุดท้ายของชีวิต จะทำอย่างไรดี' ปรึกษาได้ที่ โทร.๐๘-๖๐๐๒-๒๓๐๒ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.komchadluek.net/detail/20140901/191268.html
|
|
|
16779
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์ รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:32:43 am
|
ฮือฮา.! พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์ รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ (2 ก.ย.) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ พบรถจักรยานยนต์ของชายคนหนึ่ง ที่แต่งกายคล้ายฤาษี สวมชฎา และมีแผ่นป้ายเขียนตัวอักษรติดหน้ารถขับผ่านมา จึงได้เรียกจอด พร้อมกับตรวจค้นสารเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย
ชายคนดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายทวีสิทธิ์ แก้วเข็ม อายุ 62 ปี อ้างว่าเป็นฤาษีมีอิทธิฤทธิ์ปราบมนต์ดำได้ มาจากตำหนักปู่ฤาษีที่ จ.นครราชสีมา เป็นผู้ครอบครองเศียรของพ่อปู่ฤาษีตาไฟ พร้อมไม้เท้ากายสิทธิ์ 2 อัน มีไม้เท้ากายสิทธิ์พระศิวะและไม้เท้าพ่อปู่ฤาษีตาไฟ ที่ใช้ในการรักษาคนไข้และบุคคลทั่วไป ที่ป่วยเป็นโรคทั้งหนักและเบา โดยตนจะขับขี่จักรยานยนต์ไปบ้านเกิดที่จ.พะเยา แต่ระหว่างทางเมื่อพบใครที่มีอาการปวดเมื่อย ก็จะแก้มนต์ดำให้ โดยป้ายหน้ารถนั้นโฆษณาถึงสรรพคุณมากมายแถมยังบอกอีกด้วยว่า รับจ้างปราบมนต์ดำทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด จึงต้องปล่อยตัวไป
อย่างไรก็ตาม ชาวจ.นครราชสีมา โดยเฉพาะชาวบ้านแถววัดศาลาลอย ต่างเคยพบเห็นนายทวีสิทธิ์อยู่เป็นประจำ และยังได้มีการแชร์ภาพลงสังคมออนไลน์มาก่อนหน้านี้แล้วว่า นายทวีสิทธิ์ นอกจากจะแต่งกายเป็นพ่อปู่ฤาษีแล้ว ยังแขวนบัตรทหารผ่านศึก ระบุชื่อพลทหารทวีสิทธิ์ แก้วเข็มนำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com ขอบคุณภาพประกอลจากเฟซบุ๊ก อบต.บ้านปรางค์ อ.คง จ.นครราชสีมา ที่มา news.sanook.com/1659981/ฮือฮา-พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์-รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ/
|
|
|
16780
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มจีนประกาศหา "แม่บุญธรรม" พร้อมให้เงิน 1 ล้าน
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:29:56 am
|
หนุ่มจีนประกาศหา "แม่บุญธรรม" พร้อมให้เงิน 1 ล้าน หนุ่มจีนวัย 30 ปีในมณฑลเสฉวน ถือป้ายและโคมจีนแดงประกาศรับสมัครแม่บุญธรรมพร้อมลั่นจะให้เงิน 1 ล้านหยวน (5.2 ล้านบาท)
เว็บไซต์ข่าวจีน “โกลบอล ไทม์ส” รายงานจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ว่า ชาวเน็ตจีนฮือฮาหลังชมภาพหนุ่มจีนในวัย 30 กว่าปี ที่ไม่ได้รับการระบุชื่อ นำกะละมังใส่ธนบัตรระบุว่าเป็นเงินจำนวน 1 ล้านหยวน (5.2 ล้านบาท) วางป้ายประกาศรับสมัครหาแม่บุญธรรมและถือโคมจีนสีแดงระบุเบอร์โทรศัพท์ของตนเองยืนอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่านอย่างสวนสาธารณะฝางหู ในเขตก่วงฮั่น มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า เงินในกะละมังที่หนุ่มรายนี้นำมาตั้งไว้นั้นเป็นของจริง ส่วนป้ายสีแดงของเขาจะระบุคุณสมบัติของแม่บุญธรรมที่เขาต้องการซึ่งประกอบไปด้วย ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 57 ปีขึ้นไป ไม่มีประวัติติดยาเสพติดมาก่อนและมีประวัติการศึกษาดี อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตยังไม่ทราบแน่ชัดว่า หนุ่มคนดังกล่าวประกาศรับสมัครผู้ที่จะมาเป็นแม่บุญธรรมไปเพื่ออะไรขอบคุณภาพข่าวจาก www.dailynews.co.th/Content/foreign/263753/หนุ่มจีนประกาศหาแม่บุญธรรมพร้อมให้เงิน1ล้าน
|
|
|
16781
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมประเพณี "สารทเดือนสิบ" สืบตำนานกตัญญู
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:26:00 am
|
ร่วมประเพณี "สารทเดือนสิบ" สืบตำนานกตัญญู สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีสืบสานตำนานความกตัญญู สำหรับชาวใต้ด้วยประเพณีสารทเดือนสิบ ประจำปี 57
วันนี้ (1 ก.ย.) พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ย. จะมีการจัดงานสืบสานตำนานความกตัญญู สำหรับชาวใต้ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ เพื่อร่วมฉลอง 82 ปี สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ อาคารชั้นสองของสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ ถนนกาจญนาภิเษก เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ รวม 7 วัน 7 คืน ซึ่งมีนายประเสริฐ ทองนุ่น เป็นประธานจัดงาน โดยภายในงานจะมีการแสดงหนังตะลุงและมโนราห์จากปักษ์ใต้ พร้อมทั้งคอนเสิร์ตและศิลปะจากปักษ์ใต้ โดยงานสารทเดือนสิบนี้ ถือได้ว่าเป็นงานบุญแก่พี่น้องชาวปักษ์ใต้ที่ให้กับบรรพบุรุษ เพื่อความรักความสามัคคีในหมู่คณะที่อาศัยในกรุงเทพและปริมณฑล
พล.ต.อ.สุนทร เผยต่อว่า สำหรับงานเดือนสิบของทุกปีนั้น ถือได้ว่าเป็นเดือนที่สำคัญยิ่ง เพราะถือว่าเป็นเดือนแห่งงานมหาบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวใต้ทุกคนได้แสดงออกถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผ่านงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าบรรพบุรุษที่ ส่งกลับไปแล้วจะกลับมาเยี่ยมเยือนลูกหลานระหว่างวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 แรม 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ลูกหลานจะได้แสดงความกตัญญูด้วยการจัดสำรับพร้อมข้าวของเครื่องใช้ เพื่อนำไปถวายแด่พระสงฆ์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ เผยต่อไปอีกว่าประเพณีบุญเดือนสิบใช่ว่าจะเป็นงานบุญเพียงอย่างเดียว ความครื้นเครงเหล่านี้อยู่ตรงที่วันสุดท้าย คือ วันอังคารที่ 23 ก.ย. จะมีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและจะจัดให้มีประเพณีชิงเปรต โดยสมาคมฯ และชาวบ้านจะนำสำรับมาถวายวางไว้ที่บริเวณหน้าศาลาเปรต เพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับได้กลับมากิน
จากนั้นก็ถึงคราวที่เด็กๆ และผู้ใหญ่จะวิ่งเข้าไปแย่งของจากศาลาเปรตแข่งกินกัน ทั้งนี้เพราะชาวใต้เชื่อว่าใครที่ได้กินอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพชนจะได้รับกุศลทั้งยังเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว อาหารในประเพณีบุญสารทเดือนสิบก็จะมีขนมอยู่ 5 ชนิด ที่ชาวบ้านทุกบ้านจะทำถวายพระได้แก่ ขนมลา ขนมพวง ขนมกง ขนมดีซำและขนมบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ ขอเรียนเชิญท่านผู้สนใจร่วมงานตามวัน เวลา ดังกล่าว..ขอบคุณภาพข่าวจาก www.dailynews.co.th/Content/regional/263643/ร่วมประเพณีสารทเดือนสิบสืบตำนานกตัญญู
|
|
|
16785
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • วัดเกาหลีใต้จัดแข่งสวดมนต์แนวใหม่ หวังดึงคนหนุ่มสาวสนใจพุทธศาสนา
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:23:45 am
|
• วัดเกาหลีใต้จัดแข่งสวดมนต์แนวใหม่ หวังดึงคนหนุ่มสาวสนใจพุทธศาสนา เกาหลีใต้ : วัดโชเกซา กรุงโซล วัดหลักในพุทธศาสนานิกายโชเก (นิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้) ได้ริเริ่มจัดประกวดการแข่งขันสวดมนต์แนวใหม่ขึ้น โดยผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล 3 ล้านวอน (ราว 9 หมื่นบาท) ทั้งนี้ มีพระสงฆ์และแม่ชีวัยหนุ่มสาวกว่า 300 คน เข้าร่วมขับขานบทสวดมนต์แบบดั้งเดิม หรือบทสวดที่แต่งขึ้นใหม่ในสไตล์แร็พและฮิปฮอป ประกอบเครื่องดนตรีโบราณ เช่น กลอง ฆ้อง ในขณะที่ผู้ชมจำนวนมากพากันสวดมนต์แบบเดิมตามไปด้วย พระเยกัง หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันกล่าวว่า “การสวดมนต์แนวใหม่นี้ เพื่อต้องการดึงคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจในพุทธศาสนา และเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ต่างๆ” พระยินมุค พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของนิกายโชเก และเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสิน กล่าวถึงความพยายามที่จะทำให้บทสวดมนต์เข้าถึงคนหนุ่มสาวได้ง่ายขึ้นว่า “มีบทสวดมนต์จำนวนมากที่เขียนด้วยคำโบราณ ซึ่งคนทั่วไปไม่คุ้นเคย เราจึงขอให้ผู้เข้าแข่งขันเขียนบทสวดมนต์ขึ้นใหม่ ด้วยภาษาธรรมดา ที่เข้าใจง่าย เพราะเราต้องการให้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและเด็กได้รู้ว่า 'ยัมบุล’ (บทสวดมนต์และพระสูตร) เป็นสิ่งที่น่าสนใจและง่ายที่จะปฏิบัติตามมากกว่าที่พวกเขาคิด” จาก Buddhistdoor จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16786
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • โรตารีสากลมอบรางวัลเกียรติยศ แก่ “ธรรมาจารย์เชงเยน” แห่งฉือจี้
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:21:13 am
|
• โรตารีสากลมอบรางวัลเกียรติยศ แก่ “ธรรมาจารย์เชงเยน” แห่งฉือจี้ ไต้หวัน : เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2014 สโมสรโรตารีสากลได้มอบรางวัลเกียรติยศให้ธรรมาจารย์เชงเยน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน จากการทำงานด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลก นับเป็นชาวพุทธจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฉือจี้ ที่มีเหล่าอาสาสมัครใจเมตตาคอยช่วยเหลือผู้ได้รับความทุกข์ มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 เป็นองค์กรการกุศลไม่แสวงหากำไร ให้ความช่วยเหลือด้านการกุศล เวชกรรม การศึกษา และการปลูกฝังด้านมนุษยธรรม ปัจจุบันมีสาขาใน 87 ประเทศทั่วโลก สมาชิกกว่า 5 ล้านคน โดยอาสาสมัครจะแต่งกายในชุดสีน้ำเงินและสีขาว จึงมักถูกเรียกว่า “ทูตสวรรค์สีน้ำเงิน” มูลนิธิได้ส่งอาสาสมัครและความช่วยเหลือไปยังที่เกิดเหตุภัยพิบัติครั้งสำคัญต่างๆทั่วโลก เช่น แผ่นดินไหวจิจิในไต้หวัน ปี 1999 พายุเฮอริเคนแซนดี้ในสหรัฐอเมริกา ปี 2012 และล่าสุดเหตุเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญเมื่อเดือนมีนาคม 2014 อีกทั้งได้สนับสนุนงานบริการต่างๆทางสังคม เช่น สร้างโรงเรียน วิทยาลัยพยาบาล มูลนิธิทางการแพทย์ ฯลฯ ธรรมาจารย์เชงเยน หรือที่เรียกกันว่า “แม่ชีเทเรซาแห่งเอเชีย” เป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เกิดในปี 1937 ที่ตำบลชิงสุ่ย เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน เมื่ออายุ 25 ปี ได้ตัดสินใจออกบวช โดยมีพระมหาเถระอิ้นซุ่นเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งได้สั่งสอนว่า “ขอจงทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อมวลชีวันทุกเวลา” ซึ่งธรรมาจารย์เชงเยนได้ถือปฏิบัติตราบจนทุกวันนี้ จาก Tzuchi.org.tw จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16787
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • อินเดียจับมือจีนออกสารานุกรม วัฒนธรรมอินเดีย-จีน เป็นครั้งแรก
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:18:45 am
|
• อินเดียจับมือจีนออกสารานุกรม วัฒนธรรมอินเดีย-จีน เป็นครั้งแรก อินเดีย : เมื่อเร็วๆนี้ นายโมฮัมหมัด ฮามิด อันซารี รองประธานาธิบดีอินเดีย และนายหลี่ หยวนเฉา รองประธานาธิบดีจีน ได้ร่วมกันเปิดตัวสารานุกรม “India-China Cultural Contacts” หรือ “ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของอินเดีย-จีน” เป็นครั้งแรก สารานุกรมดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของอินเดียและจีนที่มีมายาวนาน ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปี เริ่มจากพระเสวียนจั้ง (หรือพระถังซัมจั๋ง) ภิกษุจีนที่เดินทางไปยังอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 7 เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาครอบคลุมความสัมพันธ์ทางการค้า เศรษฐกิจ วรรณคดี ปรัชญา และการทูต อีกด้วย โดยมีคณะกรรมการรวบรวมข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยบรรดาเจ้าหน้าที่และนักวิชาการของทั้งสองประเทศ ร่วมกันจัดทำและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษและจีน จาก PTI จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16788
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • จีนเปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ 3 มิติ วัดถ้ำผาม่อเกา ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสพุทธศิลป์
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:08:50 am
|
• จีนเปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ 3 มิติ วัดถ้ำผาม่อเกา ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสพุทธศิลป์แบบเสมือนจริง จีน : เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2014 สถาบันตุนหวงได้เปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ระบบ 3D หรือ 3มิติ รูปทรงโดม บริเวณถ้ำผาม่อเกา เมืองตุนหวง มณฑลกานซู ประเทศจีน อย่างเป็นทางการ โดยมีนักท่องเที่ยวชุดแรกเข้าชมกว่า 2,700 คน ฟาน จินชิ ผู้อำนวยการสถาบันตุนหวงเผยว่า สถาบันฯได้ถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังจากถ้ำผาม่อเกาแต่ละถ้ำ ด้วยความละเอียดสูง แล้วนำมาจัดทำเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมภาพพุทธศิลป์อันงดงามภายในถ้ำต่างๆ รวมทั้งบริเวณที่ไม่เปิดให้เข้าชมด้วย อนึ่ง ถ้ำผาม่อเกาเป็นถ้ำพุทธที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ภายในเต็มไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักเขียนสีกว่า 2,000 องค์ และจิตรกรรมฝาผนังรวมความยาวกว่า 45,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ในช่วงศตวรรษที่ 4-14 องค์การยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987 จาก China.org.cn จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16789
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • บังกลาเทศขุดพบวัดพุทธโบราณอายุ 1,500 ปี
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:04:53 am
|
• บังกลาเทศขุดพบวัดพุทธโบราณอายุ 1,500 ปี บังกลาเทศ : หลายปีที่ผ่านมา มีการขุดพบวัดโบราณจำนวนมากตามสถานที่ต่างๆในบังกลาเทศ และล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2014 ทีมนักโบราณคดี ซึ่งนำโดย ศจ.ซูฟี มอสตาฟิเซอร์ ราห์มัน แห่งมหาวิทยาลัยจาฮันคิรนาคาร ได้ขุดพบวัดอีกแห่งหนึ่งที่เมืองเดอร์การ์ นาการ์ อันเป็นเมืองเก่าแก่อายุ 2,500 ปี ย้อนไปในปี 2012 ทางทีมนักโบราณคดี ประกอบด้วยนักศึกษาโบราณคดีราว 40-50 คน ซึ่งลงพื้นที่ขุดสำรวจความยาว 14 กม. ได้พบซากปรักหักพังของวัดและสถูปเล็กๆหลายองค์ โดยเมื่อพิจารณาจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่สำคัญ เช่น ห้องโถงภายใน ระเบียง ศาลา และสถูป จึงสรุปได้ว่า เป็นวัดโบราณที่มีอายุเกือบ 1,500 ปี “มีการขุดพบสถูป 4 องค์ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นของวัดแห่งนี้ และยังอาจมีสถูปอีกหลายองค์ในบริเวณนี้ เราต้องขุดค้นหาต่อไป ผมแน่ใจว่า หากเราขุดไปเรื่อยๆ จะพบสิ่งก่อสร้างอีกมากมาย” มาห์บูบุล อลัม ฮิเมล ตัวแทนผู้นำทีมขุดสำรวจ กล่าว การขุดพบวัดแห่งนี้ ถือเป็นหลักฐานที่แสดงว่า เขตอูวารี-โบเตสชอร์ เคยเป็นดินแดนที่อารยธรรมทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ขณะที่ ศจ.ซูฟี กล่าวว่า “เราขุดพบซากวัดเพียง 1 ใน 4 ส่วนเท่านั้น แต่เราจะเข้าใจถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้ เมื่อมีการขุดสำรวจทั่วทั้งพื้นที่ และเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า พุทธศาสนาได้ปรากฏขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้เมื่อครั้งอดีต อันจะส่งผลให้บริเวณนี้ กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชุมชนและวัฒนธรรมพุทธสมัยโบราณ” จาก Buddhistdoor จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16790
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • “นัมโซ” ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ เสียแชมป์ใหญ่ที่สุดในทิเบต
|
เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:02:27 am
|
• “นัมโซ” ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ เสียแชมป์ใหญ่ที่สุดในทิเบต จีน : มีรายงานวิจัยชิ้นใหม่เผยว่า ทะเลสาบนัมโซ ซึ่งเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ได้สูญเสียตำแหน่งทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองตนเองทิเบต ให้แก่ทะเลสาบเซอร์ลิงโซ ซึ่งได้ขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธารน้ำแข็งได้หลอมละลายและมีฝนเพิ่มขึ้น ซาง กัวจิง ผู้ช่วยนักวิจัยของสถาบันวิจัยที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน เผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2014 ทะเลสาบเซอร์ลิงโซวัดเนื้อที่ได้ 2,391 ตร.กม. กว้างกว่าทะเลสาบนัมโซ 369 ตร.กม. ทั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ทะเลสาบต่างๆในเขตปกครองตนเองทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่การขยายตัวของทะเลสาบเซอร์ลิงโซเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 535 ตร.กม. นับเป็น 1 ใน 3 ของพื้นที่เดิม อนึ่ง ทะเลสาบนัมโซ มีความหมายว่า ทะเลสาบสวรรค์ ชาวพุทธทิเบตเชื่อว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆปีจะมีผู้ศรัทธามาประกอบพิธีกรรมด้วยการเดินไปรอบๆทะเลสาบซึ่งกินเวลาหลายเดือน จาก Xinhua จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
|
|
|
16791
|
เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ระวัง.! ใช้ iPhone เสี่ยงโดนขโมยข้อมูลผ่าน 'ไอคลาวด์'
|
เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 08:48:22 pm
|
ระวัง.! ใช้ iPhone เสี่ยงโดนขโมยข้อมูลผ่าน 'ไอคลาวด์' กูรูด้านไอทีซิเคียวริตี้ ยืนยัน iCloud ของแอปเปิลมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลเหมือนคนดัง ไม่ใช่แค่บนไอโฟน ถ้าโจรรู้อีเมล์ที่ใช้สมัครแอปเปิลไอดีก็จบข่าวแล้ว แนะ ปิดระบบ iCloud Backup อย่าแบ็กอัพคลิปเสียว ภาพสยิวเด็ดขาด...
หลังจากกรณีภาพหลุดสุดวาบหวิวของนักแสดงสาว เจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ที่ถูกแฮกเกอร์เจาะเอาข้อมูลส่วนตัวและภาพถ่ายที่แบ็กอัพไว้บนบริการแอปเปิล ไอคลาวด์ (Apple iCloud) ทำให้ภาพลับของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถ่ายไว้ดูส่วนตัวหลุดออกมาเผยแพร่ไปทั่วเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังทั้งทวิตเตอร์ และเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เว็บไซต์ 4chan ต้นตอของการเผยแพร่ข่าว รายงานว่า ภาพชุดวาบหวิวของนางเอกดังเป็นผลจากการที่กลุ่มแฮกเกอร์ได้ลอบเข้าไปขโมยข้อมูลจากบริการบัญชีไอคลาวด์ และผู้ที่ใช้งานแอปเปิล ไอโฟน โดยภาพที่ขโมยมาได้มีภาพนู้ดของนักแสดงชื่อดัง และเหล่าเซเลบริตี้ของต่างประเทศ เช่น วิคตอเรีย จัสติส เอ็มมิลี่ บราวน์นิ่ง เคท บรอดสเวิร์ธ เจนนี่ แมคคาร์ทนี และเคท อัพตัน นางแบบชื่อดัง
นายปริญญา หอมอเนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า การแฮกไอคลาวดืไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการ และก่อนหน้านี้เคยเกิดกับคนดังมาแล้ว เช่น บก.ของนิตยสาร wired magazine ที่ถูกขโมยเจาะไอคลาวด์ และแอปเปิลไอดี (Apple ID) เอาไปซื้อของออนไลน์เสียเงินไปเป็นจำนวนมาก และเคยมีการเตือนหลายครั้งว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก เพราะช่องโหว่ที่มีอยู่ในระบบ
กรณีของเจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถูกแฮกไอคลาวด์ เกิดขึ้นเพราะแฮกเกอร์โทร.ไปยังแอปเปิลเพื่อขอรีเซตไอดีใหม่ ด้วยขั้นตอนที่ง่ายจนน่ากลัวอยากเตือนให้คนทุกคนรู้ไว้ แฮกเกอร์ ต้องการ 3 อย่างในการรีเซตพาสเวิร์ด ที่เมื่อรู้หมดทั้ง 3 อย่างแอปเปิลไอดีของเราก็ตกไปอยู่ในมือโจรเรียบร้อยผู้ใช้ไอโฟน ควรระมัดระวังการใช้งาน iCloud 1. อีเมล์ที่ใช้สมัครแอปเปิลไอดี ผู้คนทั่วไปมักใช้อีเมล์ส่วนตัวสมัครแอปเปิลไอดี ทำให้แฮกเกอร์ได้เหยื่อง่ายๆ เพราะสามารถหาได้จากรายชื่อบนทวิตเตอร์ หรือข้อมูลบนเฟซบุ๊ก
2. เลข 4 ตัวสุดท้ายบนบัตรเครดิต อาจจะดูเหมือนหายาก แต่สำหรับคนที่ใช้งานเว็บไซต์อเมซอน ตัวเลขนี้ถูกแสดงแบบสาธารณะอยู่แล้ว ทำให้ง่ายกับแฮกเกอร์มากขึ้น
3. คำถามยืนยัน ปราการด่านสุดท้าย ที่เหมือนจะยากแต่มักตกม้าตายมาเยอะ คือ คำถามที่ใช้ยืนยันตัวผู้ใช้งาน คนส่วนมากเลือกที่จะใช้คำถามง่ายๆ เช่น วันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด โรงเรียนที่จบสมัยมัธยม ชื่อสัตว์เลี้ยง แล้วข้อมูลเหล่านี้ของคนดังก็มีแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมดiCloud Backup เพื่อความปลอดภัยอยากแนะนำให้ปิดระบบ iCloud Backup และ iCloud Photo Sharing บนไอโฟน ไม่ต้องใช้เลยหากมีคอนเทนต์สุ่มเสี่ยงคลิปเสียว ภาพหวิวส่วนตัวอยู่ในเครื่อง หรือ ถ้าต้องการใช้งานลองถามตัวเองว่าหากข้อมูลเหล่านี้หายไปจะเดือดร้อนไหม และหากภาพหลุดไปจะเสียชื่อเสียงหรือไม่ คนที่อยากแบ็กอัพข้อมูลบนไอโฟนมีวิธี คือ แบ็กอัพผ่านโปรแกรม iTunes บนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวiCloud Photo Sharing การแบ็กอัพต้องเลือกใส่รหัสผ่านทุกครั้ง และเวลาไปเสียบไอโฟนกับเครื่องของร้านมือถือ อย่าเลือก Trusted This Computer เพราะระบบจะถามผู้ใช้งานครั้งเดียว หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ถามเราอีก ทำให้สามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่บนนั้นได้หมด ขอเตือนผู้ใช้งานทุกคนว่า อย่าแบ็กอัพข้อมูลไว้แค่ที่ใดที่หนึ่ง ต้องทำไว้หลายๆ ที่ เพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญเรื่องนี้สามารถเกิดกับผู้ใช้ไอโฟนได้ทุกคน ต้องระมัดระวังให้ดีรายชื่อของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการขโมยข้อมูลบนไอคลาวด์ ทั้งนี้ 4chan ยังเผยรายชื่อของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการขโมยข้อมูลบนไอคลาวด์ครั้งนี้จำนวนมาก ได้แก่ Aly และ AJ Michalka, Aubrey Plaza, Abby Elliott, Avril Lavigne, Amber Heard, Brie Larson, Candice Swanepoel, Cara Delevigne, Emily Ratjakowski, Farrah Abraham, Gabrielle Union, Hayden Pannettiere, Hope Solo, Hillary Duff, Jenny McCarthy, Kayley Cuoco, Kate Upton, Kate Bosworth, Keke Palmer, Kim Kardashian, Kirsten Dunst, Krysten Ritter, Lea Michele, Lizzy Caplan, Mary Kate Olsen, Mary Elizabeth Winstead, Rihanna, Scarlet Johansson, Selena Gomez, Vanessa Hudgens, Wynona Ryder, Alison Brie และ Dave Franco.ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.thairath.co.th/content/447235
|
|
|
16795
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบสานประเพณี "ตักบาตรขนมครก" ที่สมุทรสงคราม
|
เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:41:40 pm
|
งานประเพณีทำบุญตักบาตรขนมครกชาวตำบลบางพรมของวัดแก่นจันทร์เจริญ ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่า 85 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 สืบสานประเพณี "ตักบาตรขนมครก" ที่สมุทรสงคราม องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลบางพรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสงครามและ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม จัดงานประเพณี "ทำบุญตักบาตรขนมครก-น้ำตาลทราย" ณ วัดแก่นจันทร์เจริญ ต.บางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม โดยมีนายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานงานประเพณีทำบุญตักบาตรขนมครกชาวตำบลบางพรมของวัดแก่นจันทร์เจริญ ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี และได้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่า 85 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 สมัยที่พระครูสุนทรสุตกิจหรือหลวงปู่โห้เป็นเจ้าอาวาส โดยมีชาวบ้านตำบลบางพรม พุทธศาสนิกชน นักเรียน อาจารย์ ร่วมแรงร่วมใจกันสืบทอดประเพณีที่ดีงามด้วยความศรัทธาและความเชื่อที่หลากหลาย
จนกระทั่งถึงปัจจุบันมีความเชื่อกันว่า "ขนม ค-ร-ก" หรือ "ขนม คน-รัก-กัน" นั้น เป็นขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้ครองรักอยู่คู่กันตลอดไป ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็จะทำให้พบเนื้อคู่เหมือนขนมครกที่ต้องมี 2 ฝา และมีความรักหวานมันนุ่มละมุนลิ้นเหมือนรสชาติของขนมครกนั่นเอง ทั้งมีกิจกรรมการสาธิตวิธีการโม่แป้งแบบโบราณ การแข่งขันกีฬาแบบพื้นบ้าน เช่น วิ่งวิบากขนมครก ขูดมะพร้าว ขนมครกลีลา ในวันนี้ชาวบ้านญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ จะตระเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับทำขนมครก ช่วยกันลงแรงและบริจาคทรัพย์มาซื้อข้าวสารเพื่อนำมาหมักค้างคืนไว เมื่อถึงตอนเช้าของวันใหม่ก็จะไปรวมตัวกันที่ศาลาวัด ช่วยกันโม่แป้ง คั้นกระทิ ทำขนกครกพร้อมกับน้ำตาลทราย เพื่อนำไปตักบาตรถวายพระสงฆ์ ทุกๆ ปีจะมีผู้คนทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นโอกาสของการพบปะญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล กลับมายังภูมิลำเนา เป็นการเสริมสร้างความรักในครอบครัว และความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย
ประเพณีตักบาตรขนมครกเริ่มครั้งแรกเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยพระราชพิธี 12 เดือน ปรากฏหลักฐานของสำนักในการตักบาตรขนมเบื้อง ครั้นเมื่อถึงเดือนอ้ายด้วยมีกุ้งชุกชุมเป็นจำนวนมากให้เกณฑ์ฝ่ายช่วยกันปรุงขนมเบื้องถวายพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชและพระราชาคณะ พระราชพิธีตักบาตรขนมเบื้องสืบทอดมาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พ.ศ.2449
ต่อมาพระครูสุนทรสุตกิจหรือหลวงปู่โห้ เจ้าอาวาสวัดแก่นจันทร์เจริญ ได้ริเริ่มประเพณีตักบาตรขนมครกนี้ โดยมีการเลียนแบบมาจากประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องของพระราชพิธีในวัง และได้ชักชวนญาติโยมร่วมกันตักบาตรขนมครก ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี เพื่อเป็นการสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรนับเนื่องแต่พุทธกาลอานิสงส์ที่ได้รับทำให้ยังสังขารและธาตุของคณะสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา พัฒนาฝึกฝนทั้งทางด้านจิตใจและความรู้ความสามารถในการปลูกสร้างตกแต่งซ่อมแซมอาคารต่างๆ ได้รับความรู้หลังจากลาสิขาบทไปแล้วยังได้นำปัจจัยไปบำรุงศึกษาทั้งทางสงฆ์และลูกหลานของทายกทายิกา น้ำตาลทรายที่ได้จากการตักบาตรให้ทายกทายิกาได้สืบทอดการทำตังเมมาแต่โบราณ เพื่อแจกจ่ายแก่คณะสงฆ์และผู้มาช่วยกิจการภายในวัด ทั้งยังใช้ในการปรุงอาหารสำหรับผู้ที่มาทำบุญเมื่อถึงคราวเข้าพรรษาของพระสงฆ์
แลยังถึงซึ่งความสามัคคีเข้มแข็งของทายกทายิกาในชุมชนและเครือข่าย ชุมชนตำบลบางพรมร่วมด้วย อบต.บางพรมมีความปรารถนาในการสืบต่อวัฒนธรรมประเพณีตักบาตรขนมครกของตำบลบางพรม ให้เป็นตำนานยืนยาวสืบต่อไป ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์ ที่มา news.springnewstv.tv/53914/สืบสานประเพณีตักบาตรขนมครกที่สมุทรสงคราม
|
|
|
|