สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: axe ที่ ตุลาคม 19, 2011, 08:31:02 am



หัวข้อ: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: axe ที่ ตุลาคม 19, 2011, 08:31:02 am
การใช้สตินั้นต้องบวกอีกตัวหนึ่งด้วยนั่นคือตัวปัญญา
การใช้สติ เป็นไปเพื่อการรับรู้สภาพความเป็นจริง และปัญหาที่เกิดขึ้น
เรียกง่ายๆว่า ตัวสติคือตัวรู้สถานะของเรา ว่าอยู่ตำแหน่งไหน มีสภาพยังไง
ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง สถานการณ์แวดล้อมเป็นเช่นไร
และต้องการอะไร ตัวนี้สำคัญนะ
ส่วนปัญญาคือการใช้ข้อมูลที่สติหามานั้นพิจารณาว่าควรจะปฏิบัติและดำเนินชีวิตอย่่างไร
เพื่อให้ปัญหาที่เรามีอยู่หมดลงไป

บางปัญหาเราแก้ไขได้เราแก้ไข
บางปัญหาเราแก้ไขไม่ได้เราต้องทำใจยอมรับ
จริงๆแล้วการทำใจยอมรับมันเริ่มที่สติก่อนเลยครับ ต้องมีสติที่ดีพอ
เช่น แดดร้อน อย่างนี้คนไม่มีสติก็บ่นเพ้อไปเรื่อยๆ ยืนกลางแดดแล้วก็ว่าแดดร้อนๆ
คนมีสติเขาก็กางร่ม หรือไม่ก็หาร่มไม้ชายคา
ถ้าหาไม่ได้ เราก็ยอมรับมันซะว่าแดดร้อน จำต้องเดินกลางแดดเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
แดดร้อนก็ยอมรับมันซะ มันจะได้เย็นใจ จิตมุ่งไปที่เป้าหมายมากกว่าแดด
ถ้าร้อนมากๆ ก็พักบ้าง ไม่ใช่ลุยไปซะจนร่างกายขันธ์๕ มันเอาไม่อยู่

ส่วนปัญหาที่ถามมา
เจอคนพาลคอยกลั่นแกล้ง เรานิ่งเฉยกลับถูกมองว่าหัวอ่อน
- ถูกมองว่าหัวอ่อน แล้วคนที่มองช่วยอะไรเรามั้ยครับ?
ทำไมเราถึงแคร์คนโน้นคนนี้เหลือเกิน ทั้งๆที่เวลาเราทุกข์ก็ไม่มีใครมาแชร์ได้จริงๆ
การนิ่งเฉย ไม่ใช่ง่ายนะ แต่นิ่งเฉยมีสองแบบ
คือนิ่งเฉยแบบกลัวเกรง
กับนิ่งเฉยแบบไม่สะทกสะท้าน
เราเป็นแบบไหนละ ถ้าเป็นแบบแรก ก็ยังมีความโง่อยู่มาก ขาดความกล้าหาญ
ส่วนแบบที่สองคือ จิตอยู่เหนือการคุกคาม มีสติ สามารถนิ่งเฉยท่ามกลางปัญหา
แต่จิตเตรียมพร้อมที่จะปกป้องตอบโต้เมื่อถึงเวลา
ต้องใช้ปัญญาเข้าช่วย

บางทีเราไม่ต้องเข้าไปแลกกับคนพาลในทุกๆกรณีนะครับ
บุคคลผู้โกรธตอบคนที่โกรธอยู่
บุคคลนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่าเลวยิ่งกว่าคนที่โกรธอยู่เดิมแล้ว
มีคราวหนึ่ง มีพราหมณ์มาด่า่ว่าพระพุทธเ้จ้า
พระพุทธเจ้านิ่งเฉย พราหมณ์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าแพ้แล้ว
นัยว่าเถียงสู้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์ไม่โกรธตอบ อันเป็นชัยชนะที่ยากยิ่งกว่าเสียอีก
และการโกรธตอบบุคคลที่โกรธอยู่นั้นเป็นอาการที่เลวยิ่งกว่า

มีสติแล้วต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วยครับ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ รู้จังหวะรู้เวลา
อย่าทำอะไรเพราะโกรธ เพราะสะใจ ศีล๕ ละเมิดแล้ว ผลก็จะมีตามมาอีกจนเป็นทุกข์

จากคุณ    : sirnitfi




หัวข้อ: Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: สมภพ ที่ ตุลาคม 19, 2011, 08:57:34 am
อนุโมทนา ธรรม ยามเช้า วันพระ ครับ

 (http://www.optraclub.com/board/uploads/maxmekik/2011-08-31_072046_Facebook-Like-Button-big.jpg)


หัวข้อ: Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: indy ที่ ตุลาคม 21, 2011, 05:42:23 am
อนุโมทนาคุณaxeด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 21, 2011, 10:13:15 am
(http://www.bloggang.com/data/pomjom/picture/1236741965.jpg)

สติรั้ง ปัญญาพลั้ง...ได้ !

     สติหยั่งมีอาจพลั้ง         เผลอเขลา
แสร้งซ่อนเคืองขุ่นเผา       ท่วมท้อ
ปัญญาบ่ผุดเกลา             ยื้อแน่น อัตต์นา
ใจเขื่องเนื่องนิ่งพ้อ         ข่มนั้นภาวนา.

                                                ธรรมธวัช.!
 


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pomjom&group=9


หัวข้อ: Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 21, 2011, 10:50:22 am
สติหล่น / สตังตก

(http://4.bp.blogspot.com/-mrV4Zrdjx-8/Takj1H5eIvI/AAAAAAAABIM/lqBlcympWqo/s1600/2009041823845.jpg)

     สติ,สตัง สลึมสลือ      อย่าเที่ยวยื้อปัญญาตาม
ตนกูแต่งขุ่นพล่าม         คงได้หยาบหยามน้ำใจ

     สติ,สตัง,สลึง นับ      ต้องนิ่งจับภาวนาใส่
ใจวางว่างหยั่งให้         ไม่ลามไหม้ปากคำคน.


                                                                                                  ธรรมธวัช.!   



http://maxtwitter.blogspot.com/2011/04/blog-post_15.html


หัวข้อ: Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 21, 2011, 12:17:07 pm
(http://download.buddha-thushaveiheard.com/images/All_page_04/Picture1-40/31_01.jpg)

อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า

             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์. ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น. เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,

อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง. ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ? "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า."

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้."


อ้างอิง
พรหมชาลสูตร ๙/๓
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part11.html (http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part11.html)
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com (http://download.buddha-thushaveiheard.com)