« เมื่อ: มกราคม 08, 2019, 08:25:21 pm »
0
ธรรมะสวัสดี : คนฆ่าสัตว์ VS คนกิน บาปเท่ากันหรือไม่.?ถาม : คนฆ่าสัตว์ กับคนที่กินเนื้อสัตว์ บาปเท่ากันหรือไม่ บาปอย่างไร.?
ตอบ : คำถามนี้จะตอบอย่างไร ก็จะมีประเด็นเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี อาตมาจะตอบคำถามนี้บนหลักการตามพุทธพจน์ที่ว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือ "เจตนา" เป็นตัวกรรม
ในพุทธศาสนานั้น บาปและบุญกำหนดด้วย "เจตนา" เป็นสำคัญ และในกรณีนี้.. เจตนากินกับเจตนาฆ่านั้น คนละเจตนากัน คนซื้อไปทำอาหาร (โดยส่วนใหญ่) เขาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับการฆ่า และการฆ่าหรือปาณาติบาตนั้น ต้องอยู่บนองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ
๑. สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามที่จะฆ่า
๕. สัตว์ตายเพราะความพยายามนั้น
ทั้ง ๕ องค์ประกอบนี้ สรุปลงมาที่เจตนาเป็นหลัก แปลว่า ต้องมีความตั้งใจ เมื่อตั้งใจคิดจะฆ่า แล้วได้ลงมือกระทำ อันนี้แหละคือบาป
@@@@@@
ทีนี้มาถึงข้อสงสัยที่ว่า แล้วคนกินเนื้อสัตว์นั้นจะบาปไปด้วยไหม เพราะเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า!
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ขอยกพุทธดำรัสที่เกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสัตว์ กล่าวคือเนื้อที่ไม่ควรบริโภค มีด้วยเหตุ ๓ ประการคือ ตนได้เห็น ตนได้ยิน และตนรังเกียจ ส่วนเนื้อที่บริโภคได้ ก็ด้วยเหตุ ๓ ประการเช่นกันคือ ตนไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่รังเกียจ
อธิบายว่า..
1. ที่ตนได้เห็น คือเห็นสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ต่อมาสัตว์นั้นก็กลายเป็นอาหารนำมาถวาย (คือรู้อยู่แล้วเพราะเมื่อกี้ยังเห็นตัวเป็น ๆ แล้วมาถูกฆ่าทำเป็นอาหารถวาย)
2. ที่ตนได้ยินนั้น คือได้ยินชาวบ้านพูดกัน ว่าจะฆ่าสัตว์ตัวนั้น ตัวนี้ เอามาทำเป็นอาหารมาถวาย(คือรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะฆ่ามาให้)
3. ที่ตนรังเกียจ คือ ความรังเกียจด้วยเหตุ ๒ ประการที่กล่าวมาข้างต้น
@@@@@@
จะเห็นว่า พุทธดำรัสนี้ กล่าวถึงการจะบริโภคเนื้อสัตว์ จะต้องไม่มีมูลเหตุมาจากความตั้งใจหรือเจตนาไว้ก่อนเท่านั้น กรณี "สั่ง" ให้เขาฆ่ามาให้กิน อันนี้เข้าข่ายเจตนา เช่น ไปตลาดซื้อปลาที่มันยังเป็น ๆ ชี้ตัวนั้น ตัวนี้ให้แม่ค้าทุบหัว ขอดเกล็ด เป็นต้น
ทีนี้ก็จะมีประเด็นว่า เราไปซื้อเนื้อสัตว์ที่เขาขาย เราก็รู้อยู่ว่าสัตว์มันถูกฆ่ามาเพื่อขาย เราจะบอกไม่รู้ไม่ได้ เพราะเนื้อสัตว์ที่ซื้อ ก่อนหน้านี้มันมีชีวิตอยู่ เขาจะฆ่าสัตว์ทำไม ถ้าไม่มีคนซื้อ เพราะเมื่อเราคือผู้ซื้อ จะไม่ใช่ผู้สั่งฆ่าอย่างนั้นหรือ ถึงแม้จะซื้อตอนมันตายแล้ว ไม่ได้สั่งฆ่าหรือฆ่าเองก็ตามแต่ก็ย่อมรู้ว่าก่อนเราจะกินมัน มันมีจุดจบชีวิตอย่างไร
คือ การไปรู้หรือคิดถึงตรงนั้น (ว่าเขาฆ่าเพื่อขาย) ในส่วนของคนกิน มันยังไปไม่ถึง "เจตนา" ให้สัตว์นั้นตาย ไม่ครบองค์ประกอบที่กล่าวข้างต้น การไปซื้อเนื้อหมูที่ตลาด เรามีส่วนร่วมในการฆ่าหมูตัวนั้นก่อนหรือเปล่า หรือหมูตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาทำเป็นอาหาร ความจริงก็คือ เราจะซื้อหรือไม่ซื้อ เนื้อหมูที่แขวนอยู่นั้นก็ตายอยู่แล้ว
@@@@@@
ตามหลักกรรม คือต้องถือเอาเจตนาเป็นหลัก คนกินเขาเจตนาจะกิน เขาไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่คนฆ่าเจตนาฆ่า ไม่ใช่เจตนากิน
ส่วนความคิดที่ว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปนั้น ครั้งพุทธกาล พระเทวทัตก็เคยเสนอพระพุทธเจ้าให้ชาวพุทธเลิกกินเนื้อสัตว์มาแล้ว แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า "เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็นอกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น"
ดังนี้แล้ว ผู้ที่มีความคิดว่า การกินเจ กินมังสวิรัติเป็นบุญ การกินเนื้อสัตว์เป็นบาป ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรแน่…
ความจริงคือ บุญที่จะได้จาการช่วยชีวิตสัตว์นั้น คือมาจากการช่วยไม่ให้สัตว์นั้นตาย เช่น เห็นหมาแมวป่วย ก็ให้ยาหรือพาไปรักษา หรือการไปไถ่ชีวิตวัวควายที่จะถูกส่งเข้าโรงฆ่า หรือไปตลาดซื้อปลาช่อน ปลาดุก (ซึ่งมันต้องถูกฆ่าแน่ ๆ) เอาไปปล่อย ฯลฯ อย่างนี้จึงจะเป็นบุญจากการช่วยชีวิตสัตว์
@@@@@@
แต่การที่เราแค่ไม่กินเนื้อหมู เพราะคิดว่าจะได้ช่วยชีวิตหมูไม่ให้ถูกฆ่าได้ อย่างนี้มันไม่ใช่ความจริงเพราะการช่วยชีวิตสัตว์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เราไม่ได้ลงมือกระทำจริง ๆ แค่คิดไปเองเท่านั้นว่าได้ช่วยชีวิตหมูไม่ให้ถูกฆ่า
คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะกลัวบาป คิดอย่างนี้ได้ ไม่เป็นไร แต่คนที่กินเจ กินมังสวิรัติ เพราะคิดว่าตนจะได้บุญ อันนี้เป็นความคิดที่ผิดเพี้ยนไปมาก เพราะการกินอาหารที่ทำจากพืชล้วน ๆ เป็นเพียงการเลือกสิ่งที่จะกินเท่านั้น หากการกินเจแล้วจะได้บุญ พวกวัว ควาย แพะ แกะ ซึ่งเป็นสัตว์กินพืชตลอดชีวิต ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ก็คงได้บุญมากมายไปด้วยเหมือนกัน และถ้าจะเอาตามฐานความคิดว่า "กินเนื้อสัตว์เป็นบาป" การหยุดกินบางมื้อหรือช่วงเวลาหนึ่งก็จะเป็นแค่เพียงการทำบาปให้น้อยลงเท่านั้น ยังไปไม่ถึงบุญเลย
แต่หากเลือกไม่กินเนื้อสัตว์เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น อันนี้เห็นด้วย หรือจะมีความคิดที่ว่ากินเจเพื่อลดการฆ่าสัตว์ อันนี้ก็เป็นเรื่องดี แต่ข้อเท็จจริงคือ ช่วงประเพณีกินเจแต่ละปี เป็นแค่การเลื่อนเวลาตายของพวกสัตว์จำนวนหนึ่งออกไปไม่กี่วันเท่านั้นเอง
@@@@@@
อย่างไรก็ดี พระพุทธเจ้าก็ทรงเสวยเนื้อ พระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็ฉันเนื้อ (ตามแต่ที่รับบิณฑบาตมา) หากการฉันเนื้อเป็นบาป พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายก็คงทำบาปกันหมด
สำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน กรณีที่สัตว์ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เราไปทาน live seafood สัตว์นั้นไม่ใช่แค่สด แต่มันยังเป็น ๆ อยู่ การไปสั่งเมนูแล้วเขาก็เอามาฆ่า มาทำให้เรากิน (ถ้าไม่สั่งเขาก็ไม่ฆ่า! ว่างั้น) อันนี้ถือว่าเรารู้เห็นอยู่ในเหตุการณ์ตลอด อย่างนี้บาปแน่
ส่วนสัตว์ที่ตายอยู่ก่อนแล้ว เราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์ก็ตายไปแล้ว เราไม่ได้ไปมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันฆ่ากับเขาแต่อย่างใด และไม่ได้มีเจตนาซื้อเพราะอยากให้เขาไปฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา บาปก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ากินผักแทนได้ก็จะดีกว่า เพราะเนื้อสัตว์เป็นอาหารของเชื้อมะเร็งและโรคร้ายอื่น ๆมากมาย
มีพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต” บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
เจริญพร
จิรสุโภ ภิกขุ
วัดปากน้ำพิบูลสงคราม จ.นนทบุรี
สำหรับผู้มีคำถามธรรมะ อยากไขข้อข้องใจทางธรรม สามารถส่งคำถามมาได้ที่อีเมล :
dhammaboxes@gmail.com ขอบคุณที่มา :
https://today.line.me/th/pc/article/คนฆ่าสัตว์+VS+คนกิน+บาปเท่ากันหรือไม่-GEy968LINE TODAY , เผยแพร่ 7 มกราคม 2562 เวลา 17.40 น.