"เมื่อคิดย่อมไม่รู้ เมื่อไม่คิดย่อมรู้" คำสอนนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดีสำหรับผู้ที่สนใจใฝ่ในธรรม แต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจควาหมายที่แท้จริงของคำสอนนี้ อย่างลึกซึ้ง จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อก่อนตัวผมก็เคยเข้าใจผิดคิดว่าการ "หยุดคิด" "ไม่คิด" ก็คือการจงใจ หรือตั้งใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตัวเองคิด แต่ก็โชคดีที่ได้รับการชี้แนะจากกัลยาณมิตรหลาย ๆ ท่าน จนสะมารถผ่านพ้นความเคยชินแบบเดิม ๆ นั้นมาได้
และในโอกาสนี้ ผมขอนำเอาคำสอนที่สำคัญนั้นมาแบ่งปันให้กัลยาณมิตรได้ศึกษากันครับ
เมื่อคิดย่อมไม่รู้ เมื่อไม่คิดย่อมรู้ -- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่าง ๆ อามรณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ดับไปเรื่อย ๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดินมั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ
"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด"
เมื่อ สามารถเข้าใจได้ว่า จิตกับกายอยู่คนละส่วนกันได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานกำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติสังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนสามารถเข้าใจพฤติกรรมแห่งจิตได้อย่างละเอียดตลอดตามขั้นตอน (เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง) แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่อยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูและวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้
เมื่อ เจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่าง ๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใด ๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"
เมื่อธรรม ทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรมจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
จากหนังสือ ชุดธรรมะจากพระอริยสงฆ์ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูล์ อตุโล)
จากคุณ : NotBeSt
เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 54 17:54:53