สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: รักหนอ ที่ ธันวาคม 09, 2010, 09:10:42 am



หัวข้อ: อุปสรรคของวิปัสสนา ที่ควรทราบมีอะไรบ้างคะ
เริ่มหัวข้อโดย: รักหนอ ที่ ธันวาคม 09, 2010, 09:10:42 am
คือได้ทราบว่า ต้องปฏิบัิติวิปัสสนา แต่อุปสรรคของวิปัสสนา นั้นมีอะไรบ้างคะ

ขอพระอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยคะ

 :25:


หัวข้อ: Re: อุปสรรคของวิปัสสนา ที่ควรทราบมีอะไรบ้างคะ
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยจ้า ที่ ธันวาคม 11, 2010, 07:53:38 am
ยังไม่ได้ตอบคร้า...
:25:


หัวข้อ: Re: อุปสรรคของวิปัสสนา ที่ควรทราบมีอะไรบ้างคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ธันวาคม 15, 2010, 10:24:53 am
อุปสรรค ของ วิปัสนา เรียกว่า วิปัสสนูกิเลส

วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง
มิจฉาสมาธิ มีเหตุให้เกิดขึ้นจาก  มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดเข้าใจผิดจากความเป็นจริง  มีตัณหาคือความอยากเป็นต้นเหตุที่สำคัญ  เมื่อจิตมีความสงบเป็นสมาธิแล้วจึงเกิดภาพหลอกที่เรียกว่านิมิต  นิมิตนี้เองจึงเป็นกลลวงของกิเลสสังขาร  ผู้ไม่มีปัญญาจึงเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริง มีความดีใจ  พอใจในนิมิตนั้น ๆ จนลืมตัวจึงเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดี  มีความฝักใฝ่พอใจในนิมิตจนจิตเกิดเป็นวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง  ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  นี้ก็เพราะไม่มีปัญญารอบรู้ในวิธีทำสมาธิที่ถูกต้องนั่นเอง  จึงทำให้จิตเกิดวิปลาสเหม่อลอย ไม่มีสติควบคุมจิตของตัวเองได้เลย  ที่เรียกว่ากรรมฐานแตกเป็นบ้านไปก็เป็นในลักษณะนี้ก็เพราะทำสมาธิไม่มีปัญญา เป็นองค์ประกอบรอบรู้เอาไว้  ถ้าทำสมาธิมีความจริงจังมากเท่าไรก็จะเพิ่มวิปลาสมากขึ้นเท่านั้น  สติปัญญาไม่มี อาการของวิปัสสนูปกิเลสก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นที่ใจ  ดังจะได้อธิบายเรื่องของวิปัสสนูปกิเลสที่เกิดขึ้นจากมิจฉาสมาธิ  ที่มีความสงบอย่างผิด ๆ ให้ผู้ทำสมาธิรับรู้เอาไว้  เพื่อจะได้ข้อคิดสังเกตดูตัวเองว่า  เมื่อทำสมาธิไปแล้วมีผลเกิดขึ้นเป็นอย่างไร  ถ้าผิดไปก็จะได้แก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์
•  โอภาส  เมื่อจิตมีความสงบเป็นสมาธิแล้วจะเกิดความสว่างในทางใจ  ความสว่างนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือน กัน เมื่อความสว่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร  ให้รีบไปหาครูอาจารย์ช่วยแนะวิธีแก้ไข  ครูอาจารย์นั้นต้องมีความรอบรู้ในวิธีทำสมาธิเป็นอย่างดี  จึงจะช่วยแก้ไขให้ได้ ถ้าครูอาจารย์ไม่มีความรู้ในทางนี้  ก็จะส่งเสริมตอกย้ำให้ทำในวิธีนี้ต่อไป ผู้ได้รับผลที่ผิด ๆ  ก็ตกอยู่กับผู้ทำสมาธิเอง
•  ปีติ  ผู้ทำสมาธิจะมีความเอิบอิ่มใจเป็นอย่างมากมีความเบิกบานใจอยู่ตลอดเวลา  จะยืนเดินนั่งนอนอยู่ในอิริยาบถไหนใจจะมีความเอิบอิ่มอยู่ตลอดทั้งวันทั้ง คืน ในช่วงนั้นมีแต่เฝ้าดูจิตที่มีความเอิบอิ่มอยู่เป็นนิจ  ความคิดทางสติปัญญาจะพิจารณาในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็หมดสภาพไป  ใจมีแต่ความเพลิดเพลินอยู่กับปีตินั้น ๆ
•  ปัสสัทธิ  ความสงบใจที่เป็นผลจากการทำสมาธิจะมีความสงบเป็นอย่างมาก  จะมีความแน่วแน่มั่นคงอย่างแนบแน่นทีเดียว  ใจไม่คิดวอกแวกแส่ส่ายไปตามอารมณ์แต่อย่างใด  จะเป็นอารมณ์แห่งความรักหรืออารมณ์แห่งความชัง  เนื่องจากสาเหตุอันใดก็ตามไม่มีความอยากคิดในเรื่องอะไรทั้งนั้น  จะยืนเดินนั่งนอนอยู่ในที่ไหนมีแต่ความสงบใจอยู่ตลอดเวลา  นี้ก็เป็นโมหสมาธิหลงอยู่ในความสุขจนลืมตัว  ไม่อยากคิดพิจารณาให้เป็นไปในการเจริญทางสติปัญญาแต่อย่างใด  เพราะกลัวว่าใจจะเกิดความฟุ้งซ่าน  มีแต่ใช้สติระลึกรู้อยู่ในอารมณ์แห่งความสงบนั้น ๆ  จึงเป็นสมาธิที่โง่เขลาหาความฉลาดไม่ได้เลย
•  สุขะ  เมื่อจิตมีความสงบดีแล้วย่อมเกิดความสุขภายในใจเป็นอย่างมาก จะยืน เดิน  นั่ง นอน อยู่ในที่ไหนใจจะมีแต่ความสุขอยู่ตลอดเวลา ถือว่าใจมีความสุขแล้ว  อยากให้ความสุขนี้อยู่เป็นคู่ของใจตลอดไปไม่อยากให้เสื่อมคลาย  นี้เองผู้ปฏิบัติในยุคนี้จึงมีความต้องการภาวนาหาความสุขใจเพียงเท่านั้น  ที่สอนกันว่าทำสมาธิเพื่อให้เกิดความสุขภายในใจถ้าปัญญาไม่มีก็จะหลงความสุข ได้
•  ญาณะ  เมื่อจิตมีความสงบเป็นสมาธิได้แล้วย่อมมีความรู้เกิดขึ้น  ความรู้ที่เกิดขึ้นนี้เองจะทำให้เกิดความหลงผิดไปได้ง่าย  จะตีความหมายไปว่าปัญญาญาณได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว  อยากรู้เรื่องอะไรอยากรู้ในธรรมหมวดไหนก็กำหนดถามลงไปที่ใจ  ก็จะมีความรู้ตอบขึ้นมาในหมวดธรรมนั้น ๆ  จะเข้าใจไปว่าคุณธรรมได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว  อยากรู้ว่าเราอยู่ในคุณธรรมระดับไหน ก็จะมีความรู้บอกขึ้นมาว่า  เป้ฯคุณธรรมของพระอริยโสดาบันบ้าง เป็นคุณธรรมของพระสกิทาคามีบ้าง  เป็นคุณธรรมของพระอนาคามีบ้าง  เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์บ้างจึงได้เกิดความเชี่อมั่นในความรู้ที่เกิดขึ้น ว่าเป็นจริงที่ฝังใจอย่างสนิททีเดียว ใครจะมาว่ามีความสำคัญผิด  ก็จะยืนยันว่าเรามีญาณรู้ที่ถูกต้องและมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองได้บรรลุ ธรรมเป็นพระอริยเจ้าจริง ถ้าเป็นในลักษณะนี้จึงยากที่จะแก้ไข
•  อธิโมกข์  น้อมใจเชื่อว่าเป็นของจริงอย่างฝังใจทีเดียว เข้าใจว่าเรามีดวงตาเห็นธรรม  ก็เพราะมีญาณรู้ที่เกิดขึ้นจากสมาธิความสงบเป็นต้นเหตุนั่นเอง  มีความเชื่อมั่นในความรู้ของตัวเองสูงมากให้ความสำคัญตัวเองว่า พุทโธ  รู้ตื่นเบิกบานได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วถ้ามีอภิญญาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิด ขึ้นก็จะเกิดความเชื่อมั่นเพิ่มทิฏฐิมานะอัตตาจนลืมตัว  ถ้าพระเป็นในลักษณะนี้ก็จะได้รับพยากรณ์จากลูกศิษย์ว่า  อาจารย์ของเราได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที
•  ปัคคาหะ  มีความเพียรที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก  ความเพียรนั้นจะมุ่งทำสมาธิให้จิตมีความสงบเพียงอย่างเดียว  จะไปที่ไหนอยู่ในที่ใดจะปรารภความเพียรทำสมาธิอยู่เสมอ  จะอยู่เฉพาะตัวหรือในสังคมใดจะอยู่ในความสำรวมผิดปกติ  จะอยู่แบบนิ่งเฉยไม่อยากจะพูดคุยกับใคร ๆ  ผู้ที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นผู้ปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก  หรือลืมตาก็จะอยู่ในท่าเงียบขรึมซึมเซ่อเหม่อลอย  ไม่ชอบอยู่ในสังคมอยากจะอยู่เป็นเอกเทศเฉพาะตัว  ไม่มีความฉลาดรอบรู้ในทางปัญญาแต่อย่างใด จึงเรียกว่า มิจฉาวายานะ  เป็นความผิดไม่ถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด
•  อุปัฏฐาน  มีสติระลึกรู้ในอารมณ์ภายในใจได้ดีมาก แต่เป็นเพียงสติสมาธิเท่านั้น  ส่วนสติปัญญาจะไม่มีกับผู้เป็นในลักษณะนี้แต่อย่างใด  ถ้าอารมณ์ของใจเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยอย่างไร  ก็จะมีสติระลึกรู้ไปตามอารมณ์ประเภทนั้น ๆ  ไม่ชอบพิจารณาในทางสติปัญญาแต่อย่างใด  ไม่สนใจพิจารณาในเรื่องที่เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา  ถึงจะพูดธรรมะได้ก็พูดไปตามตำราที่ได้ศึกษามาเท่านั้น จึงเรียกว่า มิจฉาสติ  ระลึกรู้ในสิ่งใด จะไม่เป็นไปในความถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด
•  อุเบกขา ความวางเฉยในทางใจได้ดีมาก  ใจไม่รับในอารมณ์ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ อะไรที่มาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น  กาย ใจ อันเป็นสิ่งที่จะให้เกิดความรักความชัง  ใจจะวางเฉยอยู่ตลอดเวลาเมื่อใจลงสู่อุเบกขาความวางเฉยที่มั่นคงแล้ว  จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกในอารมณ์ ไม่มีความเอาใจใส่ในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น  เมื่อเป็นอย่างนี้จะทำสมาธิได้ง่าย แต่ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ  ความตั้งใจมั่นผิดต่อไป จึงยากที่จะแก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้เลย
•  นิกันติ  มีความยินดีพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด  ยอมรับผลที่เกิดขึ้นว่าเป็นของจริง มีความเชื่อ  ว่าเป็นแนวทางที่จะทำให้ถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้แน่นอน  ใครจะมาว่าภาวนาผิดอย่างไรก็มีความมั่นใจในตัวเองว่าภาวนาถูกต่อไป  และยังไปตำหนิผู้อื่นว่าภาวนาไม่เก่งเหมือนเรา  ถึงครูอาจารย์องค์ที่มีความฉลาดรอบรู้เข้ามาช่วยเหลือก็สายไปเสียแล้ว  ชีวิตได้ทุ่มเทในการทำสมาธิอย่างจริงจัง  ก็มาพังเพราะวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นนี้เอง
 
ผู้ทำสมาธิถ้าไม่กำจัดตัวมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดให้หมดออกจากใจได้  เมื่อทำสมาธิเพิ่มเข้าไปกำลังใจที่เกิดจากการทำสมาธิ  ก็จะไปบวกกันกับมิจฉาทิฏฐิเดิมที่มีอยู่ ก็จะเกิดเป็นมิจฉาสมาธิ  ความตั้งมั่นผิด แล้วกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสดังที่ได้อธิบายมาแล้ว



ยาวนิดหนึ่ง copy เขามาขอบคุณเว็บนี้ด้วย
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara54.htm (http://www.kanlayanatam.com/sara/sara54.htm)


หัวข้อ: Re: อุปสรรคของวิปัสสนา ที่ควรทราบมีอะไรบ้างคะ
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มกราคม 18, 2015, 02:01:35 pm


      วิปัสสนู  อุปสรรคแห่ง    วิปัสสนา :welcome: