สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 27, 2016, 08:22:01 pm



หัวข้อ: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 27, 2016, 08:22:01 pm

(http://media.komchadluek.net/img/size1/2016/07/26/c6k6ked6ad5686fak7f57.jpg)



จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์) : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง ทีมงานองค์กรมัคค์ ภาพ

           เข้าพรรษาปีนี้ ที่สวนยินดีทะเล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งก่อตั้งโดยคุณแม่ยินดี พันธุนะ ( สุขสด) ได้จัดบวชอุบาสิกาใจพระเป็นปีที่ ๓ แล้ว โดยมี

           พระครูวินัยธรทรงศักดิ์ วิโนทโก (หลวงพ่อเอี้ยน) สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต (วังเนียง) อ.เมือง จ.พัทลุง และอาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม วิปัสสนาจารย์ เป็นผู้สอนตลอด ๓ เดือนนี้

           นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับลูกผู้หญิงที่มีพระนิพพานเป็นธงชัย และมีเป้าหมายที่จะพ้นทุกข์ในชาตินี้ ในวิถีนักบวชนั้นเป็นไปได้แล้ว แม้ว่า ประเทศไทย โดยมหาเถรสมาคมจะมีมติว่า ไม่มีภิกษุณีในประเทศไทยก็ตามที แต่นั่นก็เป็นเพียงการห้ามในนามของสมมติชื่อเรียก ส่วนในทางธรรม ลูกผู้หญิงที่เห็นทุกข์ และต้องการออกจากทุกข์ บนหนทางนักบวช ยังคงมีมาตลอดไม่ขาดสาย นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้กับพระน้านางของพระองค์เอง คือ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี หรือพระนามเดิม พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา และทรงเรียนกรรมฐานจากพระพุทธองค์ ทรงปฏิบัติอย่างจริงจัง จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ซึ่งพระพุทธจ้าทรงยกย่องท่านว่าเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู (ผู้มีราตรีนาน คือ บวชก่อนผู้อื่น)

            :96: :96: :96: :96:

           นับจากนั้น ภิกษุณี หรือนักบวชหญิง ก็มีมาตลอดไม่เคยขาดหายไปจากบวรพระพุทธศาสนา จวบจนถึงปัจจุบันผ่านไป ๑,๖๐๔ ปี แต่อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปในนามของแม่ชีบ้าง ศีลธารา บ้าง สิกขามนา บ้าง ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นในนามของสมมุติเท่านั้นเอง

           แล้ว “อุบาสิกาใจพระ” ล่ะเป็นอย่างไร

           อาจารย์ประเสริฐอธิบายว่า จากการที่เปิดคอร์สปฏิบัติธรรมที่สวนยินดีธรรม และสวนยินดีทะเล มาประมาณ ๑๐ ปี เห็นว่าผู้หญิงเข้าปฏิบัติธรรมประมาณ ๙๐%

           หรือมากกว่านั้น

           “ผมเชื่อว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมไปสักพักจะมีความรู้สึกลึกๆ อย่างหนึ่งคือ ต้องการแสวงหาความพ้นทุกข์ ซึ่งเราอาจมองผู้ปฏิบัติธรรมว่าเขาอยากได้บุญ แต่จริงๆ แล้ว เขามาเพราะเห็นว่าสิ่งนี้ดี เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้มีความสุข สงบใจ เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตมากขึ้น และเมื่อมาปฏิบัติในชั้นลึกๆ แล้วจะรู้สึกว่าปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีจริง ไม่ใช่ว่าทุกข์หนึ่งดับไป แล้วทุกข์ใหม่ก็เข้ามา แต่สามารถพ้นทุกข์ได้จริง

           “ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมคิดว่าเราควรจะมีโครงการอะไรสักอย่างที่จะรองรับผู้หญิงกลุ่มที่มีความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ ในเมื่อผู้ชายสามารถเป็นพระได้ ผู้หญิงก็สามารถเดินตามรอยพระพุทธเจ้า เดินตามรอยครูบาอาจารย์ไปบนอริยมรรคมีองค์ ๘ เช่นนั้นได้เหมือนกัน”

           โครงการอุบาสิกาใจพระจึงเกิดขึ้น



(http://media.komchadluek.net/img/size1/2016/07/26/c6k6ked6ad5686fak7f571.jpg)


           อาจารย์ประเสริฐ กล่าวต่อมาว่า เริ่มต้นจากรุ่นที่ ๑ สามเดือน เมื่อปี ๒๕๕๗ มีผู้เข้ามาบวช ๑๗ คน เป็นผู้ที่มาช่วยงานอย่างใกล้ชิดส่วนใหญ่

           "พอมารุ่นที่ ๒ ปี ๒๕๕๘ เราลังเลว่าจะจัดเป็นปีสุดท้าย พอลังเลเลยเปิดรับไม่อั้น ผู้หญิงที่ทราบข่าวพอรู้ว่าจะเป็นปีสุดท้ายก็สมัครเข้ามากันใหญ่ ก็มีผู้เข้ามาบวชเกือบ ๕๐ คน พอปีนี้ ๒๕๕๙ เราเห็นประโยชน์ที่ลูกผู้หญิงได้รับ ผมเลยตัดสินใจว่าเราคงจะทำโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเมื่อไรไม่รู้ ก็เลยจำกัดไว้แค่ปีละ ๒๐ คนก็พอ มีคนสมัครมากันเยอะครับ แต่เราขอให้เป็นรุ่นที่ ๔ ต่อไปแล้วกัน เพื่อเกื้อกูลในส่วนการภาวนาให้ได้คุณภาพกว่าปริมาณ แล้วคนที่สมัครมาเป็นคนที่ ๒๑ ในปีนี้ก็จะเป็นคนที่ ๑ ของปีหน้า ถ้าวันนั้นยังคิดจะบวชอยู่

           "บางคนอาจมองว่า ก็แค่ได้ไปบวชสามเดือน แล้วถ้าทางพ้นทุกข์ต้องการมากกว่านั้นล่ะ จะทำอย่างไร ก็ต้องไปว่ากันต่อ แต่นี่คือบันไดขั้นแรกและมีหนทางชัดเจนเพื่อเพียรออกจากทุกข์แล้ว  เพราะให้อุบาสิกาเข้ามาสัมผัสความเป็นพระ  ถือศีล ๑๐ แล้วก็รับศีลจากหลวงพ่อเอี้ยน ซึ่งหลวงพ่อเอี้ยนก็คือ ศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาส

           “พอรับศีลสิบก็กึ่งๆ จะเป็นสามเณรแล้ว เราอาศัยตรงจุดนี้ทำให้การปฏิบัติของผู้หญิงเป็นไปได้ คือ ฉันมื้อเดียว ตื่นตีสาม แล้วก็ปฏิบัติภาวนาอย่างเข้มข้น เหมือนกับพระที่ท่านมุ่งมั่นปรารถนาจริงๆ โดยเฉพาะในปีนี้ ซึ่งเป็นรุ่นที่สาม ผมได้สร้าง "ธุดงคสถานมัคคานุคาวิเวก" อยู่บนยอดเขาของเกาะพะลวย หมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี ก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่นั่นยังเป็นลักษณะของป่าดิบอยู่ อุบาสิกากลุ่มนี้ จะไปใช้ชีวิตแบบพระธุดงค์ อยู่ในป่า ไม่มีไฟฟ้าที่นั่น ซึ่งปีนี้ก็จะปฏิบัติเข้มกว่าเดิมโดยมีหลักการปฏิบัติก็คือ อุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)”

            :25: :25: :25: :25:

           สำหรับผู้ที่ผ่านมาผู้ที่่ได้ผ่านสองโครงการไปแล้วมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างไรบ้าง อาจารย์ประเสริฐเล่าว่า พวกเธอสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แล้วนำกลับไปใช้กับชีวิตได้ดี

           “บางคนก็มุ่งมั่นที่จะเข้ามาทางนี้ ตามเหตุ ตามปัจจัยที่เขาทำได้ บางคนมีครอบครัวแล้ว บางคนมีหน้าที่การงาน เขาก็จำเป็นต้องกลับไปทำ แต่เขาไม่เคยที่จะทิ้งทางนี้ ว่างเมื่อไรก็จะเข้ามาช่วยงานศาสนา เข้ามาปฏิบัติภาวนา แล้วนำพาครอบครัวเข้าสู่เส้นทางธรรมกันได้เกือบทั้งหมด เราก็เลยยังจะจัดไปเรื่อยๆ เท่าที่ยังมีคนสมัครมากันอยู่ ”

           อยู่อย่างไม่ประมาท๕๔ปี ของอาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

           หลังจากเรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม กลับมาทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม แล้วก็ทำธุรกิจส่วนตัวมาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จ และก็มาสู่การเป็นหนี้สินในยุคไอเอ็มเอฟ   จากนั้นเคยเฉียดตายระหว่างการทำฟาร์มกุ้ง จนได้กำลังใจจากหนังสือ “พระมหาชนก” ยอมว่ายแม้ไม่เห็นฝั่ง  กระทั่งมาคลิกชีวิตอีกครั้งจากการบวชเป็นศิษย์พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ จนพบความเป็นจริงของชีวิตในที่สุด   

           หลังจากลาสิกขา ก็มาช่วยคุณแม่ยินดี พันธุนะ (สุขสด) สร้างสวนยินดีธรรม และสวนยินดีทะเล ในเวลาต่อมา

           ปัจจุบันเป็นวิปัสสนาจารย์ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนบนกองทุกข์ให้เห็นทางออกจากทุกข์ มากว่า ๑๐ ปีแล้ว

            st12 st12 st12 st12

           อาจารย์ประเสริฐให้ข้อคิดสำหรับเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายในช่วงเข้าพรรษาผ่านมาทางคมชัดลึก ไว้เป็นสติเตือนใจว่า ... 

           "พระพุทธองค์ตรัสว่า เรามีความตายเป็นที่สุดรอบ ไม่ว่าเราจะทำอะไรมามากมายแค่ไหน สุดท้ายเอาอะไรไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราควรอาศัยสามเดือนในการเข้าพรรษาในการทำความเข้าใจกับชีวิตให้ถึงที่สุด สำหรับคนติดเหล้าก็อาจไปเลิกเหล้า ติดบุหรี่ก็เลิกบุหรี่ ติดอะไรก็อาศัยการรักตัวเองเพื่อเผากิเลสบ้าง อย่าปล่อยให้ชีวิตไหลไปเหมือนใบไม้ในน้ำตกที่ไหลไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตกลงไปในน้ำตกเหวนรกทุกคน ไม่มีใครรอดพ้น เพราะฉะนั้นให้ทุกคนอาศัยการเข้าพรรษานี้เป็นเครื่องขัดเกลาและพัฒนาจิต ทำอะไรได้ก็รีีบทำเสีย เพราะเราไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันของเรา

           "เราเห็นวันของคนอื่นบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวีกันทุกวัน เป็นวันของคนอื่นที่ไปถึงจุดสุดท้าย แต่วันสุดท้ายของเรามาถึงแน่นะ ไม่ขึ้นกับอยากหรือไม่อยากของใคร อยากไม่อยาก แค่อยู่ในใจของเราเฉยๆ แต่วันสุดท้ายมาถึงแน่ๆ เพราะฉะนั้นอย่าประมาท

           “สำหรับตัวผมเอง เมื่อก่อนเปิดคอร์สปฏิบัติธรรมแทบไม่มีวันหยุดเลย วันนี้จบคอร์ส พรุ่งนี้ต่ออีกที่หนึ่ง จนผ่านมาเกือบ ๑๐ ปี ก็เริ่มลดคอร์สปฏิบัติลง แต่ไปเพิ่มปริมาณคนในแต่ละคอร์สแทน เมื่อคอร์สลดลง ผมก็มีเวลามาสอนที่สถานปฏิบัติธรรมสวนยินดีทะเลและที่เกาะพะลวย ที่เป็นธุดงคสถาน ผมคงไปอยู่ทางนั้นมากขึ้น แล้วคอร์สปฏิบัติคงจะลดลง แต่ก็ยังไม่ทิ้งทีเดียว เพื่อประโยชน์ของผู้คนก็ยังช่วยได้อยู่  แล้วก็กลับมาอยู่กับตัวเอง ภาวนาส่วนตน และพักบ้าง” 


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/news/amulets/235372 (http://www.komchadluek.net/news/amulets/235372)


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: Hero ที่ กรกฎาคม 27, 2016, 08:35:03 pm
อ่านแล้วดูดีจัง ในด้าน ปรมัตถ์ก็เห็นด้วย อยู่ว่าเป็นเรือ่งสมมุติ ถ้าเอาด้านนี้ แง่นี้ บวชกับต้นไม้ สึกกับต้นไม้ ก็น่าจะเป็นธรรมได้ ในเมื่อ อุปัชฌาย์สาย ภิกษุณี ขาดแล้ว การยกฐานะสงฆ์ทำไม่ได้ เพราะต้องมีสงฆ์ สองฝ่าย เรื่องนี้ผมว่า ทาง มส. อธิบายได้ชัดเจน ถ้าขึ้นทำขั้นมา ก็เท่ากับเอาผ้าเหลืองไปคลุมตัว ซึ่งมีได้ถูกยกฐานะ อย่างถูกต้อง ในขั้นสมมุติ และในด้านปรมัตถ์ จะเป็นอย่างไร

 
การที่พระสงฆ์ ที่มีความเห็นแบบ ปรมัตถ์ อุตริไปบวชให้กับผู้หญิงเหล่านี้ ผมเชื่อว่าเป็นการขวางธรรม ของผู้บวชเอง นะครับ จะทำให้การบรรลุธรรมยากยิ่งขึ้น เพราะว่าการบวชที่ไม่ถูกต้องตามบัญญัติ ยกฐานะไม่ได้เป็น โมฆะเท่ากับไม่เป็น พระภิกษุณี ดังนั้นสถานะ ของผู้ที่ห่มผ้าเพศหญิงเท่ากับ เป็นภิกษุณี ปลอม
ถามว่า คนเอาผ้าเหลืองมานุ่ง แล้วไปบิณฑบาตร ใช้ชีวิตเยี่ยงพระเป็น บุญ หรือ เป็น บาป ครับ


  ผมเชือ่ในสิ่งที่พระอาจารย์ ท่านเคยพูดเรื่องนี้ในรายการเมื่อสองปีที่แล้ว ว่าการบวชภิกษุณีไม่ควรมีตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้า
 :25: :49: :49: :coffee2: :coffee2:


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 09:49:32 am
ในแง่ ภิกษุณี เห็นด้วย เพราะไตร่ตรองแล้ว เชื่อบุญบาป
แต่ถ้าเป็น อุบาสิกา แม่ชี เป็นบุญหลาย ๆ อนุโมทนา สาธุ

 st11 st12 st12 st12


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้านตอง ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 12:41:42 pm
 st12 st12 st12


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: Lux ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 12:43:54 pm
อย่างน้อย มีที่ให้ผู้หญิง บ้าง เนาะ ส่วนตัวก็อยากบวชเป็น ภิกษุณี นะคะ
แต่ถ้ามันมีโทษ อย่างที่คุณ Hero กล่าว แล้วก็แสดงว่า เป็นไปไม่ได้ ถ้าทำก็คือ ผิด
แต่อย่างน้อย พวกผู้หญิง ที่มีทุกข์ ก็ยังได้มีที่พึ่ง บ้างเนาะ

 :58: st12 st12 st12


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: komol ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 12:49:03 pm
ส่วนนี้ถ้ามองกุศลเจตนา เป็นการเปิดช่อง ให้ผู้หญิงได้มีโอกาส ฝึกภาวนา มากขึ้น ก็ดีนะ แต่ความเป็นจริง ผู้หญิงปฏิบัติธรรม มากกว่า ผู้ชายนะ ทั่วประเทศ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมไปแต่ละที่นับผู้ชายได้ แต่ผู้หญิงนับไม่ได้ เพราะว่าผู้หญิงมีจำนวนมาก แต่ผู้ชายมีจำนวนน้อย

   ดีไม่ดี วัดทั่วประเทศ นี้อาจจะเป็นผู้หญิง เป็นผู้สร้าง ผู้บริจาค มากกว่า ผู้ชายก็ได้ นะครับ

  ถ้าบอกว่าผู้ชายไปบวชพระ จึงมีน้อยไม่จริงครับ เพราะว่า พระมีอยู่แสนกว่า ครับ ประชากรคนไทย มี 60 ล้านคน นะครับ

   เรื่องผู้หญิง ปฏิบัติได้ วิมุตติ นั้นเห็นด้วย แต่ เรื่อง บวชพระภิกษุณี อันนี้ไม่เห็นด้วยครับ ที่ไม่เห็นด้วย ต้องเชื่อในคำครูอาจารย์ ตลอดถึงพระพุทธเจ้า ท่านตรัสแสดงไว้แล้วด้วย วินัยบัญญัติ

     แต่ถ้าทำให้ถูกต้องได้ ผมก็ดีใจ นะครับ ที่จะเห็นพระภิกษุณี อีกครั้ง ในประเทศไทย

    :49:


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: นักเดินทาง ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 12:57:34 pm
ทำขณะปัจจุบันให้ดี ถูกต้อง ตามพระบัญญัติ ที่พระพุทธเจ้า ประทานไว้ รูปแบบของวิมุตติธรรม ออกไปทางแนวเซ็น ซึ่งมีความเป็นไปได้ มีหลักการคิดสืบทอดคล้าย มหายาน ดังนั้น เรื่องของ ปรมัตถ์ และ สมมุติ นั้นจะเป็นเช่นนั้น

   ถ้าไม่แคร์สมมุติ ก็ไม่ต้องตั้ง สมมุติ ปฏิบัติธรรม ที่เป็น ปรมัตถ์ ไป

   :49:


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 06:51:33 pm

                    ก็ว่ากันไป และ วิจารย์กันไปตามรูป ครับ


หัวข้อ: Re: จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
เริ่มหัวข้อโดย: นักเดินทาง ที่ กรกฎาคม 28, 2016, 08:19:29 pm
มองภาพรวมแล้ว พระพุทธศาสนา ตอนนี้ในประเทศไทย ถือว่ารุ่งเรืองมาก สำหรับสายเถรวาท แต่มหายาน รุ่งเรืองกว่า เพราะมีทั่วโลก และตอนนี้เริ่มจะมากลืน เถรวาท แล้วเพราะว่า ความคิดแบบมหายาน นั้น ตรงกับ ค่านิยมของคนตอนนี้ รูปแบบ พ้นรูปแบบ ดังนั้นจะเห็นว่า พระสงฆ์ไทย ตอนนี้ก็เริ่มหันไปเป็น แบบ มหายาน สังเกตให้ดี ว่า มจร อบรมพระมาให้ทำนา ทำสวน แทนที่จะเป็นการภาวนาธรรม แต่ใช้ข้ออ้างว่า เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการงาน อย่างนั้นแหละ แล้วก็จับมือกับ มหายาน หลายกลุ่ม ที่เห็นว่า ทำให้ปักหลักได้อย่างของเวียตนาม ที่ลงที่ปากช่องเป็นศูนย์ใหญ่ แน่ละ พระ จับ มือ ผู้หญิงได้ ขับรถได้ พระไทย ทำไมจะไม่ชอบครับ

   ถ้ายังสงเสริมระบบนี้ อยู่ หายแน่นอน แล้วตอนนี้ ก็เริ่มเป็นแบบนี้แล้วไปประมาณ 60 เปอร์เซ้นต์แล้ว ผมเดินทางไปเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติภาวนาหลายที่ ทราบเรื่องนี้ดี

    ส่วนเรื่องของ สิทธิสตรี มันเป็นดาบสองคม นะครับ ต้องระวัง ผมเคารพแม่ ผมก็เคารพไม่ใช่ไม่เคารพ เพราะผมมาจากท้องแม่ ไม่ใช่กระบอกไม่ไผ่ ดังนั้นผู้หญิงผมให้ความเคารพในฐานะ ที่ควร ครับ

    อะไร จะเป็นไป อย่างที่พระอาจารย์ท่านว่า ไว้ ก็ต้องให้มันเป็น วันนี้รีบไม่เกิดซะเถอะ

    :49: :13: