สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 06, 2015, 09:08:50 am



หัวข้อ: พระพุทธรูปพูดได้.!?! พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร อ่างทอง
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 06, 2015, 09:08:50 am
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008864101.JPEG)
พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก



พระพุทธรูปพูดได้.!?! พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร อ่างทอง

มื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้น แวะประทับแรมที่วัดป่าโมก เมืองอ่างทอง เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นตอนหนึ่งว่า
       
       “มีเรื่องแปลกที่ได้พบตัวจริงของผู้ที่ว่าได้เคยพูดกับพระนอน ซึ่งเจ้าคณะได้บอกลงไปหลายเดือนมาแล้ว เรื่องคราวนั้นคือ อำแดงคนหนึ่งเป็นหลานพระครูปาโมกข์ มารักษาพระอุโบสถอยู่ที่วัดนี้ ในกาลปักษ์ใดปักษ์หนึ่ง เวลานั้นสัปปุรุษพากันรับเพลตามภาษาเขาเรียกอยู่ที่วิหารเขียน แต่นางหลานพระครูคนนี้ไม่รับเพล ด้วยมีความวิตกว่าลุงเจ็บ จึงไปบอกกับหลวงพ่อคือ พระนอนขอให้ช่วยรักษา

       นางนั้นตกใจมากที่ได้ยินเสียงพระนอนนั้นพูดตอบออกมา แต่มิได้ตอบทางพระโอษฐ์ เสียงก้องออกมาจากพระอุระ ดังได้ยินจนนอกโบสถ์ บอกตำรายา ถามนางนั้นก็อิดเอื้อนไปว่าจำไม่ได้หมด จำได้แต่ใบเงินใบทอง ยานั้นไปรักษาลุงหาย พระครูไม่เชื่อ พอประจวบเกิดพระสงฆ์เป็นอหิวาตกโรค จึงได้ลองไปพูดดูบ้าง ก็ได้คำตอบทักทายปราศรัยเป็นอันดี จนถึงว่าอยากพูดกับพระครูมานานแล้ว เป็นต้น

       แต่นั้นมาพระครูได้รักษาไข้เจ็บด้วยยานั้น เป็นอะไรๆก็หาย ห้ามมิให้เรียกขวัญข้าวค่ายานอกจากหมากคำเดียว แลไม่ใช่พูดแต่ ๒ ครั้งเท่านั้น พูดเนืองๆมา พระครูยังได้บอกไปยังเจ้าคณะแลกระทรวง ผู้ที่ได้ฟังพระครูพูดนั้น ไม่ต้องเฉพาะว่าคนเดียว พระฟังพร้อมกัน ๑๕ รูปก็ได้...”

       
(http://data.foodtravel.tv/datastore/travel/556/travel556_9_normal.jpg)

       เหตุการณ์มหัศจรรย์นี้ถูกจารึกไว้ว่าเกิดขึ้นในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น โดย อุบาสิกาเหลียน อยู่บ้านเอกราช แขวงป่าโมก หลานของพระภิกษุโต ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าโมก ได้เอาใบไม้มาต้มให้พระภิกษุโตซึ่งเป็นอหิวาตกโรคฉัน ก็ปรากฏว่าพระภิกษุโตหายจากโรคอหิวาต์อย่างมหัศจรรย์
       
       พระครูปาโมกข์ฯ จึงซักถามอุบาสิกาเหลียนถึงที่มาของยา อุบาสิกาเหลียนก็ว่าขอมาจากพระพุทธไสยาสน์ และยังคุยว่าพระพุทธไสยาสน์เป็นหลวงพ่อของนาง เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะไปขออยู่เสมอ แม้แต่ไถ่ถามเรื่องต่างๆ ก็จะมีเสียงตอบออกมาจากพระอุระ พระครูปาโมกข์ฯขอเข้าไปฟังด้วย อุบาสิกาเหลียนก็ไม่ขัดข้อง
       
       ฉะนั้นในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ต่อมาหลังจากเลิกประชุมสงฆ์ราวหนึ่งทุ่ม พระครูปาโมกข์ฯก็ให้สงฆ์ ๑๐ รูป ชาวบ้าน ๕ คน และศิษย์วัดรวมกันประมาณ ๓๐ คนพากันไปที่วิหาร จุดไฟให้สว่างไสว แล้วช่วยกันตรวจค้นจนทั่วว่าไม่มีใครแอบซ่อนอยู่ในวิหารบ้าง แล้วจึงพาอุบาสิกาเหลียนเข้าไปพร้อมหน้ากันในวิหาร

        :25: :25: :25: :25:

       พระครูปาโมกข์มุนีนั่งอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระพุทธไสยาสน์ ห่างประมาณ ๔ ศอก อุบาสิกาเหลียนก็จุดธูปเทียนและเอาใบพลู ๑ ใบทาปูนพับเป็นสี่เหลี่ยม หมาก ๑ ซีก ยาสูบ ๑ มวน ใส่ในพานบูชา แล้วอธิษฐานดังๆให้ได้ยินกันทั่วว่า
       
       “นิมนต์หลวงพ่อเอาของในพานนี้ไปฉันด้วยเถิด”
       
       ประมาณ ๒ นาที ของที่ถวายอยู่ในพานก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ พระครูปาโมกข์ฯยังไม่หายสงสัย ถามอุบาสิกาเหลียนว่าจะขอพูดกับหลวงพ่อเองได้หรือไม่ อุบาสิกาเหลียนก็พนมมือถามพระพุทธไสยาสน์ว่า จะพูดกับท่านพระครูได้หรือไม่ ก็มีเสียงตอบมาจากพระอุระว่า “ได้” ซึ่งท่านพระครูก็พูดกับพระพุทธไสยาสน์อีกหลายประโยค ทั้งพระและชาวบ้านที่อยู่ในวิหารก็ได้ยินกันทั้งหมด

       
(https://suvanai.files.wordpress.com/2010/07/20100725_b012_p1550763s.jpg?w=600)

       นอกจากจะเล่าถวายเรื่องนี้ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯด้วยตัวเองแล้ว ท่านพระครูยังบันทึกเรื่องราวโดยละเอียด เตรียมจะถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเมื่อเสด็จกลับจากมณฑลพายัพ แต่เผอิญไม่ได้เสด็จทางวัดป่าโมก จดหมายฉบับนี้จึงค้างอยู่ ซึ่งสมเด็จพระปิยะมหาราชทรงนำมาบันทึกไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสครั้งนี้ด้วยว่า
       
       “...พระครูส่งจดหมายที่เตรียมไว้จะให้มกุฎราชกุมารเรื่องพระพูดและบอกตำรายา ในเนื้อความที่พระครูกล่าวนั้น ไม่ยืนยันว่าพระพุทธองค์พูด เป็นคิดเห็นว่าผีสางเทวดาที่สิงอยู่พูด...”
       
        :96: :96: :96: :96: :96:

       เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ร่ำลือกันในหมู่ชาวบ้าน แต่ท่านพระครูเล่าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ต่อพระพักตร์ และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งก็คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ต่อมาคือรัชกาลที่ ๖ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ท่านพระครูก็คงไม่กล้ายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินถึงเพียงนี้
       
       เรื่องนี้จึงเป็นปาฏิหาริย์อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้อย่างน่าทึ่ง

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000085610 (http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000085610)
http://data.foodtravel.tv/ (http://data.foodtravel.tv/)
https://suvanai.files.wordpress.com/ (https://suvanai.files.wordpress.com/)


หัวข้อ: Re: พระพุทธรูปพูดได้.!?! พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร อ่างทอง
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 06, 2015, 09:37:45 am
 
(http://www.bansansuk.com/userfiles/Wat%20Pa%20Mok%20Worawihan57.jpg)
พระอุโบสถวัดป่าโมกวรวิหาร


วัดป่าโมกวรวิหาร

วัดป่าโมกวรวิหาร อยู่ในเขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันตกห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองไป ๑๘ กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๓๐๙ สายอ่างทอง-อยุธยา กิโลเมตรที่ ๔๐ แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒๙ จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๕๐๑ จะเห็นป้ายทางไปวัดป่าโมก

ภายในวัดแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของเมืองไทย องค์พระก่ออิฐถือปูนปิดทอง มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท ๒๒.๕๘ เมตร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาเล่าขานกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด ราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ


(http://www.bansansuk.com/userfiles/Wat%20Pa%20Mok%20Worawihan47.jpg)

ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก่อนที่จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ ต่อมากระแสน้ำเซาะเข้ามาใกล้พระวิหาร “ สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กองงาน จัดการชะลอลากให้ห่างจากแม่น้ำเดิม ” (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)ได้เสด็จมาควบคุมการชะลอองค์พระให้พ้นจากกระแสน้ำเซาะตลิ่งพังและนำไปไว้ยังวิหารใหม่ที่วัดตลาดห่างจากฝั่งแม่น้ำ ๑๖๘ เมตร แล้วโปรดให้รวมวัดตลาดกับวัดชีปะขาวเป็นวัดเดียวกัน พระราชทานนามว่าวัดป่าโมกเพราะบริเวณนั้นมีต้นโมกมากมาย


(http://www.muangthai.com/thaidata/wp-content/uploads/2011/05/3.%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3_resize.jpg)

สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้นอกจากพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมี วิหารพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร สร้างในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย วิหารก่ออิฐถือปูนเครื่องบนไม้หลังคา ฐานอ่อนโค้งสำเภา

สำหรับ วิหารเขียน เล่ากันว่า ผนังวิหารด้านที่หันออกสู่แม่น้ำมีแท่นสูงเข้าใจว่าเป็นแท่นที่เคยมีกษัตริย์เสด็จประทับยืนบริเวณนั้น นอกจากนี้ภายในวัดยังมีมณฑปพระพุทธบาท ๔ รอย หอไตร และศาลเจ้าแม่ช่อมะขาม เป็นต้น


(http://www.tatsuphan.net/Awatpamork03.jpg)

พระบรมรานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ตั้งอยู่บริเวณลานริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่วัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทองสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในการเดินทัพจากกรุงศรีอยุธยามาขึ้นบกที่บ้านป่าโมกบริเวณนี้ทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิตัดไม้ข่มนามและนมัสการพระพุทธไสยาสน์แล้วยกทัพไปทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาได้รับชัยชนะที่ตำบลตระพังตรุ หนองสาหร่าย ในวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. ๙๕๔ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม ซึ่งจังหวัดอ่างทองได้กำหนดจัดงานรัฐพิธีวันกองทัพไทย โดยจัดให้มีพิธีบวงสรวงสังเวยและ วางพานพุ่มถวายราชสักการะเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.tatsuphan.net/Awatpamork.html (http://www.tatsuphan.net/Awatpamork.html)
http://www.muangthai.com/ (http://www.muangthai.com/)
http://www.bansansuk.com/ (http://www.bansansuk.com/)


หัวข้อ: Re: พระพุทธรูปพูดได้.!?! พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร อ่างทอง
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ สิงหาคม 06, 2015, 09:12:38 pm

           ขออนุโมทนาสาธุ ครับ

            เห็นพระใหญ่เมื่อไร รู้สึกวิเวก ในกายในใจ รู้สึกสง้ด