ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 418 419 [420] 421 422 ... 706
16761  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จวกยับ.!! เณรแต๋ว "เป่าเค้กวันเกิด" ในวัด เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 08:17:45 am


จวกยับเณรแต๋วเป่าเค้กวันเกิดในวัด

แชร์ว่อนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คภาพสามเณรแต่งสวยฉลองวันเกิด แถมโพสท่าวาบหวิวบนศาลาวัด ชี้ทำตัวไม่เหมาะนักบวช วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ไข ก่อนศาสนามัวหมองมากไปกว่านี้

วันที่ 4 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการแชร์ว่อนเน็ตเรียกเสียงด่าจากชาวโซเซียลมีเดียอย่างล้นหลามหลังเจ้าของเพจเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า “ราตรีแมงกาเบี้ย และ สาวใส้ให้กากินศูนย์ระบุตัวตนพระตุ๊ดแห่งประเทศไทย”เผยแพร่ภาพกลุ่มสามเณรแต่งสวยถ่ายภาพงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ16 ปีภายในวัดแห่งหนึ่ง และภาพสามเณรโพสต์ท่าวาบหวิวบนศาลาวัดพร้อมระบุข้อความว่า“สมควรปัดฝุ่นได้แล้วหรือยัง..อย่ามัวแต่แย่งอำนาจกัน..ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันจะดีกว่า..บัดนี้วงการภิกษุสงฆ์ได้เสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านศีลธรรมคือล่วงละเมิดศีลอาจารวิบัติคือทำตัวไม่เหมาะสมกับเพศภาวะของนักบวชในพุทธศาสนา”




ภายหลังชาวเน็ตได้ชมภาพดังกล่าว ส่วนใหญ่ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในพฤติกรรมด้งกล่าว พร้อมวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขก่อนที่ศาสนาจะมัวหมองไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามภาพลักษณะดังกล่าวก่อนหน้านี้เคยหลุดออกมาทางเฟซบุ๊กจนมีการสืบสวนหาต้นตอ จนรู้ว่าเป็นวัดใดจากนั้นได้มีการว่ากล่าวตักเตือน กระทั่งล่าสุดได้มีภาพแบบเดิม ๆ ออกมาโชว์ความไม่เหมาะสมอีก.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/264274/จวกยับสามเณรแต๋วเป่าเค้กวันเกิดในวัด
16762  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มอบป้าย 11 ต้นแบบหมู่บ้านศีล 5 ลพบุรี เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 08:13:24 am


มอบป้าย 11 ต้นแบบหมู่บ้านศีล 5 ลพบุรี

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มอบป้าย 11 ต้นแบบหมู่บ้านศีล 5 ลพบุรี ชื่นชม คณะสงฆ์ จังหวัดทำงานจริงจัง ฝากโรงเรียนทั่วประเทศขยายผลส่งเสริมอาราธนาศีลหน้าเสาธง

วันนี้ ( 4 ก.ย.) ที่โรงเรียนวินิตศึกษา 2 อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานมอบป้าย“หมู่บ้านรักษาศีล 5” จังหวัดลพบุรี โดยมีพระสงฆ์และฆราวาสเข้าร่วมกว่า 5,000 คน ทั้งนี้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าวสัมโมทนียกถาว่า ขอชื่นชมการทำงานของจังหวัดลพบุรี ที่มีความพร้อมส่งเสริมหมู่บ้านศีล 5

ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่า โรงเรียนในพื้นที่ส่งเสริมศีล 5 อย่างจริงจังทั้งจังหวัด โดยเฉพาะเวลาเข้าแถวหน้าเสาธงจะมีการอาราธนาศีล และแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาและอยากให้ส่งเสริมกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ฝากถึงประชาชนว่า ศีล 5 ข้อให้ปฏิบัติเพียงข้อใดข้อหนึ่งได้ ก็ถือได้ว่า ได้รักษาศีล และค่อยๆปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร เชื่อว่า ศีล จะทำให้สังคมไทยเกิดปรองดอง สมานฉันท์ สร้างสันติสุขให้แก่ประเทศชาติได้

พระราชพุทธิวราภรณ์ (ประเทือง อาภาธโร) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทย พบว่า ผู้คนขาดศีลธรรมมากขึ้น ตั้งแต่นักการเมือง แม้แต่พระสงฆ์ มีเหตุฆ่ากันอย่างทารุณโหดร้าย หลอกลวงต้มตุ๋น ทุจริตคอรัปชั่น ข่มขืน ทำแท้ง ท้องก่อนวัยอันควร ติดสุรา ยาเสพติด ปรากฏให้เห็นทางสื่อสารมวลชนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การส่งเสริมศีล 5 สู่ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่จะใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคมได้ ซึ่งเมื่อคณะสงฆ์ลพบุรีส่งเสริมศีล 5 อย่างจริงจัง พบว่า ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นมีอัตราลดลง

 :25: :25: :25: :25:

นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ มีหมู่บ้านต้นแบบที่ได้รับการคัดเลือก 11 หมู่บ้าน ดังนี้

รางวัลชนะเลิศหมู่บ้านรักษาศีล 5 ได้แก่ หมู่บ้านทุ่งท่าช้าง อ.สระโบสถ์ รางวัลที่ 2 หมู่บ้านชอนสมบูรณ์ อ.หนองม่วง รางวัลที่ 3 หมู่บ้านยางราก อ.โคกเจริญ รางวัลที่ 4 หมู่บ้านสวนมะเดื่อ อ.พัฒนานิคม รางวัลที่ 5 หมู่บ้านข่อยใต้ อ.เมืองลพบุรี

และรางวัลต้นแบบ 6 รางวัล ได้แก่ หมู่บ้านหนองเมือง อ.บ้านหมี่ หมู่บ้านมอญี่ปุ่น อ.ชัยบาดาล หมู่บ้านคลองเม่า อ.ท่าวุ้ง หมู่บ้านสะพานขาว อ.โคกสำโรง หมู่บ้านซับลำไย อ.ท่าหลวง และหมู่บ้านเขาดินทอง อ.ลำสนธิ ลพบุรี
    นอกจากนี้ยังมีการมอบป้ายให้แก่หน่วยงานรักษาศีล 5 อีกจำนวน 181 ป้ายด้วย

    อย่างไรก็ตามในระยะที่ 2 ปี 2558 จังหวัดจะขยายสู่ตำบลๆละ 1 หมู่บ้าน รวม 121 หมู่บ้าน และระยะที่ 3 ปี 2559 ขยายผลครอบคลุม 1,122 หมู่บ้าน หน่วยงาน สถานศึกษาในพื้นที่ลพบุรีต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/264291/มอบป้าย11+ต้นแบบหมู่บ้านศีล+5ลพบุรี
16763  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิด ม.นาลันทา ปิดร้างมา 800 ปี เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 08:08:25 am


เปิด ม.นาลันทา ปิดร้างมา 800 ปี

มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยเก่าแก่โบราณของอินเดีย กำลังจะเปิดเรียนใหม่ขึ้นอีก หลังจากโดนการรุกรานจากต่างชาติ ต้องปิดร้างไปนานถึง 800 ปี

มหาวิทยาลัยนาลันทา ตั้งอยู่ในแคว้นพิหาร ทางตะวันออกของอินเดีย กษัตริย์ราชวงศ์คุปต์ของอินเดีย ทรงสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 5 กล่าวกันว่าได้รับความนิยมจากทุกแว่นแคว้นไพศาล มีนักปราชญ์และนักคิดจากทั่วโลกมาชุมนุมกันอยู่จำนวนเป็นเรือนพัน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 1736 ถูกกองทัพต่างชาติจากตุรกีบุกทำลายลง

นสพ.ไทม์ ออฟ อินเดีย รายงานว่า มหาวิทยาลัยนาลันทาที่จะเปิดใหม่ จะเปิดขึ้นในพื้นที่กว้างขวางขนาด 443 เอเคอร์อยู่ถัดจากที่เดิมไป 15 กม.



มหาวิทยาลัยนาลันทาตั้งอยู่ทางตะวันออกของอินเดีย


รองอธิการบดี โกปา สุพรรณวาล แจ้งว่า ในระยะแรกนี้ แม้จะมีนักศึกษาจาก 40 ประเทศ จำนวนพันกว่าคนติดต่อมา แต่ยังรับได้แค่ 15 คน ในจำนวนนี้มีมาจากญี่ปุ่น ภูฏานและจากอินเดียเอง แต่จะรับนักศึกษาเพิ่มได้อีกในเดือนกันยายน

รองอธิการบดียังแจ้งว่า งานก่อสร้างต้องล่าช้ากว่ากำหนด เดิมทีกำหนดไว้ในปี พ.ศ.2563 นี้ การเรียนการสอนอาจจะต้องอาศัยศาลาประชาคมท้องถิ่นไปสักพักก่อนตามหลักสูตรกำหนดจะเปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนาและสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยได้รับทุนอุดหนุนจากรัฐบาลอินเดีย และจากชาติที่ประชุมสุดยอดกลุ่มชาติเอเชียตะวันออก 18 ชาติ เช่น จีน สิงคโปร์ และออสเตรเลียด้วย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/447700
16764  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ไมโครซอฟท์ ปิดบริการ MSN 31 ต.ค.นี้ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 12:07:00 pm


ไมโครซอฟท์ ปิดบริการ MSN 31 ต.ค.นี้

ไมโครซอฟท์ เตรียมปิดบริการ"วินโดว์ส ไลฟ์ แมสเซ็นเจอร์" หรือ MSN โดยเริ่มแจ้งเตือนในจีนเป็นที่สุดท้าย เพื่อหันไปใช้บริการสไกป์เต็มตัว ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
 
ไมโครซอฟท์ ประกาศเตรียม ปิดบริการ "วินโดว์ส ไลฟ์ แมสเซ็นเจอร์" หรือ ชื่อเดิมคือ "เอ็มเอสเอ็น แมสเซ็นเจอร์" อย่างเป็นทางการ หลังเปิดให้บริการนานถึง 15 ปี และปัจจุบันมีบริการอื่นๆ ที่ดึงดูดใจผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า  เช่น เฟรนด์สเตอร์ กูเกิล รีดเดอร์ และเฟซบุ๊ค ขณะที่ไมโครซอฟท์ เริ่มแนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งโปรแกรมสไกป์แทนตั้งแต่ ปี 2555
 
แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เริ่มแจ้งเตือนผู้ใช้งานในจีน ที่ยังใช้โปรแกรมวินโดว์ส ไลฟ์ แมสเซ็นเจอร์ ว่า จะปิดบริการถาวร พร้อมแนะนำให้ ผู้ใช้เปลี่ยนไปติดตั้งโปรแกรมสไกป์แทนภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยจะให้เครดิตใช้บริการสไกป์ฟรีสำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำ

         
 :49: :49: :49: :49:

สำหรับบริการวินโดว์ส ไลฟ์ แมสเซ็นเจอร์ หรือเอ็มเอสเอ็น แมสเซ็นเจอร์ เปิดตัวครั้งแรก ปี 2542 และเป็นหนึ่งในโปรแกรมสำหรับสนทนาบนอินเทอร์เน็ตของไมโครซอฟท์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้โปรแกรม "เอโอแอล อินสแตนท์ แมสเซ็นเจอร์" ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ง่าย มีอีโมติคอนแสดงอารมณ์ของผู้ใช้ รวมถึงสัญลักษณ์ที่แสดงสถานะความพร้อมใช้ เช่น ไฟสีเขียวแสดงสถานะออนไลน์ ก่อนจะมีคุณสมบัติเพิ่มเติมออกมาเพิ่มสีสันให้กับการใช้งาน เช่น การส่งข้อความด้วยภาพ, วิดีโอ แชท, เกม และอีโมจิแสดงหน้าต่างๆ และยังได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในโปรแกรมยอดนิยมของอินเทอร์เน็ตยุคไดอัลอัพ
         
จากนั้น เริ่มมีผู้ใช้งานลดจำนวนลงต่อเนื่อง ทำให้ไมโครซอฟท์ ปิดตัวบริการอย่างเป็นทางการ ในยุคที่โซเชียล เน็ตเวิร์ค เริ่มกลายเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารสำคัญบนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะ เฟซบุ๊ค ไลน์ และทวิตเตอร์

         
 :96: :96: :96: :96:

และเมื่อปี 2552 ผู้บริหารระดับสูงของไมโครซอฟท์ เคยกล่าวถึง ความแรงของ โซเชียล เว็บ ในไทยว่า ไม่คิดว่าเอ็มเอสเอ็น จะได้รับผลกระทบ เพราะ ยอดการใช้งานเพิ่มอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความแรงของทั้งทวิตเตอร์ และ เฟซบุ๊ค และคิดว่าเป็นระบบการสื่อสารที่น่าอัศจรรย์ เอ็มเอสเอ็นจึงได้รวบรวมทุกบริการของโซเชียล เว็บ เข้าไว้ในบริการของวินโดว์สไลฟ์ทั้งหมด
 
และไมโครซอฟท์พยายามผลักดัน ให้เอ็มเอสเอ็น กลายเป็นศูนย์รวมโซเชียล เว็บ ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ค และอื่นๆ โดยมีจำนวน ผู้ใช้เอ็มเอสเอ็นต่อเดือนทั่วโลก 330 ล้านคนในช่วงปี 2552 เป็นผู้ใช้ในไทย 7 ล้าน 4 แสนคน มากเป็นอันดับ 8 ของโลกในขณะนั้น


ที่มา http://shows.voicetv.co.th/voice-market/116322.html
16765  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / รู้นะว่ามองอะไรอยู่ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:56:53 am

รู้นะว่ามองอะไรอยู่ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

ในศตวรรษที่ 21 ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่าเป็นยุคแห่งสารสนเทศ ยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไอที ต้องข้องเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตไปเสียเกือบทุกอย่าง คำว่า อีคอมเมิร์ซ ( e-Commerce)

ในศตวรรษที่ 21 ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่าเป็นยุคแห่งสารสนเทศ ยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไอที ต้องข้องเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตไปเสียเกือบทุกอย่าง คำว่า อีคอมเมิร์ซ ( e-Commerce) ตอนนี้กลายเป็นคำที่คุ้นหูและเป็นคำติดปากนักการค้าสมัยใหม่ไปเสียแล้วนะครับ ซึ่งถ้าพูดถึงการโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แล้ว เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลาย ๆ คนคงจะนึกถึงป้ายโฆษณาหรือป้ายแบนเนอร์ (Banner) ที่มักมีแปะอยู่เต็มรอบ ๆ ระหว่างที่เรากำลังอ่านเว็บไซต์ใช่ไหมครับ

แต่คุณผู้อ่านทราบไหมครับ ว่าเทคนิคการใช้แบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์ ที่ดูเป็นเทคนิคพื้นฐาน เห็นกันจนชิน และ ดูปกติธรรมดาเอามาก ๆ สำหรับการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนี้ ปัจจุบันเริ่มจะเสื่อมความนิยมลงแล้ว มีบริษัทหลายแห่งที่ทิ้งรูปแบบการประชาสัมพันธ์ด้วยแบนเนอร์วางบนเว็บไซต์นี้ไปเลย สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเบื่อหรืออะไรหรอกนะครับ แต่เพราะพวกเขาเริ่มตระหนักถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Banner Blindness



ปรากฏการณ์ Banner Blindness พูดง่าย ๆ ก็คือ อาการที่นักท่องอินเทอร์เน็ตเข้าไปดูเว็บไซต์หนึ่ง ๆ โดยมองข้ามแบนเนอร์โฆษณาทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง เรียกว่าไม่ได้แม้แต่จะสังเกตเห็นชื่อร้านค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เขียนอยู่บนแบนเนอร์เหล่านั้นแม้แต่น้อยเลยล่ะครับ สาเหตุของอาการนี้ไม่ใช่เพราะว่าแบนเนอร์เหล่านั้นดีไซน์มาไม่สวยไม่โดนใจผู้เข้าชมเว็บไซต์นะครับ แต่เพราะนักท่องอินเทอร์เน็ตเกิดความ “เคยชิน” กับตำแหน่งของแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์นั้น ๆ ไปเสียแล้วต่างหาก

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านนึกสงสัยบ้างไหมครับ ว่า บรรดาเจ้าของบริษัทและนักประชาสัมพันธ์เขารู้สึกถึงปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร ไปไล่ถามจากนักท่องอินเทอร์เน็ตแต่ละคน หรือ คอยแอบสังเกตเวลาใครกำลังดูเว็บไซต์อยู่หรือเปล่า จริง ๆ วิธีเหล่านั้นก็สามารถทำได้ครับ แต่เดี๋ยวนี้เรามีตัวช่วยเป็นเทคโนโลยี Eye-Tracking หรือ เทคโนโลยีที่ทำให้สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้ลูกตาของคน ๆ หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ที่จุดไหนในภาพอยู่ โดยผลที่ได้จากการวิเคราะห์นี้นอกจากจะสามารถรู้ได้ว่าใครมองอะไรที่จุดไหนในภาพบ้างแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์ต่อได้ด้วยว่า ใครใช้เวลามองมากหรือน้อยในจุดไหน และ ลำดับในการกวาดสายตาของเราเริ่มจากตำแหน่งไหนไปตำแหน่งไหน



จากรายงานในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาของ Business Insider มีการนำเทคโนโลยี Eye-Tracking มาใช้วิเคราะห์การมองภาพของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผลที่ได้ก็น่าสนใจหลายประการเลยครับ ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ที่ผู้เข้ารับการทดลองเอาแต่อ่านเนื้อความหลักของเว็บไซต์โดยไม่สนใจจะมองแบนเนอร์ที่วางอยู่ด้านข้างเลย หรือ ผลในหน้า New Feed ของเฟซบุคที่พบว่า ผู้เข้ารับการทดลองสนใจมองกันแต่ที่รูปภาพมากกว่าที่จะมองส่วนที่เป็นตัวอักษรหรือคำบรรยาย สำหรับในระบบการค้นหาข้อมูลด้วยกูเกิล พบว่ากลุ่มทดลองส่วนใหญ่ให้ความสนใจมองแต่ผลการค้นหาที่ถูกเขียนอยู่ใน 5 อันดับแรกเท่านั้น ส่วนผลในลำดับอื่น ๆ ที่ถัดมานั้นแทบจะไม่ได้รับความสนใจในการมองดูเลย

เห็นไหมครับว่าการดีไซน์ออกแบบและการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แล้ว ต่อให้เอาข้อมูลไปวางไว้อยู่ในทุก ๆ เว็บไซต์ ก็ใช่ว่าคนที่เข้ามาชมจะสนใจมองดูข้อมูลนั้นเสมอไป ถ้าหากว่าสิ่งที่มุ่งหวังจริง ๆ คือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้ชมที่ผ่านไปมาแล้วล่ะก็ ความสวยงามทางศิลปะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียว แต่ปัจจัยทางด้านแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันเองก็ไม่สามารถจะละเลยได้ แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ พร้อมหรือยังที่จะนำศาสตร์แห่งเทคโนโลยีมาประสานเข้ากับศิลป์แห่งการออกแบบ เพื่อทำให้ธุรกิจหรืองานของเราโดดเด่นสะดุดตาไม่แพ้ใครบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ที่เดิมพันด้วยสายตาของชาวไซเบอร์จำนวนนับไม่ถ้วนแห่งนี้ .


ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช
มหาวิทยาลัยรังสิต
chutisant.k@rsu.ac.th   


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.dailynews.co.th/Content/IT/263718/รู้นะว่ามองอะไรอยู่+-+รอบรู้ไอที+รอบโลกเทคโนโลยี
16766  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ทำได้ง่ายๆ วิธีป้องกันรูปใน iCloud ให้พ้นมือแฮกเกอร์ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:49:45 am


ทำได้ง่ายๆ วิธีป้องกันรูปใน iCloud ให้พ้นมือแฮกเกอร์

กรณีภาพหลุดสุดสยิวของบรรดาคนดัง ที่ถูกแฮกเกอร์มือมืดแอบเจาะระบบสำรองข้อมูลออนไลน์ iCloud ไปเผยแพร่ว่อนอินเทอร์เน็ต ไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเสนอวิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลบน iCloud เพื่อผู้ใช้งานไอโฟนและไอแพดทุกคน...

กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก กับกรณีภาพหลุดสุดสยิวของบรรดาคนดังต่างประเทศ และดาราฮอลลีวูด เช่น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถูกแฮกเกอร์มือมืดแอบเจาะระบบสำรองข้อมูลออนไลน์ iCloud (ไอคลาวด์) ที่เป็นบริการเสริมของ แอปเปิล สำหรับผู้ใช้ไอโฟน ขโมยเอารูปภาพสุดสยิวในมุมส่วนตัวที่ถ่ายไว้ดูเล่น โดยคาดว่าจะมีคนดังตกเป็นเหยื่อของการเจาะไอคลาวด์หลายร้อยราย


iCloud ระบบที่น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่วายมีช่องโหว่

คำคามที่คนสงสัยว่า ระบบ iCloud ที่น่าจะปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากที่สุดของแอปเปิล โดนเจาะได้อย่างไร ทำไมแอปเปิลถึงมีระบบความปลอดภัยที่หละหลวม จนแฮกเกอร์สามารถเข้าไปขโมยข้อมูลส่วนตัวของคนดัง และดารานักแสดงชื่อดังออกมาได้ โดยในความเป็นจริง iCloud เป็นระบบที่ดีมาก แต่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ "บรมโง่" และเผยจุดอ่อนของผู้ใช้งานได้ ในเวลาเดียวกัน

ฟังก์ชั่น Photo Stream

แม้แอปเปิลยังไม่มีการแถลงเกี่ยวกับกรณีการรั่วไหลของภาพดังกล่าว จึงยังไม่อาจระบุได้ชัดว่า บริการ iCloud คือ สาเหตุของเรื่องนี้ได้ แต่รายงานล่าสุดของ ZDNet ก็รายงานว่า แอปเปิลได้เร่งอุดช่องโหว่ ที่อาจเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าสู่ระบบได้ รวมถึงการเข้ามาขโมยพาสเวิร์ด ไอคลาวด์ จากบัญชีของบุคคล ที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่จะมารอให้เกิดเรื่องอีกรอบคงไม่ใช่การแก้ไขและป้องกันแน่นอน ไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเสนอวิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลบน iCloud แบบง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน ไอโฟน และ ไอแพด

บนระบบปฏิบัติการ ไอโอเอส (iOS) มีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Photo Stream (โฟโต้สตรีม) ปกติเมื่อถ่ายภาพจากกล้องถ่ายภาพ รูปจะเก็บไว้ที่ Camera Roll แต่ถ้าหากเลือกเปิดโฟโต้สตรีม รูปภาพจะไปอยู่ที่อัลบั้ม My Photo Stream โดยภาพที่อยู่ใน My Photo Stream จะถูกอัพโหลดขึ้นไปบนไอคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ โดยจะเก้บรูปภาพที่ถ่าย 30 วันล่าสุด และสามารถเชื่อมโยงภาพถ่ายจากไอโฟนไปยังไอแพด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ไอแมค และ แมคบุ๊ก รวมทั้งเครื่องพีซีที่ใช้วินโดวส์ได้ ถือเป็นการแบ็กอัพที่ดีในยามที่เราต้องเดินทางไปพักร้อน ก็มั่นใจได้ว่ารูปภาพต่างๆ ที่ถ่ายไว้จะไม่หายไปไหน


อัลบั้ม My Photo Stream จะแบ็กอัพข้อมูลบนไอคลาวด์ สามารถดูรูปได้จากทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมโยง แอปเปิล ไอดี

แล้วคำถามต่อมา เราจะลบภาพออกจาก My Photo Stream อย่างไร

หากเราบังเอิญถ่ายภาพที่ไม่ได้ตั้งใจ ภาพหลุด ภาพที่ไม่น่าดู ถ่ายออกมาไม่สวย แล้วอยากลบภาพใน My Photo Stream ก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ แค่ไปเลือกภาพที่ต้องการลบใน My Photo Stream แล้วกดลบ ภาพก็จะหายไปจาก My Photo Stream และไม่ปรากฏในอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย แต่ถ้าอยากจะให้หายไปทั้งหมด ก็ต้องลบรูปต้นฉบับที่อยู่ใน Camera Roll ด้วย


ผู้คนที่ใช้ไอโฟนถ่ายภาพ

แล้วเราจะป้องกันบัญชี iCloud ของเราอย่างไร

เพราะว่าแฮกเกอร์มักชอบเดาพาสเวิร์ดที่เราใช้งาน แล้วเราก็มักจะเลือกพาสเวิร์ดที่เราจำง่าย หรือเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว ขณะที่บางคนก็มักง่ายตั้งพาสเวิร์ดที่เดาง่าย เช่น 1234567 หรือ Iloveyou เป็นต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้งานควรเลือกพาสเวิร์ดที่แร็งแรง หรือเดายาก มีการผสมกันของตัวเลขและตัวอักษรพิมพ์เล็ก-ใหญ่ หรือเลือกเป็นคำที่เรารู้ของตัวเราเอง เป็นต้น สำหรับวิธีการเปลี่ยนพาสเวิร์ด iCloud หรือ Apple ID ก็มีวิธีง่ายๆ ดังนี้


iCloud สามารถแบ่งปันรูปภาพไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ ไม่ใช่แค่เพียงแบ็กอัพข้อมูล และรายชื่อผู้ติดต่อในเครื่องเท่านั้น

ไปที่หน้า My AppleID คลิกที่ "Manage your Apple ID" เลือก "Password and Security" จากนั้นเลือก "Change Password แล้วใส่พาสเวิร์ดเก่า แล้วตามด้วยพาสเวิร์ดใหม่ที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรพิมพ์เล็ก-ใหญ่ จำนวน 8 ตัว

เมนู iCloud Backup และ My Photo Stream ที่หากเลือกเปิดภาพจากในไอโฟนจะอัพโหลดขึ้นไอคลาวด์แบบอัตโนมัติ

ข้อมูลส่วนตัว อาทิ อีเมล์ วันเดือน ปี เกิด ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวแรก โรงเรียนที่เรียนจบ หรือทีมกีฬาที่ชอบ ไม่จำเป็นอย่าเปิดเผย ให้คนอื่นได้รู้ (ในทางปฏิบัติโชว์หราเต็มเฟซบุ๊ก) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่ควรมีอีเมล์เพียงอันเดียว ควรมีอีเมล์หลายๆ บัญชี ใช้เป็นตัวหลัก ตัวสำรองกรณีไว้กู้คืนข้อมูล และอีเมล์สำหรับติดต่องาน ควรแยกออกจากกันเพื่อความปลอดภัย

ที่สำคัญต้นตอของภาพสุดสยิว หวาดเสียว ทั้งหลายแหล่มาจากพฤติกรรมของตัวผู้ใช้งานแต่ละคนเอง หากรู้ว่าตัวเองถ่ายภาพวาบหวิว ภาพที่อยากเก็บไว้ดูคนเดียว ก็ไม่ควรเปิด My Photo Stream หรือทำ iCloud Backup เด็ดขาด รวมถึงแอพพิเคชั่นคลาวด์สตอเรจ เช่น Dropbox และ Onedrive ก็ไม่ควรเปิดฟังก์ชั่นแบ็กอัพออนไลน์เช่นกัน.


ที่มา : mashable
http://www.thairath.co.th/content/447505
16767  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เที่ยว “เขาค้อ-พิษณุโลก” หน้าฝน ไหว้พระทำบุญ อุ่นกาย สบายใจ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 11:11:00 am

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

เที่ยว “เขาค้อ-พิษณุโลก” หน้าฝน ไหว้พระทำบุญ อุ่นกาย สบายใจ

       หลายคนอาจจะบอกว่าการท่องเที่ยวในหน้าฝนนั้นเปียกแฉะ พอฝนตกทีก็ออกไปไหนไม่ได้ แต่ “ตะลอนเที่ยว” อยากจะบอกว่า หน้าฝนนี่แหละ ที่บรรยากาศรอบตัวจะชุ่มฉ่ำเย็นสบาย โดยเฉพาะการไปเที่ยวตามป่าเขา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูเขียวขจีสบายตา ลมพัดเย็นๆ สบายใจ
       
       อย่างในทริปนี้ที่ได้มาเที่ยวที่ จ.เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก สองจังหวัดที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์สดชื่นมากๆ ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับการท่องเที่ยวของเรา จึงขอเริ่มแวะเที่ยวกันที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ตั้งอยู่ที่ ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์


ภายในมีการประดิษฐานพระพุทธรูปให้สักการะ

       “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เป็นวัดที่มีความสวยงามและตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างที่เขียวชอุ่มได้เป็นอย่างดี วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ในนาม พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว ต่อมาในปี 2553 ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัดในชื่อ “วัดพระธาตุผาแก้ว” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งเดิมนั้นชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”
       
       จุดเด่นอันแตกต่างของวัดก็คือ การตกแต่งในจุดต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็น ผนัง เสา หรือแม้กระทั่งพื้น ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องและลูกแก้ว ที่ไม่ว่าจะมองไปยังจุดไหนของวัดก็จะมองเห็นอย่างสะดุดตา เมื่อกระทบกับแสงแดดแล้วช่างระยิบระยับสวยงามจริงๆ สมกับเป็นการตกแต่งที่ไม่เหมือนที่ไหนจริงๆ


มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

       หากมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังจะเห็นความสวยงามโดดเด่นของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขา มีสีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ที่ขับให้ตัววัดดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
       
       สิ่งที่ถือเป็นหัวใจของวัดแห่งนี้ก็คือ "เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของวัด ด้วยรูปทรงที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ ด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ในระยะไกล บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนภายในเจดีย์ก็แบ่งเป็นชั้นต่างๆ โดยจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ให้สักการะกันด้วย
       
       ด้านสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ภายในวัดก็มี ศาลาปฏิบัติธรรม (ศาลาพระหยกเขียว), พระพุทธเลิศรัตนโชติมณี, พระพุทธรัตนสัมฤทธิ์ผล ฯลฯ และขณะนี้ก็มีการก่อสร้าง “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ และเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม


พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก

       นอกจากที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่มีความงดงามแล้ว ในพื้นที่เขาค้อก็ยังมีพระเจดีย์อีกแห่งที่มีความงดงามมากเช่นกัน นั่นคือ “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ที่ผนังของฐานด้านล่าง เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ซึ่งมีการใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ฐานชั้นบน มีผนังเป็น 8 เหลี่ยม เป็นลักษณะที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยทวารวดี บริเวณเหนือซุ้มคูหา ตอนบนขององค์เจดีย์ เป็นกลีบบัวรับองค์ ระฆังทรงกลม แบบสมัยอยุธยา ถัดขึ้นไปตอนบนเป็นบัลลังก์รับบัวกลุ่ม 5 ชั้น ทางคติมีความหมายถึงพระเจ้า 5 พระองค์

ไหว้พระด้วยการจุดเทียนปักไว้ในจาน

       ภายในเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ให้ประชาชนได้เข้าไปสักการบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งที่นี่จะไม่มีการจุดธูป แต่จะจุดเทียนเพื่อการบูชาพระพุทธรูปและพระสารีริกธาตุ โดยจะจุดเทียนปักไว้ในจาน รอบๆ ฐานด้านในขององค์เจดีย์

ตีระฆังอธิษฐาน

       บริเวณรอบๆ พระบรมธาตุเจดีย์นั้นร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ช่วยเสริมสร้างความสดชื่นให้กับอากาศที่สามารถสูดเข้าไปได้อย่างเต็มปอด ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่บ้าง หรือจะเดินออกไปด้านข้างก็มีระฆังเรียงรายเป็นแถวยาว ใครอยากจะเดินไล่ตีระฆังไปจนสุดทางก็ได้ เชื่อกันว่า หากได้เดินตีระฆังจนครบทุกใบแล้ว ก็จะสมประสงค์ตามที่อธิษฐานไว้

แวะพักผ่อนที่ Route 12

       ไหว้พระทำบุญกันไป 2 แห่งแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ขอแวะพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อย มากันที่ “Route 12” ที่ตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 12 ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดแวะพักริมทาง ที่นี่มีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก โดยตกแต่งในสไตล์ตะวันตก เมื่อเข้ามาเดินเล่นแล้วก็รู้สึกเหมือนกับหลงอยู่ในดินแดนคาวบอยเลยทีเดียว

สัญลักษณ์ที่เห็นได้โดดเด่นของ Route 12

       Route 12 นับเป็นแหล่งรวมพลของคนที่ชมชอบการถ่ายรูป เพราะมีมุมดีๆ ให้ส่องผ่านเลนส์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามร้านค้าต่างๆ ทิวทัศน์โดยรอบที่เขียวขจี สวนดอกไม้เล็กๆ และกลุ่มมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หลากหลายประเภทที่มักจะแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอ ใครที่จะแวะมาที่นี่ ขอแนะนำว่าให้เผื่อเวลาสำหรับการเดินเที่ยวเล่นเสียหน่อย เพราะอาจจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแบบไม่รู้ตัว

ล่องแก่งในลำน้ำเข็กสุดมันส์

       พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ยังมุ่งหน้าต่อไปบนถนนสาย 12 ผ่านเข้าสู่เขต จ.พิษณุโลก แวะทำกิจกรรมผจญภัยกันเล็กน้อยที่ อ.วังทอง ซึ่งกิจกรรมนี้ต้องเตรียมตัวเปียกกันเสียหน่อย เพราะเราจะไปล่องแก่งในลำน้ำเข็กกัน
       
       “ลำน้ำเข็ก” กำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขต อ.เขาค้อ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จากนั้นไหลผ่าน อ.วังทอง จึงถูกเปลี่ยนเป็นชื่อแม่น้ำวังทอง แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านที่ อ.บางกระทุ่ม ลำน้ำเข็กสามารถใช้เรือยางมาล่องแก่งได้อย่างสนุกสนานตลอดเส้นทาง ตั้งแต่บ้านปากยาง ใน อ.วังทอง ไปจนกระทั่งถึงน้ำตกแก่งซอง รวมระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ระหว่างเส้นทางในลำน้ำเข็กจะมีแก่งต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ไล่ระดับความยากตั้งแต่ระดับ 1-5


สักการะพระพุทธชินราช

       ในส่วนของการเดินทางมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กแห่งนี้ก็มีความสะดวกสบาย เนื่องจากลำน้ำจะอยู่ใกล้ถนน เมื่อลงจากรถก็สามารถมาขึ้นแพยางได้เลย หรือเมื่อล่องแก่งเสร็จแล้ว ก็สามารถขึ้นจากแพยางแล้วมาขึ้นรถต่อได้ทันที ไม่ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้าไปเหมือนลำน้ำอื่นๆ
       
       หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เตรียมอุปกรณ์ ใส่เสื้อชูชีพ เตรียมไม้พาย และฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่จะพาล่องแก่ง ก็ได้เวลาลงไปล่องลอยในสายน้ำ ความสนุกสนานของการล่องแก่งอยู่ที่การต่อสู้กับความแรงของสายน้ำ ประคับประคองเรือให้ลอยอยู่ได้โดยไม่คว่ำไปเสียก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดที่ได้ยินตลอดทางบอกได้ถึงความสนุกสนานเร้าใจ ซึ่งหากใครที่อยากสนุกแบบนี้ สามารถมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กได้เฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่กระแสน้ำมีความเหมาะสมมากที่สุด


พระพุทธชินสีห์องค์จำลอง

       ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกกันเต็มที่แล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินทางต่อไปยังตัวเมืองพิษณุโลก ซึ่งเมื่อมาถึงตัวเมืองแล้วก็ต้องแวะไปสักการะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของที่นี่ ซึ่งก็คือ “พระพุทธชินราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่”
       
       วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” ซึ่งถือกันว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย องค์พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย โดยในคราวเดียวกันนี้ ก็สร้าง “พระพุทธชินสีห์” และ “พระศรีศาสดา” ขึ้นพร้อมกัน
       
       ปัจจุบัน พระพุทธชินราชยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ทางวัดจึงสร้างองค์จำลองขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ที่พิษณุโลก


พระศรีศาสดาองค์จำลอง

       สำหรับคนที่เข้ามายังวัดแห่งนี้ ก็ต้องมุ่งหน้าตรงเข้าไปสักการะพระพุทธชินราชก่อนเป็นอันดับแรก แต่ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็ยังมีพระพุทธรูปองค์สำคัญอีกหลายองค์ อย่างเช่น พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา องค์จำลอง ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารด้านซ้ายและขวาขององค์พระพุทธชินราช
       
       “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ใกล้กับวิหารพระศรีศาสดา ถือเป็นพระพุทธรูปอีกปางที่หายากในประเทศไทย เชื่อกันว่าหากต้องการผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ให้กราบที่หีบศพและอธิษฐานก็จะได้สิ่งที่หวัง


สักการะ “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน”

       ส่วนด้านหน้าทางเข้าวิหารหลวงนั้นก็ยังมี “หลวงพ่อเหลือ” ที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา เนื่องจากทองสัมฤทธิ์ที่ใช้หล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นยังเหลืออยู่ จึงนำมาหล่อพระอีกหนึ่งองค์ ทำให้ชื่อว่าพระเหลือ และทองที่เหลือก็ยังสามารถหล่อพระสาวกได้อีกสององค์ ยืนอยู่ด้านหน้าองค์หลวงพ่อเหลือ เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้ตามชื่อของท่าน
       
       ที่ด้านหลังของพระวิหารจะมองเห็น “พระอัฎฐารส” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ สร้างขึ้นในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ เรียกว่า เนินวิหารเก้าห้อง


เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้

       สักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแล้ว หากมีเวลา อย่าลืมมาเดินเล่นที่ด้านหน้าของวัด บริเวณริมแม่น้ำน่าน นั่งเล่นรับลมเย็นๆ ให้สบายตัว ก่อนจะกลับเข้าไปซื้อของฝากกลับบ้านไปฝากพ่อแม่พี่น้อง
       
       มาเที่ยวต่างจังหวัดในหน้าฝนแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนแตกต่างจากหน้าอื่นก็คือ ความเขียวชอุ่มชุ่มชื้นของบรรยากาศรอบๆ ยิ่งในบริเวณที่มีภูเขา ช่วงหลังฝนตกใหม่ๆ อากาศก็ยิ่งสดชื่น หรือในช่วงเช้าวันไหนที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ก็จะเห็นสายหมอกลอยเอื่อยๆ เห็นภาพที่เห็นแล้วสบายตาสบายใจมากๆ


ลานพระยืนใน“วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร”
       
       สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (ดูแลพื้นที่พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000100646
16768  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ วิถีประเพณีอีสานใต้ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:59:17 am


ร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ วิถีประเพณีอีสานใต้ สุรินทร์-ศรีสะเกษ

จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนในพื้นที่ และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนนักท่องเที่ยวร่วมงานบุญ “แซนโฎนตา” สืบศรัทธาสารทเดือนสิบ ประเพณีอีสานใต้ ด้วยประชากรที่อาศัยในพื้นที่ของ จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และจ.ศรีสะเกษ ของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา ส่วนใหญ่จึงเป็นชาวไทยเชื้อสายเขมรมีขนบธรรมเนียมประเพณีอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่าง “ประเพณีแซนโฎนตา” ที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีคุณ หรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พร้อมใจกันทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งยังเป็นกุศโลบายแฝงของบรรพชน ที่ต้องการให้ญาติพี่น้องในต่างถิ่นได้เดินทางกลับมาพบเจอกัน สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น ในภายภาคหน้าต่อไป
       
จังหวัดศรีสะเกษ จึงกำหนดจัดงาน “รำลึกพระยาไกรภักดี ประเพณีแซนโฎนตา บูชาหลักเมือง ลือเลื่องกล้วยแสนหวี” ประจำปี 2557 ระหว่างวันที่ 18 - 19 กันยายน 2557 ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ชมและร่วมพิธีเซ่นไหว้ศาลหลักเมือง/ศาลพระภูมิ พิธีอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษ รับเครื่องเซ่นไหว้พร้อมอัญเชิญกลับสู่ภพภูมิ ขบวนแห่สำรับเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษสุดยิ่งใหญ่อลังการทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้นานาชนิด (ในวันที่ 19 กันยายน 2557 เวลา 11.00 น.) การสาธิตการทำข้าวต้มรูปแบบต่างๆ การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดกล้วยงามเมืองขุขันธ์ การจำหน่ายกล้วยน้ำว้าคุณภาพรวมถึงกล้วยพันธุ์ต่างๆ จากทุกอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ



จังหวัดสุรินทร์ จึงกำหนดจัดงาน “ประเพณีแซนโฎนตาบูชาบรรพบุรุษ” ประจำปี 2557 ในวันที่ 19 กันยายน 2557 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ชมขบวนแห่เครื่อง จูนโฎนตา ที่ยิ่งใหญ่งดงาม สำรับอาหารคาว หวานของสดและผลไม้ สำหรับไหว้ผู้อาวุโสในครอบครัว) ขบวนแห่เครื่องแซนโฎนตา สำรับอาหารคาวหวาน ขนม ข้าวต้มมัด กระยาสารท ฯลฯ การประกอบพิธีแซนโฎนตา บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง การแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ เจรียง ลิเก กันตรึม และกิจกรรมสาธิตการทำขนมพื้นเมืองสุรินทร์
       
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ปกครองอำเภอขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โทร.0-4567-1004, เทศบาลเมืองขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โทร.0-4567-1022, กองการศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ โทร.0-4451-4524, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ โทร.0-4451-4447 - 8


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000101129
16769  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:53:54 am

อภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ

องค์การเภสัชกรรม ต่อยอดงานวิจัยสารสกัด "สมุนไพรพรมมิ" พัฒนาเป็นอาหารเสริม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง บำรุงสมองและความจำ...

นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่าองค์การฯ ได้นำผลงานวิจัย "พรมมิ สมุนไพรบำรุงความจำ" ซึ่งมี รศ.ดร.กรกนก อิงคนินันท์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นหัวหน้าคณะวิจัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ทำการศึกษาวิจัย สารสกัดสมุนไพรพรมมิ ที่ผลิตในรูปแบบเม็ดมาอย่างต่อเนื่องจนมีผลการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือ ได้นำมาต่อยอดพัฒนากระบวนผลิตในระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจรตั้งแต่การปลูกวัตถุดิบ การสกัดเพื่อให้ได้สารสำคัญด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน

รวมทั้งการผลิตภายใต้มาตรฐาน GMP จนได้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดสมุนไพร "พรมมิ บำรุงความจำ" ในรูปแบบเม็ด ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง บำรุงสมองและความจำ ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในการดำเนินชีวิตในโลกสังคมข้อมูลข่าวสาร


อภ.ผุดแคปซูลสมุนไพร 'พรมมิ' บำรุงสมองช่วยจำ

นพ.สุวัช กล่าวว่า ผลงานวิจัยของ รศ.ดร. กรกนก ที่ได้ศึกษาไว้ ได้มีวิจัยและทดสอบอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ อาทิ มีการทดสอบเภสัชวิทยาและพิษวิทยา การทดสอบทางเภสัชวิทยาต่อการเรียนรู้ และความจำในสัตว์ทดลอง พบว่า พรมมิสามารถป้องกันการสูญเสียความจำได้ และสามารถป้องกันการสูญเสียความจำในหนูที่ถูกชักนำให้เกิดภาวะความจำเสื่อม อีกทั้งผลการศึกษาทางพิษวิทยา (พิษเฉียบพลัน) พบว่าไม่มีหนูตายภายหลัง 2 สัปดาห์ ซึ่งบ่งบอกถึงความปลอดภัยของสารสกัดพรมมิ

และผลการศึกษาพิษกึ่งเรื้อรังพบว่าไม่พบความผิดปกติเกิดขึ้นกับสัตว์ทดลอง การศึกษาทางพยาธิ กายวิภาค และจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะ สมอง ตับ ไต และหัวใจของหนูทั้งหมดไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุม ส่วนการศึกษาพิษเรื้อรังพบว่าสารสกัดพรมมิไม่ได้ก่อให้เกิดพิษเรื้อรัง

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดพรมมิยังได้มีการศึกษาทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี อายุมากกว่า 55 ปี จำนวน 60 คน โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาหลอก กับกลุ่มที่ได้รับสารสกัดพรมมิ ขนาด 300 และ 600 มิลลิกรัมต่อวัน ในระยะเวลา 3 เดือน พบว่า

สารสกัดพรมมิมีศักยภาพในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีผลเพิ่มสมรรถภาพทางกาย เพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว เพิ่มสมรรถภาพด้านจิตใจ ทำให้เพิ่มการตื่นตัวต่อสิ่งเร้า มีสมาธิเพิ่มขึ้น คลายความซึมเศร้า เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำได้ดีขึ้น จากการศึกษาไม่พบความเป็นพิษและภาวะข้างเคียง


สมุนไพร 'พรมมิ'

สมุนไพรพรมมิ (Brahmi) เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ขึ้นในที่น้ำชุ่ม มีดอกสีขาวหรือม่วงอ่อน มีบันทึกในคัมภีร์อายุรเวท ของอินเดีย เมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน มีสรรพคุณเด่นในด้านการบำรุงสมอง เพิ่มความจำ เพิ่มความสงบ ทำให้อ่อนวัย รวมถึงเป็นยาในตำรับอายุวัฒนะ ในประเทศไทยมีการรับประทานพรมมิเป็นอาหาร โดยใช้เป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกและตำราสมุนไพรแผนโบราณใช้พรมมิ ในรูปแบบวัตถุดิบ พรมมิผสมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ยาเขียว

"ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดสมุนไพรพรมมิบำรุงความจำที่นำผลงานวิจัยมาต่อยอดผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในระดับอุตสาหกรรมนี้เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอย่างกว้างขวาง สมุนไพรพรมมิซึ่งเป็นสมุนไพรที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทย ถือเป็นการลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบอีกด้วย" นพ.สุวัชกล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/447617
16770  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบสานประเพณีทรงคุณค่า ในงาน “ลอยเรือสะเดาะเคราะห์ชาวมอญ” สังขละบุรี เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:49:33 am

สืบสานประเพณีทรงคุณค่า ในงาน “ลอยเรือสะเดาะเคราะห์ชาวมอญ” สังขละบุรี

 ททท.กาญจนบุรี ชวนร่วมสืบสานประเพณีดั้งเดิมของชุมชนชาวไทยเชื้อสายมอญ อ.สังขละบุรี ชมและศึกษาความเชื่อเรื่องการบูชาเทวดา การต่อเรือจากลำไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ร่วมสะเดาะเคราะห์เพื่อต่ออายุ และจุดเทียนอธิษฐานเพื่อขอให้สิ่งไม่ดีหลุดพ้นไปจากชีวิตตน ร่วมปล่อยโคมลอยขนาดใหญ่ พร้อมชมขบวนแห่ในพิธีลากเรือไปปล่อยกลางแม่น้ำบริเวณ “สามสบ” ในงานประเพณีบุญเดือนสิบ “ลอยเรือสะเดาะห์เคราะห์” ของชุมชนมอญอำเภอสังขละบุรี ในวันที่ 7 - 9 กันยายน 2557 ณบริเวณลานหน้าเจดีย์พุทธคยา วัดวังก์วิเวการาม ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
       
ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ชาวไทยรามัญ อำเภอสังขละบุรี กำหนดจัดในวันขึ้น 14 - 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบูชาเทวดาที่อยู่ในน้ำ ในป่า และบนบก อีกทั้งเป็นการสืบสานประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชน ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ให้แก่ชุมชน ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ โดยประเพณีดังกล่าวมีกิจกรรมที่น่าสนใจ

อาทิ การเจริญพระพุทธมนต์โดยพระสงฆ์ การบูชาเรือ โดยนำธงกระดาษ และอาหารคาวหวาน 9 อย่าง ไปบูชาเรือ การสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ โดยการนำธูปเทียน ตามกำลังวันเกิดไปไหว้และสะเดาะเคราะห์เพื่อจะมีการเผาธูปเทียนในวันสุดท้ายของงาน การเล่นโคม ปล่อยโคม การตักบาตรน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง การเลี้ยงอาหารคาวหวานแก่ผู้มาร่วมงาน การนำเรือไปลอยในแม่น้ำ บริเวณที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน


        :96: :96: :96: :96:

สำหรับพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ของชาวมอญที่ยังทำกันอยู่มีการเตรียมงานดังนี้ ก่อนวันพิธี ชาวบ้านจะร่วมมือร่วมใจกันเตรียมทำธง ร่ม และจัดเครื่องบูชาต่างๆ เพื่อถวายวัด โดยมีการแบ่งงานให้หัวหน้าคุ้มต่างๆ รับไปให้ลูกบ้านช่วยทำ แล้วนำมาส่งที่วัด ผู้ชายส่วนหนึ่งจะมารวมกันที่วัดวังก์วิเวการาม เพื่อร่วมกันสร้างเรือจากลำไม้ไผ่ ประดับตกแต่งด้วยกระดาษสี ในยามหัวค่ำ
       
จนถึงเช้ามืดของวันขึ้น 15 ค่ำ ชาวบ้านต่างทยอยพากันนำธง ตุง ร่มกระดาษ มาประดับตกแต่งเรือ และบริเวณปะรำพิธีอย่างเนืองแน่น พร้อมนำเครื่องเซ่น เช่น กล้วย อ้อย ขนม ข้าว ดอกไม้ ไปวางไว้ในลำเรือ จุดเทียนอธิษฐานให้สิ่งไม่ดี และเคราะห์ร้ายต่างๆ ไปให้พ้นจากชีวิตตน จากนั้นรับฟังบทสวดอิติปิโส 108 จบ และบทสวดสะเดาะเคราะห์จากภิกษุสงฆ์ และเมื่อถึงเช้าวันแรม 1 ค่ำ ชาวบ้านทั้งหมดก็จะมารวมตัวกันตั้งขบวนแห่ มีการละเล่นร้องรำประกอบดนตรี และการปล่อยโคมลอยขนาดใหญ่ จากนั้นชาวบ้านทั้งหมดจะช่วยกันลากเรือไปปล่อยกลางน้ำ

       

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000101149
16771  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิจัยเผย.!! อาหารขยะ อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:45:49 am


วิจัยเผย.!! อาหารขยะ อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง

การศึกษาที่ออสเตรเลีย พบว่าอาหารขยะ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะลดโอกาสที่ร่างกายจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ และทำลายระบบควบคุมตัวเอง ซึ่งได้มีการทดลองกับหนู โดยการป้อนอาหารจำพวกพาย , คุกกี้ และเค้ก เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ปรากฏว่าหนูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 10% จากเดิม แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับพฤติกรรมของหนูที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะมันไม่สนใจอาหารตามธรรมชาติหรืออาหารที่ควรทาน

นักวิจัยจึงได้สรุปว่า อาหารขยะ ทำให้สมองของหนูเกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการตัดสินใจ

ศาสตราจารย์มาร์กาเรต มอร์ริส มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบครั้งนี้ คือถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในมนุษย์ อาหารขยะอาจส่งถึงผลการตอบสนองต่ออาหารแต่ละประเภท


ขอบคุณภาพข่าวจาก
men.sanook.com/3717/วิจัยเผย-อาหารขยะ-อาจทำลายระบบควบคุมตัวเอง/
16772  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อย วัดป่ามณีกาญจน์ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:42:00 am



น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อย วัดป่ามณีกาญจน์

เชื่อว่าใครที่ได้ชมคลิปน้องกรณ์ ลูกศิษย์วัดตัวน้อย ที่นั่งสัปหงก ในศาลาการเปรียญ คงอดยิ้มไม่ได้แน่นอน

สำหรับเด็กน้อยที่นั่งสัปหงก อยู่คลิปวีดีโอที่ได้ชมกันนั้น มีชื่อว่าน้องกรณ์ เด็กชายจิรกรณ์ เสือแผ้ว อายุ 1 ปี 9 เดือน โดยสาเหตุที่น้องกรณ์นั่งสปหงก ก็คงเป็นเพราะว่าน้องง่วงหลังจากที่กลับมาจากการทำหน้าที่เด็กวัดช่วยพระสงฆ์ ที่วัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ออกบิณฑบาต นั่นเอง โดยทุกๆ เช้าน้องกรณ์จะเดินตามพระบิณฑบาต ที่ตลาดบางคูลัด โดยต้องตื่นตั้งแต่ 05.30 น. น้องกรณ์จะเดินนำหน้าพระเพื่อรับของที่ญาติโยมนำมาใส่บาตร ทุกครั้งที่มีคนใส่บาตรน้องจะยกมือไหว้ทุกครั้ง ระยะทางที่น้องกรณ์ต้องเดินรอบตลาดประมาณครึ่งกิโลเมตร

คุณแม่วริษฐา เสือแผ้ว อายุ 39 ปี เล่าว่าตนได้พาน้องเข้าวัดตั้งแต่อายุได้ประมาณ 3 เดือน โดยพาน้องกรณ์ไปวัดเกือบทุกวัน น้องกรณ์จึงได้รับการปลูกฝังให้ใกล้ชิดกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การใส่บาตรตอนเช้าซึ่งน้องก็ต้องตื่นแต่เช้า การล้างจาน การเดินตามพระบิณฑบาต และครอบครัวได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ในวัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ช่วยกันให้น้องได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างดี ทำให้น้องเริ่มคุ้นเคยกับกิจของสงฆ์ เข้าร่วมการทำวัตร กราบไหว้ครูบาอาจารย์ และกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้อาหารสัตว์เพื่อลด ละ ความเห็นแก่ตัว รู้จักเมตตาต่อสรรพสัตว์ ฯลฯ

ในส่วนอนาคตคุณแม่ก็จะพาน้องกรณ์ไปวัดเรื่อยๆ โดยถ้าอนาคตน้องกรณ์ต้องการจะบวชคุณแม่ก็ยินดี สำหรับเพื่อนๆ sanook!campus คนไหนชื่นชอบน้องกรณ์สามารถติดตามน้องกรณ์ได้ในแฟนเพจ facebook.com/nongkornfanpage ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามน้องกรณ์แล้วราว 4 แสนคน โดยในแฟนเพจก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและรูปภาพน่ารักๆ ของน้องกรณ์ให้แฟนๆ ได้ชื่นชมกัน

สำหรับน้องกรณ์ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ในวัดและจะสนุกกับการที่ได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ร้องไห้ งอแง เหมือนเด็กวัยเดียวกัน จนกลายเป็นขวัญใจของหลายๆคน



น้องกร

ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก : มติชน
ขอขอบคุณคลิปสัมภาษณ์จาก : รายการตื่นมาคุย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : facebook.com/nongkornfanpage
__________________________________________________________


คุณแม่และน้องกรณ์ รายการตื่นมาคุย
น้องกร ลูกศิษย์วัดตัวน้อยที่ดังมาก ในโลก Social น่ารักมากๆ จากคลิป " ง่วงก็ไปนอนเถอะลูก "  น้องได้มาคุยกับ "ตื่นมาคุย" เช้านี้ ไปชมกันเลยครับ!!





ขอบคุณภาพข่าวจาก
campus.sanook.com/1373393/น้องกร-ลูกศิษย์วัดตัวน้อย-วัดป่ามณีกาญจน์/
16773  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดซึ้ง! แมวฮีโร่ช่วยเจ้าของรอดตายจากไฟไหม้บ้าน เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 10:35:21 am


สุดซึ้ง! แมวฮีโร่ช่วยเจ้าของรอดตายจากไฟไหม้บ้าน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า แมวเหมียวแซลลี่ ได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ หลังจากที่ช่วยให้ นายเครจ จีฟส์ ชายวัย 49 ปี เจ้านายของมัน รอดชีวิตจากเหตุไฟไหม้บ้านในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

โดยระหว่างเกิดเหตุไฟไหม้นายจีฟส์ กำลังนอนหลับอยู่ แต่เขาก็ต้องตกใจตื่นเมื่อแซลลี่กระโดดขึ้นบนศีรษะของเขา พร้อมกับส่งเสียงคล้ายกรีดร้องเพื่อให้เขารู้สึกตัว เมื่อตั้งสติได้เขาก็รีบวิ่งหนีออกจากบ้านที่ไฟกำลังลุกโชน

เจ้าหน้าที่ดับเพลิง บอกว่า นายจีฟส์ โชคดีมากที่หนีออกจากกองเพลิงได้ทันท่วงที ขณะที่ นายจีฟส์ ต้องอาศัยกับเพื่อนบ้านจนกว่าจะซ่อมบ้านเสร็จ ซึ่งนายจีฟส์ ได้รับเจ้าแซลลี่มาจากสถานดูแลแมวจรจัดเพื่อหาบ้าน ซึ่งจีฟส์ถือว่าเจ้าแซลลี่คงได้ตอบแทนบุญคุณเขาในการช่วยให้รอดตายในครั้งนี้



ขอบคุณภาพข่าวจาก
ch3.sanook.com/31999/แมวฮีโรช่วยเตือนเหตุไฟ
16774  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทหารช่างผนึกกำลังวัดชาวบ้าน...ซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 08:21:49 am


ทหารช่างผนึกกำลังวัดชาวบ้าน...ซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์

ภายหลังจากจังหวัดกาญจนบุรีได้ทำสัญญาว่าจ้าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ให้ซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานไม้ (สะพานมอญ) สะพานข้ามแม่น้ำซองกาเลีย เชื่อมระหว่างบ้านวังกะ หมู่ 2 กับหมู่ 3 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่ถูกกระแสน้ำป่าพัดถล่มลงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 โดยผู้รับจ้างลงมือซ่อมแซมเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557 และสัญญาสิ้นสุดวันที่ 6 สิงหาคม 2557 รวมระยะเวลา 120 วัน วงเงินค่าจ้าง 16,347,000 บาท

แต่บริษัทไม่สามารถซ่อมบูรณะให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาว อ.สังขละบุรี และชาว จ.กาญจนบุรี เป็นอย่างมาก ได้รวมตัวเรียกร้องให้จังหวัดยกเลิกสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ โดยขอให้วัดวังก์วิเวการาม และชาวบ้านในพื้นที่ ช่วยกันซ่อมบูรณะสะพานตามภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีศรัทธาต่อพระราชอุดมมงคล หรือหลวงพ่ออุตตมะ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม

เมื่อความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับบริษัทผู้รับจ้างเริ่มขยายวงกว้างขึ้น พล.ต.ไพโรจน์ ทองมาเอง ผบ.พล.ร.9 ค่ายสุรสีห์ ได้เดินทางมาไกล่เกลี่ย เพื่อไม่เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2557 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเปิดเวทีแสดงความเห็นที่เชิงสะพานฝั่งบ้านวังกะและเห็นพร้อมกันว่า จะให้โอกาสบริษัทผู้รับเหมาซ่อมบูรณะสะพานมอญดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 30 วัน โดยนับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม-10 กันยายน 2557 ขณะนี้เหลือเวลา 7 วัน แต่การซ่อมแซมคืบหน้าไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น


          ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

จากนั้นวันที่ 31 สิงหาคม พล.ต.ไพโรจน์ พร้อมทหารชั้นผู้ใหญ่จากกองพลทหารราบที่ 9 พร้อมด้วยทหารช่างได้เดินทางมาที่วัดวังก์วิเวการาม เพื่อนมัสการพระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม และหาแนวทางการซ่อมบูรณะสะพานไม้ ก่อนที่พล.ต.ไพโรจน์และคณะจะเดินทางไปที่สะพานอุตตมานุสรณ์ ฝั่งหมู่ 2 บ้านวังกะ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ประชุมแก้ปัญหาสะพานมอญที่ชำรุดเสียหาย ที่ขณะนี้ยังซ่อมบูรณะไม่เสร็จว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งความเป็นมาทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าสะพานได้รับความเสียหายไปมาก

และขณะนี้ทางจังหวัดกาญจนบุรีทำสัญญาว่าจ้างบริษัทรับเหมาเพื่อซ่อมบูรณะสะพาน แต่ยังมีอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ฝนตกหนัก น้ำไหลหลาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการซ่อมสะพานและมีเรื่องไม้ ที่ไม่ให้นำไม้ผิดกฎหมายมาซ่อมบูรณะ ฉะนั้นไม้ที่นำมาซ่อมต้องซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและบริษัทได้นำไม้จากภาคอีสาน ซึ่งอยู่ห่างไกล จึงเป็นอุปสรรคด้านการขนส่งไม้ ประกอบกับผู้รับเหมาเคยรับปากไว้ แต่ไม่สามารถทำตามที่รับปากไว้ได้ในระยะเวลาของสัญญา
 
ที่ผ่านมาให้โอกาสบริษัทผู้รับจ้างดำเนินการซ่อมสะพานให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน คือ จากวันที่ 10 สิงหาคม-10 กันยายน 2557 แต่จากการเข้าตรวจสอบพบว่าการก่อสร้างในห้วงระยะเวลาที่ให้โอกาสไม่เรียบร้อยนัก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คณะกรรมการของจังหวัด ซึ่งสอบถามไปแล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า เห็นควรให้บริษัทผู้รับเหมายุติการก่อสร้าง จึงทำให้เกิดสุญญากาศขึ้น และสะพานก็ยังไม่เสร็จ

 

พล.ต.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ทหารได้รับการขอร้องจากหลายฝ่ายให้เข้าช่วยซ่อมบูรณะสะพาน ฉะนั้นการที่ทหารลงมาช่วยชาวบ้านก็มาจากความบริสุทธิ์ใจที่อยากให้สะพานซ่อมบูรณะได้สำเร็จ ที่สำคัญต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย ถ้าจังหวัดยุติสัญญาการว่าจ้างแต่สะพานยังสร้างไม่เสร็จในช่วงต้นกันยายนนี้ ทหารจะลงมาทำเองทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้รับบริจาคแม้แต่บาทเดียว ซึ่งทหารจะสำรวจว่าไม้เก่าที่มีอยู่มีเท่าไหร่และไม้ที่วัดมีนั้นมีเท่าไหร่

จากการคำนวณคร่าวๆ คิดว่าทหารทำได้แน่นอน โดยใช้กองพันทหารช่างที่มีวิศวกรอยู่มาก เชื่อว่าทหารทำได้ดี แต่ต้องรอให้จังหวัดยกเลิกสัญญาว่าจ้างบริษัทผู้รับเหมาก่อน เชื่อว่าจะมีการยกเลิกสัญญาก่อนวันที่ 10 กันยายน 2557 แต่ถ้ามีการฟ้องร้องก็เป็นเรื่องระหว่างบริษัทผู้รับเหมากับทางจังหวัด
 
ในขั้นต้นได้รับความร่วมมือจากเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ชาวบ้าน และผู้นำชุมชนในพื้นที่เป็นอย่างดี คาดว่าการซ่อมบูรณะสะพานคงแล้วเสร็จโดยเร็วและไม่มีความขัดแย้งจากทุกฝ่าย ทหารไม่ต้องการไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าว่าเป็นเพราะคนโน้นคนนี้ เป้าหมายทหารคือ ร่วมเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะสะพานนี้เป็นสะพานที่สำคัญ เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นสัญลักษณ์ จ.กาญจนบุรี ทุกปีมีนักท่องเที่ยวมาชมจำนวนมาก

ขอยืนยันว่า สะพานแห่งนี้ต้องเสร็จภายในกันยายนนี้ และคงอัตลักษณ์เดิมเอาไว้ ชาวบ้านพื้นที่จะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการร่วมกับทหารซ่อมบูรณะสะพานขึ้นใหม่ หลังซ่อมบูรณะสะพานแห่งนี้แล้วเสร็จคนที่ดูแลสะพานต่อไปคือชาวบ้านในพื้นที่ที่ต้องมามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น หากมีจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมเชื่อว่าทุกฝ่ายยินดีต้อนรับ

 
           :96: :96: :96: :96: :96:

พล.ต.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า งบประมาณการซ่อมบูรณะครั้งนี้ ทั้งค่าน้ำมัน เครื่องจักร ทหารเป็นผู้ออกเอง คาดว่าไม่เกิน 5 ล้านบาท จากการพูดคุยกับเจ้าอาวาสก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ เพราะทางวัดมีเงินอยู่บางส่วน หากประชาชนต้องการจะมีส่วนร่วมก็สามารถบริจาคเข้าบัญชีธนาคารที่ทางวัดเปิดไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสังขละบุรี บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อบัญชี วัดวังก์วิเวการาม (สะพานไม้อุตตมานุสรณ์) เลขบัญชี 679-216755-4
 
ขณะที่ นางรัชนี จำปีขาว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 กล่าวว่า หลังจากที่ ผบ.พล.9 เตรียมสั่งการให้ทหารมาช่วยเหลือชาวบ้านซ่อมบูรณะสะพาน ในฐานะผู้นำชุมชนรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และชาวบ้านต่างดีใจที่ทหารจะเข้าช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายไปในทางที่ดี อีกทั้งจะเกิดความปรองดองขึ้นทุกฝ่าย ชาวบ้านก็จะได้สะพานคืนมาโดยเร็ว นักท่องเที่ยวก็จะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยชาวบ้านที่จะเข้ามาช่วยทหารซ่อมบูรณะสะพาน ทางหมู่บ้านยังมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มาก จากการพูดคุยทุกคนยินดีจะร่วมมือกับทหารและจิตอาสาจากกลุ่มต่างๆ จนกว่าสะพานจะแล้วเสร็จ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140903/191384.html
16775  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล 197 ใบ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ เมื่อ: กันยายน 04, 2014, 08:15:52 am


สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล 197 ใบ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังการประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 กันยายน 2557 ครั้งนี้ดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษในหลายพื้นที่ ช่วงที่ผ่านมาต่างมีกระแสข่าวพบผู้ถูกรางวัลเป็นจำนวนมาก ทั้งรางวัลที่ 1 หรือรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น

ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากแห่กันไปแก้บนที่วัดพระธาตุดอยคำ ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เมืองเชียงใหม่ เพื่อกราบไหว้พระเจ้าทันใจ หรือ หลวงพ่อทันใจ อายุ 502 ปี ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนท้องถิ่น โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบโชคลาภและความโชคดีแก่ชาวบ้าน ซึ่งบรรยากาศหลังวันประกาศผลรางวัลฯ เนื่องแน่นไปด้วยผู้คนที่ส่วนใหญ่ถูกล็อตเตอรี่งวดล่าสุด

เช่นเดียวกับ นางศิวณัณฐ รัชตดำรงรัตน์ ซึ่งระบุว่า ถูกล็อตเตอรี่รางวัลเลขท้าย 2 ตัว หมายเลข 22 จำนวน 196 ใบ และถูกล็อตเตอรี่รางวัลเลขท้าย 3 ตัว หมายเลข 912 อีก 1 ชุด รวมเป็นเงินรางวัลกว่า 780,000 บาท


 :49: :49: :49: :49:

นางศิวณัณฐ เปิดเผยว่า มากราบไหว้หลวงพ่อทันใจที่วัดแห่งนี้ พร้อมกับขอพรไปอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะทำการเสี่ยงเซียมสีได้เลขออกมาและไปทำการวิเคราะห์ซื้อล็อตเตอรี่เอง จนกระทั่งถูกรางวัลในที่สุด ทั้งนี้ นางศิวณัณฐ ยังบอกอีกว่า การถูกรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเคยถูกรางวัลมาแล้วก่อนหน้านี้ถึง 21 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของชาวบ้านที่เคารพนับถือหลวงพ่อทันใจ หากได้รับโชคลาภจะต้องนำเอาพวงมาลัยดอกมะลิมาแก้บน เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้ช่วงหลังวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน บรรยากาศที่วัดพระธาตุดอยคำจะคึกคักเป็นพิเศษ



นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ที่มา news.sanook.com/1660705/สาวใหญ่โชว์ถูกรางวัล-197-ใบ-อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อทันใจ/
16776  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กรวดน้ำใจ : ธรรมะยู-เทิร์น เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:49:01 am

กรวดน้ำใจ
ธรรมะยู-เทิร์น โดย..อิทธิโชโต

มีลูกศิษย์คนหนึ่งสงสัยว่า เวลาที่ใส่บาตรทำบุญแล้ว ก็จะต้องไปกรวดน้ำกันต่อ จำเป็นหรือไม่ การกรวดน้ำนั้นมีที่มาอย่างไร และกระทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง จึงได้อธิบายไปว่า การกรวดน้ำ มีที่มาจาก 'อนุโมทนารัมภะคาถา' ที่กล่าวว่า
     ยถา วาริวหา ปูรา ปริ ปูเรนฺติ สาครํ, เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ, อิจฺฉิตํ ปตฺกิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ, สพฺเพ ปุเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา, มณิ โชติรโส ยถา...

แปลความว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด, ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในวันนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ท่าน และแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ฉันใด, ขออิฏฐะผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน, ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ, เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี


 :96: :96: :96: :96:

ฉบับแปลเป็นภาษาไทยนี้นำมาจากสำนวนของท่านพุทธทาส ส่วนความหมายของการกรวดน้ำทั้งหมดนี้ก็คือว่า เมื่อทำบุญแล้ว เรามีจิตใจที่จะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็ได้ อุทิศให้แก่ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ให้แก่บุคคลที่มีชีวิตอยู่ก็ได้ แล้วแต่เรา จะมีน้ำหรือไม่มีก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเราว่ามีเจตนาจะทำให้ไหม ที่สำคัญคือเรื่องจิตใจ บางคนไม่เข้าใจก็อาศัยประเพณีที่บรรพบุรุษทำสืบต่อกันมา โดยอาศัยน้ำเป็นเหตุก็ได้

ส่วนที่มีความนิยมเอามือต่อๆ กันขณะกรวดน้ำนั้น ก็ไม่ผิดอะไร ใช้ได้เหมือนกัน เป็นการมาร่วมบุญกัน มีจิตใจร่วมที่จะสร้าง มีจิตใจที่จะให้ มีความดำริที่จะทำดี เจตนาที่ทำก็ไม่มีผลเสียอะไร เราอาบน้ำวันละโอ่งสองโอ่งยังอาบได้ กับแค่น้ำเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นไรไป


 ans1 ask1 ans1 ask1

ยังมีคำถามอีกว่า หลังการกรวดน้ำก็เอาน้ำไปรดน้ำต้นไม้แล้วมองว่า ต้นไม้ก็ยังได้ประโยชน์อีก อันนี้คิดถูกไหม จริงๆ แล้วจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่ความหมายของการกรวดน้ำก็คือ เป็นการอุทิศส่วนกุศลไปเลย อย่าให้เป็นว่า เพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือ ไม่ต้องหวังผล ทำแล้วให้เปล่า ส่วนจะมากจะน้อยก็อยู่กับเราทำ

เพราะการอุทิศส่วนกุศลก็ไม่แน่ว่าเขาจะได้เสมอไป เราสร้างบุญกุศลให้ใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร ถามว่าตัวเจ้าของผู้ทำกุศลได้ไหม ได้ ส่วนเขาจะรับได้หรือไม่ก็อยู่ที่เขา แต่คนทำได้แน่ๆ บุญที่ทำไปไม่สูญหาย

ดังที่หลวงตามหาบัว กล่าวว่า เราไม่กรวดก็ไม่ผิดอุทิศ ทางน้ำใจคือเราอุทิศ อุทิศหมายถึงเจาะจงแก่คนนั้นๆ หรือสัตว์พวกไหน จำพวกไหนก็ตามก็เป็นการเจาะจงอุทิศ ...เราจะกรวดทางน้ำใจก็ได้ การกรวดน้ำนี้เป็นพยานของน้ำใจว่าเราได้ทำอย่างนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่มากในน้ำใจ

    เข้าใจตรงกันนะ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140901/191270.html
16777  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปวดกายแต่ไม่ปวดใจ พระอรหันต์ทำได้อย่างไร.? เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:43:41 am



ปวดกายแต่ไม่ปวดใจ พระอรหันต์ทำได้อย่างไร.? : ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ ดิฉันมีข้อข้องใจอยากถามพระอาจารย์ แต่ขอออกตัวก่อนว่าอาจเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสำหรับผู้อื่น เพียงแต่เป็นข้อข้องใจของดิฉันเองที่อยากรู้เจ้าค่ะ คือ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องปวดฟันเพราะฟันผุ พยายามหาวิธีรักษาแบบธรรมชาติอยู่ค่ะ และก็ใช้ธรรมะในการตามดูตามรู้ความปวดและความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วก็เกิดความสงสัยอยากรู้ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเคยมีปัญหาเรื่องแบบนี้หรือไม่เจ้าคะ แล้วท่านมีวิธีหรือใช้แนวทางใดในการบรรเทาความปวดฟันได้บ้าง เพราะเชื่อว่าสมัยก่อนการหาทันตแพทย์คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ได้เผยแผ่ธรรมะให้แก่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้นำมาเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติได้เหมาะสมกับชีวิตในปัจจุบัน ขอให้พระอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงเจ้าค่ะ ขอกราบนมัสการลาเจ้าค่ะ...สาธุ


วิสัชนา :  เท่าที่ทราบ ในพระไตรปิฎกไม่มีกล่าวถึงพระอรหันต์ที่มีปัญหาปวดฟัน มีแต่อาพาธเพราะโรคอื่น แต่ท่านป่วยแค่กาย ใจไม่ป่วย อาทิ พระอนุรุทธะแม้อาพาธหนัก แต่ทุกขเวทนาทางกายไม่อาจครอบงำจิตของท่าน เนื่องจากท่านอยู่ด้วยสติปัฏฐาน ๔ ส่วนพระโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะก็เคยอาพาธหนัก แต่เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องโพชฌงค์ให้ฟัง ท่านทั้งสองก็หายจากอาพาธ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความป่วยกายหายไปด้วยอำนาจแห่งธรรมโอสถ

สายด่วนให้คำปรึกษาทางจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย 'เตรียมตัวก่อนสู่วาระสุดท้ายของชีวิต จะทำอย่างไรดี' ปรึกษาได้ที่ โทร.๐๘-๖๐๐๒-๒๓๐๒


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140901/191268.html
16778  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แก้กรรม...ทำอย่างไรถึงจะรวย เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:36:39 am


แก้กรรม...ทำอย่างไรถึงจะรวย

เคยไหมที่คุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ทำไมไม่รวยสักที บางทีอาจจะเป็นเรื่องของกรรม! ก็เป็นได้

เพื่อเป็นการช่วยให้คุณๆ ชาวสนุก!ดูดวงมีวิธีการเสริมดวงให้สดใส เรามีข้อมูลที่ช่วยเสริมดวง แก้กรรมสะเดาะเคราะห์ ให้ชีวิตดีขึ้นมีโชคมีลาภเข้ามามากขึ้นดังต่อไปนี้


 ans1 ans1 ans1 ans1

1.พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศล ทุกวันเกิดให้ผู้ที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

2.หากติดเงินหรือยืมเงินใครมาให้พยายามนำไปคืน หากมีคนที่ล่วงเกินยังมีชีวิตอยู่ หาเงินไปคืนและขออโหสิกรรม เพื่อชีวิตเราจะได้ดีขึ้นต่อไป

3.ตักบาตรวันโกน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและวิญญาณเด็กที่ตามมาให้ได้รับกุศล และเปิดทางให้ชีวิตดีขึ้น

4.ทำกุศลกับผู้มีพระคุณและช่วยคนไว้ เพื่อยามทุกข์ยากจะได้มีคนมาเหลียวแลและดูแลเราบ้าง

5.สวดมนต์ทุกวันเกิด และแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน


 :49: :49: :49: :49:

อย่างไรก็ดีสิ่งต่างที่เราบอกไว้ข้างต้นเป็นเพียงแค่แนวทางแนะนำให้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้แล้วจะรวยได้ภายในสามวันเจ็ดวัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องประกอบกับการขยันทำงาน ไม่เบียดเบียนคนอื่น คิดดีทำดี ทำบุญทำทาน ก็จะทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส มีสติ สิ่งนี้ต่่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ช่วยนำพาไปสู่หนทางที่จะมีโอกาสรับทรัพย์ มีโชคมีลาภเข้ามาตามที่คุณต้องการ


ขอบคุณข้อมูลจาก : FW Mail
ที่มา horoscope.sanook.com/69717/แก้กรรม...ทำอย่างไรถึงจะรวย/
16779  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์ รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:32:43 am


ฮือฮา.! พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์ รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ

(2 ก.ย.) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ พบรถจักรยานยนต์ของชายคนหนึ่ง ที่แต่งกายคล้ายฤาษี สวมชฎา และมีแผ่นป้ายเขียนตัวอักษรติดหน้ารถขับผ่านมา จึงได้เรียกจอด พร้อมกับตรวจค้นสารเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย

ชายคนดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายทวีสิทธิ์ แก้วเข็ม อายุ 62 ปี อ้างว่าเป็นฤาษีมีอิทธิฤทธิ์ปราบมนต์ดำได้ มาจากตำหนักปู่ฤาษีที่ จ.นครราชสีมา เป็นผู้ครอบครองเศียรของพ่อปู่ฤาษีตาไฟ พร้อมไม้เท้ากายสิทธิ์ 2 อัน มีไม้เท้ากายสิทธิ์พระศิวะและไม้เท้าพ่อปู่ฤาษีตาไฟ ที่ใช้ในการรักษาคนไข้และบุคคลทั่วไป ที่ป่วยเป็นโรคทั้งหนักและเบา โดยตนจะขับขี่จักรยานยนต์ไปบ้านเกิดที่จ.พะเยา แต่ระหว่างทางเมื่อพบใครที่มีอาการปวดเมื่อย ก็จะแก้มนต์ดำให้ โดยป้ายหน้ารถนั้นโฆษณาถึงสรรพคุณมากมายแถมยังบอกอีกด้วยว่า รับจ้างปราบมนต์ดำทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด จึงต้องปล่อยตัวไป

อย่างไรก็ตาม ชาวจ.นครราชสีมา โดยเฉพาะชาวบ้านแถววัดศาลาลอย ต่างเคยพบเห็นนายทวีสิทธิ์อยู่เป็นประจำ และยังได้มีการแชร์ภาพลงสังคมออนไลน์มาก่อนหน้านี้แล้วว่า นายทวีสิทธิ์ นอกจากจะแต่งกายเป็นพ่อปู่ฤาษีแล้ว ยังแขวนบัตรทหารผ่านศึก ระบุชื่อพลทหารทวีสิทธิ์ แก้วเข็ม


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
ขอบคุณภาพประกอลจากเฟซบุ๊ก อบต.บ้านปรางค์ อ.คง จ.นครราชสีมา
ที่มา news.sanook.com/1659981/ฮือฮา-พบฤาษีขี่มอเตอร์ไซค์-รับแก้มนต์ดำทั่วประเทศ/
16780  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มจีนประกาศหา "แม่บุญธรรม" พร้อมให้เงิน 1 ล้าน เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:29:56 am


หนุ่มจีนประกาศหา "แม่บุญธรรม" พร้อมให้เงิน 1 ล้าน

หนุ่มจีนวัย 30 ปีในมณฑลเสฉวน ถือป้ายและโคมจีนแดงประกาศรับสมัครแม่บุญธรรมพร้อมลั่นจะให้เงิน 1 ล้านหยวน (5.2 ล้านบาท)

 เว็บไซต์ข่าวจีน “โกลบอล ไทม์ส” รายงานจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ว่า ชาวเน็ตจีนฮือฮาหลังชมภาพหนุ่มจีนในวัย 30 กว่าปี  ที่ไม่ได้รับการระบุชื่อ นำกะละมังใส่ธนบัตรระบุว่าเป็นเงินจำนวน 1 ล้านหยวน (5.2 ล้านบาท) วางป้ายประกาศรับสมัครหาแม่บุญธรรมและถือโคมจีนสีแดงระบุเบอร์โทรศัพท์ของตนเองยืนอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่านอย่างสวนสาธารณะฝางหู ในเขตก่วงฮั่น มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

    ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า เงินในกะละมังที่หนุ่มรายนี้นำมาตั้งไว้นั้นเป็นของจริง ส่วนป้ายสีแดงของเขาจะระบุคุณสมบัติของแม่บุญธรรมที่เขาต้องการซึ่งประกอบไปด้วย ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 57 ปีขึ้นไป ไม่มีประวัติติดยาเสพติดมาก่อนและมีประวัติการศึกษาดี อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตยังไม่ทราบแน่ชัดว่า หนุ่มคนดังกล่าวประกาศรับสมัครผู้ที่จะมาเป็นแม่บุญธรรมไปเพื่ออะไร


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/foreign/263753/หนุ่มจีนประกาศหาแม่บุญธรรมพร้อมให้เงิน1ล้าน
16781  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมประเพณี "สารทเดือนสิบ" สืบตำนานกตัญญู เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:26:00 am


ร่วมประเพณี "สารทเดือนสิบ" สืบตำนานกตัญญู

สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีสืบสานตำนานความกตัญญู สำหรับชาวใต้ด้วยประเพณีสารทเดือนสิบ ประจำปี 57

วันนี้ (1 ก.ย.) พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ย. จะมีการจัดงานสืบสานตำนานความกตัญญู สำหรับชาวใต้ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ เพื่อร่วมฉลอง 82 ปี สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ อาคารชั้นสองของสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ ถนนกาจญนาภิเษก เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ รวม 7 วัน 7 คืน ซึ่งมีนายประเสริฐ ทองนุ่น เป็นประธานจัดงาน โดยภายในงานจะมีการแสดงหนังตะลุงและมโนราห์จากปักษ์ใต้ พร้อมทั้งคอนเสิร์ตและศิลปะจากปักษ์ใต้ โดยงานสารทเดือนสิบนี้ ถือได้ว่าเป็นงานบุญแก่พี่น้องชาวปักษ์ใต้ที่ให้กับบรรพบุรุษ เพื่อความรักความสามัคคีในหมู่คณะที่อาศัยในกรุงเทพและปริมณฑล

พล.ต.อ.สุนทร เผยต่อว่า สำหรับงานเดือนสิบของทุกปีนั้น ถือได้ว่าเป็นเดือนที่สำคัญยิ่ง เพราะถือว่าเป็นเดือนแห่งงานมหาบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวใต้ทุกคนได้แสดงออกถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผ่านงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าบรรพบุรุษที่ ส่งกลับไปแล้วจะกลับมาเยี่ยมเยือนลูกหลานระหว่างวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 แรม 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ลูกหลานจะได้แสดงความกตัญญูด้วยการจัดสำรับพร้อมข้าวของเครื่องใช้ เพื่อนำไปถวายแด่พระสงฆ์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว




นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ เผยต่อไปอีกว่าประเพณีบุญเดือนสิบใช่ว่าจะเป็นงานบุญเพียงอย่างเดียว ความครื้นเครงเหล่านี้อยู่ตรงที่วันสุดท้าย คือ วันอังคารที่ 23 ก.ย. จะมีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและจะจัดให้มีประเพณีชิงเปรต โดยสมาคมฯ และชาวบ้านจะนำสำรับมาถวายวางไว้ที่บริเวณหน้าศาลาเปรต เพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับได้กลับมากิน

จากนั้นก็ถึงคราวที่เด็กๆ และผู้ใหญ่จะวิ่งเข้าไปแย่งของจากศาลาเปรตแข่งกินกัน ทั้งนี้เพราะชาวใต้เชื่อว่าใครที่ได้กินอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพชนจะได้รับกุศลทั้งยังเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว อาหารในประเพณีบุญสารทเดือนสิบก็จะมีขนมอยู่ 5 ชนิด ที่ชาวบ้านทุกบ้านจะทำถวายพระได้แก่ ขนมลา ขนมพวง ขนมกง ขนมดีซำและขนมบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ ขอเรียนเชิญท่านผู้สนใจร่วมงานตามวัน เวลา ดังกล่าว..


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/263643/ร่วมประเพณีสารทเดือนสิบสืบตำนานกตัญญู
16782  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าของเฟซบุ๊คถูกแฮ๊กข้อมูล เตือนระวังมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน เมื่อ: กันยายน 03, 2014, 11:22:16 am


เจ้าของเฟซบุ๊คถูกแฮ๊กข้อมูล เตือนระวังมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน

สาววิ่งโร่.แจ้งความถูกแก๊งมิจฉาชีพอาละวาดหนักแฮ๊กข้อมูลอ้างเป็นเจ้าตัวในเฟซบุ๊ก เที่ยวส่งข้อความขอยืมเงินเพื่อน ๆ หลายราย


วันที่ 1 ก.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กใน จ.นครศรีธรรมราชหลายราย ถูกแก๊งมิจฉาชีพทำการแฮกเกอร์ข้อมูลเจ้าของเฟซบุ๊ก ก่อนเข้าไปส่งข้อความไปยังเพื่อนสนิท ก่อนจะอ้างว่าความเดือดร้อนจำเป็นต้องใช้เงินด่วน และขอยืมเงินรายละ1,000-3,000 บาทและให้โอนผ่านบัญชีธนาคารโดยที่เจ้าของเฟซบุ๊กตัวจริงไม่รู้เรื่องใดๆ


 :96: :96: :96: :96:

หญิงสาวเจ้าของเฟซบุ๊กรายหนึ่งใน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่าได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทผ่านทางเฟซบุ๊กบอกว่าขอยืมเงิน3,000บาท และขอให้โอนผ่านบัญชีธนาคารTMB ชื่อ กฤษณะ พรมงคล เลขบัญชี 585-212-564-9 เมื่อทำธุระเสร็จจะรีบคืนให้ หลังจากรับข้อความแล้วจึงได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนเจ้าของเฟซบุ๊กก็ได้รับการยืนยันว่าไม่รู้เรื่องใดๆ และจากการตรวจสอบพบว่ามีการเล่นเฟซบุ๊กของเพื่อนคนดังกล่าวส่งไปยังเพื่อนๆ หลายคน โดยจะขอยืมเงินและให้โอนผ่านบัญชีหลายธนาคาร

“ล่าสุดได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ทุ่งสง เพื่อขอให้ติดตามจับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่ส่งข้อความไปขอยืมเงินจากเพื่อนสมาชิก โดยนำหลักฐานการแชทขอยืมเงิน พร้อมชื่อ และเลขบัญชีธนาคารไว้เป็นหลักฐานแล้ว ทั้งนี้ขอเตือนเพื่อน ๆทุกคนอย่าได้หลงเชื่อโอนเงินไปให้เพราะตนในฐานะเจ้าของเฟซบุ๊กตัวจริงไม่รู้เรื่องและขอให้โทรศัพท์สอบถามให้แน่ใจเสียก่อนจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ" สาวเจ้าของเฟซบุ๊ก กล่าว..






ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/263623/เจ้าของเฟซบุ๊คถูกแฮ๊กข้อมูลเตือนระวังมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน
16783  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทเรียน "มนุษย์ป้าไทย" กร่างที่เยอรมัน เจอตำรวจจับ เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 11:44:44 am

บทเรียน "มนุษย์ป้าไทย" กร่างที่เยอรมัน เจอตำรวจจับ

หญิงไทยในเยอรมันโพสต์เล่าบทเรียน "มนุษย์ป้าชาวไทย" แซงคิว-ดูถูกคนพิการที่เยอรมันจนโดน ตร.จับส่งตัวกลับประเทศ

สมาชิกเว็บไซต์พันทิปมีการเผยแพร่กระทู้เรื่องราวของนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มหนึ่งที่ไปก่อพฤติกรรมน่ารังเกียจถึงประเทศเยอรมนี หลังพยายามแซงคิว ทั้งยังแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วซึ่งเป็นผู้พิการ จนถูกตำรวจจับดำเนินคดีและส่งตัวกลับประเทศ

กระทู้ดังกล่าวมีชื่อว่า/">>>>> เมื่อมนุษย์ป้าสัญชาติไทย ไปแสดงเดชที่แดนอินทรีเหล็ก<<<<<"/ เขียนโดย pHaiyLueNa ซึ่งเป็น หญิงไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี

 ans1 ans1 ans1 ans1

เธอเล่าว่า ช่วงเช้าวันหนึ่ง บริเวณทางเข้าปราสาทซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งประเทศเยอรมนี ขณะที่เธอกำลังยืนรอเจ้านายอยู่ตรงจุดขายตั๋ว ท่ามกลางนักท่องเที่ยวและคณะทัศนศึกษาของนักเรียนนับร้อยชีวิตยืนต่อแถวเข้าคิวกันยาวเหยียด

จู่ๆกลุ่มนักท่องเที่ยวชายหญิงชาวไทย อายุประมาณ 50-70 ปี รวม 8 คนก็เดินมาตัดแถวใหม่ หนึ่งในนั้นปรี่เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงช่องขายตั๋ว ซึ่งตอนนั้นมีช่องขายตั๋วอยู่เพียงช่องเดียว อีกทั้งเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็เป็นผู้พิการแขนขาดหนึ่งข้างว่า
  “Excuse me, I would like to buy group tickets for 8 people(ขอโทษนะคะ ฉันขอซื้อตั๋วกลุ่มสำหรับ 8 คนค่ะ)”
  เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่า “You need to be in line / next please (คุณต้องไปต่อคิวนะคะ / เชิญคนต่อไปค่ะ)”
   พลางกวักมือเรียกนักท่องเที่ยวรายอื่นทัศนศึกษา

    จากนั้น นักท่องเที่ยวหญิงไทยอีกคนก็ปราดเข้ามาถามว่า
    “Umm, can we buy first? We have an old man.and we have to take train at 2 pm     
    (อืม เราขอซื้อก่อนได้มั้ย? เรามีชายชรามาด้วยนะ (ชี้ไปทางชายอายุ 50 ปีเศษ)
    แล้วเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟให้ทันบ่ายสอง” แต่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไม่ยอม พลางบอกว่า
    “Nein! No no, you need to be in line (ไม่ได้ คุณต้องไปต่อคิว)” แล้วชี้ให้ไปเข้าแถว

ทันใดนั้นหนึ่งในนักท่องเที่ยวชาวไทยก็หันไปด่าเป็นภาษาอังกฤษว่า "armless" ทำให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวหันมามอง แต่ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ระหว่างนั้นเองเจ้านายของผู้เขียนหันมาถามเป็นภาษาเยอรมันว่า “คนประเทศไหนเนี่ย” ผู้เขียนตอบ “ประเทศเดียวกับหนูเอง”


 :96: :96: :96: :96:

ต่อมานักท่องเที่ยวชาวไทยคนหนึ่งก็หันมาหาผู้เขียน เนื่องจากเห็นว่าสวมใส่กำไลข้อมือเป็นลายธงชาติไทย พูดว่า “หนูๆคนไทยหรือเปล่าจ๊ะ” ผู้เขียนตอบ“ค่ะ คนไทย”
    หญิงวัยกลางคนอีกรายพูดเป็นภาษาไทยทันที
    “หนูพูดเยอรมันได้เหรอ ช่วยบอกเค้าหน่อยสิว่าพวกป้านะ ขอซื้อตั๋ว แถวมันยาวมากเลย เปิดแค่ช่องเดียว เดี๋ยวป้าไปช้อปปิ้งไม่ทัน เดินก็ไม่ค่อยไหว”

    ผู้เขียนปฏิสธอย่างสุภาพ “ขอโทษค่ะ หนูคงช่วยไม่ได้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนยังคงรบเร้า “หนูช่วยหน่อยเถอะนะ คนไทยกันเอง ลองคุยกับเค้าดู เดี๋ยวป้าให้ค่าขนม”
    ผู้เขียนตอบกลับไป “ไม่ค่ะ ป้าคะ การต่อแถว เพื่อซื้อของเป็นสิ่งพื้นฐาน แล้วหนูทำงานหาเงินซื้อขนมเองได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับยกมือไหว้อย่างสุภาพ

    หญิงวัยกลางคนชาวไทยอีกคนถามอีกว่า “หนูมาเรียนเหรอจ๊ะ”
    ผู้เขียนตอบ“ทำงานค่ะ” “โห เก่งนะเนี่ย ทำงานที่นี่ โตที่นี่เหรอ” “เปล่าค่ะ โตที่เมืองไทย”
    ป้าอีกคนพูดแทรก “หนู ๆ ช่วยป้าซื้อตั๋วหน่อยได้มั้ย เนี่ยถ้ารอ คงต้องรอเกือบครึ่งชม แถวมันยาวมากเลยนะ”
    “ถ้าป้าต่อคิวแต่แรก ป่านนี้คงเหลือประมาณยี่สิบนาทีมั้งคะ หนูว่าป้าไปต่อเถอะคะ อย่าทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเลย นิสัยแบบนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม อีกอย่างนะคะ ป้าหันไปดูสิคะ เด็กตัวเล็ก ๆ คนแก่ที่นั่งรถเข็นคนที่ใส่เฝือกที่เท้า ก็เข้าแถวกันทั้งนั้น หนูไม่ทราบว่า ป้าจะรีบไปไหน แต่ที่นี่ประเทศเยอรมันนะคะระวังคำพูดคำจา และการกระทำด้วยค่ะ ลานะคะหนูทำงานอยู่” พูดจบแล้วยกมือไหว้อย่างสุภาพ


    :41: :41: :41: :41:

    ป้าคนดังกล่าวหัวเสียอย่างมาก ตะคอกใส่ผู้เขียน “ทำไมไม่รู้จักช่วยคนไทยด้วยกัน”
    ผู้เขียนชี้แจงกลับไปว่า “ถ้าให้ช่วยทำผิด ทำไม่ได้ค่ะ อีกอย่าง นี่ไม่ใช่เรื่องของหนู ไม่ใช่ปัญหาของหนู” 
    ขณะที่อีกคนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
    “นี่อีเด็กเวร ขอให้ช่วยก็ไม่ช่วย คนไทยหรือเปล่า? ถือไม้เท้ายืนทื่อๆ (ชี้มาที่ไม้เท้า) แล้วบอกทำงาน ขาก็ดูปกติ ตรงไหนมันด้วน? คนพิการอย่างเธอจะทำงานได้ไง? ใครมันจะรอไหว แดดก็ออกต้องยืนต่อแถว ไม่มีร่ม ลมก็แรง อีเด็กนี่อย่าให้รู้นะว่าชื่ออะไร จะด่าให้ถึงพ่อถึงแม่ พ่อแม่คงพิการสินะ ถึงต้องส่งลูกพิการมาทำงานที่นี่”
    ผู้เขียนจึงอธิบายว่า “คุณคะ หนูถือไม้เท้า เพราะมีปัญหาตรงหมอนรองกระดูก อีกอย่างทำงานอยู่มาติดต่อธุระกับเจ้านาย ถ้ายังไม่หยุดฉันจะแจ้งความ”นักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มนั้นท้าให้แจ้งความ

ขณะที่เหตุการณ์ชักบานปลาย ล่ามชาวเยอรมันที่มากับผู้เขียน ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในบริเวณนั้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาถาม “มีอะไรให้ช่วยมั้ย?” เธอจึงตอบไปว่า“พวกนี้เค้าอยากให้ช่วยซื้อตั๋ว แต่ฉันปฎิเสธ เค้าไม่พอใจ” นอกจากนี้ยังอธิบายเรื่องที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นดูถูกว่าเธอเป็นคนพิการด้วย ตำรวจคนดังกล่าวจึงได้เชิญนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหมดให้ตามไปที่สถานีตำรวจ


 :32: :32: :32: :32:

ผลสุดท้าย นักท่องเที่ยวไทยกลุ่มดังกล่าวถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย จ่ายค่าปรับแก่เจ้าหน้าที่ขายตั๋วผู้พิการที่ถูกด่า แถมยังถูกส่งตัวกลับประเทศในทันทีด้วย ยิ่งกว่านั้นยังถูกถอนวีซ่าท่องเที่ยว โดนแบล็คลิสต์อีกต่างหาก

   อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังเล่าให้ฟังอีกด้วยว่าเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วที่เป็นผู้พิการถูกนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อว่าว่า
   "เพราะคุณแขนด้วน ไม่มีมืออีกข้าง แถวมันถึงยาว แค่ขอตั๋วก่อนทำไมไม่ขาย ขายให้ซะ คนก็หายไป 8 คนจะได้ไม่ต้องต่อ พิการอย่างนี้มาทำงานได้อย่างไร ระยำ"
   ผู้เขียนระบุว่าเจ้าหน้าที่รายนี้ถึงกับร้องไห้ ซึ่งเยอรมันเป็นประเทศที่ให้เกียรติผู้พิการเป็นอย่างมาก


ติดตามเรื่องเล่าของคุณ pHaiyLueNa ได้ที่
http://pantip.com/topic/32254502 ,
https://www.facebook.com/sevenyearsingermany
ที่มา www.posttoday.com/สังคม/สังคมทั่วไป/315760/บทเรียนมนุษย์ป้าไทยกร่างที่เยอรมันเจอตร-จับ
16784  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ญี่ปุ่นจัดให้.! บริษัทรับจ้างขอโทษ สำหรับคนหน้าบาง เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:59:17 am


ญี่ปุ่นจัดให้.! บริษัทรับจ้างขอโทษ สำหรับคนหน้าบาง

บริษัทญี่ปุ่นเปิดบริการขอโทษแทนเจ้าตัว คิดค่าเสียหายตามระดับความจริงใจ หากเผชิญหน้าตัวต่อตัวคิดแพงสุด

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนญี่ปุ่นมักมีไอเดียล้ำๆ ที่ทำให้ชาวโลกคิดไม่ถึงอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ผุดนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แม้แต่โมเดลธุรกิจแบบแปลกๆ ก็ยังมีออกมาให้เราทึ่งกันไม่ขาดสาย

ล่าสุดมีคนสมองใสตั้งบริษัท "รับจ้างขอโทษ" กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นที่มีความละอายใจอย่างเต็มเปี่ยมยามทำสิ่งที่ผิดพลาดไป แต่ "จำเลย" บางคนก็ค่อนข้างหน้าบางเกินกว่าจะไปสู้หน้า "โจทก์" ได้

หัวใจของการทำธุรกิจประเภทนี้ก็คือการจับจุดสำคัญในชีวิตของชาวญี่ปุ่น นั่นคือการขอโทษในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป แต่ในบางกรณีหลายคนอาจเกิดความกังวลว่า เมื่อถึงเวลาเผชิญหน้าคู่กรณีอาจแสดงความในใจออกมาอย่างไม่เต็มที่ หรือด้วสถานการณ์ที่กดดัน อาจทำให้เผลอพูดในสิ่งที่ทำให้เรื่องเลวร้ายไปกว่าเดิม

ที่สำคัญก็คือ ผู้รับบริการไม่ต้องแบกรับความกดดันอย่างหนักหน่วง เพราะได้โยนภาระนั้นให้กับผู้ให้บริการไปเรียบร้อยแล้ว โดยแลกกับค่าบริการที่สูงต่ำตามแต่ดีกรีของสถานการณ์และระดับความจริงจังของคำขอโทษ


 :49: :49: :49: :49:

จากการสำรวจโดยสำนักข่าวร็อกเกตทเวนตี้โฟร์ นิวส์ พบว่า มีบริษัทรับจ้างขอโทษโฆษณาบริการของตัวเองในโลกออนไลน์อยู่จำนวนหนึ่ง

เช่น บริษัท ชาไซยะ ไอโกะ โปร (Shazaiya Aiga Pro) คิดค่าบริการสำหรับกล่าวคำขอโทษต่อหน้าคู่กรณีที่ 25,000 เยน (ราว 7,675 บาท) ถ้าเกิดตะขิดตะขวงใจหรือไม่อยากจ่ายแพง ก็สามารถใช้บริการขอโทษผ่านอีเมลหรือทางโทรศัพท์ คิดค่าบริการ 10,000 เยน (ราว 3,070 บาท) บริษัทนี้รับเป็นหน้าเสื่อตลอด 24 ชม. 7 วันต่อสัปดาห์

บริษัท โยะโกะฮะมะ เบงริยะ นัตจัง (Yokohama Benriya Natchan) คิดเงินตามแต่กรณีหลังปรึกษากับลูกค้าทางโทรศัพท์แล้ว โดยมีทีเด็ดอยู่ที่บริการร้องไห้ไปขอโทษไป ซึ่งสามารถสยบอารมณ์ขุ่นเคืองของคู่กรณีได้อย่างชะงัดนัก

ขณะที่บริษัท นิฮง ชาไซ ไดโกคาโอะ (Nihon Shazai Daikokao) คิดค่าบริการขั้นต่ำ 3,500เยน (ราว 1,074 บาท) ต่อ ชม.


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

นอกจากจะให้บริการขอโทษแทนตัวเองแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังรับเป็นตัวแทนอีกสารพัด ตั้งแต่รับสวมรอยเป็นคนที่บ้านโทรศัพท์มาหาลูกค้าที่ทำงาน หรือสวมรอยเป็นภรรยามาแจ้งกับออฟฟิศว่า สามีป่วยมาทำงานไม่ได้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้มีข้ออ้างโดดงาน

หรือแม้แต่รับจ้างช่วยแยกทางกับแฟนแบบเนียนๆ ในกรณีที่อีกฝ่ายเบื่อความสัมพันธ์เต็มทน ต้องการจะเลิกแต่ก็ไม้กล้าบอกอีกฝ่าย ทางบริษัทจะช่วยจัดการให้ ด้วยการสวมรอยเป็นพ่อแม่ทำทีเป็นกีดกันไม่ให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน

อย่างไรก็ตาม งานทำนองนี้ใช่ว่าจะง่ายดาย ไม่เช่นนั้นคงไม่คิดค่าบริการแพงหูฉี่ ผู้ให้บริการรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ว่าบางครั้งพนักงานบริษัทที่สวมรอยเป็นพ่อแม่ของลูกค้าอาจต้องงัดข้ออ้างถึง 12 ชม.กว่าที่อดีตคนรักจะยอมถอย


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เอ็นเอชเคระบุว่า ธุรกิจประเภทนี้เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทำให้ลูกค้ากลายเป็นคนไม่กล้าเผชิญกับความจริง และอีกทั้งยังเป็นการหากินกับการสร้างเรื่องเท็จ แม้ผู้ว่าจ้างจะสมยอม แต่ก็อาจสร้างปัญหาในภายหลังจากการโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีรายงานการร้องเรียนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทำนองนี้

ฝ่ายผู้ประกอบการอ้างว่า แม้จะสร้างเรื่องหรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมา แต่ใช่ว่าจะทำกันอย่างขอไปทีเพราะต้องปรึกษาหารือและวางแผนอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ยังเผยว่า ลูกค้าถึง 40% เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 20-40 ปี และสาเหตุที่ต้องมาพึ่งพาบริการประเภทนี้ก็เพราะปัญหาเรื่องเงิน และปัญหาจิปาถะอื่นๆ อีกมากมาย


ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F www.m2fnews.com/  http://www.m2fnews.com/
www.posttoday.com/รอบโลก/Asia-in-Focus/315769/ญี่ปุ่นจัดให้-บริษัทรับจ้างขอโทษสำหรับคนหน้าบาง
16785  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • วัดเกาหลีใต้จัดแข่งสวดมนต์แนวใหม่ หวังดึงคนหนุ่มสาวสนใจพุทธศาสนา เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:23:45 am


       • วัดเกาหลีใต้จัดแข่งสวดมนต์แนวใหม่ หวังดึงคนหนุ่มสาวสนใจพุทธศาสนา
       
       เกาหลีใต้ : วัดโชเกซา กรุงโซล วัดหลักในพุทธศาสนานิกายโชเก (นิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้) ได้ริเริ่มจัดประกวดการแข่งขันสวดมนต์แนวใหม่ขึ้น โดยผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล 3 ล้านวอน (ราว 9 หมื่นบาท) ทั้งนี้ มีพระสงฆ์และแม่ชีวัยหนุ่มสาวกว่า 300 คน เข้าร่วมขับขานบทสวดมนต์แบบดั้งเดิม หรือบทสวดที่แต่งขึ้นใหม่ในสไตล์แร็พและฮิปฮอป ประกอบเครื่องดนตรีโบราณ เช่น กลอง ฆ้อง ในขณะที่ผู้ชมจำนวนมากพากันสวดมนต์แบบเดิมตามไปด้วย
       
       พระเยกัง หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันกล่าวว่า “การสวดมนต์แนวใหม่นี้ เพื่อต้องการดึงคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจในพุทธศาสนา และเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ต่างๆ”
       
       พระยินมุค พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของนิกายโชเก และเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสิน กล่าวถึงความพยายามที่จะทำให้บทสวดมนต์เข้าถึงคนหนุ่มสาวได้ง่ายขึ้นว่า
       
       “มีบทสวดมนต์จำนวนมากที่เขียนด้วยคำโบราณ ซึ่งคนทั่วไปไม่คุ้นเคย เราจึงขอให้ผู้เข้าแข่งขันเขียนบทสวดมนต์ขึ้นใหม่ ด้วยภาษาธรรมดา ที่เข้าใจง่าย เพราะเราต้องการให้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและเด็กได้รู้ว่า 'ยัมบุล’ (บทสวดมนต์และพระสูตร) เป็นสิ่งที่น่าสนใจและง่ายที่จะปฏิบัติตามมากกว่าที่พวกเขาคิด”

       
จาก Buddhistdoor
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16786  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • โรตารีสากลมอบรางวัลเกียรติยศ แก่ “ธรรมาจารย์เชงเยน” แห่งฉือจี้ เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:21:13 am


         • โรตารีสากลมอบรางวัลเกียรติยศ แก่ “ธรรมาจารย์เชงเยน” แห่งฉือจี้
       
       ไต้หวัน : เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2014 สโมสรโรตารีสากลได้มอบรางวัลเกียรติยศให้ธรรมาจารย์เชงเยน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน จากการทำงานด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลก นับเป็นชาวพุทธจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฉือจี้ ที่มีเหล่าอาสาสมัครใจเมตตาคอยช่วยเหลือผู้ได้รับความทุกข์
       
       มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 เป็นองค์กรการกุศลไม่แสวงหากำไร ให้ความช่วยเหลือด้านการกุศล เวชกรรม การศึกษา และการปลูกฝังด้านมนุษยธรรม ปัจจุบันมีสาขาใน 87 ประเทศทั่วโลก สมาชิกกว่า 5 ล้านคน โดยอาสาสมัครจะแต่งกายในชุดสีน้ำเงินและสีขาว จึงมักถูกเรียกว่า “ทูตสวรรค์สีน้ำเงิน”
       
       มูลนิธิได้ส่งอาสาสมัครและความช่วยเหลือไปยังที่เกิดเหตุภัยพิบัติครั้งสำคัญต่างๆทั่วโลก เช่น แผ่นดินไหวจิจิในไต้หวัน ปี 1999 พายุเฮอริเคนแซนดี้ในสหรัฐอเมริกา ปี 2012 และล่าสุดเหตุเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญเมื่อเดือนมีนาคม 2014 อีกทั้งได้สนับสนุนงานบริการต่างๆทางสังคม เช่น สร้างโรงเรียน วิทยาลัยพยาบาล มูลนิธิทางการแพทย์ ฯลฯ
       
       ธรรมาจารย์เชงเยน หรือที่เรียกกันว่า “แม่ชีเทเรซาแห่งเอเชีย” เป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เกิดในปี 1937 ที่ตำบลชิงสุ่ย เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน เมื่ออายุ 25 ปี ได้ตัดสินใจออกบวช โดยมีพระมหาเถระอิ้นซุ่นเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งได้สั่งสอนว่า “ขอจงทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อมวลชีวันทุกเวลา” ซึ่งธรรมาจารย์เชงเยนได้ถือปฏิบัติตราบจนทุกวันนี้

       
จาก Tzuchi.org.tw
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16787  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • อินเดียจับมือจีนออกสารานุกรม วัฒนธรรมอินเดีย-จีน เป็นครั้งแรก เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:18:45 am


         • อินเดียจับมือจีนออกสารานุกรม วัฒนธรรมอินเดีย-จีน เป็นครั้งแรก
       
       อินเดีย : เมื่อเร็วๆนี้ นายโมฮัมหมัด ฮามิด อันซารี รองประธานาธิบดีอินเดีย และนายหลี่ หยวนเฉา รองประธานาธิบดีจีน ได้ร่วมกันเปิดตัวสารานุกรม “India-China Cultural Contacts” หรือ “ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของอินเดีย-จีน” เป็นครั้งแรก
       
       สารานุกรมดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของอินเดียและจีนที่มีมายาวนาน ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปี เริ่มจากพระเสวียนจั้ง (หรือพระถังซัมจั๋ง) ภิกษุจีนที่เดินทางไปยังอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 7 เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาครอบคลุมความสัมพันธ์ทางการค้า เศรษฐกิจ วรรณคดี ปรัชญา และการทูต อีกด้วย
       
       โดยมีคณะกรรมการรวบรวมข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยบรรดาเจ้าหน้าที่และนักวิชาการของทั้งสองประเทศ ร่วมกันจัดทำและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษและจีน

       
จาก PTI
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16788  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • จีนเปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ 3 มิติ วัดถ้ำผาม่อเกา ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสพุทธศิลป์ เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:08:50 am

    • จีนเปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ 3 มิติ วัดถ้ำผาม่อเกา ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสพุทธศิลป์แบบเสมือนจริง
       
       จีน : เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2014 สถาบันตุนหวงได้เปิดศูนย์ฉายภาพยนตร์ระบบ 3D หรือ 3มิติ รูปทรงโดม บริเวณถ้ำผาม่อเกา เมืองตุนหวง มณฑลกานซู ประเทศจีน อย่างเป็นทางการ โดยมีนักท่องเที่ยวชุดแรกเข้าชมกว่า 2,700 คน
       
       ฟาน จินชิ ผู้อำนวยการสถาบันตุนหวงเผยว่า สถาบันฯได้ถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังจากถ้ำผาม่อเกาแต่ละถ้ำ ด้วยความละเอียดสูง แล้วนำมาจัดทำเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมภาพพุทธศิลป์อันงดงามภายในถ้ำต่างๆ รวมทั้งบริเวณที่ไม่เปิดให้เข้าชมด้วย
       
       อนึ่ง ถ้ำผาม่อเกาเป็นถ้ำพุทธที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ภายในเต็มไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักเขียนสีกว่า 2,000 องค์ และจิตรกรรมฝาผนังรวมความยาวกว่า 45,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ในช่วงศตวรรษที่ 4-14 องค์การยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987

       
จาก China.org.cn
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16789  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • บังกลาเทศขุดพบวัดพุทธโบราณอายุ 1,500 ปี เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:04:53 am


         • บังกลาเทศขุดพบวัดพุทธโบราณอายุ 1,500 ปี
       
       บังกลาเทศ : หลายปีที่ผ่านมา มีการขุดพบวัดโบราณจำนวนมากตามสถานที่ต่างๆในบังกลาเทศ และล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2014 ทีมนักโบราณคดี ซึ่งนำโดย ศจ.ซูฟี มอสตาฟิเซอร์ ราห์มัน แห่งมหาวิทยาลัยจาฮันคิรนาคาร ได้ขุดพบวัดอีกแห่งหนึ่งที่เมืองเดอร์การ์ นาการ์ อันเป็นเมืองเก่าแก่อายุ 2,500 ปี
       
       ย้อนไปในปี 2012 ทางทีมนักโบราณคดี ประกอบด้วยนักศึกษาโบราณคดีราว 40-50 คน ซึ่งลงพื้นที่ขุดสำรวจความยาว 14 กม. ได้พบซากปรักหักพังของวัดและสถูปเล็กๆหลายองค์ โดยเมื่อพิจารณาจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่สำคัญ เช่น ห้องโถงภายใน ระเบียง ศาลา และสถูป จึงสรุปได้ว่า เป็นวัดโบราณที่มีอายุเกือบ 1,500 ปี
       
       “มีการขุดพบสถูป 4 องค์ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นของวัดแห่งนี้ และยังอาจมีสถูปอีกหลายองค์ในบริเวณนี้ เราต้องขุดค้นหาต่อไป ผมแน่ใจว่า หากเราขุดไปเรื่อยๆ จะพบสิ่งก่อสร้างอีกมากมาย” มาห์บูบุล อลัม ฮิเมล ตัวแทนผู้นำทีมขุดสำรวจ กล่าว
       
       การขุดพบวัดแห่งนี้ ถือเป็นหลักฐานที่แสดงว่า เขตอูวารี-โบเตสชอร์ เคยเป็นดินแดนที่อารยธรรมทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ขณะที่ ศจ.ซูฟี กล่าวว่า “เราขุดพบซากวัดเพียง 1 ใน 4 ส่วนเท่านั้น แต่เราจะเข้าใจถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้ เมื่อมีการขุดสำรวจทั่วทั้งพื้นที่ และเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า พุทธศาสนาได้ปรากฏขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้เมื่อครั้งอดีต อันจะส่งผลให้บริเวณนี้ กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชุมชนและวัฒนธรรมพุทธสมัยโบราณ”

       
จาก Buddhistdoor
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16790  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / • “นัมโซ” ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ เสียแชมป์ใหญ่ที่สุดในทิเบต เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:02:27 am


         • “นัมโซ” ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ เสียแชมป์ใหญ่ที่สุดในทิเบต
       
       จีน : มีรายงานวิจัยชิ้นใหม่เผยว่า ทะเลสาบนัมโซ ซึ่งเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ได้สูญเสียตำแหน่งทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองตนเองทิเบต ให้แก่ทะเลสาบเซอร์ลิงโซ ซึ่งได้ขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธารน้ำแข็งได้หลอมละลายและมีฝนเพิ่มขึ้น
       
       ซาง กัวจิง ผู้ช่วยนักวิจัยของสถาบันวิจัยที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน เผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2014 ทะเลสาบเซอร์ลิงโซวัดเนื้อที่ได้ 2,391 ตร.กม. กว้างกว่าทะเลสาบนัมโซ 369 ตร.กม.
       
       ทั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ทะเลสาบต่างๆในเขตปกครองตนเองทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่การขยายตัวของทะเลสาบเซอร์ลิงโซเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 535 ตร.กม. นับเป็น 1 ใน 3 ของพื้นที่เดิม
       
       อนึ่ง ทะเลสาบนัมโซ มีความหมายว่า ทะเลสาบสวรรค์ ชาวพุทธทิเบตเชื่อว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆปีจะมีผู้ศรัทธามาประกอบพิธีกรรมด้วยการเดินไปรอบๆทะเลสาบซึ่งกินเวลาหลายเดือน

       
จาก Xinhua
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย เภตรา
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000099868
16791  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ระวัง.! ใช้ iPhone เสี่ยงโดนขโมยข้อมูลผ่าน 'ไอคลาวด์' เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 08:48:22 pm


ระวัง.! ใช้ iPhone เสี่ยงโดนขโมยข้อมูลผ่าน 'ไอคลาวด์'

กูรูด้านไอทีซิเคียวริตี้ ยืนยัน iCloud ของแอปเปิลมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลเหมือนคนดัง ไม่ใช่แค่บนไอโฟน ถ้าโจรรู้อีเมล์ที่ใช้สมัครแอปเปิลไอดีก็จบข่าวแล้ว แนะ ปิดระบบ iCloud Backup อย่าแบ็กอัพคลิปเสียว ภาพสยิวเด็ดขาด...

หลังจากกรณีภาพหลุดสุดวาบหวิวของนักแสดงสาว เจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ที่ถูกแฮกเกอร์เจาะเอาข้อมูลส่วนตัวและภาพถ่ายที่แบ็กอัพไว้บนบริการแอปเปิล ไอคลาวด์ (Apple iCloud) ทำให้ภาพลับของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถ่ายไว้ดูส่วนตัวหลุดออกมาเผยแพร่ไปทั่วเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังทั้งทวิตเตอร์ และเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 


เว็บไซต์ 4chan ต้นตอของการเผยแพร่ข่าว รายงานว่า ภาพชุดวาบหวิวของนางเอกดังเป็นผลจากการที่กลุ่มแฮกเกอร์ได้ลอบเข้าไปขโมยข้อมูลจากบริการบัญชีไอคลาวด์ และผู้ที่ใช้งานแอปเปิล ไอโฟน โดยภาพที่ขโมยมาได้มีภาพนู้ดของนักแสดงชื่อดัง และเหล่าเซเลบริตี้ของต่างประเทศ เช่น วิคตอเรีย จัสติส เอ็มมิลี่ บราวน์นิ่ง เคท บรอดสเวิร์ธ เจนนี่ แมคคาร์ทนี และเคท อัพตัน นางแบบชื่อดัง


 :41: :41: :41: :41:

นายปริญญา หอมอเนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า การแฮกไอคลาวดืไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการ และก่อนหน้านี้เคยเกิดกับคนดังมาแล้ว เช่น บก.ของนิตยสาร wired magazine ที่ถูกขโมยเจาะไอคลาวด์ และแอปเปิลไอดี (Apple ID) เอาไปซื้อของออนไลน์เสียเงินไปเป็นจำนวนมาก และเคยมีการเตือนหลายครั้งว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก เพราะช่องโหว่ที่มีอยู่ในระบบ

กรณีของเจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ถูกแฮกไอคลาวด์ เกิดขึ้นเพราะแฮกเกอร์โทร.ไปยังแอปเปิลเพื่อขอรีเซตไอดีใหม่ ด้วยขั้นตอนที่ง่ายจนน่ากลัวอยากเตือนให้คนทุกคนรู้ไว้ แฮกเกอร์ ต้องการ 3 อย่างในการรีเซตพาสเวิร์ด ที่เมื่อรู้หมดทั้ง 3 อย่างแอปเปิลไอดีของเราก็ตกไปอยู่ในมือโจรเรียบร้อย


ผู้ใช้ไอโฟน ควรระมัดระวังการใช้งาน iCloud

1. อีเมล์ที่ใช้สมัครแอปเปิลไอดี ผู้คนทั่วไปมักใช้อีเมล์ส่วนตัวสมัครแอปเปิลไอดี ทำให้แฮกเกอร์ได้เหยื่อง่ายๆ เพราะสามารถหาได้จากรายชื่อบนทวิตเตอร์ หรือข้อมูลบนเฟซบุ๊ก

2. เลข 4 ตัวสุดท้ายบนบัตรเครดิต อาจจะดูเหมือนหายาก แต่สำหรับคนที่ใช้งานเว็บไซต์อเมซอน ตัวเลขนี้ถูกแสดงแบบสาธารณะอยู่แล้ว ทำให้ง่ายกับแฮกเกอร์มากขึ้น

3. คำถามยืนยัน ปราการด่านสุดท้าย ที่เหมือนจะยากแต่มักตกม้าตายมาเยอะ คือ คำถามที่ใช้ยืนยันตัวผู้ใช้งาน คนส่วนมากเลือกที่จะใช้คำถามง่ายๆ เช่น วันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด โรงเรียนที่จบสมัยมัธยม ชื่อสัตว์เลี้ยง แล้วข้อมูลเหล่านี้ของคนดังก็มีแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมด


iCloud Backup

เพื่อความปลอดภัยอยากแนะนำให้ปิดระบบ iCloud Backup และ iCloud Photo Sharing บนไอโฟน ไม่ต้องใช้เลยหากมีคอนเทนต์สุ่มเสี่ยงคลิปเสียว ภาพหวิวส่วนตัวอยู่ในเครื่อง หรือ ถ้าต้องการใช้งานลองถามตัวเองว่าหากข้อมูลเหล่านี้หายไปจะเดือดร้อนไหม และหากภาพหลุดไปจะเสียชื่อเสียงหรือไม่ คนที่อยากแบ็กอัพข้อมูลบนไอโฟนมีวิธี คือ แบ็กอัพผ่านโปรแกรม iTunes บนคอมพิวเตอร์ส่วนตัว

iCloud Photo Sharing

การแบ็กอัพต้องเลือกใส่รหัสผ่านทุกครั้ง และเวลาไปเสียบไอโฟนกับเครื่องของร้านมือถือ อย่าเลือก Trusted This Computer เพราะระบบจะถามผู้ใช้งานครั้งเดียว หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ถามเราอีก ทำให้สามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่บนนั้นได้หมด ขอเตือนผู้ใช้งานทุกคนว่า อย่าแบ็กอัพข้อมูลไว้แค่ที่ใดที่หนึ่ง ต้องทำไว้หลายๆ ที่ เพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญเรื่องนี้สามารถเกิดกับผู้ใช้ไอโฟนได้ทุกคน ต้องระมัดระวังให้ดี

รายชื่อของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการขโมยข้อมูลบนไอคลาวด์

ทั้งนี้ 4chan ยังเผยรายชื่อของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการขโมยข้อมูลบนไอคลาวด์ครั้งนี้จำนวนมาก ได้แก่ Aly และ AJ Michalka, Aubrey Plaza, Abby Elliott, Avril Lavigne, Amber Heard, Brie Larson, Candice Swanepoel, Cara Delevigne, Emily Ratjakowski, Farrah Abraham, Gabrielle Union, Hayden Pannettiere, Hope Solo, Hillary Duff, Jenny McCarthy, Kayley Cuoco, Kate Upton, Kate Bosworth, Keke Palmer, Kim Kardashian, Kirsten Dunst, Krysten Ritter, Lea Michele, Lizzy Caplan, Mary Kate Olsen, Mary Elizabeth Winstead, Rihanna, Scarlet Johansson, Selena Gomez, Vanessa Hudgens, Wynona Ryder, Alison Brie และ Dave Franco.

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/447235
16792  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปัญหาใหญ่อินเดีย.!! องค์กรการกุศล มอบห้องส้วม ช่วยผู้หญิง เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 08:37:39 pm


ปัญหาใหญ่อินเดีย.!! องค์กรการกุศล มอบห้องส้วม ช่วยผู้หญิง

องค์กรการกุศลอินเดีย มอบ ห้องส้วม’ใหม่ กว่า 100 ห้อง ให้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในรัฐอุตตรประเทศ หลังเกิดเหตุสลด หญิงวัยรุ่นสองคนโดนข่มขืนและศพถูกนำไปแขวนกับต้นไม้ เพียงเพราะชวนกันออกนอกบ้านไป‘ปลดทุกข์’กลางทุ่ง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 1 ก.ย.ว่า องค์กรการกุศล ‘สุลาภ อินเตอร์เนชั่นแนล’ ในอินเดีย นำห้องสุขา ใหม่เอี่ยม สีขาวสะอาดสะอ้าน จำนวน 108 ห้อง มาให้ ชาวอินเดีย ในหมู่บ้าน เคทรา ซาฮาดัตกันจ์ รัฐอุตตรประเทศ หลังจากเกิดเหตุสลด หญิงวัยรุ่นสองคนซึ่งเป็นญาติกัน ถูกฆ่าข่มขืนและนำร่างไปแขวนไว้กับต้นไม้ เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา อันมีสาเหตุมาจากทั้งคู่ชวนกันไป‘ปลดทุกข์’กลางทุ่ง ในยามค่ำคืน เพราะที่บ้านไม่มีห้องสุขา


 :41: :41: :41: :41:

เจ้าหน้าที่องค์กรการกุศล กล่าวว่า ด้วยความที่บ้านของชาวอินเดียส่วนใหญ่ ในหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีห้องสุขา จึงทำให้พวกผู้หญิงต้องเดินออกจากบ้านไปไกลเพื่อ ‘ทำธุระส่วนตัว’ จนเป็นเหตุให้พวกเธอถูกทำร้าย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ทางองค์กรช่วยจัดหาสุขามาให้เพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิง ในขณะที่ ปัญหาการขาดแคลนห้องสุขาในบ้านถือเป็นปัญหาใหญ่ของอินเดีย เพราะจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 1.2 พันล้านคน ปรากฏว่า เกือบครึ่งหนึ่ง ไม่มีห้องสุขาใช้ส่วนตัวที่บ้าน

ส่วนการสืบสวนติดตามหาตัวคนร้ายที่ลงมือฆ่าวัยรุ่นหญิงทั้งสองจนเสียชีวิตอย่างน่าสะเทือนใจนั้น ยังคงไม่มีความคืบหน้า ขณะที่ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย ประกาศเนื่องในวันเอกราชของอินเดีย เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ว่า พวกเรากำลังอยู่ในศตวรรษที่ 21 แต่ผู้หญิงในอินเดียยังคงไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี และชาวอินเดียลองจินตนาการถึงปัญหามากมายที่ผู้หญิงต้องเผชิญเพราะเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/447229
16793  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สืบสานประเพณี "ตักบาตรขนมครก" ที่สมุทรสงคราม เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 08:08:14 pm
http://61.19.244.31/centerapp/UploadFiles/Video%2f2557%2f09%2f01%2fMobile%2fVNOHT570901001009801.mp4


บรรยากาศงานประเพณีสืบสานทำบุญตักบาตรขนมครก – น้ำตาลทรายประเพณียาวนานกว่า 100 ปี

ขอบคุณวีดิทัศน์จาก 61.19.244.31/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=TNART5709010010002
16794  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ตักบาตรขนมครก’ วัดแก่นจันทร์เจริญ หนึ่งเดียวในเมืองไทย จ.สมุทรสงคราม เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:55:00 pm

‘ตักบาตรขนมครก’ วัดแก่นจันทร์เจริญ หนึ่งเดียวในเมืองไทย จ.สมุทรสงคราม

ประเทศไทยมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมมากมายและแตกต่างกันไปตามวิถีแต่ละชุมชน ในเมืองไทยมีประเพณีตามความเชื่อทางพุทธศาสนาที่น่าสนใจและมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งในวันที่ 1 กันยายน 2557 จะมีประเพณี “ตักบาตรขนมครก” ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ซึ่งจัดขึ้นทุกวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี และได้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่า 85 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 สมัยที่หลวงปู่โห้ เป็นเจ้าอาวาส

โดยมีชาวบ้านตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม รวมทั้งพุทธศาสนิกชน นักเรียน อาจารย์ ร่วมแรงร่วมใจกันสืบทอดประเพณีที่ดีงามด้วยความศรัทธาและความเชื่อที่หลากหลาย จนกระทั่งถึงปัจจุบันมีความเชื่อกันว่า
    “ขนม ค-ร-ก” หรือ “ขนม คน-รัก-กัน” นั้น เป็นขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกัน เป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้ครองรักอยู่คู่กันตลอดไป
    ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็จะทำให้พบเนื้อคู่เหมือนขนมครกที่ต้องมี 2 ฝา และมีความรักหวานมันนุ่มละมุนลิ้นเหมือนรสชาติของขนมครกนั่นเอง


 :49: :49: :49: :49:

    และซึ่งในปีนี้ท่านจะได้พบกับกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ การสาธิตวิธีการโม่แป้งแบบ โบราณ การแข่งขันกีฬาแบบพื้นบ้าน เช่น วิ่งวิบากขนมครก ขูดมะพร้าว ขนมครกลีลา เป็นต้น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม
    จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวคู่รักร่วมกันสืบสานประเพณีที่ดีงาม อีกทั้งยังเป็นการทำบุญอีกทางหนึ่ง ที่แตกต่างจากการทำบุญรูปแบบอื่นๆ และจะทำให้ชีวิตคู่มีความสุขหอมหวานเหมือนขนม ค-ร-ก หรือ ขนม คน-รัก-กัน นั่นเอง



     สำหรับประวัติความเป็นมา ในสมัยพุทธกาล องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ท่านอนาถปิณฑิกะคฤหบดีผู้เป็นเอตทัคคะ ในทางถวายทาน มีรับรองอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ชื่อ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาติ เป็นสุตตันตปิฎก ทุติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๒ วรรคที่ ๑ ชื่อ ปุญญาภิสัณฑวรรค ว่าด้วยความไหลมาแห่งบุญ
     และทรงตรัสตอบปุจฉาของพระนางสุมนาราชกุมารี พระราชธิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีบันทึกในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ชื่อ อังคุตตรนิกาย ปัญจกฉักกนิบาติ เป็นสุตตันตปิฎก ปฐมปัณณาสก์ หมวด ๕๐ที่ ๑ วรรคที่ ๔ ชื่อ สุมณวรรค ว่าด้วยนางสุมนาราชกุมารี ความว่า
    "การถวายอาหารโดยกุศลจิตที่ตั้งไว้ดีแล้ว ชื่อว่าให้อายุ ผิวพรรณ ยศ สุข กำลัง ปณิธาน แล ความเป็นใหญ่ย่อมได้รับผลตามเจตนาแห่งกุศลอันดีแล้ว เป็นความสุขอันหาได้ยากของคฤหัสถ์"
    ประเพณีการทำบุญตักบาตรแด่หมู่สงฆ์ จึงปรากฏมีมาแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน



    ครั้งแรกเมื่อเริ่มตั้งกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยพระราชพิธี ๑๒ เดือน ปรากฏหลักฐานของสำนักใน การตักบาตรขนมเบื้อง ครั้นเมื่อถึงเดือนอ้ายด้วยมีกุ้งชุกชุมเป็นจำนวนมาก ให้เกณฑ์ฝ่ายในช่วยกันปรุงขนมเบื้องถวายพระบรมวงศาณุวงศ์ที่ทรงผนวชแลพระราชาคณะ พระราชพิธีตักบาตรขนมเบื้องสืบทอดมาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี

    พ.ศ.๒๔๔๙ หลวงปู่โห้ ภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสุนทรสุตกิจ เป็นเจ้าอาวาสวัดแก่นจันทน์เจริญ ได้ชักชวนทายกทายิการ่วมกันตักบาตรขนมครกใน วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ เพื่อเป็นการสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรนับเนื่องแต่พุทธกาล


     st12 st12 st12 st12

    อานิสงฆ์ที่ได้รับทำให้ยังสังขารและธาตุของคณะสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาพัฒนาฝึกฝนทั้งทางด้านจิตใจและความรู้ความสามารถในการปลูกสร้าง ตกแต่งซ่อมแซมอาคารต่างๆ ได้รับความรู้ หลังจากลาสิกขาบทไปแล้วยังได้นำปัจจัยไปบำรุงศึกษาทั้งทางสงฆ์และลูกหลานของทายกทายิกาน้ำตาลทรายที่ได้จากการตักบาตรให้ทายกทายิกาได้สืบทอดการทำตังเมมาแต่โบราณเพื่อแจกจ่ายแก่คณะสงฆ์และผู้มาช่วยกิจการภายในวัด ทั้งยังใช้ในการปรุงอาหารสำหรับผู้ที่มาทำบุญ

    เมื่อถึงคราวเข้าพรรษาของพระสงฆ์ ชาวบ้านในชุมชนตำบลบางพรมจึงมีความปรารถนาในการสืบต่อวัฒนธรรมประเพณีตักบาตรขนมครกให้เป็นตำนานยืนยาวสืบไปในอนาคตกาล.


ขอบคุณบทความจาก http://www.thaipost.net/tabloid/310814/95488
ขอบคุณภาพจาก http://www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9570000097636
16795  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบสานประเพณี "ตักบาตรขนมครก" ที่สมุทรสงคราม เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:41:40 pm

งานประเพณีทำบุญตักบาตรขนมครกชาวตำบลบางพรมของวัดแก่นจันทร์เจริญ
ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่า 85 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2473

สืบสานประเพณี "ตักบาตรขนมครก" ที่สมุทรสงคราม

องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลบางพรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสงครามและ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม จัดงานประเพณี "ทำบุญตักบาตรขนมครก-น้ำตาลทราย" ณ วัดแก่นจันทร์เจริญ ต.บางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม โดยมีนายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธาน



งานประเพณีทำบุญตักบาตรขนมครกชาวตำบลบางพรมของวัดแก่นจันทร์เจริญ ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี และได้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่า 85 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 สมัยที่พระครูสุนทรสุตกิจหรือหลวงปู่โห้เป็นเจ้าอาวาส โดยมีชาวบ้านตำบลบางพรม พุทธศาสนิกชน นักเรียน อาจารย์ ร่วมแรงร่วมใจกันสืบทอดประเพณีที่ดีงามด้วยความศรัทธาและความเชื่อที่หลากหลาย

จนกระทั่งถึงปัจจุบันมีความเชื่อกันว่า "ขนม ค-ร-ก" หรือ "ขนม คน-รัก-กัน" นั้น เป็นขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้ครองรักอยู่คู่กันตลอดไป ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็จะทำให้พบเนื้อคู่เหมือนขนมครกที่ต้องมี 2 ฝา และมีความรักหวานมันนุ่มละมุนลิ้นเหมือนรสชาติของขนมครกนั่นเอง ทั้งมีกิจกรรมการสาธิตวิธีการโม่แป้งแบบโบราณ การแข่งขันกีฬาแบบพื้นบ้าน เช่น วิ่งวิบากขนมครก ขูดมะพร้าว ขนมครกลีลา

 

ในวันนี้ชาวบ้านญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ จะตระเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับทำขนมครก ช่วยกันลงแรงและบริจาคทรัพย์มาซื้อข้าวสารเพื่อนำมาหมักค้างคืนไว เมื่อถึงตอนเช้าของวันใหม่ก็จะไปรวมตัวกันที่ศาลาวัด ช่วยกันโม่แป้ง คั้นกระทิ ทำขนกครกพร้อมกับน้ำตาลทราย เพื่อนำไปตักบาตรถวายพระสงฆ์ ทุกๆ ปีจะมีผู้คนทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นโอกาสของการพบปะญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล กลับมายังภูมิลำเนา เป็นการเสริมสร้างความรักในครอบครัว และความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย

ประเพณีตักบาตรขนมครกเริ่มครั้งแรกเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยพระราชพิธี 12 เดือน ปรากฏหลักฐานของสำนักในการตักบาตรขนมเบื้อง ครั้นเมื่อถึงเดือนอ้ายด้วยมีกุ้งชุกชุมเป็นจำนวนมากให้เกณฑ์ฝ่ายช่วยกันปรุงขนมเบื้องถวายพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชและพระราชาคณะ พระราชพิธีตักบาตรขนมเบื้องสืบทอดมาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พ.ศ.2449

ต่อมาพระครูสุนทรสุตกิจหรือหลวงปู่โห้ เจ้าอาวาสวัดแก่นจันทร์เจริญ ได้ริเริ่มประเพณีตักบาตรขนมครกนี้ โดยมีการเลียนแบบมาจากประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องของพระราชพิธีในวัง และได้ชักชวนญาติโยมร่วมกันตักบาตรขนมครก ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี เพื่อเป็นการสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรนับเนื่องแต่พุทธกาล



อานิสงส์ที่ได้รับทำให้ยังสังขารและธาตุของคณะสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา พัฒนาฝึกฝนทั้งทางด้านจิตใจและความรู้ความสามารถในการปลูกสร้างตกแต่งซ่อมแซมอาคารต่างๆ ได้รับความรู้หลังจากลาสิขาบทไปแล้วยังได้นำปัจจัยไปบำรุงศึกษาทั้งทางสงฆ์และลูกหลานของทายกทายิกา น้ำตาลทรายที่ได้จากการตักบาตรให้ทายกทายิกาได้สืบทอดการทำตังเมมาแต่โบราณ เพื่อแจกจ่ายแก่คณะสงฆ์และผู้มาช่วยกิจการภายในวัด ทั้งยังใช้ในการปรุงอาหารสำหรับผู้ที่มาทำบุญเมื่อถึงคราวเข้าพรรษาของพระสงฆ์

แลยังถึงซึ่งความสามัคคีเข้มแข็งของทายกทายิกาในชุมชนและเครือข่าย ชุมชนตำบลบางพรมร่วมด้วย อบต.บางพรมมีความปรารถนาในการสืบต่อวัฒนธรรมประเพณีตักบาตรขนมครกของตำบลบางพรม ให้เป็นตำนานยืนยาวสืบต่อไป

 
ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์
ที่มา news.springnewstv.tv/53914/สืบสานประเพณีตักบาตรขนมครกที่สมุทรสงคราม
16796  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดพระธาตุเจดีย์หลวง เชียงใหม่ เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:32:21 pm


วัดพระธาตุเจดีย์หลวง เชียงใหม่ : คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย
โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์

ศูนย์กลางของจักรวาลทัศน์ของอาณาจักรล้านนาในอดีตก็คือวัดพระธาตุเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดพระธาตุที่เจดีย์สูงที่สุดในอาณาจักรล้านนา

คาดกันว่าสร้างในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาก กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ช่วงราวพ.ศ.1928-1945 มีความสูงของเจดีย์ประมาณ 80 เมตร มีฐานกว้างประมาณด้านละ 60 เมตร

ตามคติของศูนย์กลางจักรวาลทัศน์คือ เขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอันเป็นการชี้ให้เห็นความเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรหรือศูนย์กลางแห่งอำนาจ ลักษณะของศูนย์กลางจักรวาลที่นอกจากจะมีเจดีย์หลัก อันหมายถึงเขาพระสุเมรุเป็นสำคัญ


 :96: :96: :96: :96:

พระธาตุเจดีย์หลวงองค์นี้ยังมีรูปแบบเช่นเดียวกับเจดีย์วัดมหาธาตุทั่วไป คือมีซุ้มที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่แทนองค์พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ที่อุบัติในภัทรกัลป์นี้มาแล้ว ก็คือ พระกุกะสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า และพระสมณโคดมพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์ของชั้นสวรรค์ และบรรดาสัตว์ในหิมพานต์ เช่น มีบันไดนาค 5 หัว 8 ตัว ราชสีห์ที่มุมของมหาเจดีย์ 4 และช้างค้ำ (ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์) อยู่ที่ฐานของเจดีย์ เป็นต้น

วัดพระธาตุเจดีย์หลวงองค์นี้ถูกแผ่นดินไหวหักลง ในปีพ.ศ.2088 เป็นเหตุให้พระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มจระนำเจดีย์นี้ตกลงมา


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

พระไชยเชษฐาแห่งกรุงเวียงจันทน์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพระองค์นี้ไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระแก้วเวียงจันทน์ ภายหลังพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมัยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้อัญเชิญมายังกรุงเทพฯ

การหักพังทลายของวัดพระธาตุเจดีย์หลวงในครั้งนั้นได้ทำให้เกิดการทิ้งร้างพระธาตุองค์นี้นานโดยไม่มีการบูรณะซ่อมแซมถึงเกือบ 400 ปี จนในปีพ.ศ.2471-2481 พลตรีเจ้าแก้วนวรัฐปฏิสังขรณ์โดยการรื้อถอนสิ่งปรักหักพัง กระทั่งปีพ.ศ.2533-2535 กรมศิลปากรบูรณะขึ้นใหม่ทั้งหมดตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd09UUXlPVE0xTmc9PQ==   
16797  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หัวขโมยเจอดี ศาลเตี้ยชาวบ้านกวางสี บังคับให้คาบเป็ด นั่งขอขมาข้างถนน เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:24:06 pm


หัวขโมยเจอดี ศาลเตี้ยชาวบ้านกวางสี บังคับให้คาบเป็ด นั่งขอขมาข้างถนน

ซั่งไห่อิสส์- วัยรุ่นหัวขโมยเป็ดเจอดี ชาวบ้านใช้ศาลเตี้ยทำโทษ ให้คาบเป็ดที่ขโมยไปไว้ในปาก พร้อมบังคับนั่งขมาข้างถนนเพื่อสำนึกผิด

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ในหมู่บ้านลิ่วปัว ตำบลชิ่งหย่วน เมืองอี๋โจว เขตปกครองตัวเองชนชาติจ้วงมณฑลก่วงซี (กวางสี) วัยรุ่นชายสองคนอายุราวๆ 14 ปี แอบขโมยเป็ดของชาวบ้านแต่โดนจับได้ กลุ่มชาวบ้านไม่ได้แจ้งตำรวจแต่ตัดสินใจใช้ศาลเตี้ยลงโทษ ด้วยการให้พวกเขาคาบเป็ดไว้ในปาก และนั่งขอขมาอยู่ริมถนน
       
ชาวบ้านคนหนึ่ง แค้นหัวขโมยมาก ลงโทษไม่หน่ำใจ ทำพวงเป็ดสองตัวห้อยคอเด็กหนุ่มทั้งสอง สร้างความอับอายหนักเข้าไปอีก
       
ชาวบ้านลงโทษเด็กหนุ่มทั้งสองเพื่อให้หลาบจำและสำนึก ทั้งนี้ เพราะเห็นว่าพวกนี้เอาแต่สำมะเลเทเมา ไม่ทำมาหากิน พอหมดหนทางก็เลยริเป็นหัวขโมย


 :96: :96: :96: :96:

ทว่า หลังภาพการลงโทษด้วยวิธีแบบยุคกลางนี้เผยแพร่ไปในโลกออนไลน์ หลายคนกลับไม่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป ควรใช้กฎหมายเข้ามาจัดการ และบางคนก็เห็นว่า การที่ชาวบ้านใช้ศาลเตี้ยลงโทษทางร่างกายแบบนี้ จะเป็นตัวอย่างให้ที่อื่นทำตาม
       
ด้านตำรวจออกมาเตือนว่า หากชุมชนสามารถจับผู้กระทำผิดได้ควรส่งตัวให้ตำรวจ และระบุว่า นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ทางการแล้ว คนอื่นไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะลงโทษผู้ต้องสงสัยทางร่างกายได้ ดังนั้น ผู้ที่ลงโทษจะต้องรับผิดชอบทางกฎหมายและอาจเจอข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง








ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000099807
16798  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / เทคนิคใช้คอมพิวเตอร์ ให้ปลอดภัยจาก..การถูกแฮ็ก เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:19:11 pm



เทคนิคใช้คอมพิวเตอร์ ให้ปลอดภัยจาก..การถูกแฮ็ก
โดย...พงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ

ภัยและอันตรายจากโลกออนไลน์มีมากมายจากการใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่มีจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน ดังที่เราจะเห็นในข่าวคราวหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกแฮ็กข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การถูกดักจับข้อมูลในขณะที่เราใช้คอมพิวเตอร์อยู่ในที่สาธารณะก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งสิ้น หากผู้ใช้งานเข้าใจกระบวนการและวิธีกลโกงต่างๆ และหาวิธีป้องกันตัวเองได้ก็จะทำให้พวกอาชญากรทางคอมพิวเตอร์ต่างๆ เหล่านี้ลดลงได้มากพอสมควร

จากสถิติที่ผ่านมา ปัจจุบันในโลกของเรานั้น “ยังไม่มีอุปกรณ์ชิ้นไหน หรือซอฟต์แวร์ตัวไหนที่จะช่วยป้องกันการโดนแฮ็กข้อมูลได้ 100%” ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดเราควรที่จะรู้ว่าวิธีที่จะทำให้การแฮ็กข้อมูลของเราเป็นไปได้ยากที่สุด และทำให้ผู้ร้ายยอมถอดใจไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการสร้างเกราะป้องกันตนเอง สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ดังนี้

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

อัพเดทระบบปฏิบัติการอยู่อย่างสม่ำเสมอ
จากการวิจัยพบว่า ความพยายามในการแฮ็กข้อมูลของผู้ใช้งานมักจะเกิดจากรูรั่วของระบบปฏิบัติการ(OS) ต่างๆ ที่ใช้งานอยู่ ซึ่งทางผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่างๆ ก็มีความพยายามในการอุดรูรั่วเหล่านั้นอยู่เสมอ|ผู้ใช้งานเองควรหมั่นตรวจสอบ และอัพเกรดระบบปฏิบัติการให้ใหม่อยู่เสมอ โดยสามารถติดตามได้จากหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตระบบปฏิบัติการต่างๆ เช่น Microsoft หรือ Linux เป็นต้น และโดยปกติแล้วระบบปฏิบัติการเหล่านั้นมักจะมีการตั้งค่าแจ้งเตือนเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ว่าเราควรจะทำการอัพเดทอะไรบ้าง ซึ่งการทำการอัพเกรดระบบปฏิบัติการให้มีความใหม่เสมอไม่เพียงแต่จะทำให้การใช้งานของเราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้งานก็จะได้ประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีเป็นเงาตามตัวอีกด้วย


Anti-Virus ใครว่าไม่สำคัญ
โปรแกรม Anti-Virus ในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะช่วยในการป้องกัน Virus ที่มาจากการใช้งานทั่วไปเท่านั้น แต่ Anti-Virus ในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะมีความสามารถในการป้องกันการโจมตีต่างๆรวมถึงความพยายามในการที่ผู้ไม่หวังดีจะเข้าเครื่องของผู้ใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ และสิ่งที่ต้องทำหลังจากการติดตั้งคือการอัพเดทโปรแกรม Anti-Virus ให้มีความใหม่สดเสมอเพื่อพร้อมที่จะต่อกรกับภัยคุกคามต่างๆ ได้ทันท่วงที


Software ที่น่าเชื่อถือ VS Software ที่ไม่น่าเชื่อถือ
การติดตั้งโปรแกรม หรือ Software ต่างๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปัจจุบันผู้ใช้งานสามารถที่จะเลือกใช้งานซอฟต์แวร์ที่น่าเชื่อถือได้จากการซื้อ Licenses ที่ถูกต้อง และพยายามหลีกเลี่ยงซอฟต์แวร์ที่ไม่ถูกลิขสิทธิ์ หรือมีการปรับแต่งค่าต่างๆ (Customize) เนื่องจากซอฟต์แวร์เหล่านี้ถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งของผู้ที่ไม่หวังดีมักจะแฝงโปรแกรมอื่นๆ สอดแทรกมา ทำให้ผู้ใช้งานอาจจะไม่ทันระวังตัวและสูญเสียข้อมูลส่วนตัว


Username และ Password
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์กว่า 80% มักจะโดนเจาะข้อมูลจากการตั้งรหัสผ่านที่ตั้งอย่างง่ายๆ เนื่องจากปัจจุบันในโลกของคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมที่ใช้ในการเจาะรหัสผ่านของผู้ใช้งานผ่านไว-ไฟ หรืออินเทอร์เน็ตที่ใช้งานร่วมกันได้อย่างไม่ได้ยากเย็นนัก หลักการของโปรแกรมเหล่านี้ คือ การใช้ตัว เลข 0-9 ตัวอักษร A-Z a-z และอักขระพิเศษ #@$ <mailto:#@$> มาทำการสุ่ม เพื่อทดสอบว่า Password ที่ท่านใช้งานอยู่คืออะไร โดยใน 1 วินาที โปรแกรมเหล่านี้จะสามารถเดา Password ได้มากกว่า 1 ล้านครั้ง ซึ่งรูปแบบการเดา Password มักจะเลือกจากการใช้งาน Password ที่มีความหมายและคำศัพท์ที่มีอยู่ใน Dictionary มาเป็นอันดับแรกก่อน ดังนั้นการตั้ง Password ที่ดีก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาความปลอดภัยให้กับเครื่องเช่นเดียวกัน


 :96: :96: :96: :96:

จะเห็นได้ว่า การป้องกันความปลอดภัยของเครื่องคอมพิวเตอร์มีหลักการง่ายๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหากทำตามแล้วนั้นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณก็จะเป็นไปได้ยากขึ้นแล้วล่ะครับ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/315614/เทคนิคใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัยจากการถูกแฮ็ก
16799  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ปักหมุด.! เฟซบุ๊กไทย..เบอร์ 3 เอเชีย เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:11:43 pm


ปักหมุด.! เฟซบุ๊กไทย..เบอร์ 3 เอเชีย

ช่วงนี้เรียกได้ว่า กระแสความเคลื่อนไหวในโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์ เบียดชิงพื้นที่ข่าวสารในบ้านเราค่อนข้างมากพอสมควร สาเหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้สังคมออนไลน์ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งนั่นเอง
 
ล่าสุด มีการเปิดเผยข้อมูลผลสำรวจอย่างเป็นทางการ ซึ่งเฟซบุ๊กว่าจ้างให้บริษัทวิจัยการตลาดขื่อดังระดับโลกคือ ทีเอ็นเอส (Taylor Nelson Sofres  : TNS) เป็นผู้จัดทำให้ หลังเห็นการขยับขึ้นของประชากรชาวเฟซบุ๊กในไทย ที่เบียดขึ้นแท่นเบอร์ 3 ของตลาดเฟซบุ๊กเอเชียไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยจำนวน 27 ล้านคน ไล่ตามตัวเลข 36 ล้านคน ในฟิลิปปินส์ และ 64 ล้านคน ของอินโดนีเซีย
                                 
ผลสำรวจนี้จัดทำกับกลุ่มตัวอย่างคนไทยจำนวน 1,289 คน ในวัย  16 ปีขึ้นไป ซึ่งหากมองในแง่ศักยภาพเชิงการตลาดแล้ว ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะครอบคลุมตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ที่ค่อนข้างตัดสินใจซื้อไว ตลอดจนศักยภาพในการเป็นลูกค้าในอนาคต ขึ้นมาถึงวัยเริ่มทำงาน และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นวัยที่มีกำลังซื้อทั้งสิ้น

 
 :96: :96: :96: :96:

ข้อมูลที่ได้ก็ยิ่งเอื้อต่อสถานะความเป็นผู้นำของเฟซบุ๊กในไทย เมื่อพบว่ากลุ่มตัวอย่างนี้ มีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของเฟซบุ๊ก ถึง 96% รองลงมา 85% ใช้ยูทูบ และ 83% ใช้ไลน์  โดยมีการใช้เฟซบุ๊กเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 35 นาทีในแต่ละวัน  มากกว่ายูทูบ 2 เท่า และทวิตเตอร์ 10 เท่า
 
พฤติกรรมการใช้งานเฟซบุ๊กของคนไทย เรียกได้ว่าแทบทุกขณะที่มือว่างเลยทีเดียว (เพราะต้องใช้ปลายนิ้วคลิก และเลื่อนหน้าจอ (ฮา)) ไม่ว่าจะระหว่างดูทีวี รอต่อคิว อยู่ในห้องน้ำ แต่ที่มีความถี่ 3 อันดับแรก คือ ใช้ขณะที่อยู่ในที่ทำงาน 76% ตามมาด้วย ระหว่างอยู่บนที่นอน  64% และ 54% ใช้ขณะอยู่บนรถโดยสาร
 
และแม้ส่วนใหญ่กิจกรรมในเฟซบุ๊กจะเป็นการคลิกไลค์ หรือติดตามแฟนเพจ ไม่ต่ำกว่า 70% แต่ก็มีราวครึ่งที่ซื้อสินค้า รวมถึงค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการผ่านช่องทางนี้ ซึ่งกลายมาเป็นสื่อกลางส่งผ่านข้อมูลสินค้าบริการต่างๆ ตรงเข้าสู่สายตาว่าที่ลูกค้า
 
 :49: :49: :49: :49:

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทุกวันนี้ธุรกิจระดับเอสเอ็มอี มากกว่า 30 ล้านราย ต่างมีการสร้างแฟนเพจของตัวเอง ขณะที่ผู้โฆษณามากกว่า 1.5 ล้านรายทั่วโลก รุกโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก เพราะผู้บริโภคยุคนี้ พร้อมรับโฆษณาแบบไดเร็กต์ผ่านสังคมออนไลน์ โดยไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด เมื่อเทียบกับการรับโฆษณาผ่านสื่อช่องทางอื่นๆ อย่างเช่น ทีวี วิทยุ เนื่องจากมองว่า โฆษณาเหล่านั้นคือ “ข้อมูลสินค้า-บริการ” นั่นเอง
 
ผลสำรวจนี้ได้จัดหมวดหมู่สินค้าที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยเลือกซื้อหลังได้รับคำแนะนำหรือข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก 10 อันดับ  ได้แก่ การเดินทางพักผ่อน, สินค้าแฟชั่น, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าราคาแพง, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, อินเทอร์เน็ตและบริการเครือข่ายมือถือ,  ตั๋วภาพยนตร์, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์บำรุงผม และการลงทุนและบริการด้านไฟแนนซ์

 
อินโนเทค : ปักหมุดเฟซบุ๊กไทยเบอร์ 3 เอเชีย : โดย...คนชอบเล่า
ี่ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20140831/191108.html
16800  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 5 ยอดมนุษย์ ที่สังคมออนไลน์..เอือมระอา เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 07:06:32 pm


5 ยอดมนุษย์ ที่สังคมออนไลน์...เอือมระอา

เชื่อว่าเราเจอมนุษย์เหล่านี้อยู่เป็นประจำ จนแทบจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกออนไลน์ไปแล้ว รวมถึงหลายๆ คนอาจเผลอไผลเป็น “ยอดมนุษย์” 1 ใน 5 ประเภทนี้ไปแล้วโดยไม่รู้ตัวจนเพื่อนๆ หดหาย unfriend ไปทีละคนสองคน

 :96: :96: :96: :96:

1. มนุษย์จิก เข้าใจว่าชาติที่แล้วคงเกิดเป็นไก่ จนจิกได้สารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นพิมพ์ผิด จำผิด ไปจนถึงนโยบายบริหารตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านไปจนถึงเลขาฯยูเอ็นก็จิกกัดได้ไม่ เว้นวันหยุด มนุษย์เหล่านี้มักจะจิกอย่างเดียวแต่ไม่ได้บอกทางแก้ไข เพื่อนๆ มักจะไม่ค่อยอยากยุ่งนะครับ

2. มนุษย์ปาด เราจะเห็นมนุษย์กลุ่มนี้ในเว็บบอร์ดหรือโพสต์ที่มีเนื้อหาค่อนข้างยาว มนุษย์ปาดมักอ่านหนังสือไม่เกินปีละ 8 บรรทัดจึงมักสรุปความผิดและแสดงความเห็นต่อว่าเจ้าของโพสต์ทั้งๆ ที่ตัวเองยังอ่านไม่จบและไม่เข้าใจเนื้อที่เขาต้องการจะสื่อ ใครไปท้วงอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง น่ารำคาญไม่น้อยครับ

3. มนุษย์ป้า มักเอาเรื่องที่ตัวเองทำผิดมาโพสต์หาพวก เช่นขับรถปาดหน้าเขาแต่เขาไม่ให้ก็ถ่ายรูปมาประจานว่าแล้งน้ำใจ ยอดมนุษย์ป้ามักโดนถล่มประนามอยู่เป็นประจำแต่ไม่ค่อยจะเข็ด เพื่อนใครเป็นต้องช่วยกันเตือนนะครับ

4. มนุษย์กล้อง กลุ่มนี้มีมือถือเป็นอาวุธพร้อมใช้จับจังหวะเอาภาพที่ตัวเองต้องการไปสร้าง ดราม่าหายอดไลค์ เช่นภาพยายแก่บนรถเมล์ที่ไม่มีใครลุกให้นั่ง ก็จับภาพคนนั่งคนนั้นมาโพสต์ประจาน ทั้งๆ ที่ภายใน 30 วินาทีเขาก็สละที่นั่งให้แล้วให้แต่มนุษย์กล้องจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะ เดี๋ยวจะไม่มีเรื่องมาเมาท์… อันนี้น่าเบื่อครับ

5. มนุษย์ป้าย พวกนี้ขี้เหงาครับ จะโพสต์อะไรมักจะกลัวเพื่อนไม่รู้เลยติดป้ายหรือ Tag ไปทั่ว และส่วนมากมักจะเป็น Tag ขายของอีกต่างหาก ซึ่งนานๆ ทีไม่มีใครว่าครับ ช่วยกันทำมาหากิน แต่ Tag มาวันเว้นวันมันไม่ไหวครับ รกหน้าจอเพื่อนๆ เขา

 :41: :41: :41: :41:

ใครไม่อยากเป็นยอดมนุษย์ที่สังคมออนไลน์รังเกียจก็รีบแก้ไขนะครับ เพื่อนๆ พร้อมให้อภัยครับ


Credit : ปฐม อินทโรดม / ARiP
สนับสนุนเนื้อหา: Arip
ที่มา hitech.sanook.com/1391217/5-ยอดมนุษย์-ที่สังคมออนไลน์เอือมระอา/
หน้า: 1 ... 418 419 [420] 421 422 ... 706