ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - หลวงพี่เฉย
หน้า: [1] 2 3
1  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: อีกมุมหนึ่งของอินเดีย สภาพจริง ๆ ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 11:16:17 am
อีกหลายมุมเลยยังมีอีก  ที่เห็นแค่บางส่วนเท่าน้นเอง ไปเห็นมาแล้วจ้า.
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: กรรมของใคร บาปหรือไม่ อย่างนี้ เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 12:23:15 pm
อากาศคงจะหนาวเลยเข้าไปหาความอบอุ่น....น่าสงสารจัง  เวรกรรมจริงๆ
3  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: จะให้คนที่ไม่เคยสนใจธรรมะ มาสนใจธรรมะ เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 12:21:20 pm
     ต้องมองหาข้อดีที่เขามีอยู่  เขาต้องมีดีในตัวของเขานั่นแหละ เพียงแต่ค้นหาตัวเองอังไม่เจอเท่านั้นเอง..วัยรุ่นกำลังสับสน  ต้องให้กำลังใจมากๆๆ    มองหาข้อดีของเขาให้เจอ     แล้วส่งเสริมสนับสนุนในส่วนดีส่วนก่งของเขานั้น
       คนประเภทนี้มักมีภาวะผู้นำสูงฉนั้น งานที่เหมาะกับเขานั้นอาจเป็นงานที่ต้องทำคนเดียว  ต้องฉายเดี่ยว  เหมื่อนๆกับการภาวนา  ต้องแยกตัวไม่ข้องเกี่ยวกับหมู่คณะจะทำได้ดีมาก
เป็นกำลังใจให้จ๊ะ  สู้ๆๆ
4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไมคนทำเลว จึงได้ดีคะ คนทำดี จึงไม่ได้ดีตกต่ำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 06:21:15 am
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงลำบากกว่าเราหลายเท่านนัก....พระองค์ก็ไม่ทรงท้อแท้และหวั่นไหวในการสร้างบารมี.
พวกเราทั้งหลายเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก(โดยเฉพาะอาตมา..โง่มากๆ) โชคดีที่สุดแล้วได้มาเป็นศิษของพระตถาคตเจ้า ก้ต้องมั่นคงและเชื่อมั่นในความดี  ตามคำสอนของพระตถาคตเจ้า
ศรัทธให้มาก  และปฏิบัติให้มาก  (ให้ถึงด้วย) แล้วจะสิ้นสงสัย...ที่เราท่านทั้งหลายต้องลำบากกันอยู่นี้เป็นแต่เพียงบททดสอบเท่านั้น..หากเราผ่านบททดสอบนี้ได้ระดับจิตของเราก็จะถูยกขึ้นอีกระดับหนึ่ง  (ระดับของอริยะบุคคล)
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านจ้า..สู้ๆๆ
5  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อเพื่อนมาขอคำปรึกษาด่วน เรื่องถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2011, 02:30:04 pm
พ่อแม่ถึงจะเป็นผู้ใหญ่แต่ใช่ว่าจะคิดถูกเสมอไป
อาตมาขอแนะว่าให้ทำตามใจที่ตัวเองปรารถนาจะดีที่สุด...เพราะถ้าผิดพลาดมันก็คือความผิดของเราเองแก้ไขได้...แต่ถ้าทำตามใจคนอื่นหากผิดพลาดขึ้นมาจะช้ำใจเป็นสองเท่าเลยจะบอกให้
แต่งงานนะมันเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิงเลยทีเดียว  ชี้แจงเหตุผลให้ท่านฟัง(พ่อแม่) ถ้าท่านเป็นคนมีเหตุผลท่านก็จะฟังเราและเคารพการตัดสินใจของเรา  แต่ถ้าท่านไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ต้องฟังท่าน ดื้อไปเลย พ่อแม่นั้นโกรธลูกได้ไม่นานหรอก สุดท้ายแล้วท่านก็ไม่พ้นลูกของท่าน ที่จะคอยดูแลยามป่วยไข้ อย่าได้หวังอะไรกับลูกเขยเล้ย....จะบอกให้
ปล.ผิดพลาดในที่นี้คือไม่ใช่เนื้อคู่กัน
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 10:05:00 am


















สาธุ


7  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ทำไม ผู้ฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จึงไม่ประสพความสำเร็จในการภาวนา เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 09:55:42 pm
up
8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระนางยโสธราพิมพา นางแก้วคู่บารมี เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 09:55:13 pm
up
9  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: สมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน) ทรงเป็นพระอาจารย์ พระเจ้าแผ่นดิน ๔ พระองค์ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 01:55:39 pm
ช่วยอนุโมทนา อีก คน ที่รื้อเรื่องนี้มาให้อ่าน
10  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 01:54:16 pm
ช่วยอนุโมทนา อีก คน ที่รื้อเรื่องนี้มาให้อ่าน

11  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไรกันนี่: พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู และพระพุทธเจ้า มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 11:29:58 am
ความดีเด่นของกาลามสูตร

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมากคนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา


ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้


  บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร

  บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร
               โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

  บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ

  บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่


เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์ แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของ ตนเองดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด


ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า


"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆและ
สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่นแล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป


ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น


เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"


พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า"ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"


  สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ 



พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

   มา อนุสฺสวเนน           อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
   มา ปรมฺปราย             อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
   มา อิติกิราย               อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
   มา ปิฏกสมฺปทาเนน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
   มา ตกฺกเหตุ               อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
   มา นยเหตุ                 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
   มา อาการปริวิตกฺเกน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
   มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
   มา ภพฺพรูปตา            อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
   มา สมโณ โน ครูติ      อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

  สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้ 


ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง


พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น


พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
แต่ก็ไม่ใช่


คำว่า   "มา"  อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับNoหรือนะคืออย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ


1. อย่าเชื่อ
2. อย่าเพิ่งเชื่อ
3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ


การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน ส่วนการ แปลอีก  2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกันแต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปล
ที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า  ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ    ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด  เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์


นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสอีกมากในพระสูตรนี้แต่ในที่นี้จะขออธิบายความหมายของ ข้อแนะนำทั้ง 10 ประการเสียก่อน เพราะเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากของพระสูตรนี้ และได้รับการแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ หลายภาษา เพราะเขาถือว่าเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าจะมีกล่าวไว้ในครั้งสมัยเมื่อ ประมาณ 2,600ปีมาแล้ว ที่ใช้ความคิดแบบอิสระอย่างนี้ เป็นความคิดที่มีเหตุผล 10 ประการ คือ


1. อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา บางคนเมื่อฟังตามกันมาก็เกิดความเชื่อ เมื่อคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ก็เชื่อตามกันไป โดยบอกว่า "เขาว่า"ปัจจุบันนี้การเชื่อตามเขาว่านี้ ถ้า ไปเป็นพยานในศาลจะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะการที่ "เขาว่า" นั้น มันไม่แน่การฟังตามกันมาก็เชื่อตามกันมา ฉะนั้นสุภาษิตปักษ์ใต้จึงมีอยู่บทหนึ่งว่า


"กาเช็ดปาก คนว่ากาเจ็ดปาก ปากคนมากกว่าปากกาเป็นไหนๆ"


สุภาษิตนี้หมายความว่า ชายคนหนึ่งเห็นกากินเนื้อแล้วเช็ดปากที่กิ่งไม้ ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า "ฉันเห็นกาเช็ดปาก"เพื่อนคนนั้นฟังไม่ชัด กลายเป็นว่า"ฉันเห็นกาเจ็ดปาก" ก็ไปเล่าต่อว่า คนโน้นเล่าให้ฟัง เมื่อวันก่อนว่าเขาเห็นกาเจ็ดปาก ก็เล่าต่อกันมาเรื่อย ๆ ว่า กามีเจ็ดปาก นี่เป็นการเชื่อตามคำเขาว่า ซึ่งบางคนก็ฟัง มาไม่ชัดเพราะฉะนั้น ก็อาจฟังผิดได้ การที่เขาว่าจึงอาจจะถูกหรือผิดได้ เช่น บัตรสนเท่ห์
เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ว่าตามที่เขาว่านั้น ซึ่งมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปนกันอยู่


เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อตามที่เขาว่า แต่ให้ฟังไว้ก่อนชาวพุทธจะไม่ปฏิเสธการที่เขาว่า แต่จะฟังไว้ ก่อน โดยยังไม่เชื่อทีเดียว บางทีก็ฟังตามกันมาตั้งแต่โบราณ เช่น สมมุติว่าฝนแล้งก็ต้องแห่นางแมวแล้วฝนจะตก เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าแห่
นางแมวแล้วฝนจะตก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันมาอย่างนี้ คือเชื่อตามเขาว่า ซึ่งก็ อาจจะไม่เป็นจริงตามเขาว่าก็ได้ ดังนั้น เราต้องเชื่อตามเหตุผล อย่าเชื่อตามเขาว่า


2. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดว่าเป็นของเก่า เล่าสืบๆ กันมา บางคนบอกว่าเป็นของเก่า เป็นความเชื่อ ตั้งแต่สมัยโบราณเราควรจะเชื่อ เพราะเป็นของเก่า ถ้าไม่เชื่อ เขาก็หาว่าจะทำลายของเก่า บางคนเห็นผีพุ่งไต้ ก็บอกว่านั่นแหละวิญญาณจะลงมาเกิด อย่าไปทัก เพราะเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมีแผ่นดินไหว คนโบราณจะพูดว่าปลาอานนท์พลิกตัว หรือเวลามีฟ้าผ่าก็บอกว่ารามสูรขว้างขวาน ฟ้าแลบก็คือนางเมขลา ล่อแก้วเข้าตารามสูร รามสูรโกรธ จึงขว้างขวานลงมาเป็นฟ้าผ่า


ความเชื่อเช่นดังกล่าวมานี้เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ดังนั้นความเชื่อของคนโบราณนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีเสมอไป แต่เป็นความเชื่อปรัมปรา เราจึงไม่ควรจะเชื่อ ถ้ายังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนำสืบๆกันมา


3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นข่าวเล่าลือ หรือตื่นข่าว เรื่องข่าวนั้นมีมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวทันโลก ข่าวช่วงเช้า ข่าวช่วงเย็น ข่าวเขาว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย ถ้าเราไปเชื่อตามข่าว เราก็อาจจะเป็นคนโง่ได้ เช่น บางคน อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว แต่ข่าวจากหนังสือพิมพ์นั้น บางทีลงข่าวตรงกันข้าม จากข่าวจริง ๆ เลยก็มี หรือมีจริงอยู่บ้างเพียงบางส่วนก็มี เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน เพราะข่าวบางข่าวนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นต้องมาลงขอขมากันภายหลังที่ลงข่าวผิด ๆ ไปแล้วก็มี ดังนั้น ข่าวลือจึงมีมาก เช่น ลือว่าจะมีการปฏิวัติ ลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งบางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง หรือลือกันว่าคนเกิดวันนั้นวันนี้ จะตายในปีหน้า ต้องรีบทำบุญเสีย ก็เลยพากันเฮมาทำบุญกัน นี้ก็เพราะฟังเขาลือกันมา บางคนก็ลือกันแบบ กระต่ายตื่นตูมเป็นข่าวเขาว่าไม่ใช่ข่าวเราว่า เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ


4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา ถ้าใครเอาตำรามาอ้างให้เราฟัง เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตำราก็อาจจะผิดได้บางคนอาจจะค้านว่า "ที่เราพูดถึงกาลามสูตรนี้ ไม่ใช่ตำราหรอกหรือ" จริงอยู่ เราก็อ้าง กาลามสูตรซึ่งเป็นตำราเหมือนกัน แต่ท่านว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะผิดได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเอาตำราอะไรก็ตามมาอ้างเราก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พิจารณาดูก่อน บางคนกล่าวยืนยันว่าตนเอง อ้างตามตำรา ซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อ่านตำรานั้นเลย แต่ว่าเอามาอ้างขึ้นเอง บางคนก็ต้องการ โดยการอ้างตำรา ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า


"อุบาสก 2 คนเถียงกัน ระหว่างสัตว์น้ำกับสัตว์บกอย่างไหนมีมากกว่ากัน


อุบาสกคนหนึ่งบอกว่า สัตว์บกมีมากกว่า เพราะบนบกนั้นมีสัตว์นานาชนิด เช่น มีแมลงต่างๆ มีมดต่างๆ มากมาย


ส่วนอีกคนหนึ่งค้านว่า สัตว์น้ำมีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วน แม้แต่กุ้ง ปลา ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว สัตว์น้ำต้องมากกว่าสัตว์บกแน่นอน


ทั้งสองคนจึงไม่อาจตกลงกันได้


อุบาสกคนหนึ่งหัวไวได้ยกบาลีมาอ้างว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บก ดังพระบาลีที่ว่านัตถิ เม สรณัง อัญญัง แปลว่า สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก"


อุบาสกอีกคนหนึ่งไม่กล้าค้านเพราะกลัวจะตกนรก


แท้ที่จริง คำว่า "นัตถิ เม สรณัง อัญญัง" นั้น ไม่ได้แปลว่า "สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก" แต่แปลว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี" ผู้อ้างคิดแปล
เอาเองเพื่อให้คำพูดของตนมีหลักฐานการอ้างตำรา อย่างนี้จึงไม่ถูกต้องถ้าใครหลงเชื่อก็อาจถูกหลอกเอาได้


นอกจากนี้ ตำราบางอย่างก็อ้างกันมาผิด พวกที่ไม่รู้ภาษาบาลี เมื่อเห็นเขาอ้างก็คิดว่าจริง เช่น นักหนังสือพิมพ์ บางคนกล่าวว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นบาลีที่ไม่ถูกต้อง เป็น ประโยคที่ไม่มีประธาน ไม่มีกริยา เป็นภาลีที่แต่งผิด ซึ่งอาจารย์บางท่านเรียกบาลีเช่นนี้ว่า "เป็นบาลีริมโขง" แต่คนกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ซึ้งดี เพราะฟังดูเข้าที่ดี นี้ก็เป็นการอ้างตำราที่ผิด ถึงแม้ว่าตำรานั้นจะเขียนถูกแต่ถ้าหาก ว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ควรเชื่อ


ปัจจุบันนี้ มีการโฆษณาหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎกว่า ถ้าถ้าใครสวดเป็นประจำก็จะร่ำรวยเป็น เศรษฐี ได้ทรัพย์สมบัติและจะปลอดภัย ปลอดโรคต่าง คนก็พากันสวดและพิมพ์แจกกันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ ทราบว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีผู้นำหนังสือนี้มาถวายให้ จะเผาทิ้งก็ติดที่มีคำบาลีอยู่ด้วย หนังสือนี้ได้พิมพ์ต่อเนื่องกัน มาผิด ๆ และไม่มีพระสงฆ์รูปใดสวดยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก นอกจากในหมู่ฆราวาส
บางคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา


ดังนั้นใครอ้างบาลี เราก็จงอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูให้ดีว่ามีอะไรถูกหรือผิดบ้างเสียก่อน


5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง ท่านใช้คำว่า ตักกเหตุ คือ การตรึก หรือการคิด ตรรกวิทยาเป็นวิชา แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผล แต่พระพุทธเจ้าทรงกล้าค้านตรรกวิทยาได้ว่า การอ้างหาเหตุผลโดยการ คาดคะเนนั้นอาจจะผิดก็ได้การอ้างหาเหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกไปเสียทุกอย่าง


การนึกคาดคะเนหรือการเดาเอาของคนเรานั้นผิดได้ เช่นหลักตรรกวิทยากล่าวว่า "ที่ใดมีควัน ที่นั้นมีไฟ" ซึ่งก็ไม่ แน่เสมอไป เดี๋ยวนี้ที่ใดมีควัน ที่นั้นอาจจะไม่มีไฟก็ได้ เช่น เขาฉีดสารเคมี พ่นยาฆ่าแมลง ก็มองดูว่าเป็นควันออกมา แต่หามีไฟไม่


หรือบางคนก็คิดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ คำว่า คงจะ นั้น มันไม่แน่ เพราะฉะนั้น เราก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกแน่นอนแล้ว คำว่า คงจะ นั้นเป็นการนึกเดาเอา


6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคิดคาดคะเนหรืออนุมานเอา ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราจะแซงรถคันหน้าพันถ้าเรา ขับรถเร็วกว่านี้ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอา บางทีเราคาดคะเนความเร็วไม่ถูก ก็อาจจะชนรถคันหน้าที่วิ่งสวนมา โครมเข้าไปเลยก็ได้ การคาดคะเนหรืออนุมานเอาอย่างนี้ ทำให้คนตายมามากแล้ว การอนุมานเอานี้มันไม่แน่


บางคนคิดว่าฝนคงจะตกแน่เพราะเห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นมาก็เป็นการอนุมานเอาว่าฝนคงจะตก แต่บางที ลมก็จะพัดเอาเมฆนี้ลอยพ้นไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่เพราะอนุมานเอา


ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้อนุมานเอาก็อย่าเพิ่งเชื่อ


7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ คือเห็นอาการที่ปรากฏแล้วก็คิดว่าใช่แน่นอน เช่น เห็นคนท้องโตก็คิดว่าเขาจะมีลูก ซึ่งก็ไม่แน่ บางคนแต่งตัวภูมิฐานก็คิดว่าคนนี้เป็นคนใหญ่โต ร่ำรวย ซึ่งก็ไม่แน่ อีกบางทีก็เป็นขโมย แต่งตัวเรียบร้อยมาหาเรา บางคนทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าคนใบ้มานั่งใกล้กุฏิพระ คนก็ไม่สนใจนึกว่าเป็นคนบ้า แต่พอพระเผลอก็ขโมยของของพระไป ดังนั้น เราจะดูอาการที่ปรากฏก็ไม่ได้ บางคนปวดหัว ก็คิดว่าเป็นโรคอะไรที่หัว แต่ก็ไม่แน่ สาเหตุอาจจะเป็นที่อื่นแล้วทำให้เราปวดหัวก็ได้ เช่น ท้องผูก เป็นต้นหรือเราขับรถมาถึงสะพานซึ่งมองดูแล้วคิดว่าสะพานนี้น่าจะมั่นคงพอจะขับข้ามไปได้ แต่ก็ไม่แน่ สะพานอาจจะพังลงมาก็ได้


8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป


บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่ เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ แน่เสมอไป เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น เราจึง มองผิดไปได้


หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือเรื่องเครื่องลางของขลัง พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน


เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้


9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า หรือตำแหน่งสูง เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่ เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศมีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ ถูกหลอกได้ง่าย


อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ


10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้ เพราะครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดี


ไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครูของตน แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ


   พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุผลในข้อที่อย่าเพิ่งเชื่อดังกล่าวมาดังนี้ โดยตรัสว่า " ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ ก่อความทุกข์ เดือดร้อน วิญญูชนติเตียน ถ้าประพฤติเข้าแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์เดือดร้อน ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย " พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี แต่ให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย


   พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสต่อไปว่า " ชาวกาลามะทั้งหลายท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของคนเราแล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความโลภเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ "


   ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "ไม่เป็นเพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า"


   "เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง และสิ่งใดที่ ไม่เป็นประโยชน์เขาจะชักนำให้ทำสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่จริง" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ


   ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "จริง พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า "แต่ถ้าจริงแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญความนี้เป็นไฉน เมื่อความโลภเกิด ขึ้นในใจของคนแล้ว เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและชักชวนให้คนทำชั่วแล้ว ความ โลภนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วมีโทษหรือไม่มี"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "มีโทษ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า "วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือเป็นไปเพื่อความทุกข์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"


   พระสูตรนี้มีลักษณะของการถามตอบ คือให้ผู้ที่ถูกถามคิดเอาเอง ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ หรือ บังคับให้ตอบ


ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเกี่ยวกับความโกรธบ้างว่า "ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ เป็นไฉน คนที่ถูกความโกรธครอบงำเข้าแล้ว อาจจะฆ่าคนก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ประพฤติผิดในกามก็ได้ สิ่งใด ที่มีโทษ เขาก็ชักชวน
แนะนำให้คนอื่นทำสิ่งนั้นก็ได้ ดังนั้น ความโกรธนี้ดีหรือไม่ดี"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่ดี พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"แล้วคนที่ความโกรธเข้าครอบงำแล้วนั้นความโกรธเป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"มีโทษ หรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า"มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า"วิญญูชนติเตียนหรือไม่"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


  พระองค์ตรัสถามว่า "แล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์หรือความสุข"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"


  ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงความหลงต่อไปว่า"คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ความหลง เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า  "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"


   พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ทำดีหรือทำชั่ว"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทำชั่ว พระเจ้าข้า"


   พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "วิญญูชนติเตียนหรือไม่"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"


  พระพุทธองค์ตรัสถามว่า"แล้วเขาชักนำคนอื่นไปในทางดีหรือทางชั่ว"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทางชั่ว พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจงอย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อ โดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังพูดสืบ ๆ กันมา" จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา" ซึ่งเป็นการตรัสย้ำครั้งที่สองในเรื่องของการเชื่อ


   ดังนั้นก็เกิดคำถามว่า ถ้าเราไม่เชื่อดังเหตุผลประการต่าง ๆ นี้แล้ว เราจะเชื่อใครได้


   คำตอบก็คือให้เชื่อตัวเอง โดยการพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ว่าสิ่งที่เขาพูดกันนั้นดีหรือไม่ดี
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง


   พระพุทธองค์ได้ตรัสถามชาวกาลามะต่อไปอีกว่า


   "ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจะพิจารณาเห็นความข้อนี้เป็นไฉน ความไม่โลภนั้นดีหรือไม่ดี เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลวิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ผู้ที่ไม่โลภ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางที่เสียหาย ดังนั้น ความไม่โลภนั้นจึงเป็นกุศลหรือ อกุศล"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


   พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อไปถึงความไม่โกรธ ความไม่หลง ในทำนองเดียวกันอีกว่า "คนที่ไม่โกรธ ไม่หลงนั้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำคนอื่นไปในทางที่เสีย ชักนำคนอื่นไป ในทางที่ดี ก็ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปต่อไปว่า "ชาวกาลามะทั้งหลายเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูด้วย ตนเอง ท่านอย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยพูดสืบๆ กันมา จนถึงข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา"


  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาดูว่า "สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย ถ้าดีก็ทำตาม พระองค์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่ให้พิจารณาดูเอาเอง เหมือนคนที่ขายอาหาร หรือขายของโดยให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อหรือ พิจารณาเอาเอง แล้วก็ถามเรื่องความเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง"


  ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยนำสืบๆกันมา แล้ว จนกระทั่งอย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็นครูของเรา


ข้อความที่กล่าวย้ำเช่นนี้ในกาลามสูตรมีถึง 4 ครั้ง เฉพาะ 10 ข้อนี้ และในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า


   "ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ มีเมตตาจิต ไม่โกรธ ไม่พยาบาทใคร แผ่เมตตา ไปทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องต่ำ เบื้องสูง เบื้องขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย การแผ่เมตตา อย่างนี้มีโทษหรือไม่มีโทษ"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นกุศลหรืออกุศล"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"


  พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"


  ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"


พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเดียวกันถึงเรื่อง กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหารทั้ง 4 ที่แผ่ไปยัง คนอื่น สัตว์อื่นและตรัสถามว่า เมื่อประกอบด้วยความไม่มีเวรเช่นนี้ มีความไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตใจหมดจดอย่างนี้ ก็ย่อมจะได้ความอุ่นใจ 4 ประการคือ


1. ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง บาปบุญที่ทำไว้มีจริง ก็เมื่อเราทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว เราจะชื่นใจว่าเราจะไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์แน่นอน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่หนึ่ง


2. ถ้าหากว่าชาติหน้าไม่มีจริงบาปบุญที่คนทำไว้ไม่มีจริงก็เมื่อเราไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีชาตินี้เราก็สุข แม้ชาติหน้าจะไม่มีก็ตามนี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สอง


3. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำไว้ ชื่อว่าเป็นอันทำ คือได้รับผลของบาป ก็เมื่อเราไม่ทำบาปแล้ว เราจะได้ รับผลของบาปที่ไหน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สาม


4. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำแล้วไม่ได้เป็นบาปอันใดเลยหรือไม่เป็นอันทำ ก็เมื่อเราไม่ได้ทำบาป เราก็ พิจารณาตนว่าบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่เราไม่ได้ทำชั่ว และในส่วนที่เราทำดี เราก็มีความสุขในปัจจุบัน


เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ทำชั่ว นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มีบาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็ได้ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คนที่ทำชั่วนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี บาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็เดือดร้อนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าหากว่าสวรรค์มีจริง เขาก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านรกมีจริง เขาก็ต้องลงนรก ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะ เราไม่ได้ทำชั่วในปัจจุบัน และเราก็มีความสุขในปัจจุบัน เพราะเราทำดี การให้พิจารณาอย่างนี้ เป็นการพิจารณา ที่สร้างเหตุสร้างผลขึ้น


ท่านทั้งหลายจงพิจารณาข้อความนี้ดูว่า ในกาลามสูตรนี้ถ้าหากคณาจารย์อื่น ๆ มาพบชาวกาละมะเข้า อาจจะพูดเหมือนบรรดาอาจารย์อื่น ๆ ที่เคยผ่านมา คือ พูด ติเตียนศาสนาอื่นแล้วยกย่องศาสนาของตนเอง แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงกระทำเช่นนั้นคือ ไม่โจมตีศาสนาอื่นเลย แม้แต่สักคำเดียว พระองค์เพียงแต่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้าใครพูดชักนำมา ทรงเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อและให้พิจารณา ด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อได้พิจารณาด้วยตนเองแล้วเห็นว่าเป็นกุศล ก็ให้ทำตาม แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละเสีย


ยกตัวอย่างเช่น โลภ โกรธ หลง นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี มีโทษ วิญญูชนติเตียน เป็นไปเพื่อทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ละเสีย แต่ถ้าหากเห็นว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั้นเป็นกุศลไม่มีโทษ วิญญูชน สรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ โดยให้ชาวกาลามะพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จากการที่พระองค์ทร
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: จะช่วย!! หรือ!! ไม่ช่วยดี ? เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 11:20:18 am
อนุโมทนา กับคำตอบสาธุสาธุ
13  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: เรื่องเล่าจากหลวงตา เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 02:53:58 pm
 :25: :25: :25:
สาธุ
14  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การทำบุญอุทิศส่วน กุศลนั้น ผู้ที่เป็นญาต ของเรา ผู้ใดจะได้รับบ้าง เมื่อ: สิงหาคม 13, 2010, 08:29:23 pm
:25: :25: :25: :25: :25:
สาธุ
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: สิงหาคม 07, 2010, 10:34:58 am
ได้มากันคนละองค์จ้า  ถ้าจะเอาจริงๆ ก็ยินดีให้จ้า...
16  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: สิงหาคม 07, 2010, 09:32:09 am
ภาพวัตภุมงคลที่หลวงพ่อจิ๋วเมตตาแจกมาให้จ้าได้มาสององค์จ้า....

องค์นีิคือ "สมเด็จอรหังต์"



องค์นี้คือ "พระสีวลี"


ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆขอบอก
17  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 10:53:23 pm

พระอาจารย์สนธยาก็ได้นำคณะศิษไปร่วมพิธีด้วยจ้า...เก็บภาพมาให้ดูเป็นหลักฐานด้วย..


คณะเตรียมยกถาดขึ้นกรรมฐาน


คณะเตรียมยกถาดขึ้นกรรมฐาน


หลวงพ่อจิ๋วเทศน์ลำดับกรรมฐาน


หลวงพ่อจิ๋วเทศน์ลำดับกรรมฐาน


หลวงพ่อจิ๋วเทศน์ลำดับกรรมฐาน


หลวงพ่อจิ๋วแจกของที่ระลึก สมเด็จอรหังต์กับพระสีวลี


หลวงพ่อจิ๋วแจกของที่ระลึก สมเด็จอรหังต์กับพระสีวลี


พระอาจารย์สนธยาถวายของแด่หลวงพ่อจิ๋วก่อนลากลับ


18  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์ เป็นการฝึกสมาธิ หรือป่าว เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 10:00:25 pm
แต่ขอมีข้อแม้ซักอย่างว่าเกมส์ที่เล่นต้องเป็นเกมส์ที่สร้างสรรค์และเสริมทักษะนะจ๊ะ...จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่เดียวเชียว.
19  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมาธิ กับ ปัญญา อะไร ควรจะมาก่อนคะ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 09:50:31 pm
 :25:
เมื่อทานบารมีเต็มแล้วย่อมเป็นรากเหง่าเป็นบอเกิดและเป็นที่ตั้งแห่งศีลอันบริสุทธิ  เมื่อศีลบริสุทธิดีแล้วย่อมเป็นรากเหง้าเป็นบ่อเกิดและเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิอันตั้งมั่น  เมื่อสมาธิอันตั้งมั่นดีแล้วย่อมเป็นรากเหง้าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา...นั้นเป็นเหตุเป็นผลในตัวกันอยู่อย่างชัดเจน....สาธุ
20  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วัตถุมงคล เช่น พระสมเด็จ และ ตะกุด จะช่วยป้องกันภัย ได้จริงหรือครับ เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 11:04:56 pm
:25:
ศรัทธาต้องมาก่อนเป็อันดับแรกนั้นถูกต้องที่สุด...พุทธานุภาพ...ธรรมานุภาพ...สังฆานุภาพ...คุ้มครองเราได้จริงหากใจเราเปี่ยมด้วยศรัทธา.  หากไร้ซึ่งความศรัทธาแล้ว ก็อย่าได้แขวนเลยจะให้โทษเป็นบาปกรรม..เพราะลบหลู่ปรามาส.
21  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ทำไม เวลาเจริญ เมตตา แล้ว นึกถึงหน้าคนนี้ทีไร เราแผ่เมตตาให้ไม่ได้คะ เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:26:03 pm
 :25:
อภัยทาน เป็นทานที่มีอานิสงค์มากได้บุญมากแท้เด้อ...
22  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ขึ้นพระกรรมฐาน ใหญ่ ครั้งที่ ๒๒๘ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 09:49:34 am
 :25:
23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรื่องของ เมืองนิพพาน ครับมีบรรยายสถานที่นี้หรือป่าวครับ เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 08:50:37 pm
สาธุ
24  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ความสำคัญ ของวัน อาสาฬหบูชา เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2010, 12:17:50 pm
อนุโมทนาด้วยอีกคนนะ
ภาพสวยมากๆ ถ่ายเองหรือเปล่านะ  สุดยอดจริงๆนะชอบมากๆ
25  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ไปชุมพรปี52 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2010, 09:22:42 am

 
สืบเนื่องด้วย คราวที่ไปสำนักสงฆ์แหลมสอ นั้น สหธรรมิกของ พระอาจารย์ถวิล ไ้ด้ถาม
อาตมาว่า ตอนนี้พระอาจารย์ถวิล อยู่ที่ไหน
ตอนนั้น ก็คิดในใจว่า จากอาจารย์ถวิลมาตั้งแต่ปี 2528 ตอนนี้ 2553
แล้วเราจะรู้หรือไม่ว่า พระอาจารย์ถวิล อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ?
แล้วอาจารย์รูปอื่น ๆ เป็นอย่างไร ?
คืินหนึ่งก็เหมือนฝัน ว่าเห็นป้ายวัดนี้แหละ และอีก หลายวัด อีกหลายอาจารย์ ที่คิดถึงกัน
จึงปรารภเดินทาง กับเพื่อนสหธรรมิก ว่าผมฝันอย่างนี้ ต้องไปกันดีหรือไม่ สรุปแล้ว ก็ลองไปตามที่ฝัน



จากภาพนั้นเป็น ภาพพระอาจารย์วิรัช รวิวังโส ที่ได้จากกันมาตั้งแต่ ปี 2529 ( 24 ปี )
สถานที่ ก็คือ วัดลุ่ม และ ไปตามคำบอกของโยมเจอท่าน รู้สึกว่าดีใจมาก ๆ ที่ได้เจอพระอาจารย์
เห็นท่านชราภาพมาก 70 แล้วยังแข็งแรงอยู่เลย

 


ตอนไปพบท่าน ก็กำลังจับจอบทำทางขึ้นศาลา ที่ท่านไปบูรณะ
 


วัดนี้เป็นวัดบ้านเกิดท่าน ๆ จึงรับปากมาช่วยพัฒนาวัด
ญาตโยม ที่นั่้นเคารพท่านมาก กิติศัพท์ ที่ท่านได้ทำที่สำนักสงฆ์วังตะเคียนนั้น
ชาว ท่าแซะ ร่ำลือกันพอสมควร
 


อิริยาบถ เดินทางไปตามสบายมีรถบริการ ไปทุกที่ แต่ก็ต้องนั่งได้
ไม่ต้องพะวงอะไรมาก ดีกว่าเดินแล้ว ยิ่งจากวัดแก้วประสิทธิ์นั้นเดินขึ้นลงเขา
จนถึงสำนักสงฆ์นั้น ก็ร่วม 25 กม.
 


เดินลงมาที่ วังมัจฉา ของสำนักสงฆ์วังตะเคียน ที่นี่มีปลามาชุมนุมมาอยู่กันเยอะมาก
พระอาจารย์วิรัช ท่านเวลาไปเทศน์ รับปัจจัยมาท่านก็จะซื้ออาหารมาเลี้ยงปลาเดือนละ
ประมาณ 7,000 บาท ท่านทำอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว ปลามาอยู่กับท่านมาก ๆๆ
จนที่นี่ต้องเรียกว่า วังมัจฉาวังตะเคียน
 


สถานที่อยู่ในหุบเขา เดินขึ้น เดินลง แข็งแรง จะเห็นว่า ขึ้นลงทีก็เหงื่อโชก
 


ป้ายสำนักสงฆ์วังตะเคียนนั้น ทำจากไม้ตะเคียน
เคยมีบุคคลเอาไม้นี้ไปทำโต๊ะ เตียงนอน แล้วก็ทำให้ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไป
ชาวบ้านบอกว่าเจ้าแม่ตะเคียน หวง นะ



ลำน้ำที่ไปถึง ท่าตอน ท่าแซะ



ไปอยู่ 1 อาทิตย์ญาติโยมที่นั่นก็มาทำบุญกัน ดูแลพระกันอย่างดี
อาหารการฉัน ไม่ต้องห่วง ลูกพระพุทธ แล้วฉันง่าย อยู่ง่าย ภาวนาดี ๆ
สัปปายะ เพราะที่นี่ สงัด และ สงบ เงียบ ๆ ถ้านั่งภาวนา อากาศก็ใช้ได้



หลวงพี่เฉย



ดอกอะไรก็ไม่รู้ ใครรู้จักชื่อก็บอกด้วยนะ



พระลูกศิษย์ พระอาจารย์วิรัช ท่านดูแลสถานที่ แต่มีพระอยู่สองรูป ก็ดูแลลำบากพอสมควรนะที่นี่
ตัดตรงนี้ ตรงนั้นก็ขึ้น ตอนที่ฝนก็ตกจริง ๆ จัิง ตกแทบจะทุกวันเลย


เดี่ยวว่างๆ จะลงเพิมใหดูจ้า
26  ธรรมะสาระ / กระดานข่าวทางวัดแก่งขนุน / วันวิสาขบูชาวัดแก่งขนุน เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2010, 12:01:22 pm

 



 



 



 



 



 



 



 



 



 



 



 



 



 



 


ให้ดูกันเล่นๆจ้า
 

Aeva Debug: 0.0005 seconds.
27  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ชีวิตนี้เพื่ออะไรกันครับ ? เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2010, 08:56:38 am
มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร
ถ้าตอบที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เกิดมาเพื่อใช้กรรม เพราะเราจะไม่ควรปล่อยให้ชีวิตและจิตใจของเราไปตามยถากรรม แต่เราทุกคนควรจะต้องเข้าใจว่าจะเกิดมาเพื่อสร้างปัจจุบันกรรมให้ดี เพื่อที่จะสร้างผลที่ดีแห่งอนาคต เพราะอนาคตที่ดีคือกรรมในปัจจุบันที่ดี แต่ปัจจุบันที่เป็นอยู่ขณะนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมในอดีต ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องพยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ขึ้น เพื่อยกระดับชั้นของจิตให้สูงขึ้น เมื่อขณะจะต้องลาโลกมนุษย์ไป ระดับขั้นความบริสุทธิ์ของจิตควรจะต้องสูงกว่า เมื่อตอนมาเกิดให้พยายามเพื่อระดับของสติ สมาธิ และปัญญาให้มากๆ มิฉะนั้นพวกเราจะเสียชาติเกิดหรือที่เรียกว่าเกิดมาเป็นโมฆะบุรุษ โมฆะบุคคล ในทางตรงกันข้าม หากระดับชั้นของจิตตกชั้นลงไปมาก ชาติต่อไปอาจจะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือสัตว์นรกอย่างอื่นก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะลำบากมาก และจะซวยเอามากๆ เพราะโอกาสที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นน้อยมาก ท่านเปรียบเหมือนกับว่าจำนวนมนุษย์มีเท่ากับจำนวนสองเขาโค แต่จำนวนวิญญาณทั้งหมดมีมากมายเท่ากับจำนวนขนทั้งตัวของโค จะเห็นว่าจำนวนมนุษย์ขณะนี้ในจักรวาลนี้มีประมาณหกพันล้านคน แต่ดวงจิตมโนวิญญาณทั้งหมดมีมากมายมหาศาล ไม่สามารถจะคณานับได้ดังนั้นกว่าจะได้คิวเกิดเป็นมนุษย์อีกก็คงจะนานแสนนาน และจิตจะต้องดีถึงระดับหนึ่งถึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก....ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ท่านด้วยเทอญ.
28  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทุกข์ใจเพราะลูก หรือ ทุกข์ใจเพราะเรา เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2010, 10:22:07 pm
ตอบคุณโยมVijitchai
ให้พิจารณาโดยแยบคายระหว่างคำว่า "ปล่อยวาง  กับ  ปล่อยทิ้ง" 
เพราะพ่อแม่ถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดลูกที่สุด มีอิทธิพลในการหล่อหลอมลูกให้เป็นพลเมืองดีหรือเป็นพ ลเมืองร้ายมากกว่าใครๆ เป็นธรรมดาที่พ่อแม่ทุกคนย่อมปรารถนาให้ลูกของตนเป็น พลเมืองดีของสังคม เป็นคนดีของครอบครัวทั้งสิ้น เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อันนี้ พ่อแม่จำต้องมีจรรยาบรรณ คือมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อลูกของตน เมื่อพ่อแม่ปฏิบัติหน้าที่อันนี้แล้ว นอกจากจะทำให้ลูกเป็นคนดีดังประสงค์ได้แล้ว ยังเป็นเหตุให้ลูกเกิดความสำนึกและซาบซึ้งในตัวพ่อแม ่ว่าเป็นผู้มีพระคุณแก่ตนอย่างแท้จริง และเป็นเหตุจูงใจให้ลูกสนองตอบพระคุณในโอกาสต่อไปด้ว ย พ่อแม่ที่จะได้ชื่อว่าเป็น "พ่อแก้ว แม่แก้วของลูก" นั้น ก็เพราะได้ทำหน้าที่ทั้ง 5 ประการดังจะกล่าวต่อไปนี้ให้ ครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว หน้าที่ดังกล่าวนั้น มีแนวปฏิบัติดังนี้คือ

1. ห้ามมิให้ลูกทำความชั่ว ผู้เป็นพ่อแม่นั้นจะต้องเป็นคนขยันในการดูแลลูก เอาใจใส่ในการชี้โทษถูกผิดให้แก่ลูกๆทราบตลอดเวลา ไม่เฉยเมยหรือปล่อยปละละเลย เมื่อเห็นลูกทำความผิดแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะจะทำให้เกิดความเคยชินจนติดเป็นนิสัย เช่น นิสัยเล่นการพนัน ติดสิ่งเสพติด การเที่ยวเตร่ การนอนตื่นสาย เป็นต้น การลงโทษลูกที่ทำผิดการแนะนำให้เห็นถึงผลเสียของความ ประพฤติไม่ดีต่างๆ ก่อนที่ลูกจะทำและการห้ามปราม การคาดโทษไว้ล่วงหน้า จัดเป็นหน้าที่ของพ่อแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. แนะนำให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ผู้เป็นพ่อแม่นั้น นอกจากคอยห้ามปรามคอยตักเตือนมิให้ลูกของตนทำความชั่ ว ความผิดแล้ว ยังมีภาระต้องแนะนำ ต้องอบรมสั่งสอน ต้องพร่ำบอกให้ทราบถึงว่าอะไรดีควรทำ ทำแล้วจะได้รับผลดีอย่างไร รวมทั้งว่าจะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "ดี" ด้วย แม้การที่พ่อแม่ทำความดีให้ดูเป็นตัวอย่าง ก็เป็น หน้าที่เช่นกัน และจะได้ผลดีมากกว่าบอกหรือแนะนำให้ทำด้วยซ้ำไป

3. ให้ลูกศึกษาศิลปะวิทยา ผู้เป็นพ่อแม่ต้องมีความกระตือรือร้น มีความสนใจสนับสนุนให้ลูกได้มีความรู้ ความสามารถในวิชาการ ด้วยการอบรมสั่งสอนเองบ้าง ให้ศึกษาเล่าเรียนตามความสามารถบ้าง แม้ว่าจะต้องลำบาก ในการส่งเสีย ก็จำต้องยอมสละ เพราะเป็นหน้าที่ การปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียนของลูกก็ดี การกีดกันมิให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียน ตามสติปัญญาเพียงเพื่อเอาไว้ใช้งานก็ดี ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่บกพร่องในหน้าที่ อันจะเป็นผลเสียทั้งแก่ตัวลูกตลอดไป และเป็นผลร้ายต่อพ่อแม่เองโดยทางอ้อมในอนาคตด้วย เพราะลูกที่ขาดวิชาความรู้ย่อมหากินไม่เพียงพอใช้จ่ายจึงมีผลกระทบให้ไม่อาจเลี้ยงดูพ่อแม่ในวัยแก่เฒ่าให ้มีความสุขได้

4. หาคู่ครองที่สมควรให้ลูก ผู้เป็นพ่อแม่ต้องรับภาระในเรื่องคู่ครองของลูก แม้ว่ากาลสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปในการเลือกคู่ โดยให้สิทธิเขาได้เลือกเอง ถึงกระนั้นก็ตามพ่อแม่ก็ยังต้องคอยสอดส่องการคบเพื่อ นต่างเพศของลูกด้วย คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ คอยแนะนำให้รู้ว่าชายดีที่เหมาะจะเป็นสามีที่ดีนั้นค ือคนเช่นไรหญิงดีที่เหมาะ จะเป็นศรีภริยานั้นคือคนเช่นไร เป็นต้น การคอยสอดส่องแนะนำและป้องกันมิให้ลูกเลือกคู่ครองตามอำเภอใจ  เพื่อป้องกันความผิดพลาดเช่นนี้ จัดว่าเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ประการหนึ่งที่จะละเว้นมิ ได้

5. มอบทรัพย์ให้แก่ลูกในสมัย ผู้เป็นพ่อแม่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลประคับประคองบุตร ธิดาด้วยเงินทองจนกว่าเขาจะ รักษาตัวเองได้ คือ ในสมัยที่ลูกยังมิได้แยกครอบครัว ก็ต้องหาทรัพย์ให้จับจ่ายใช้สอย เพื่อหาความรู้หาวิชาใส่ตน ทั้งเพื่อความสนุกบันเทิงเป็นครั้งคราว ในสมัยที่ลูกแต่งงานแยกครอบครัว ก็ต้องมอบทรัพย์สมบัติอันเป็นทุนรอนให้บ้างเพื่อให้ต ั้งตัวได้ ในสมัยที่ตัวเองจะสิ้นชีวิต ก็ต้องมอบทรัพย์มรดกที่มีอยู่แก่ลูกๆตามความเหมาะสม เพื่อเป็นตัวแทนของตนให้ลูกถึงตนอยู่เสมอ การหาทรัพย์แล้วมอบให้ลูกของตนเช่นนี้ จัดเป็นหน้าที่ของพ่อแม่อีกประการหนึ่ง

พ่อแม่ผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ทั้ง 5 ประการนี้ ถือว่าได้ประพฤติตามจรรยาบรรณที่ท่านกำหนดไว้เป็นหลั ก และจัดว่าได้ประพฤติเป็นธรรม และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีโดยแท้ ผลที่ได้รับ นอกจากจะทำให้บิดามารดาได้รับความรักนับถือจากบุตรธิ ดาแล้ว ยังเป็นเหตุให้สังคมส่วนรวมพลอยสงบสุขและเรียบร้อยไป ด้วย

ข้อคิด 12 ประการสำหรับการเป็นพ่อแม่ที่ดี

1) ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเขา

2) ฉันจะสร้างให้เขาภูมิใจ ในคุณค่าของตัวเองให้มากๆ

3) ฉันจะเลิกเปรียบเทียบเขากับพี่น้องคนอื่น

4) ฉันจะชมเขามากกว่าวิจารณ์ด่าทอเขา

5) ฉันจะให้กำลังใจเขา ไม่ซ้ำเติม เมื่อเขาผิดพลาด

6) ฉันจะมีเวลาให้เขามากขึ้น ลดงานและข้ออ้างต่างๆ ให้น้อยลง

7) ฉันจะกอดเขา จะบอกให้เขารู้ว่าฉันรักเขาทุกวัน

8) ฉันจะพูดกับเขา แทนการใช้อำนาจกับเขา

9) ฉันจะมองเขา รับฟังเขาให้มากขึ้น

10) ฉันจะไม่ผลักดัน คาดหวังให้เขาต้องมาเติมความความฝันที่ฉันเอาเติมให้ กับตัวเองไม่ได้

11) ฉันจะไม่นำความต้องการของฉัน มาเป็นเงื่อนไขบีบบังคับให้เขามาเป็นบุคคลที่ฉันต้องการ

12) ฉันจะบอกให้เขารู้ว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไรเขาคือคนที่ฉันรักและภูมิใจมาก ที่สุด

เชื่อว่าหากคุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ดังนี้ปัญหาวัยรุ ่นในสังคมจะหมดไป และอนาคตของลูกหลานไทยก็จะสดใส ประเทศก็จะก้าวหน้ารุ่งเรืองและเข้มแข็ง

1. เพื่อให้บิดามารดาสำนึกในหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ที่ ดี

2. เพื่อรักษาคุณภาพความเป็นมนุษย์ไว้ในฐานะผู้ให้

3. เพื่อแก้ปัญหาสังคมเรื่องบิดามารดาทอดทิ้งบุตรธิดา

4. เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่สังคมระหว่างบิดามารดากับ บุตรธิดา

5. เพื่อจรรโลงคุณธรรมของบิดามารดาไว้ในสำนึกของบุตรธิด า

6. เพื่อป้องกันมิให้บุตรธิดาประพฤติเสียหาย เพราะไม่มีผู้ดูแลเอาใจใส่

7. เพื่อให้บุตรธิดาได้เห็นแบบอย่างและแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตัวที่ดีในสังคม

8. เพื่อให้บิดามารดาคอยประคับประคอง เป็นพี่เลี้ยงบุตรธิดาจนกว่าจะช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม

หากพ่อแม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านมาเป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่กลัวต่อความยากลำบากอย่างครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าคนแรกที่อยู่ในหัวใจลูกๆ คือพ่อแม่ ...ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่โยมด้วยเถิด..
29  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: เมื่อวานผมได้ฟัง RDN ตอนทุ่มหนึ่ง ครับ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2010, 08:07:49 pm
สาธุ สาธุ กับความตั้งใจ ขอแนะนำว่าอย่าพึ่งไปจำ หรืออย่าไปคิดพยายามจำในช่วงปฏิบัติเลย ควรทำใจให้สบาย ทำใจให้ว่าง ปฏิตามเสียงเท่านั้นพอแล้ว อย่าไปกังวลในเรื่องการจำขันตอนไม่ได้ เพราะจะทำให้ฟุ้งไปเปล่าๆนะ เวลาว่างๆค่อย ไปหัดท่องคำขอขมาอาราธนากรรมฐานเดี๋ยวก็จำได้เองแหละน่า ใจเย็นๆ.... ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านเถิด.
30  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: กรรมอะไร ที่เราต้องโดนด่ากลางที่สาธารณะ เมื่อ: มีนาคม 05, 2010, 10:05:25 pm
ทุกคนต่างเรียกมันว่า"ไอ้กี้" นั่นแหละชื่อของมัน..
31  ธรรมะสาระ / กระดานข่าวทางวัดแก่งขนุน / Re: โปรดแสดงความเห็นกับการฝึกอบรมครั้งต่อไป เมื่อ: มีนาคม 05, 2010, 09:44:07 pm
ทำแบบธรรมสัญจรน่าจะดีครับ  จะได้ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเปลี่ยนบรรยากาศด้วย...และที่สำคัญไม่ต้องเหนื่อยเตรียมสถานที่ด้วยครับ..แฮะๆ..อยากอบรมกันที่ไหนก็เตรียมสถานที่เอาไว้นะแล้วก็นิมนต์อาจารไปสอน..แบบนี้นะ...อาตมาว่าดีมากๆๆๆนะ...
32  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ไหว้รอยพระพุทธบาท บนเขาคิชกูฏ ที่จันทบุรี เมื่อ: มีนาคม 05, 2010, 09:22:52 pm
พรุ่งนี้พระเฉยก็จะได้นำคณะศิษย์บางส่วนขึ้นไปเหมือนกันเดี๋ยวจะเก็บภาพมาฝากก็แล้วกันนะ....
33  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ สอดคล้องกับพระไตรปิฏก หรือไม่ เมื่อ: มีนาคม 04, 2010, 10:31:17 pm

--------------------------------------------------------------------------
อยากให้อ่านเล่มนี้จ๊ะ
34  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ป่วยเป็นมะเร็ง และเจ็บหลัง ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ เมื่อ: มีนาคม 03, 2010, 10:42:16 pm
งานนี้เห็นทีต้องพึ่งอาจารย์สนธยาแล้วละครับ...อาจารย์โปรดชี้แนะหนทางสว่างแก่ศิษด้วยครับ...กราบขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงที่ได้เมตตาครับ...
35  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / เชิญกราบ..นมัสการ..รอยพระพุทธบาทจำลอง..ศาลาปฎิบัติกรรมฐาน..วัดแก่งขนุน เมื่อ: มีนาคม 03, 2010, 10:25:18 pm
 
บรรยากาศในตอนกลางคืน นะภาพนี้ ดูแล้ว ก็เย็นตา เย็นใจ


 
 
บรรยากาศตอนกลางวัน ก็ดูแล้วชื่นใจ


 

ศิลปะที่ลงตัว กับ รอยพระพุทธบาทจำลองที่จัดทำด้วยความร่วมแรง ร่วมใจของศิษย์กรรมฐาน เพื่อไว้เป็นที่สักการะในส่วนกลางพื้นที่ ตามความมุ่งหวังที่จะให้ ศิษย์กรรมฐานมีกำลังใจในการภาวนา ในฐานะเมืองสระบุรี
ที่มีรอยพระพุทธบาท เป็นที่สักการะ 


36  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: งมงาย หรือ ป่าวแบบนี้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2010, 11:31:19 pm
ถ้าลองได้ถึงขั้นได้ปรามาสพระรัตนตรัยก็เชื่อได้เลยว่า....สิ้นดี..นรกเปิดประตูรอแล้วละ...ห่างๆ ไว้ก็ดี ประเดียวจะมาดึงโยมเขาไปด้วย...เจริญพร
37  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การฟังธรรมคีตะ เป็นการผิดศีล 8 หรือป่าวครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2010, 11:18:05 pm
ดนตรีธรรมคีตะ...ทำให้เกิดความเพลิดเพลินและช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ใจสงบจากความรุ่มร้อนได้เช่นกันเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการลดความฟุ้งซ่านของใจ...ไม่มีโทษก็ไม่ถือว่าผิด  เพราะมิได้ทำให้ใจเราร้อน ที่จะเป็นข้าศีกต่อพรหมจรรย์ของผู้ถื่อศิล ๘ ข้อ  ต้องดูที่เจตนาอย่างที่คุณโยม  axe ว่านั่นแหละถูกต้อง แต่ที่ถูกต้องที่สุดก็คือไม่ต้องมีเครื่องดนตรีเลยเป็นแต่เสียงธรรมก็จะดีมาก เพราะลำดับขั้นการฝึกสมาธิที่สูงขึ้นไปนั้นจังหวะของดนตรีจะไม่เท่ากันกับจังหวะของชีวิต(การเต้นของหัวใจ) ไม่สามารถทำสมาธิได้!!!..ต้องห้าม!!!  หากต้องการแค่ผ่อนคลายไม่ได้ฝึกเป็นสมาธิก็ไม่เป็ไร...เจริญพร
38  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ชีวิต ที่ขาดธรรมะ ย่อมเป็นชีวิตที่อับเฉา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2010, 10:53:16 pm
สาธุๆ...กับคุณโยมด้วย..ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤษธรรม...ขอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด...สาธุๆ..เจริญพร
39  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฮวงจุ๊ย เราควรเชื่อดีไหมครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2010, 03:46:18 pm
ควรเชื่อจ๊ะ..เป็นศาสตร์เกียวกับธาตุที่ธาตุนั้นมีผลกับการดำรงชีวิตของเราซึ่งมีผลจริง...เจริญพร
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ปลุกเสกพระให้ ศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2010, 11:33:26 pm
อานิสงค์จากการสวดญัตติยกขึ้นให้เป็นสมมุติสงฆ์ในงานบวชนั้นย่อมมีอานิสงค์อันยิ่งใหญ่  บริขาร ๘ ทั้งหมดย่อมได้รับอานิสงค์ผลแห่งบุญด้วยเช่นกัน และของบริวารทั้งหมดก็ด้วยเช่นกัน  นั้นก็เป็นความเชื่อว่ากันมาแต่สมัยโบราณแล้วว่าถ้าเอาพระเครื่องใส่ในบาตรเข้าไปด้วยก็จะเพิ่มอานุภาพได้เป็นอย่างอเนกอนันต์เลยทีเดียว...ส่วนพิธีนั่งปรกเป็นการปลุกเสกอัดพลังจิตเข้าไปโดยตรงความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ต้องสงสัย อานุภาพนั้นก็ย่อมมีมากไปตามเกจิอาจารย์ที่ท่านนั่งปรก  ทั้งสองวิธีที่กล่าวมานี้เชื่อได้ว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเราและใจเราเป็นสำคัญ  จะคอยแต่อาศัยบารมีคุณพระอย่างเดียวนั้นอาจไม่พอ..ต้องทำบุญให้มาก  รักษาศีลให้มาก  อธิฐานให้มาก อานุภาพของบุญจะช่วยได้เป็นทวีคูณเลยที่เดียว....ขอคุณพระคุ้มครองโยมสิ้นกาลนาน..เทอญ...เจริญพร
หน้า: [1] 2 3