มาต่ออีกนะครับ
จนกระทั่งภายไปร่วม 40 ชม. อาตมา ก็ลุกขึ้นเดินได้
หลังจากที่ลุกเดินได้ ก็พาร่างกายที่แทบไม่มีแรงไปหาน้ำดื่ม ได้น้ำเปล่าที่เหลืออยู่ในห้อง ครึ่งขวดก็ดื่มเข้าด้วยการจิบ ในชีวิตพึ่งรู้จักรสชาด ของน้ำจริง ๆ ก็วันนี้ ช่างมีความรสชาด ที่ดีมาก ๆ ยากที่จะบรรยายให้เข้าใจ นี่แหละที่ว่าคนเราเมื่อกระหายที่สุดของที่สุด น้ำธรรมดา ก็เปี่ยมดัี่งเช่นน้ำ อมฤต
ระหว่างที่กำลังดื่มน้ำ อยู่นั้นก็มารู้สึกแปลกใจ ว่าร่างกายที่กำลังป่วยนี้ รู้สึก สดชื่น มาก ๆ ไม่มีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีแต่ความสดชื่น จริง ๆ ก็เลยนึกอยากอาบน้ำขึ้นมา ก็ยังนึกไปเรื่อย ๆ ว่า ทำไมยังไม่รู้สึกหิว ทั้งที่ไม่ได้ทานอะไรมา ก็จะร่วม 7 วันแล้ว จับท้องดูรู้สึกได้เลยว่าแฟ่บ ไปมาก ๆ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เป็นเวลาเกือบ ๆ ตี 5
ก็เลยเดินพาร่างกายออกไปหาซื้อ โจ๊ก กับ ปาท่องโก๋ ทาน ตอนที่ทานรู้สึกถึงรสชาด ของอาหารว่า อร่อย ๆ มาก ๆ ทั้งที่ในชีวิตนี้ไมเคยทาน โจ๊ก กับ ปาท่องโก๋ มาก่อน เคยแต่ใช้ชีวิตแบบเสเพล ตามร้านอาหารกับเพื่อน ๆ พอนั่งนึกถึงเพื่อน ๆ ได้ก็มีคิดต่้อไปว่า เรานอนป่วยที่บ้านร่วม 7 วัน ไม่มีเพื่อนคนไหนมาดูเลย ไม่มีใครถามข่าวคราว ว่าเราเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่บ้านอยู่ไม่ไกลกันนัก หรือว่าเขามาดูกันตอนที่เราหลับไป ก็เลยเดินไปหาเพื่อนในตอนเช้า พวกเพื่อน ๆ เห็นหน้า ก็ทักทายว่า
เอ้า หายไปไหน หลายวัน ไม่มีกินเหล้าด้วยกันเลย นึกว่ากลับบ้าน
( ลืมบอกไปว่าอาตมาไปทำงานอยู่ที่จังหวัด สุราษ เป็นคน กทม. )
ตอนหลังจึงมาทราบว่า คนใต้ส่วนใหญ่ จะดูแลคนใต้ด้วยกัน แต่ถ้าเป็นคนต่างถิ่น หรือภาคอื่น ๆ นั้นเขาไม่ค่อยดูแล คบกันก็แบบเพื่อนห่าง ๆ
จากวันที่หายป่วย วันนั้นมา ก็เลยกลายเป็นคนชอบฝึกสมาธิ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องการฝึกสมาธิ
ตอนที่กลับมาฝึกนั้น ก็ยังไม่ได้ไปหา ครูบา อาจารย์รูปไหน ๆ ทั้งนั้น คงนั่งฝึกเอง แต่ผลกการฝึกก็ไม่ก้าวหน้า เหมือนตอนที่ป่วยอยู่ ตอนนั้นนอนดู เข็มนาฬิกา วินาที เลื่อนไปเรื่อย ๆ ได้ถึงเ้กือบ 40 ชม.แต่พอปฎิบัติภาวนาด้วยการนั่งกับนั่งได้เพียง 15 นาที ปวดขา เหน็บชา เริ่มเกิด พยายามที่จะฝึน ๆ ได้เต็มที ก็็ 45 นาที
ทำอย่างไร จิตก็ไม่เป็นสมาธิ
ก็เลยมานึกว่า ถ้าเรานอนฝึก เหมือนตอนที่นอนป่วย แล้วจ้องนาฬิกาไปด้วย แบบตอนนั้น ก็น่าจะทำได้
เลยตัดสินใจ นอน จ้องนาฬิกา ฝึก......
้เอาไว้มาอ่านต่อนะครับ ขออนุญาต ไปทำงานก่อน.....ครับ เดี๋ยวตกงานแย่เลย