ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - มหายันต์
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / บรรยายธรรมและฝึกปฏิบัติกรรมฐานแบบทิเบต อานุภาพของจิตใจ 16 มีค 56 เมื่อ: มีนาคม 08, 2013, 11:57:22 am
บรรยายธรรมและฝึกปฏิบัติกรรมฐานแบบทิเบต อานุภาพของจิตใจ (Power of the Mind)
วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.
ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไม่เก็บค่าลงทะเบียน มีอาหารว่างบริการ

รูปแบบ

ช่วงเช้า บรรยายธรรม ซักถาม สวดมนต์ภาวนา
ช่วงบ่าย ฝึกปฏิบัติ มนตราภาวนา ซักถาม บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์

ลงทะเบียน

สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้ที่ 1000tara@gmail.com ภายในวันที่ 13 มีนาคม 2556 เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดอาหารกลางวัน


หลักการและเหตุผล

บรรยายธรรม เสวนาเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและประชุมทางวิชาการในหัวข้อเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณและยุคสมัยที่เราดำรงอยู่ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาตลอดนับแต่มีการจัดตั้งมูลนิธิในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ปฏิบัติธรรม นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาในด้านต่างๆโดยเฉพาะจากทิเบตหิมาลัย และเพื่อให้สังคมได้เกิดการตื่นตัวเกี่ยวกับคุณธรรมต่างๆ เช่น ความเมตตากรุณา ความปรองดองกัน อันจะทาให้เกิดสันติสุขและสันติภาพที่ยั่งยืน

๒๕๕๖ นี้ เราจะเริ่มกิจกรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยบรรยายพิเศษและฝึกปฏิบัติกรรมฐานในหัวข้อ “อานุภาพของจิตใจ” (Power of the Mind) ซึ่งถือว่าเป็นการทำรีทรีทวันเดียวที่ตอนเช้าเน้นการให้ความรู้ หลักการในการภาวนา ในตอนบ่ายเน้นการทำสมาธิ ผู้สนใจจึงควรเข้าร่วมกิจกรรมทั้งวันเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

พระอาจารย์ผู้นำภาวนาได้แก่ ลาตรี เกเช ญีมา ทรักปา ริมโปเช ธรรมาจารย์ด้านการทำสมาธิแบบทิเบตโดยเฉพาะในสายซกเช็น (Dzogchen) ผู้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมในหลายประเทศทั่วโลก

เกี่ยวกับหัวข้อการบรรยาย

ในทางพระพุทธศาสนา จิตมีอานุภาพยิ่งใหญ่มาก มีคากล่าวในพระธรรมบทว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจนำหน้า มีใจเป็นใหญ่ และสำเร็จขึ้นด้วยใจ” ดังนั้น การฝึกจิตเพื่อให้เราเป็นนายของจิต ไม่ใช่ให้จิตมาเป็นนายเราจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ จิตใจยังเป็นตัวกำหนดการรับรู้ของเรา และจริงๆแล้วเป็นตัวกำหนดว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นอย่างไร หากเรามีจิตใจที่ดี ก็แน่นอนว่าโลกและสิ่งแวดล้อมของเราจะไปในทางที่ดี แต่หากจิตใจของเราไม่ดีเช่น ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ก็จะทำให้เราตกอยู่ในโลกและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่พึงปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธจึงสนใจการปฏิบัติเพื่อฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์ญีมา ทักปา ริมโปเช ก็จะมานำภาวนา ชี้ให้เห็นความสำคัญและอานุภาพของจิตใจ รวมถึงสอนวิธีการฝึกจิตและการทำสมาธิแบบพุทธทิเบตอีกด้วย


วัตถุประสงค์

๑. อบรมทางวิชาการเกี่ยวกับอานุภาพของจิตใจ และความสำคัญของการฝึกจิตในชีวิตประจาวัน
๒. นำเสนอกิจกรรมทางธรรมะและวิชาการสู่ประชาชน
๓. เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติ และสร้างความเข้าใจระหว่างกันระหว่างประเพณีทางพระพุทธศาสนาของไทยและทิเบต
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอรหันต์ เสื่อมจาก อรหัตตผล ได้ อันนี้จริง หรือ ไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 08, 2013, 11:50:50 am
คือ เห็นเพื่อน ๆ มักกล่าวว่า ในอภิธรรม มีกล่าวไว้อย่างนี้ แต่ผมค้นไปก็ไม่เจอ ใครรู้บ้าง ครับ

 thk56
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เมื่อเวทนาเกิดขึ้น กับผม ๆ ควรจะ ภาวนาว่า ปวดหนอ หรือ พุทโธ ดีครับ เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 03:34:38 pm
คือตอนนั่งสมาธิบางทีจะมีอาการปวดขาเกิดขึ้นมาและเกิดขึ้นนานมาก จนมีความรู้สึกทรมานมาก ๆ ครับ
 ผมควรจะกำหนด บริกรรม พุทโธ ฝืนไปเรื่อยๆ หรือว่่า ควร จะน้อมเข้ามาพิจารณาถึงความไม่เที่ยงว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดีครับ หรือ จะกำหนดว่า ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ อย่างนี้

 หรือมีอุบายอื่นๆที่ดีกว่าในการรับมือ ก็ขอรบกวนเพื่อน ๆ แนะนำเป็นวิทยาทานด้วยครับ
ทั้งนี้ ผมขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าครับผม อยากทำสมาธิให้ได้ในช่วงสิ้นปี นี้ครับ

  ขอความกรุณาชาวธรรม ช่วยชี้แนะ ด้วยครับ

   :c017:
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจดีย์ ที่สำคัญอีกแห่ง เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 04:00:03 pm

บางครั้งก็นึกน้อยใจนะครับ ที่คนรุ่นปัจจุบัน ได้นำองค์ความรู้ใหม่ (ซึ่งไม่ถูกต้อง) มาล้มล้าง หรือบดบัง หลักฐานเก่า บันทึกโบราณ ว่า เป็นเรื่องเล่าที่เป็นเพียงแค่ตำนาน ที่ไม่ใช่เรื่องจริง

ดังเช่น "การรู้จัก และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดน ไทย มอญ ลาวและกัมพูชา" ซึ่ง ได้กล่าวถึงการรู้จักพระพุทธศาสนา มาแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ยุคสมัยปัจจุบัน กลับ เชื่อตามองค์ความรู้ใหม่ว่า "เพิ่งรู้จักพระพุทธศาสนา ยุคพระเจ้าอโศกส่ง พระโสณะ-พระอุตตระ มายังสุวรรณภูมิ" เท่านั้น

และที่สำคัญ คนรุ่นปัจจุบัน ที่เสพองค์ความรู้ใหม่ คงไม่เชื่อว่า พระเจ้าอโศกมหาราช จะเสด็จมายังดินแดน พม่า มอญ ไทย ลาว ทั้งที่ เรามี เอกสารบันทึกโบราณ ถ่ายทอดกันไว้ ไม่ใช่ แต่ในพม่า-มอญ แต่รวมถึงในเมืองไทยด้วย เช่น

ที่ "พระธาตุศรีจอมทอง" ที่เชียงใหม่ ดังในประวัติที่ว่า..

จำ เดิมแต่กาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วได้ ๒๑๘ ปี มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า ศรีธรรมาโศกราชหรืออีกนัยหนึ่งว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้ทรงเดชานุภาพปราบชมพูทวีปทั้งมวลได้เสด็จไปสู่ดอยศรีจอมทอง พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนามาตย์ราชบริพารเป็นอันมาก ด้วยอานุภาพแห่งพระอินทร์ เทพยดาและพระอรหันต์แล้ว ได้ให้ขุดคูหาอุโมงค์ที่ใต้พื้นดอยศรีจอมทองลึกนัก ใหญ่ประมาณเท่าที่ตั้งพระคันธกุฏีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระเชตวันมหาวิหาร พระนครสาวัตถี ในสมัยพุทธกาล แล้วให้สร้างพระถูปองค์หนึ่งแล้วด้วยทองคำสูง ๖ ศอก ไว้ในคูหานั้น หล่อ พระพุทธรูปยืนด้วยทองทิพย์หนัก ๑ แสน ๒ องค์ ตั้งไว้ทางทิศเหนือพระสถูปองค์ ๑ ทิศใต้ ๑ องค์ หล่อพระพุทธรูปนั่งด้วยทองคำ ๒ องค์หนักองค์ละ ๑ แสน ตั้งไว้ ณ ทิศตะวันออกพระสถูปองค์ ๑ ทิศตะวันตก องค์ ๑ และได้จัดสร้างดุริยดนตรี เครื่องปูลาด เตียงตั้ง และฉัตรธงไว้ทั้ง ๔ ด้านแห่งพระสถูปนั้น แล้วให้หล่อรูปยักษ์ ๘ ตน ยืนเฝ้าที่หน้ามุขพระสถูปทั้ง ๔ ด้าน ๆ ละตน และยืนเฝ้าประตูแห่งคูหาทั้ง ๔ ด้าน ๆ ละตน แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชจึงเอาโกศแก้ววชิระ หนัก ๑ พันน้ำ มาตั้งไว้เหนืออาสนะทองคำ ครั้นได้นักขัตฤกษ์ชัยมงคล จึงพร้อมด้วยพระอรหันต์ เทวดา นาค ครุฑและสมณพราหมณ์ ทำการฉลองสมโภชบูชาพระบรมธาตุแห่งสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมหาปางอันใหญ่ตลอด ๗ วัน ครั้นแล้วจึงได้ทำการอัญเชิญพระทักษิณโมลีธาตุจอมพระเศียรเบื้องขวาแห่งพระ พุทธเจ้า เท่าเมล็ดในพุทราเสด็จเข้าสู่โกศแก้ววชิระนั้น พร้อมทั้งพระธาตุกระดูกด้ามมีดเบื้องขวา โตเท่าเมล็ดข้าวสารหัก มีสัณฐานเป็นสามเหลี่ยม และพระบรมธาตุย่อยอีก ๕ องค์เท่าเมล็ดพันธ์ผักกาด รวมเป็นพระธาตุ ๗ องค์ ให้เข้าอยู่ในโกศแก้ววชิระนั้น จึงเชิญโกศแก้ววชิระให้เข้าประดิษฐานไว้ในพระสถูปทองคำเสร็จแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนามาตย์ เทพยดา และพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงกล่าวคำอธิษฐานไว้ว่า “ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้า องค์ประเสริฐในกาลเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้เคยเสด็จมาสู่ที่นี่ และได้ตรัสทำนายไว้แก่พระยาอังครัฏฐะว่า "พระ ทักษิณโมลีธาตุของเราตถาคตจะมาประดิษฐานอยู่ที่นี่" ดังนี้ และบัดนี้พระบรมธาตุเจ้าก็ได้เสด็จเข้าประดิษฐานอยู่ในที่นี่ สมดังพระพุทธทำนายแล้ว ในกาลต่อไปข้างหน้า แม้ว่าคน เทวดาและครุฑ นาคใด ๆ ก็ดี จักมานำเอาพระบรมธาตุเจ้าไปในสถานที่ใดก็ดีขอพระบรมธาตุเจ้าอย่าได้เสด็จไป เลย แม้ถึงว่าได้เสด็จไปแล้วก็ขอจงได้ เสด็จกลับคืนมาอยู่ ณ สถานที่นี้ตราบเท่า ๕๐๐๐ พระวัสสา เพื่อได้เป็นที่สักการบูชาแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายชั่วกาลนาน ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า หากมีพระราชาหรือมหาอำมาตย์ผู้ใด ได้มาสักการะพระบรมธาตุเจ้า ณ ดอยศรีจอมทองที่นี่ ขอจงให้พระราชาเป็นต้น พระองค์นั้นจงมีเดชานุภาพเหมือนดั่งข้าพระพุทธเจ้าอโศกมหาราชธรรมราชานี้ เทอญ ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้า เมื่อใดพระราชามหาอำมาตย์ผู้เสวยราชบ้านเมือง มีบุญวาสนาเสมอดั่งข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอนิมนต์พระบรมธาตุเจ้า จงเสด็จออกมาจากพระสถูปทองคำแสดงอภินิหารให้ปรากฏแก่คนและเทพยดาทั้งหลาย เพื่อให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองต่อไปตลอด ๕,๐๐๐ พระวัสสา ถ้าหากพระราชาและอำมาตย์เสวยราชบ้านเมืองที่นี้ ปราศจากการเคารพนับถือพระรัตนตรัย กระทำแต่บาปอกุศลกรรมมีประการต่าง ๆ ไซร้ ขอพระบรมธาตุเจ้า จงเสด็จประทับอยู่ในพระสถูปทองคำ แห่งข้าพระพุทธเจ้า ขอจงอย่าได้เสด็จออกมาให้ปรากฏแก่ผู้ใดเลย ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้า กาลใดเมื่อพระพุทธศาสนาตั้งอยู่ตลอด ๕,๐๐๐ พระวัสสา แล้ว พระธาตุแห่งพระพุทธเจ้าก็จักเสด็จไปรวมกันในที่แห่งเดียว ขอพระสถูปทองคำของข้าพระพุทธเจ้ากับทั้งเครื่องสักการบูชาทั้งหลาย จงอย่าได้สูญหายเป็นอันตรายไปเลย ขอจงตั้งอยู่ตราบเท่าถึงศาสนาพระศรีอริยะเมตไตรยผู้จะมาตรัสในภายหน้า และขอจงให้พระศรีอริยะเมตไตรยพระองค์นั้นจงนำพระสถูปทองคำของข้าพระพุทธเจ้า นี้ออกมาแสดงแก่เทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย ได้กระทำสักการบูชาทุก ๗ วันเทอญ” เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงอธิษฐานดังนี้แล้ว เหล่าเทพยดา นาคครุฑ ทั้งหลายจึงไปนำเอาหินจากป่าหิมพานต์ เอามาก่อแวดล้อมพระสถูปไว้ ๗ ชั้น เพื่อมิให้คนและสัตว์มาทำอันตรายได้ แล้วจึงอาณัติสั่งเทวดา ๒ ตนและพญานาค ๒ ตน ให้อยู่พิทักษ์รักษาพระบรมธาตุเจ้าต่อไป ในกาลใดถ้าหากพระราชามหาอำมาตย์และฝูงชนทั้งหลาย ประกอบด้วยบุญสมภารมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ในกาลนั้น เทพยดา และพระยานาคผู้รักษาพระบรมธาตุ ก็ดลบันดาลให้ชนทั้งหลายทราบว่าพระบรมธาตุเจ้ามีอยู่ในที่นี้ ถ้าชนทั้งหลายมีใจหนาแน่นไปด้วยกิเลสประกอบแต่กรรมอันเป็นอกุศลบาปธรรม เทพเจ้าผู้รักษาพระบรมธาตุก็นิมนต์พระบรมธาตุให้เข้าอยู่ในคูหาใต้พื้นดอย ศรีจอมทองเสีย มิให้ออกมาปรากฏแก่คนทั้งหลาย และในกาลนั้นพระเจ้าอโศกธรรมราชาได้รับสั่งให้เสนาอำมาตย์ราชบริพารทั้งหลาย ให้ขุดหลุมใหญ่ฝังทองคำไว้ในทิศทั้ง ๘ แห่งดอยศรีจอมทอง ทรงอธิษฐานไว้ว่าเมื่อใดพระบรมธาตุเจ้าเจริญรุ่งเรืองไปภายหน้า ขอจงให้ผู้อยู่ปฏิบัติรักษาพระบรมธาตุนี้ จงขุดเอาทองคำที่ฝังไว้นี้ออกบำรุงก่อสร้าง สถาปนาพระพุทธศาสนาให้เจริญถาวรต่อไปชั่วกาลนานเทอญ ครั้นแล้วท้าวเธอพร้อมด้วยเสนามาตย์ราชบริพารก็เสด็จคมนาการกลับไปสู่พระนคร ของพระองค์ ณ กาลนั้นแล 

   
 
 

จากคุณ    : ศรีวรุณะอิสโร
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เพื่อนผมเป็นโรค ปวดหัว ซีกเดียว ( ไมเกรน ) จะแนะนำกรรมฐาน อะไรดีครับ เมื่อ: ธันวาคม 04, 2012, 02:57:52 pm
เพื่อนผมเป็นโรค ปวดหัว ซีกเดียว ( ไมเกรน )  จะแนะนำกรรมฐาน อะไรดีครับ
ผมเคยแนะนำให้ภาวนา พุทโธ แล้ว ก็ทำได้ไม่นาน บอกจริตไม่ชอบ ผมเกรงว่าถ้าจะให้ฝึกประเภทกสิณ กลัวจะเครียดหนัก ปวดหนัก กว่าเดิม ปกติ จะแนะนำกรรมฐาน อะไรให้คนที่ป่วยอย่างนี้ปฏิบัติครับ

    :s_hi: :25: :c017:
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม่เฒ่า 86 แจ้งความตามทรัพย์สินกว่า 3 แสนคืน หลังน้องสาวโดนหลอกนำไปทำบุญต่ออายุว เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 03:43:02 pm
แม่เฒ่า 86 แจ้งความตามทรัพย์สินกว่า 3 แสนคืน หลังน้องสาวโดนหลอกนำไปทำบุญต่ออายุวัดดัง

ราชบุรี - “ชาติก่อนเคยเป็นหนี้ ชาตินี้ต้องเอาเงินมาทำบุญชดใช้” แม่เฒ่าวัย 76 ปี หลงเชื่อ กลัวพี่สาววัย 86 ปีที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลจะตาย นำเอาเงิน และทองของพี่สาวรวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาทให้หญิงคนรู้จักนำไปทำบุญต่ออายุให้ที่วัดดังปทุมธานี พอเจ้าตัวออกจาก รพ.พบทรัพย์สินสูญหาย แจ้งความตำรวจให้นำมาคืน
     
      เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (27 พ.ย.) น.ส.ภาวิดา บุญยินดี อายุ 36 ปี ได้พาแม่เฒ่า ผู้เป็นป้า คือ นางสุมิตรา บุญยินดี อายุ 86 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ถนนยุคประชา เขตเทศบาลเมืองบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.อภิวิชญ์ จันทวงศ์ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สภ.บ้านโป่งว่า ทรัพย์สินของนางสุมิตรา ผู้เป็นป้า มีสร้อยคอทองคำ พร้อมเข็มขัดนาค 2 เส้น รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท ซึ่งเก็บไว้ในตู้ภายในบ้าน ถูกนางมนกาญจน์ สุขสวัสดิ์ อายุ 63 ปี คนรู้จักกันนำเอาไปขาย แล้วนำเอาเงินทั้งหมดไปถวายให้แก่ทางวัดดังแห่งหนึ่งที่ จ.ปทุมธานี
     
      นางสุมิตรา แม่ฒ่าเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนเจ็บป่วย และได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายอาทิตย์ ซึ่งในช่วงที่นอนอยู่โรงพยาบาล มีนางสุขเกษม บุญยินดี อายุ 76 ปี น้องสาว เฝ้าบ้านเพียงลำพัง ภายหลังตนออกจากโรงพยาบาลเมื่อเปิดตู้ที่เก็บทรัพย์สินเงินทอง ปรากฏว่า สร้อยคอทองคำ และเข็มขัดนาคอีก 2 เส้น พร้อมเงินสดอีกจำนวนหนึ่งได้หายไป จึงได้สอบถามนางสุขเกษม ผู้เป็นน้องสาว จึงทราบว่า ในระหว่างที่ตนล้มป่วยนอนรักษาตัวโรงพยาบาล ได้มีนางมนกาญจน์ สุขสวัสดิ์ ได้ไปมาหาสู่ที่บ้านเป็นประจำ
     
      และนางมนกาญจน์ ได้บอกแก่น้องสาวตนว่า “เมื่อชาติก่อนนางสุมิตรา พี่สาว เป็นหนี้สินนางมนกาญจน์ และที่ล้มป่วยเพราะว่ากำลังจะหมดบุญ จะต้องเอาเงินไปทำบุญเพื่อเป็นการต่ออายุให้แก่นางสุมิตรา”
     
      เมื่อนางสุขเกษม น้องสาวตนได้ฟังก็ตกใจ และด้วยความเป็นห่วงตน ซึ่งเป็นพี่สาวที่ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงหลงเชื่อ จึงได้นำเอาสร้อยคอทองคำ และเข็มขัดนาคของตนมอบให้แก่นางมนกาญจน์ ไปเพื่อนำไปขาย แล้วนำเงินไปถวายวัดต่ออายุให้ตน หลังจากตนทราบเรื่องจึงได้ให้ น.ส.ภาวิดา หลานสาว พาเข้าแจ้งความดังกล่าว
     
      ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนางมนกาญจน์ สุขสวัสดิ์ มาสอบปากคำ โดยนางมนกาญจน์ รับว่า ได้นำเอาทรัพย์สินที่นางสุขเกษม ให้มาไปขาย 2 ครั้งได้เงิน 290,000 บาท จากนั้นก็ได้นำเงินทั้งหมดไปถวายให้แก่ทางวัดดังแห่งหนึ่งที่ จ.ปทุมธานี พร้อมกับนำใบอนุโมทนาบัตรวัดจำนวน 2 ใบให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ซึ่งใบอนุโมทนาบัตรวัดทั้ง 2 ใบระบุเงินที่ถวายให้กับทางวัดเพียง 203,400 บาท และก็ไม่มีชื่อของนางสุมิตรา เจ้าของเงิน มีเพียงชื่อของพระภิษุรูปหนึ่ง กับนางมนกาญจน์ เท่านั้น
     
      พ.ต.ท.อภิวิชญ์ จันทวงศ์ กล่าวว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นางมนกาญจน์ ติดต่อกับพระภิษุที่มีชื่อในใบอนุโมทนาบัตรวัด เดินทางไปประสานกับทางวัด เพื่อขอเงินที่ถวายไปกลับคืนมาให้แก่คุณยาย หรือนางสุมิตรา ก่อน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของคุณยาย อีกทั้งเจ้าของไม่ได้รู้เห็น และเต็มใจที่จะถวายให้แก่วัด ส่วนในเรื่องคดีความนั้นก็ต้องอยู่กับทางเจ้าทุกข์แต่เพียงผู้เดียว

อ้างอิง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000144866
7  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนที่ต้องการภาวนาจริง ๆ จำเป็นต้องศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ มากด้วยหรือไม่ครับ ? เมื่อ: สิงหาคม 10, 2012, 07:23:29 pm
คนที่ต้องการภาวนาจริง ๆ  จำเป็นต้องศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ มากด้วยหรือไม่ครับ ?

 เหตุเกิดเพราะเพื่อนผมเอง คนข้างเคียงอีกหลายท่าน ที่ได้สัญญากันไว้ว่า จะร่วมภาวนาปฏิบัติธรรมกรรมฐานกันมา 2 ปีแล้ว แต่ไม่เห็นจะภาวนาอะไรเลยครับ ยังมัวแต่นั่งอ่านตำรา อยู่หลายเล่มหนังสือกองบนโต๊ะหลากหลาย



   จึงสงสัยว่า คนที่จะภาวนากันจริง ๆ นี่ควรเรียนศึกษา กันแค่ไหนครับ มีขอบเขตหรือไม่ครับ

   :41: :smiley_confused1: :s_hi: :c017:
8  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.thaibhuda.com ไทยบุดดา เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 02:56:21 pm

พระบรมสารีริกธาตุ เขี้ยวแก้ว
สามารถดาวน์โหลดภาพความละเอียดสูงได้ที่นี่ครับ
http://www.thaibhuda.com/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=7&Itemid=13



http://www.thaibhuda.com
ไทยบุดดา
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อในเรื่องกรรม เพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:41:31 pm
ความเชื่อในเรื่องกรรม  เพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง
   
ความเชื่อในเรื่องกรรม
   

ตามคำสอนในพุทธศาสนา ชาวพุทธควรมีศรัทธา ๔ อย่าง คือ

๑. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ

๒. กัมมสัทธา เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อว่ากรรมมีจริง

๓. วิปากสัทธา เชื่อเรื่องผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมให้ผลเสมอ

๔. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือ เชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ

หลายคนคิดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง จนถึงกับประชดประชันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ด้วยเห็นว่าคนทำกรรมชั่วได้รับผลเป็นคนร่ำรวย เป็นคนมีวาสนา มีคนเคารพยกย่อง ตรงข้ามกับคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยันขันแข็ง กลับต้องมีชีวิตที่ยากลำบากหรือคนที่ทำงานไม่ป็น เลี่ยงงาน ประจบสอพลอ กลับได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง

กรรมให้ผลไม่เหมือนกัน ให้ผลทันเวลาและให้ผลระยะยาวต่อไป ฉะนั้นทุกคนจึงมีโอกาสรับกรรมไม่เหมือนกัน ความดีที่ทำไว้ครั้งนั้นยังมาไม่ถึง ความชั่วหนักกว่าก็มาให้ผลก่อน ส่วนความดีนั้นเขาก็จให้ผลในภายหลัง

คนที่เชื่อเรื่องกรรม ย่อมสามารถอดทน ยอมรับความทุกข์ ยากลำบาก ความผิดหวัง ขมขื่น และเคราะห์ที่เกิดแก่ตนได้ ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ทำดีต้องได้รับผลดีแน่นอน และทำชั่วก็จะได้รับผลชั่วอย่างหนีไม่พ้น กรรมบางอย่างอาจให้ผลในชาตินี้ บางอย่างอาจให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อไป เช่นเดียวกับการปลูกพืชบางอย่างให้ผลในไม่กี่เดือน บางอย่างก็เป็นปี


10  ธรรมะสาระ / บทสวดมนต์ มนต์พิธี / เค้ามูลปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:37:29 pm

เค้ามูลปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร



จากวันนั้นย้อนหลังขึ้นไปกว่า ๒๕๐๐ปีมาแล้ว ณ เชิงเขาคิชฌกูฎ กรุงราชคฤห์ครานั้นองค์พระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังทรงเข้าสู่สมาธิที่ชื่อว่า "คัมภีราวสมาธิ"ท่ามกลางบรรดาพระโพธิสัตต์และพระอรหันต์สาวกจำนวนมากอยู่นั้นเป็นขณะเดียวกันกับที่

พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์ได้

ดำริขึ้นว่า ขันธ์ทั้ง ๕เป็นความว่างเปล่าอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้น พระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งซึ่งมีนามว่า "ท่านสารีบุตร"จึงได้ปรารภขอให้องค์พระมหาโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรจงแสดงธรรมเรื่อง

"ความว่าง สุญญตา"

ให้แก่บรรดาพุทธบริษัทที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นด้วยด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีกำเนิดแห่งพระสูตรเลื่องชื่อซึ่งมีความหมาย

"พระสูตรที่ว่าด้วยปัญญาเป็นส่วนสำคัญที่จะพาไปให้ถึงฝั่ง(พระนิพพาน)"
   


ใจความสำคัญปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร


พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์ เมื่อทรงได้บำเพ็ญปัญญาบารมีจนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ก็พิจารณาเล็งเห็นว่าที่แท้จริงแล้วขันธ์ ๕นั้นเป็นสูญ(สูญญตาหรืออนัตตาหรือความว่าง) และเมื่อสามารถมองเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นสูญแล้ว จักช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
“ท่านสารีบุตร รุปไม่ต่างจากความสูญ ความสูญไม่ต่างไปจากรูป
รูปก็คือความสูญ ความสูญก็คือรูปนั้นเอง
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นความสูญเช่นเดียวกัน ท่านสารีบุตร ธรรมทั้งปวงมีความสูญเป็นลักษณะไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หย่อน ไม่เต็มอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแหละ ในความสูญจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน ๖อย่าง) ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์
(อายตนะภายนอก ๖อย่าง) ไม่มีวิญญาณ(ความรู้สึกรับรู้ได้) ในอายตนะภายในทั้ง ๖ด้วย (จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ) ไม่มีวิชา ไม่มีอวิชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งวิชชาและอวิชชา จนถึงไม่มีความแก่ความตาย และไม่มีสิ้นไปแห่งความแก่ความตาย
ไม่มีทุกข์ สมัทัย นิโรธ มรรค ไม่มีญาณ(ปัญญา) ไม่มีการบรรลุถึงซึ่งปัญญา และไม่มีอะไรที่ต้องบรรลุอยู่ต่อไป
พระโพธิสัตต์ เมื่อได้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีจิตที่เหลืออยู่ต่อไปแล้ว จึงเป็นผู้มีความเห็นถูกต้องชอบธรรม (สัมมาทิฐิ) และกระทำกิจทั้งปวงอย่างถูกต้องโดยเสมอ ในที่สุดก็บรรลุถึงพระนิพพาน บรรดาปวงพระพุทธเจ้าทุกๆองค์มีทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล ล้วนต่างได้เคยบำเพ็ญปัญญาบารมีมาด้วยกันแล้วทุกๆพระองค์ และเมื่อได้บำเพ็ญคุณธรรมนี้แล้วจึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ดังนั้นควรได้ทราบว่าปัญญาบารมีนี้เป็นมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์ที่ไม่อาจมีมนต์บทใดมาเทียบเคียงได้ เป็นมนต์ที่สามารถขจัดทุกข์ภัยทั้งปวง และนำพาไปสู่แดนนิพพานได้แน่นอน จึงไม่ควรจะมีความกงขาใดๆต่อไปเลย
ดังนั้นควรหมั่นสวดภาวนามนต์บทนี้ ด้วยเหตุนี้แล...จงไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิงไปสู่ความเป็นผู้รู้ไปสู่ความสงบสันติเบิกบานเกษมศานต์เถิด ”
   
   

   
   

ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
( พระสูตรว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจพาไปถึงฝั่งพระนิพพาน )

อายาวะโลกิติซัวรา โบดิสัตจัว กรรมบิรัม ปรัชญาปารมิตาจารัม จารา มาโน
วียาวะโลกิติสมา ปัญจะ สกันดา อะสัตตัสจา ซัวปาวะสูญนิยะ ปาสัตติสมา
อีฮา สารีบุทรา รูปังสูญญะ สูญนิยะตา อีวารูปา
รูปานา เวทะสูญนิยะตา สูญญา นายะนา เวทะ ซารูปัง
ยารูปัง สา สูญนิยะตะยา สูญนียะตา ซารูปัง
อีวา วีดานา สังญาสัง สการา วียานัม
อีฮา สารีบุทรา ซาวาดามา สูญนิยะตะ ลักษาณา
อานุภานา อานิรูตา อะมะระ อะวิมะลา อานุนา อาปาริปุนา
ทัสมาต สารีบุทรา สูญนิยะตายะ นารูปัง นาวิยานา นาสังญานา สังสการานา วียานัม
นา จักษุ โสตรา กรรณนา ชิวหา กายา มะนา ซานะรูปัง
สัพพะ กันดา รัสสัส สปัตตะ วียา ดามา
นาจักษุ ดาตุ ยาวะนา มะโนวีนยะนัม ดาตุ นาวิดียา นาวิดียา เจียโย
ยาวัดนา จาระมา ระนัม นะจาระมา ระนัม เจียโย
นาตุขา สมุดา นิโรดา มาคา นายะนัม นาประติ
นาอะบิส สะมะยัง ตัสมาตนะ ปรัตติถา โพธิสัตวะนัม
ปรัชญา ปารมิตา อาสริดะ วิหะรัชชะ จิตตา อะวะระนา
จิตตา อะวะระนา จิตตา อะวะระนา นัสติ ตวะนะ ทรัสโส
วิปาริยะซา อาติกันดา นิสทรา เนียวานัม
ทรียาวะ เรียววะ สิทธะ สาวา บุดดา ปรัชญา ปารมิตา
อาสวิชชะ อะนุตตะระ สัมยัก สัมโบดิม อะบิ สัมโบดา
ทัสมาต เนียทาวียา ปรัชญา ปารมิตา มหามันทรา
มหาวิทยะ มันทรา อะนุตตะระ มันตรา อสมา สมาธิ มันทรา
สาวา ตุขา ปรัชสา มานา สังญา อามิ เจียจัว
ปรัชญา ปารมิตา มุขา มันทรา ตะติติยะ
"คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โบดิซัวฮา"
   
   

   
   

คำแปล ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า
และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป
รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย
สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง
ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง

ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ
ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส
ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ
ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์
และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์
และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์
ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง

พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น
เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น
พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา
ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น
อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา
ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน
   
   

   
   

อานิสงส์ที่จากการสวดมนต์ภาวนา ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
1.เพื่อเพิ่มพูนสติปํญญาให้สามารถเห็นแจ้งในธรรมะ
2.เพื่อการบรรลุภาวะการเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
3.เพื่อการตรัสรู้และการบรรลุนิพพานโลกธาตุในที่สุด

สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เดินทางเสี่ยงต่ออันตราย หรือ เผชิญภาวะฉุกเฉิน
และ ต้องการตั้งสติขจัดความตื่นกลัวออกไปโดยเร็ว ควรบริกรรม โดยใช้บทสวดมนต์ย่อว่า
"คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิสวาหา"
ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ท่านหลวงจีนเฮียงจั๋ง (พระถังซำจั๋ง) ท่านกล่าวว่า
ท่านสวดบทนี้เมื่อท่านอยู่ในภาวะคับขันในการเดินทางข้ามทะเลทราย
ท่านเชื่อว่าทำให้มีสติตั้งมั่น เกิดปํญญา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
11  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สวด คาถา พญาไก่เถื่อน เป็นความงมงาย หรือ ไม่ ? เมื่อ: มีนาคม 04, 2012, 08:34:55 am
สวด คาถา พญาไก่เถื่อน เป็นความงมงาย หรือ ไม่ ?

อยากให้ผู้รู้ ช่วยไขประเด็น เหล่านี้ด้วยครับ คือ

1.ที่มา ที่ไป เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติ มีปรากฏข้อความในพระไตรปิฏก หรือ ไม่
2.ระหว่างสวด คาถาพญาไก่เถื่อน กับ สวดบทพุทธคุณ อันไหน จะดีกว่า
3.การที่เราสวด แบบไม่รู้อะไร เลย แล้วสวดไปเรื่อย ๆ จะต่างอะไรกับพวกพราหมณ์ ที่ท่่องบ่นคาถา
4.่สวดแล้ว จะดีขึ้นได้อย่างไร อะไร ดีขึ้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
5.สวดแล้ว ถ้ายังทำชั่ว ทำเลว โกงกิน รับสินบน เป็นต้น คาถาจะช่วยอะไรได้
6.การสวดคาถา พญาไก่เถื่อนเป็น กรรมฐานได้อย่างไร อยู่ในพระสูตรไหน
7.คนที่สวด กับ ผู้ชักชวนให้สวด จัดไว้ว่าเป็นความงมงายหรือไม่ ?
8.คาถานี้ จะทำให้ผู้สวด ละ กิเลสได้อย่างไร

 และยังมีอีกหลายคำถามที่ผม โดนเพื่อน ๆ ชาวกลุ่มปัญญาสวนกลับมา เมื่อไปชักชวนเขาสวดด้วยกันครับ
หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้ช่วยแก้ข้อสงสัย นี้ด้วยนะครับ

  :smiley_confused1: :c017:
12  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / งานนมัสการพระบาทพลวง เริ่มวันนี้ 25 ม.ค.55 - 24 มี.ค.55 เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 12:27:16 pm
งานนมัสการพระบาทพลวง เริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี จนถึงช่วงต้นเดือนเมษายน บริเวณเขาคิขฌกูฎ ตำบลพลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานนมัสการพระบาทพลวง งานนมัสการพระพุทธบาทพลวงจัดขึ้น ณ บริเวณเขาคิขฌกูฎ ตำบลพลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ภายในงานมีการจัดบวงสรวงเทวดาอารักษ์ พิธีปิดทองรอยพระพุทธบาท การจัดเดินป่าขึ้นยอดเขาคิชฌกูฏ เป็นงานประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานาน โดยมีความเชื่อว่าจะได้บุญสูง และเป็นการฝึกจิตใจให้มีความอดทนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ในอดีตจะเป็นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แต่ในปัจจุบันมีรถบริการให้ประชาชนได้เดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น พระพุทธบาทพลวง เป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร อยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ถือว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดของประเทศไทย และอยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร   ในช่วงเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง พุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาจะเดินทางขึ้นเขาไปแสวงบุญเป็นจำนวนมาก นอกจากจะได้นมัสการพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะได้ชมความงดงามแปลกอัศจรรย์ของ หินลูกพระบาท ก้อนหินกลมใหญ่ริมหน้าผา และได้รับความสดชื่นจากบรรยากาศบนยอดเขาคิชกูฎ นอกจากนี้ผู้ที่ถึงวัดพลวงตอนเย็นสามารถพักค้างคืนเพื่อเริ่มขึ้นยอดเขาในตอนเช้าได้ โดยทางวัดมีที่พัก และที่อาบน้ำไว้รองรับคนได้จำนวนมาก การเดินทาง หากมาตามถนนสุขุมวิท เมื่อถึงทางแยกเข้าตัวเมืองจันทบุรี (สี่แยกเขาไร่ยา) ให้เลี้ยวลงถนนทางน้ำตกกระทิง หรือ ถนนบำราศนราดูร จากทางแยกเขาไร่ยา ไปถึงน้ำตกกระทิงประมาณ 20 กิโลเมตร เลยวัดระทิงไป 400 เมตร ถึงแยกขวามือไปวัดพลวง เป็นถนนลูกรังระยะทาง 3 กิโลเมตร เมื่อถึงวัดพลวง จะเป็นจุดเริ่มต้นขึ้นไปยังยอดเขา มีรถรับจ้างทดเฟืองพิเศษ รับไปส่งถึงจุดที่ใกล้ที่สุด และเดินเท้าต่ออีกประมาณ 40 นาที
** ติดต่อสอบถามได้ที่ **
อุทยานแห่งชาติเขาคิดชฌกูฎ โทร. 0 3945 2075
กิ่งอำเภอเขาคิดชฌกูฎ โทร. 0 3945 2437
องค์การบริหารส่วนตำบลพลวง  โทร. 0 3930 9281
บรรยากาศภาพพระพุทธบาทพลวง :











http://www.chanforchan.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=579127&Ntype=3
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขอเสนอให้ทีมงาน เสนอประวัติของ พระโสณะ พระอุตตระ ด้วยครับ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2011, 01:43:05 pm
คือทราบมาว่าเป็น พระมหาเถระเจ้า ที่นำกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เข้ามาเผยแผ่ใน สุวรรณภูมิ (ไทย)
แต่ประวัติของ พระมหาเถระ นี้อ่านไม่พบครับ จึง หรือ มีผมหาไม่พบครับ
ขอเสนอให้ทีมงาน เสนอประวัติของ พระโสณะ พระอุตตระ ด้วยครับ

 โปรดพิจารณา ด้วยครับ

 :25: :c017:


 
14  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ได้ละสังขารแล้ว ร่วมฟังพระอภิธรรม 3 - 19 ธ.ค.54 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2011, 03:08:55 pm
คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ได้ละสังขารแล้ว รดน้ำเสาร์ 3 ธค. 54 @16.00น.

วัดพระศรีมหาธาตุฯบางเขน    

คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย
ผู้เป็นธรรมาจารย์ ที่พวกเราชาวพุทธฯ น้อมบูชาพระคุณอันหาที่สุดมิได้
ได้ละสังขารแล้ว ด้วยวัย 94 ปี 3 เดือน

จะมีพิธีรดน้ำ ในวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2554 เวลา 16.00 น. ณ ศาลา 8/2 ห้องแอร์ VIP
วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน

“ท่านเป็นผู้โชคดี ได้มาพบพระพุทธศาสนา มีโอกาสรับของขวัญจากพระพุทธเจ้า
ขอให้ทุกท่านมีความเพียร มีความอดทน มีความพอใจที่จะก้าวไปสู่ทางสันติสุข
โดยยึดมั่นปฏิบัติธรรมะ สมถะและวิปัสสนาอันเป็นทางตรงและถูกต้องแล้ว
ท่านจะต้องได้รับและรักษาของขวัญจากพระพุทธเจ้าไว้ คือ
ความสุข ไพบูลย์ สงบเย็น ด้วยคุณธรรมของศีล ทาน สมาธิและปัญญา”
คำสอนของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย


15  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / ใครไม่กลัว นรก เพราะติดในอบายมุข แล้ว เชิญมาชมทางนี้ เมื่อ: ธันวาคม 10, 2011, 02:29:10 pm


เครดิตผู้อัพโหลด
iDreamMediaCenter

  เมื่อเห็นโทษอบายแล้ว ก็พึ่ง ละเว้นแล้ว ภาวนาธรรมให้ได้ดวงตาเห็นธรรม กันเถอะครับ
16  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / แหล่น้ำท่วม พ.ศ.2554..mpg เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2011, 11:26:11 am


แหล่น้ำท่วม พ.ศ.2554..mpg
อัพโหลดโดย extar13

บันทึกภาพได้บางส่วนในเขตอำเภอเมืองจังหวัดนนทบุรีบางพื้นที่
และในเขตกรุงเทพมหานครบริเวรท้องสนามหลวง
17  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / หล่อพระทันใจ 4 - 5 ธ.ค.54 วัดป่าหิมพานต์ ด่านเกวียน โชคชัย โคราช เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2011, 02:35:06 pm
ผม นายศุภรัตน์  ภู่เจริญ
กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม "พรหมวิหาร"
ผู้ดำเนินการสร้างสมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิ์ไตรโลกนารถ (พระเจ้าทันใจ)
สร้างถวายวัดป่าหิมพานต์ ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา
ได้รับความเมตตาจากคุณปาล์ม (พระปาล์ม) และญาติธรรมเว็บผลบุญ
ได้รับไว้ในโครงการหล่อพระทุกทิศทั่วไทย
ซึ่งจะมีกำหนดการหล่อพระเจ้าทันใจ
ในวันที่ 4 - 5 ธันวาคม 2554

โดยจะเริ่มก่อสร้างฐานรองรับพระในวันที่ 23 ตุลาคม 2554 นี้
ขอขอบพระคุณ คุณสรร ที่ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นในการหล่อพระ
ขอขอบพระคุณ คุณบุญชัย Boonchai เป็นอย่างสูงมากครับ
สำหรับรูปภาพขั้นตอนการสร้างพระเจ้าทันใจ
ซึ่งจะเป็นวิทยาทาน สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นเจ้าภาพ
ในการสร้างพระเจ้าทันใจองค์ต่อๆ ไป
เพื่อร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง
สำหรับรายละเอียดในการหล่อพระเจ้าทันใจ
ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะในเว็บผลบุญต่อไปครับ
ขอขอบพระคุณญาติธรรมเว็บผลบุญทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาบุญ
นายศุภรัตน์  ภู่เจริญ



ชมภาพ รายละเอียด ที่ลิงก์ นี้ ครับ

http://www.ponboon.com/board/index.php?topic=4482.0
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากได้คำตอบเป็นวิทยาทาน แก่ผู้ทีภาวนาแล้ว เจอสัมภเวสีมาขอส่วนบุญรบกวน ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2011, 02:17:45 pm
เรียนท่านผู้มีประสบการ์ณในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย

ดิฉัน เองนั่งสมาธิมาหลายปี แต่สภาวะธรรมที่เจอช่วงนี้คือสัมภเวสีมาขอส่วนบุญโดยการกวนให้นอนไม่หลับ ดิฉันเคย ทั้งแผ่เมตตา ทำบุญให้ ก็ยังตามไม่หยุด เค้าเป็นวิญญาณที่ถูกจองจำที่คอนโด เพราะตายที่นี่และวิญญานเค้าไปไหนไม่ได้ ดิฉันมีคำถามคือ
1. ทำบุญให้แล้วก็ยังมากวน การกวนทำให้นอนไม่หลับ  พอนอนไม่หลับ ส่งผลต่อร่างกายในการทำงานวันถัดมา
2. ครั้นจะไม่ให้บุญ ก็เกรงว่าจะเป็นการใจดำ ครั้นให้ก็จะมาไม่หยุด
3. เราจะผ่านสภาวะธรรมอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะเคยแก้ด้วยการหยุดปฏิบัติเค้าก็ไม่มา แต่เราเองก็ต้องหยุดการสะสมบุญ

ขอคำแนะนำจากท่านผู้เคยเจอประสบการร์สภาวะธรรมแบบนี้และผ่านมาแล้ว ว่าดิฉันควรทำอย่างไร เพราะตอนนี้มีผลกระทบต่อร่างกายค่ะ

จากคุณ    : happynatty
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เข้า ฌาน ได้ 100 ปี ไม่เท่ากับ เห็นพระไตรลักษณ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2011, 12:17:12 pm
 “ผู้ใดเข้าฌาน นาน 100 ปีและไม่เสื่อม บุญยังน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริง
ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มาจากการปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็น
เพียงชั่วขณะจิตก็ตาม”

         เห็นชอบด้วยแล้วครับ และจึงขออ้างอิงจาก "อตัมยมตา" ครับ

 
20  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญเข้าร่วมปฏิบัติธรรม วันเสาร์ที่26-วันอาทิตย์ที่27 พฤศจิกายน2554 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2011, 05:17:34 pm
เชิญเข้าร่วมปฏิบัติธรรม วันเสาร์ที่26-วันอาทิตย์ที่27 พฤศจิกายน2554

เขียนโดย weera2548 เมื่อ ส, 22/10/2011 - 10:19

 
 กำหนดการ 26-27 พฤศจิกายน 54

ลงทะเบียน วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน 54 เวลา 09.00-10.00 น.

     ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม ซอยอิสรภาพ 23 บางกอกใหญ่ กรุงเทพ

 ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ โทร.084-651-7023  รถเมล์สาย 19 40 56 57 149 ผ่าน

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน  2554 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1

 เวลา 09.30-10.15             ลงทะเบียน รับศีล ขึ้นกรรมฐาน

 เวลา 10.15-11.00           รับประทานอาหารกลางวัน

เวลา  13.00-14.00           ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหา พักดื่มน้ำปานะ

เวลา 14.00-16.30            เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม อาบน้ำ  ทำธุระส่วนตัว

เวลา 16.30-17.00            ทำวัตรเย็น 

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 1

เวลา  06.30 - 07.00           ทำวัตรเช้า  รับประทานอาหารเช้า

เวลา 07.000 -11.00          นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม รับประทานอาหารกลางวัน

เวลา  13.00-14.00           ฟังบรรยายธรรม

เวลา 16.30-17.00            ญาติโยมทำวัตรเย็น   ลาศีล กลับบ้าน 


21  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / ชมหุ่น เิดินจิต กรรมฐาน วัดราชสิทธาราม ( วัดพลับ ) คณะ 5 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2011, 05:06:09 pm



ไปชมต่อที่นี่ นะครับ
http://www.somdechsuk.org/node/195/130
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แฉ หลอกสาธิตเหรียญควอนตัม เมื่อ: ตุลาคม 23, 2011, 06:56:40 pm
แฉ หลอกสาธิตเหรียญควอนตัม

23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ใครเชื่อมั่น ต่ออำนาจ ธรรมะ ว่าจะชนะทุกสิ่ง ได้บ้างครับ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 09:19:52 am
ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมก็มีความเชื่อมั่น ต่ออำนาจธรรมะ ว่าจะสามารถ ชนะได้ทุกสิ่ง

 แต่จนบัดนี้ผมก็ตั้งมั่นอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เห็นธรรมะ จะชนะอะไร เลยครับ

 คนดี ก็พาลน้อยลง คนโกงกิน ได้เป็นใหญ่ เป็นโต คนมีธรรมะ ก็อยู่อย่างลำบาก

 ถูกเอารัด เอาเปรียบ อยู่เหมือนเดิม แต่ถึงจะอย่างนี้ ผมก็เชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง

 ธรรมะจะชนะทุกสิ่ง ได้จริง และคนที่เชื่อมั่นอย่างผมตอนนี้ .... โดยเฉพาะ พ่อผมเอง ก็ตายลงแล้ว

 ที่ว่า ธรรมะชนะทุกสิ่ง พ่อผมเองก็ได้แต่บอกว่า ให้ตั้งมั่นในความดี ต่อไป.... เฮ้อ

  แล้วใครจะเชื่ออย่างผม อย่างที่ไม่เห็นว่า ธรรมะ จะชนะทุกสิ่งได้จริง หรือ เรื่องที่ธรรมะ จะชนะทุกสิ่งนั้น

คือ ชนะอะไร ชนะกรรม หรือ ชนะใจตนเอง เท่านั้น ใครมีคำตอบ อยากคุยเป็นเพื่อนผมบ้างในวันพระ

 ก็มาสนทนากันนะครับ ในยามที่ประเทศไทยตอนนี้ มีแต่น้ำ เต็ม.....

  ผมเห็นคนแย่งอาหาร กัน ชกต่อย ทะเลาะกัน ตอนเขามาแจกของ คนมีธรรมะ มักจะไม่ได้อะไร หรือไม่ได้

เพราะไม่แย่ง มีระเบียบ แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า เราชนะอะไรได้เลย ยามคนประสบภัย สิ่งที่ทุกคนทำกันก็คือ

ความเอาตัวรอด เพียงเท่านั้นเอง......

   ธรรมะ ย่อมชนะทุกสิ่ง ฤาจะเป็นแค่ อุดมการณ์ ให้ผมมีกำลังใจอยู่เท่านั้น

   :25: ???
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากทราบวิธี บรรจุ พลังจิต ลงในวัตถุ ทำอย่างไรในกรรมฐาน ครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 10:50:25 am
อยากทราบวิธี บรรจุ พลังจิต ลงในวัตถุ ทำอย่างไรในกรรมฐาน ครับ

เวลาที่พระุคุณเจ้า พระสงฆ์ นั่งปรก ปลุกเสก นั้นบรรจุพลังจิตลงไปในวัตถุมงคลต่าง ๆนั้น

ใช้วิธีการอย่างไร ?

  ตั้งจิตไว้อย่างไร ?

  จึงจะทำให้ วัตถุนั้นมีอำนาจจิต จริง ๆ

  :25: :25: :25:
25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อนาคามี โลกุตรภูมิ คือ ภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะไม่กลับมาเกิดอีก เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 10:46:02 am
ประเภทของพระอนาคามี
อนาคามี โลกุตรภูมิ คือ ภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะไม่กลับมาเกิดอีก หมายความว่า ผู้ที่เข้าถึงภูมินี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยบุคคลในลำดับที่ 3 ในพระพุทธศาสนาต่อจากพระสกิทาคามี และจะไม่กลับมาเกิดในกามภพอีก
 
คุณวิเศษของพระอนาคามี
 
     ดังกล่าวมาข้างต้นแล้วว่า พระอนาคามีจะต้องผ่านภาวะของการเป็นพระโสดาบัน และภาวะของการเป็นพระสกิทาคามีอีกเป็นขั้นที่ 2 จึงจะมาถึงขั้นพระอนาคามี ซึ่งพระอนาคามีทรงคุณวิเศษ คือ ย่อมละอนุสัยได้เด็ดขาดเพิ่มอีก 2 ชนิด จากพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี ได้แก่
 
1. กามราคานุสัย คือ ความยินดีพอใจในกามคุณ
 
2. ปฏิฆานุสัย คือ การติดอยู่ในความไม่พอใจในอารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบ
 
     ผู้ที่บรรลุธรรมเข้าถึงสภาวะความเป็นพระอนาคามีแล้ว หลังจากละโลกแล้ว จะบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส อันเป็นที่บังเกิดของบุคคลผู้เข้าถึงภาวะความเป็นพระอนาคามี เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทดังนี้
 
1. อันตราปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาส ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ภายในอายุครึ่งแรกของพรหมสุทธาวาส
 
 
2. อุปหัจจปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ภายในอายุครึ่งหลังของพรหมสุทธาวาส
 
 
3. อสังขารปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้นอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
 
 
4. สสังขารปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้น โดยต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างแรงกล้า จึงจะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
 
 
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล ที่บังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นต่ำที่สุด คือ ชั้นอวิหาสุทธาวาส จากนั้นจึงจุติในพรหมสุทธาวาสในชั้นสูงๆ ขึ้นไปตามลำดับ คือ อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา แล้วจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจึงดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในอกนิฏฐ พรหม ซึ่งเป็นพรหมสุทธาวาสชั้นที่สูงที่สุด


26  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / หนทางของผู้ศึกษา ธรรมแบบ โต่ง สุด ซ้ายสุด และ ขวาสุด เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 10:22:12 am
การปฏิเสธสมมติสัจจะสิ้นเชิงเป็นทางสุดโต่งฝากหนึ่ง

การติดกับสมมติสัจจะอย่างไม่ลืมหูลืมตาเป็นทางสุดโต่งอีกฝั่งหนึ่ง

ทั้งสองทาง  เป็นผลจากการศึกษาพระพุทธศาสนาในสังคมวงกว้างผิดหลักพระพุทธศาสนา ฝั่งตัวมาเนิ่นนานในสังคมไทย..

การแก้ปัญหาด้วยวิธีการ "หักด้ามพร้าด้วยเข่า" เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช่คำตอบ..

ทำให้นึกถึงประโยค 2 ประโยคในหนังสือเล่มหนึ่ง

1.การใช้วิธีรุนแรง(หิงสธรรม) ในรูปแบบใดๆภายใต้ข้ออ้างใดๆก็ตามย่อมเป็นการขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง.....

2.น้ำใจ แห่งขันติธรรมและความเข้าใจนี้  เป็นข้อหนึ่งในอุดมคติที่ได้รักษาไว้อย่างดีที่สุด  ในวัฒนธรรมและอารยธรรมของพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มแรก..

(ข้อมูลจากข้อมูลจากหนังสือพระพุทธเจ้าสอนอะไร หน้า 19 แปลจากหนังสือภาษาอังกฤษ What the buddha taught
โดย Walpola Sri  Rahula)

..."สนับสนุนผู้ที่รักษาพระธรรมวินัย(ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด)"

และ ขออนุโมทนากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งมนุษย์และอมนุษย์   ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆอันจะช่วยให้ชาวพุทธหันกลับมาเอาใจใส่และดูแล "พระธรรมวินัย"ให้สืบทอดต่อไปอีกนานแสนนาน
......"ขอคืนพื้นที่พระพุทธศาสนาที่แท้จริง"...

จากคุณ    : ต่อmcu

   
    ข้อความไม่แสดงบางส่วน ผมขออนุญาตแก้ไข ;)
27  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อานิสงฆ์ การบำรุงพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรแล้ว เมื่อ: กันยายน 18, 2011, 11:18:33 am
               ๖. อธิมุตตเถราปทาน
         ประวัติในอดีตชาติของพระอธิมุตตเถระ
              (พระอธิมุตตเถระ    เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน    จึงกล่าวว่า)
                        [๘๔]            เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นที่พึ่ง
                                      ของสัตว์โลกพระนามว่าอัตถทัสสี
                                      ผู้สูงสุดแห่งนรชน    เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
                                      ข้าพเจ้ามีจิตผ่องใส    ได้บำรุงภิกษุสงฆ์
                        [๘๕]            ครั้นนิมนต์พระสังฆรัตนะ    ผู้ซื่อตรง    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว
                                      ข้าพเจ้าจึงใช้ต้นอ้อยทำมณฑป
                                      นิมนต์สงฆ์ผู้สูงสุดให้ฉันแล้ว
                        [๘๖]            ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด  ๆ
                                      คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
                                      ในกำเนิดนั้น  ๆ    ข้าพเจ้าย่อมปกครองสัตว์ทั้งปวง
                                      นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม


28  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เรียนเชิญผู้ต้องการบำเพ็ญกุศล ภาวนาสมาธิในแบบทิเบต เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2011, 06:08:50 pm
เรียนเชิญผู้ต้องการบำเพ็ญกุศล ภาวนาสมาธิในแบบทิเบต

เข้าร่วมปฏิบัติในวัน กูรูริมโปเช่ ตามตารางวันข้างบน

 เวลา 14.00น-16.00น. ณ.โรงเจอีธงกักอ้วง (วัดภิกษุณี)

เลขที่ 134  ซอยโรงเรียนเทศบาล 4  ถนนจักกะพาก

 จังหวัด สมุทรปราการ 10280  โทร02-387-0567


http://www.mahayana.in.th/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81.htm
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พาเที่ยวชม บู๊ตึ่ง ไท้เก็ก กำเนิดที่นี่ ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2011, 10:25:50 am
เขาบู้ตึ๊ง หรือ อู่ตังซัน (ในภาษาจีนกลาง) มีอีกชื่อว่า ไท่เหอซัน เป็นเทือกเขาที่มีความสำคัญของลัทธิเต๋า ที่เล่าสืบมาว่า ปรมาจารย์เจินอู่ หรือเทพเจ้าเสวียนอู่(玄武神)ที่ศาสนาเต๋าเคารพนับถือ ได้บำเพ็ญตบะบนยอดเขาแห่งนี้ รู้สึกติดอกติดใจกับเทือกเขา ที่เสมือนเป็นแดนสุขาวดี ได้ใช้วิชาทั้งบุ๋นและบู้ต่อกรกับภิกษุหลายรูปของฝ่ายพุทธ จนได้รับชัยชนะ สามารถยึดเขาแห่งนี้เป็นที่พำนักสืบมา...





      เขาบู้ตึ๊ง ได้กลายมาเป็นแหล่งฝึกวิชา และเข้าฌานของนักพรตลัทธิเต๋า หลายสำนักมาหลายยุคสมัย และยังเป็นที่กำเนิดสุดยอดวิชากังฟูที่โด่งดัง ตามที่เราเคยคุ้นหูคุ้นตาในนิยายกำลังภายในด้วย เขตโบราณสถานบนเขาบู้ตึ๊ง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 321 ตร.กม. ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นหมู่ตึกโบราณ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และส่วนที่เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติ อาทิ สระน้ำ บ่อน้ำพุร้อน ถ้ำ หน้าผาและยอดเขา รวมกว่าร้อยแห่ง




      บนเขาบู้ตึ๊ง มีสถาปัตยกรรม นับตั้งแต่สมัยถัง ซ่ง หยวน หมิง และชิง โดยส่วนใหญ่ เป็นอารามหรือวิหารที่มีความสำคัญในศาสนาเต๋า ซึ่งโบราณสถานที่หลงเหลือมาจนทุกวันนี้ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ หมิง ที่เป็นเช่นนี้สืบเนื่องมาจาก กษัตริย์เฉิงจู่จูตี้ (หย่งเล่อ) ทรงเคารพเลื่อมใสในศาสนาเต๋าอย่างแรงกล้า ในรัชสมัยของพระองค์โปรดให้มีการสร้างศาสนสถานของศาสนาเต๋าขึ้นมากมายนั่น เอง

     โบราณสถานเก่าแก่ คือ ศาลเจ้าห้ามังกร (อู่หลงฉือ) จักรพรรดิถังไท่จง หลี่ซื่อหมิน แห่งราชวงศ์ถัง มีพระราชโองการรับสั่งให้สร้างขึ้น ระหว่างปี ค.ศ.627-649 ต่อมา ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เกิดกระแสเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าเจินอู่(เสวียนอู่) ฐานของศานาเต๋าจึงเริ่มหยั่งรากขึ้นบนเขาบู้ตึ๊ง จนกระทั่งมาในสมัยราชวงศ์หมิง ศาสนาเต๋าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด จนกลายเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมทางศาสนาเต๋าทั่วประเทศ และยังเป็นที่ตั้งของวัดแห่งราชสำนักหมิงที่สำคัญด้วย



     ณ ยอดเทียนจู้ ยอดเขาที่สูงที่สุด มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,612 เมตร เป็นที่ตั้งของวิหารใหญ่แห่งศาสนาเต๋า จินเตี้ยน สร้างขึ้นเมื่อปีที่ 14 (ค.ศ.1416)ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง มีความสูง 5.5 เมตร กว้าง 5.8 เมตร ภายในวิหาร งามวิจิตรด้วยลวดลายบนเสาเอกและเพดานประดับมุข เป็นที่ประดิษฐานรูปสำริดของเทพเจ้าเจินอู่(เสวียนอู่) น้ำหนัก 10 ตัน ด้านนอกวิหาร เป็นกำแพงเมืองจื่อจินเฉิง มีความยาว 1,500 เมตร ก่อขึ้นเป็นรูปทรงภูเขา นอกจากนี้ยังมีพระราชวังจื่อเซียว ที่สร้างขึ้นในสมัยหย่งเล่อ ปีที่ 11 (ค.ศ.1413) ที่สามารถอนุรักษ์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดมาจนถึงวันนี้



     แหล่งธรรมชาติบนเขาบู๊ตึ๊ง มักมีชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์ และมีความเชื่อรวมถึงที่มาต่างๆกัน เช่น บริเวณรอบๆวิหารจินเตี้ยน เรียก ‘ลานแสวงบุญ’ เนื่องจากทุกปีในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วง จะมีมดมีปีกจำนวนมากบินมาเกาะบริเวณดังกล่าว และไม่บินไปไหนจนกระทั่งตายหมดทั้งฝูง ชาวบ้านจึงเชื่อว่า มดมีปีกเหล่านี้บินมาสักการะเทพเจ้าเสวียนอู่ จึงให้ชื่อบริเวณนั้นตามเรื่องมหัศจรรย์ดังกล่าว

      หรือเช่นบริเวณ ‘เขาอีการับอาหาร’ ‘เสือดำลาดตระเวนเขา’ มีเรื่องที่เล่าสืบมาว่า เมื่อครั้งพระอาจารย์เจินอู่เดินทางมาจาริกแสวงบุญบนเขาบู้ตึ๊ง มีเสือดำคอยเปิดทางขึ้นเขา และมีอีกาคอยนำทางให้ ช่วงเวลาที่ท่านบำเพ็ญตบะ อีกาจะคอยร้องเตือนบอกเวลา เมื่อถึงรุ่งสางของทุกวัน และเสือดำคอยป้องกันระวังภัยให้ เมื่อพระอาจารย์เจินอู่ สำเร็จวิชาบรรลุเป็นเทพเจ้า กาตัวนั้นจึงได้ยศเป็นทหารเทพ ส่วนเสือดำก็เป็นขุนศึกลาดตระเวนบนภูเขาแห่งนี้

      ครั้นต่อมา เนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมของอุบาสก อุบาสิกาในศาสนาพุทธ ที่ว่า กาดำเป็นสัตว์อัปมงคล ชอบนำเรื่องร้ายมาสู่มากกว่าเรื่องดี ดังนั้น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงโชคร้าย เมื่อพุทธศาสนิกชนได้มาที่เขาบู้ตึ๊งและเดินทางมาถึงบริเวณ ‘เขาอีกา’ จะโยนข้าว หรือข้าวโพดที่นำติดตัวมา ขึ้นไปบนอากาศ แล้วตะโกนว่า ‘อีกามารับอาหาร’ อีกาที่บินมาเป็นฝูง จะกางปีกอ้าปากรับอาหารที่คนโปรยให้ จึงเกิดเป็นชื่อเขาดังกล่าว



     จางซันเฟิง(张三丰)ชื่อเดิม จางเฉวียนอี หรือ จางจวินอี้ว์ นักบวชเต๋าแห่งเขาบู้ตึ๊ง ในปลายสมัยซ่งเหนือ ‘ซันเฟิง’ เป็นฉายาที่ใช้เมื่อออกบวช เกิดในปี ค.ศ.1247 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน บริเวณที่เป็นมณฑลเหลียวหนิงในปัจจุบัน เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านสามัญชน จากฝีมือการช่วยเหลือคนเจ็บไข้ ด้วยหลักการรักษาโดยใช้กำลังภายใน

      ปรมาจารย์จางซันเฟิงหรือเตียซำฮง ได้ให้กำเนิดหมัดมวยสำนักบู้ตึ๊ง ซึ่งโด่งดังเคียงคู่มากับหมัดมวยเส้าหลิน ของสำนักพุทธแห่งเขาซงซัน ท่านได้ คิดค้นมวยบู้ตึ๊ง จากการศึกษาทฤษฎีพื้นฐานของศาสตร์หยินและหยาง ศาสตร์เรื่องธาตุทั้งห้า และหลักการของแผนภูมิทั้งแปด (ปา กว้า八卦) โดยท่านสามารถสังเคราะห์แก่นแท้ของศาสตร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน และหลอมรวมมาเป็นทฤษฎีของหมัดมวยบู้ตึ๊ง

      กังฟูสำนักบู้ตึ๊ง มีการกำเนิดเกี่ยวเนื่องลึกซึ้งกับศาสนาเต๋า ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจาก ในระหว่างการบำเพ็ญตบะ นักบวชในศาสนาเต๋าจะต้องเรียนฝึกกังฟูไปพร้อมกันด้วย โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อฝึกปรือให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง การฝึกกังฟูของสำนักบู้ตึ๊งมีหลักการคือ ฝึกการควบคุมกำลังภายใน (Internal styles 内家拳派) ใช้ความนุ่มนวลสยบความแข็งแกร่ง ภายหลังมีการพัฒนาจนเป็นวิทยายุทธ์การต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่แกร่งกล้า และเป็นที่ยอมรับไปทั่ว

      มวยบู้ตึ๊ง ประกอบด้วยมวยหลัก 3 สายวิชา ได้แก่ มวยไท่จี๋ (ไทเก็ก) มวยสิงอี้ (สิงอี้เฉวียน ท่าทางการต่อสู้เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ เช่น เสือ วานร มังกร เหยี่ยว นางแอ่น เป็นต้น) และฝ่ามือแปดทิศ (ปา กว้าจ่าง เคลื่อนไหวโดยการสืบเท้าเป็นรูปวงกลม และแปลงกระบวนท่าฝ่ามือเป็นท่าต่างๆ) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศจีน ที่โด่งดังและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก


     - ข้อควรระวัง

     มารยาทการเข้าวัดเต๋าหรือโบราณสถานของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับวัดพุทธ เช่น ห้ามส่งเสียงดัง ไม่เหยียบธรณีประตู ไม่พูดคำหยาบ ห้ามดื่มเหล้า

     แต่ มีข้อยกเว้นอีกว่า ห้ามใช้นิ้วชี้หรือหันหลังให้รูปเคารพในวัด ห้ามถามอายุนักพรตเต๋า(มีเหตุผลมากมายตามความเชื่อในศาสนาเต่า)

     ของ เซ่นไหว้ในวัดมีข้อกำหนดว่า ห้ามไหว้ลูกทับทิม ลูกพลัม ไก่ สุนัข ดอกไม้สีแดงฉูดฉาด มีสถานที่ต้องห้ามหลายแห่ง กรุณาเดินตามไกด์ เพื่อความปลอดภัยและสิริมงคลของตัวท่านเอง


ข้อมูล

http://travel.thaiza.com
http://www.travelprothai.com/
30  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ ( แนวมหายาน ) นะครับ เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2011, 10:17:58 am
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
      อาตมาคงท่องคาถาเหมือนเดิม เหยียบบนดอกบัว เหินฟัาสู่นภากาศ รู้สึกกว่าร่างกายค่อย ๆ โตขึ้นๆ จนได้ขนาดเท่ากับขนาดตอนพบอมิตพุทธเจ้า
      พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า “เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง คือพวกที่ขณะอยู่ในสัพพะโลกก็มุมานะในการบำเพ็ญตน ถือศีลเครงครัดดังมุกมณี ขยันหมั่นเพียรศึกษาพุทธตำราละ 10 บาป ทำ 10 บุญ อาศัยตามวิธีการบำเพ็ญของตนไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริง พากเพียรพยายาม มานะบากบั่น 10 ปีประหนึ่งวันวันเดียว จวบจนสังขารที่เป็นเลือดเนื้อดับสูญ บวกกับกุศลภายนอก เช่นทำบุญ ทำทาน ประกอบมหากุศล ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งก่อนตายก็ได้ไปเกิดยังบัวชั้นสูง”
      เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง ความฝันเฟื่องนั้นพูดได้ว่าไม่มีโดยสิ้นเชิง ทวารทั้ง 6 บริสุทธิ์ พวกเขาบางคนก็บรรลุถึงขั้นของพระโพธิสัตว์แล้ว แปลงกายได้ตามใจปรารถนา ท่องเที่ยวแสดงเทวฤทธิ์เป็นต้นว่า บรรดาโพธิสัตว์เมื่ออยู่ด้วยกันนึกจะแปลงเป็นดอกไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ นึกจะแปลงเป็นเจดีย์ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นเจดีย์ นึกจะแปลงเป็นก้อนหินร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นก้อนหิน นึกจะแปลงเป็นต้นไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นต้นไม้
      ในสระบัวชั้นสูง ดอกบัวที่เล็กที่สุดก็มีขนาดใหญ่เท่าเนื้อที่ของ 3 มณฑล หรืออีกนัยหนึ่ง มีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศมาเลเซีย พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า จะพาอาตมาไปดูที่สระ
      เรามาถึงบริเวณสระบัว สระบัวชั้นสูงต่างกับที่อื่นจริง ๆรอบ ๆ สระมีลักษณะเด่นสง่า เคร่งขรึมกว่าบัวชั้นกลางละชั้นล่างมีรั้วล้อมเป็นชั้น ๆ เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆ ทั้งส่งกลิ่นหอมรวยรินกลิ่นหอมเหล่านี้ขจรขจายออกมาจากดอกบัวในสระนั่นเอง กลางสระบัวมีรัตนเจดีย์ รูปลักษณะเหมือนภูเขาสูง ตัวเจดีย์เป็นรูปหลายเหลี่ยม เปล่งประกายสัพรังสีพวยพุ่ง กลางสระยังมีสะพานงามวิจิตรเนื้อที่ของสระกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบสระ ภายใน สระไม่เท่าแต่มีดอกบัวบานสะพรั่งเท่านั้น ยังมีการประดับทัศนียภาพนานาสารพัน บนท้องฟ้านภาลัยมีฉัตรทิพย์ สร้อยระย้าไข่มุกเปล่งแสงวาววามงามระยับ ดอกบัวมีชั้นกลีบดอกมากจนนับไม่ถ้วน แต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์ ศาลา อาราม ตำหนัก วิหาร วิจิตรงดงามยิ่ง ผู้อาศัยอยู่บนดอกบัวทั่วสารพางค์กายเป็นสีทองคำอร่ามโปร่งใส อาภรณ์สวยงามเปล่งแสงสีต่าง ๆ
      พระโพธิสัตว์กวนอิมพลันถามอาตมาว่า “ณ ที่นี้มีคนผู้หนึ่งชื่อ ยิ่งกวง พระธรรมาจารย์ (พระเถระชั้นสูงคนหนึ่งใน 3 คนของจีนในยุคปัจจุบัน) ท่านรู้จักไหม”
      อาตมารีบถามว่า“อยู่ไหน อาตมาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มีความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง แต่ว่ายังไม่มีวาสนาได้พบหน้า ท่าน เลย”
      ขณะกล่าววาจา ก็เห็นชายคนหนึ่งอายุ 30 เศษ พลันแปลงกายเป็นโฉมหน้าเดิมของพระธรรมาจารย์ยิ่งกวง ได้พบหน้ากันรู้สึกดีใจมาก หลังจากคารวะต่อกันแล้ว ก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรสออกชาติเราคุยถึงเรื่องต่าง ๆ ลืมไปแล้วเสียส่วนมาก แต่ที่ยังจำได้แม่นยำคือคำสั่งกำชับของท่าน ท่านกล่าวว่า “อาตมาหวังว่าหลังจากที่ท่านกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว จะได้ถ่ายทอดให้ผู้ร่วมทางธรรมได้ตระหนักทั่วกันว่า จะต้องถือศีลเป็นครู รักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดสวดมนต์ไหว้พระ ศรัทธา ปณิธาน ปฎิปทา ก็จะตัองได้ใปเกิดยังสุคติภพแน่นอน จงเตือนพวกบำเพ็ญตนบางคน อย่าได้ทำเป็นอวดฉลาด เที่ยวแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยและระบบระเบียบที่พระพุทธองค์บัญญัติ ไว้โดยพลการ ป่าวร้องการเผยแพร่ธรรมะอย่างปฎิรูป ทำลายภาพพจน์ ละเมิดพระธรรมวินัย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดจริง ๆ
      เราเดินลงจากบัลลังก์ดอกบัวพร้อมกัน ท่านพาอาตมาไปยังตำหนักใหญ่ ตลอดทางมีปักษินเทวานานาชนิด ขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งทองใบหยก ประสานกับเสียงมโหรีทิพย์พิมาน เสียงสวดมนต์ไพเราะเสนาะหูแว่วมาตามลม ทุกถิ่นสถานบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้สวยงามนานาพรรณส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่อดอกรูปทรงกลมส่งประกายวาววับยังมีโคมไข่มุก โคมโมรา โคมแก้ว ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ส่องประกายรัศมีสีสันต่าง ๆ จับนัยน์ตาพร่าพราย วิจิตรงดงามยากจะบรรยาย
   
บัวชั้นกลาง (สถานที่อยู่รวมของสามัญบุลคลกับอริยบุคคล)
    “อัฐคีรีภาพ”
    “พิพิธภัณฑ์ของโลกศรีปิฎก”
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
การไขปริศนาธรรมของอมิตพุทธเจ้า
กลับถึงถำหมีเล่อในแดนมนุษย์
ถือศีลเป็นพื้นฐาน รักษาศีลบริสุทธิ์ดุจมุกมณี ถือศีลเป็นครู
      เข้าสู่ตำหนัก ภาพยิ่งสวยงามพิสดาร ทำเอาอาตมาเหมือนต้องมนต์สะกด ภายในหอเปล่งแสงสีทอง พื้นก็เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเปล่งแสงในตัวได้ทั้งสิ้น พระธรรมมาจารย์ยิ่งกวงนำอาตมาขึ้นไปยังหอชั้นบน บนหอเก็บรวบรวมกระจกแก้วผลึกนานาชนิด ตรงกลางเป็นกระจกบานใหญ่ที่ส่องได้ทั้งตัวพระโพธิสัตว์กวนอิมแนะว่า “กระจกบานนี้จะส่องโฉมหน้าแท้จริงของทุกคนออกมาได้ ธาตุแท้บริสุทธิ์หรือไม่ มีความคิดฝันเฟื่องหรือไม่พอส่งกระจกดูก็จะเห็น ได้ชัด” ภายในหอมีม้านั่งตั้งเรียงรายอยู่ 2ข้างอย่างเป็นระเบียบ ม้านั่งเหล่านี้ประกอบด้วยรัตนะ 7 มีแสงในตัวบนโต๊ะตั้งของรูปร่างแปลกๆ ไว้ อาตมาดูไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบว่าอาตมาคงหิวแล้ว จึงถามขึ้นว่า “หิวแล้วใช่ไหมล่ะ” ว่ากันตามจริง อาตมารู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จึงตอบไปว่า“มีของอะไรพอกินแก้หิวได้บ้างไหมครับ”
      ท่านตอบว่า “ของกินที่นี่ก็เหมือนกับที่บัวชั้นล่าง ท่านอยากกินของสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาเอง” อาตมากล่าวว่า“งั้นก็ดีซี อาตมาอยากกินข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาว อย่างอื่นไม่เอา”
      กล่าวไม่ทันขาดคำ ข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาวก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า อาตมาถามทุกคนว่า“พวกท่านไม่ทานด้วยหรือ
      พวกเขากล่าวว่า“โดยทั่วไปพวกเราไม่ต้องกินอะไรอยู่แล้วท่านตามสบายเถิด”
      ตามที่ทราบ เวไนยสัตว์ในระดับสูงของบัวชั้นสูง ส่วนใหญ่จะสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ ความฝันเฟื่องกระหายอยากอาหารจึงมีน้อยมาก กระทั่งไม่มีเลย เปรียบกับอาตมาแล้วก็ให้รู้สึกละอายใจ กินไปกินไป จนกระทั่งอิ่ม วางชามตะเกียบลงบนโต๊ะ พริบตาเดียวชามตะเกียบบนโต๊ะก็อันตรธานไปสิ้น อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ทำไมถึงเป็น เช่นนั้น”
      ท่านตอบว่า “นั่นเป็นเพราะท่านคิดว่าท่านหิว ก็นึกอยากจะกินข้าว ก็เหมือนผู้คนในโลกมนุษย์นอนหลับฝันไป ตอนฝันก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นตื่นขึ้นทุกอย่างก็สูญ สิ้น ท่านนึกอยากกินของกินก็มา กินอิ่มแล้ว ความคิดอยากกินหมดไป ของกินก็อันตรธานด้วย”
      อาตมาผงกศีรษะรับทราบ
      ท่านกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ครั้นธาตุบริสุทธิ์ ไม่นึกอยากกิน ไม่นึกอยากของใด ๆ ก็เป็นศูนยภาพ หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไม่แต่ถ้าหากมีความคิดอยากผุดขึ้น ก็จะเป็นดังท้องฟ้าที่ว่างเปล่าพลันมีเมฆหมอกเกิดขึ้นชั้นหนึ่ง เหตุผลนี้ท่านคอย ๆ ใคร่ครวญ ซึมซาบก็จะเข้าใจ 3 มิติของเหตุผลนี้ ได้โดยถองแท้”
      ผู้ไปเกิดในบัวชั้นสูง มีความคิดฝันเฟื่องน้อยที่สุด ล้วนแล้วแต่จริงแท้ดังธาตุเดิม ในชั่วพริบตาจะสามารถอาศัยแรงบันดาลของอมิตพุทธเจ้าแปลงเป็นดอกไม้ ผลไม้และของถวายออกมาถวายสักการะพุทธ 10 ทิศ ครั้นถึงเวลาแสดงธรรม พระโพธิสัตว์นับหมื่นนับล้านรูปจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว หรือในตำหนัก บนรัตนเจดีย์หรือต้นไม้ 7 แถว ฟังพระดำรัสตรัสแสดงธรรมโดยตรงจากอมิตพุทธเจ้า
      อาตมาเรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ผู้คนในโลกมนุษย์คงมีมาเกิดในสุคติภพมากมาย เหตุใดญาติโยมของพวกเขาจึงมองไม่เห็นล่ะครับ”
      ท่านตอบว่า “ผู้คนในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกบดบังโดยกรรมกีดขวาง จึงมีของที่มองไม่เห็นอีกมากนัก ถ้าหากหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มีความคิดฝันเฟื่อง ใจวางเปล่าเป็นศูนยภาพแล้ว ก็มีโอกาสได้เห็นแดนสุขาวดีเช่นกัน”
      อาตมาถือโอกาสขอให้ท่านไขปริศนา โดยถามว่า“ถ้ากระนั้นต้องสวดมนต์อย่างไรจึงจะบรรลุผลได้เร็วที่สุด
ท่านตอบว่า “ต้องบำเพ็ญฌานกับพิสุทธิ์ควบคู่กัน ใจหนึ่งสวดพุทธ สวดพุทธไปเข้าฌานไป เรียกว่า ฌานวิสุทธิภูมิ”
      อาตมารุกถามต่อ“ขอเรียนถามว่า ฌานวิสุทธิภูมิควรปฏิบัติอย่างไร”
      ท่านผงกศีรษะอธิบายว่า “ใช้วิธีสวดโดยแบ่งคนออกเป็น2 ชุด (นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรมของเวไนยสัตว์ในวิสทธิภูมิ) ชุด ก.สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ข. ฟังไปสวดในใจไปด้วย จากนั้น ชุดข. สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ก. ฟังไปสวดในใจไปด้วย การปฎิบัติเช่นนี้ ทั้งไม่หนักแรง ทั้งสวดได้ไม่ขาดช่วง หูจะไว หูจะสวดเองซึ่งก็คือใจสวด ใจกับปากเป็นหนึ่งเดียว พุทธภาพก็จะปรากฎขึ้นเอง เมื่อใจสงบ ย่อมก่อเกิดสมาธิ สมาธิยอมก่อเกิดปัญญา”
      ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า เวลาเหลือไม่มากแล้ว อาตมาจะพาท่านไปดูมหาเจดีย์อมิตพุทธเจ้า คือ “เจดีย์ดอกบัว”
      เราผ่านตำหนักไปอีกหลายหลัง ยอดเจดึย์แว็บผ่านตัวเราไปไม่ช้าก็เห็นมหาเจดีย์สูงใหญ่มหึมาสุดเปรียบปาน ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สูงดังขุนเขาคุนหลุนของประเทศจีน ไม่ทราบมีกี่ชั้น (คงไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นชั้น)“เจดีย์ดอกบัว” มีกี่เหลี่ยมก็แยกไม่ชัด ตัวเจดีย์มีลักษณะโปร่งใส สัพรังสีพวยพุ่ง ได้ยินเสียงสวดนโมอมิตพุทธแว่วจากภายในเจดีย์ 2 คำแรกชัดมาก คำเริ่มต้นฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายกำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือ ส่วนคำที่ 2 ให้ความรู้สึกอยากชิดใกล้
      “เจดีย์ดอกบัว” องค์นี้ มีไว้สำหรับผู้คนที่ไปเกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงนับหมื่นนับแสนได้ใช้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความสูงใหญ่ของเจดีย์ เปรียบเทียบไม่ถูก ไม่อาจจินตนาการโดยผู้คนในโลกมนุษย์ได้ ใหญ่พอ ๆ กับพื้นที่รวมของโลกเราหลายพันหลายหมื่นโลก ดังนั้นความสูงของมันก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เช่นกัน ภายในเจดีย์ มีปราสาทราชวังมากมาย มีสีต่าง ๆ ล้วนแต่โปร่งใสและมีแสงสว่างในตัว เวไนยสัตว์ที่เกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงมาถึงที่นี่แล้ว สามารถเดินฝาทะลุกำแพงเข้าออกได้โดยเสรีไม่มีสิ่งใดขวางกั้น จะขึ้นจะลงเพียงใจนึกเท่านั้น ในชั่วขณะหนึ่งก็จะไปถึงในที่ที่ต้องการจะไปภายในเจดีย์มีพร้อมทุกสิ่งอย่าง ณ ที่นี้สามารถมองเห็นสภาพทั้งปวงของเวไนยสัตว์ในโลกศรีปิฎกทั้งหมด สามารถเห็นพุทธภูมิบรรดามีหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ความเยี่ยมยอดของสภาพภายในเจดีย์ ไม่สามารถใช้ปากกาดินสอมาบรรยายให้เห็นภาพแม้เพียง 1 ในหมื่นเวไนยสัตว์ในระดับกลางของบัวชั้นสูง ถ้าปรารถนาจะไปยังพุทธภูมิใด ก็เป็นเรื่องเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
      เราก้าวเข้า“เจดีย์ดอกบัว” ปรากฏว่าตัวเราเดินลอยขึ้นเหมือนนั่งลิฟท์ ขึ้นไปทีละชั้น ๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ล้วนแต่โปร่งใส จะเห็นแตล่ะชั้นมีคนนั่งสวดพุทธอยู่เต็มเพรียบ ล้วนแต่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 เศษ แต่ละชั้นจะมีลักษณะการแต่งกายเป็นของตัวเองรวมประมาณ 20 กว่าสี แต่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ผู้ชายทั้งหมดนั่งสวดพุทธอยู่บนดอกบัว
      พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า“ที่นี่จัดเวลา 6 ชั่วโมงทำวัตร2 ชั่วโมงสวดพุทธ 2 ชั่วโมงเก็บเสียง 2 ชั่วโมงพักผ่อน เวลานี้เป็นเวลาสวดพุทธ
      เราไปถึงชั้นที่อยู่กึ่งกลาง เห็นพวกเขานั่งเป็นแถวอยู่ 2 ข้างแถวซ้ายกับแถวขวาหันหน้าชนกัน ได้ยินแต่เสียงกระดิ่ง กลอง ปลาไม้กรับ ดังไม่ขาดเสียง แต่ไม่เห็นของจริง พวกเขานั่งอยู่บนอาสนะสวยงามมาก กลางวงมีมหาโพธิสัตว์รูปหนึ่งนั่งอยู่คอยชี้แนะ คนที่สวดได้ดีจะมีแสงพวยพุ่งเหนือศีรษะ ในแสงมีพระพุทธรูปมากมาย เช่นเดียวกับแสงเหนือเศียรของอมิตพุทธเจ้าที่มีพระพุทธรูปหลายหมื่นหลายแสนล้านรูป มหาโพธิสัตว์รูปนั้นก็มีแสง ในแสงก็มีพระพุทธรูปเช่นกัน มีวิหคนานาพรรณบินถลาร่อนล้อลมอยู่เหนือยอดเจดีย์ บ้างบินอยู่ในห้องโถง พวกมันสวดพุทธตามได้ด้วย ไม่สับสนแม้แต่น้อยภายในเจดย์มีโคมมุก โคมแก้วแสงสีต่าง ๆ โคมรูปกลมยังสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปต่าง ๆ เปล่งแสงสีนานาชนิด รวมความแล้วก็คือภูมิภาคของที่นี่บรรยายเท่าไรก็บรรยายไม่หมด ทั้งยากจะบรรยายออกมาให้เห็นภาพได้ การสักการะพุทธ 10 ทิศ ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่นี่ ณที่นี้สามารถเห็นโลกศรีปิฎกทั้งโลก เวไนยสัตว์ทั้งปวง อริยพุทธทั้งปวงจนถึงพุทธภูมิหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ล้วนปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า



http://thai.mindcyber.com/anut/sukavadee/1131.php
31  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกกรรม สูตรเล็ก เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2011, 10:22:21 am
จูฬกัมมวิภังคสูตร

     ว่าด้วยการจำแนกกรรม  สูตรเล็ก

     [๒๘๙]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
         สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี  สมัยนั้นแล  สุภมาณพโตเทยยบุตร  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

     “ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี  คือ  มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏว่ามีอายุสั้น  มีอายุยืน  มีโรคมาก  มีโรคน้อย  มีผิวพรรณทราม  มีผิวพรรณดี  มีอำนาจน้อย  มีอำนาจมากมีโภคะน้อย  มีโภคะมาก  เกิดในตระกูลต่ำ  เกิดในตระกูลสูง  มีปัญญาน้อย มีปัญญามาก


        ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี”

{ที่มา : พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๔ หน้า :๓๔๙- ๓๕๐ }
32  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระมีรายได้ มากกว่า 40000 บาท ต่อเดือน จริงหรือไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 10:33:03 am
เมื่อวานเพื่อนผม คนหนึ่งปรารภ ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี งานก็ทำท่าจะไปไม่รอด เดี๋ยวจะไปบวชแล้ว

ไปบวชทำไมละ

 เป็นพระมีรายได้ มากกว่า เดือนละ 40000 บาท นะสิ

 จริงหรือ

 จริง

 วัดไหน ที่มีรายได้ขนาดนั้น

 วัดธ... หลวงน้า อยู่ที่นั่น...

 

  ผม ก็แปลกใจว่า จะเป็นจริง หรือ ที่พระทุกรูป จะมีรายได้ถึง 40000 บา่ท ต่อเดือน

 :smiley_confused1:
หน้า: [1]