โดยปกติ ถ้ามีอุบาสก อุบาสิกา มาหาอาตมาก็อยู่นั่งสนทนาด้วย

แต่คณะโยม ฟ้าใส บอกอาตมาไว้ว่า ขออยู่ดูกิจกรรมของวัด และขอนั่งกรรมฐานสักเล็กน้อย
ก็เลยไม่ค่อยได้สนทนาด้วย

มาคราวหน้า แจ้งด้วยว่าต้องการสนทนา ให้มาก
สำหรับเรื่องการบริจาค จัดทำ จัดสร้าง ในส่วนของศูนย์ อาตมาจะไม่ค่อยพูด คงทำแต่ป้ายขนาด A4 ไว้เล็ก ๆ
 
ใครมีศรัทธา ก็เชิญ

แต่ถ้าเป็นงานประชาสัมพันธ์ของวัด อันนี้ต้องพูดให้วัด

ส่วนการดำเนินการเรื่องการปฏิบัติธรรม บนศาลานั้น หลัก ๆ ก็เป็นเพียงอาตมา พระรูปอื่น ๆ ก็มีหน้าที่
ตามเจ้าอาวาสสั่ง ที่ท่านมาช่วยก็ด้วยคุณธรรมของท่าน

เจริญพร

ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก มีพระภิกษุณี เป็นพระอรหันต์ จำนวน 40 ตามตำแหน่ง เอตทัคคะ ไม่เป็น เอตทัคคะ ไม่ได้กล่าวไ้ว้

ที่เป็นอุบาสิกา สำเร็จ ตั้งแต่ พระโสดาบัน มีจำนวน 44 คน ตามตำแหน่ง เอตทัคคะ ฝ่าย อุบาสิกา

 
ส.จ.พันธุ์ธัช ชุณห์วิสิทธิกิจ ได้นำจตุปัจจัย เป็นค่าลำโพงที่ได้ปวารณาไว้แล้วจ้า
ขออนุโมทนากับ คุณโยมด้วยที่มาร่วมส่งเสริม ศูนย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ สระบุรี

สาธุ สาธุ สาธุ
 

[กำหนดการฝึกพระกรรมฐาน ในวันที่ 19 20 21 กุมภาพันธ์]

กำหนดการฝึกพระกรรมฐาน ในวันที่ 19 20 21 กุมภาพันธ์

[pra_sonthaya@madchima.org]

เจริญพร มายังญาติโยมที่สอบถามเข้ามากันมาก ๆๆ ( ไม่ถึงมาย )

ในเดือน กุมภาพันธ์ วันที่ 19 20 และ 21 ซึ่งเป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
ว่าจะจัดให้มีการฝึกอบรมพระกรรมฐาน เข้มข้น เน้นการภาวนา มากกว่าฟังบรรยาย

โดยจัดให้มีการพัก ในวัดเลย การแต่งกาย ชุดขาว ผู้สนใจฝึกลงชื่อได้ในหน้าเว็บนี้
รับจำนวนจำกัดประมาณ 50 คน

ลองเอาจริง สัก 2 วัน 2 คืน

ส่ง email ชื่อที่อยู่ไปยัง เบอร์ติดต่อไปยัง
address pra_sonthaya@madchima.org

อานาปานสติ มีเป้าหมายเริ่มต้นที่ อุคคหนิมิต
เริ่มต้นด้วยการนับ ก่อน จึงเป็นการติดตาม การกำหนดจุดสัมผัส และการตั้งฐานจิต ในจุดต่างๆ

ข้อ 1 ได้สำหรับการเิริ่มต้น แต่ถึงฝึกไปจนชำนาญเดี๋ยวก็เปลี่ยน ไปตามระดับ
ข้อ 2 ได้สำหรับการเิริ่มต้น แต่ถึงฝึกไปจนชำนาญเดี๋ยวก็เปลี่ยน ไปตามระดับ
ข้อ 3 เมื่อเราเข้าสู่ญาณสติของอานาปานสติ ตั้งแต่ญาณ 8 แรกก็เป็นวิปัสสนาแล้ว

เวลาเราตกงาน แล้วไม่มีงานทำ ก็จะมีผลกระทบตามมา ในเรื่องการดำรงชีวิต
บางครั้งก็ทำให้ใจ ล้า เศร้า ซึม มองโลกได้ในทางคับแคบ และท้ายที่สุด ก็นำไปสู่ความเครียดได้ สุดท้ายใจก็จะแบกความทุกข์ไว้ หลาย ๆ อย่าง

การปฏิบัติภาวนา จะลดอารมณ์พวกนี้ได้ ทำให้สติแจ่มใสได้
อย่างน้อย ตอนนี้ก็มีกัลยาณมิืตร คอยช่วยเตือนสติ ถ้าไม่พบหนทางใด ก็มาที่วัดภาวนา มาช่วยกิจกรรมบ้างก็ได้ มีอาหารให้ ถ้าทำดีก็มีที่พักให้ กำลังต้องการคนช่วยงานวัดอยู่ ไม่มีเงินเดือนให้เท่านั้น

อนุโมทนา กับคำตอบที่มีความละเอียด ของ โยม NATHPONSON
ผู้พันคงได้สาระ มากพอสมควร

อนุโมทนา ด้วย อาตมาจัดวรรคให้อ่านง่ายขึ้น

อนุโมทนา ด้วยจ้า

มีอุบาสิกา ที่ปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นจำนวนมากแต่ อุบาสิกา เหล่านี้ไม่สามารถ กล่าวได้ว่าเป็นหรือไม่เป็น เพราะเป็นเรื่องที่ไปพูด หรือบอก กันไม่ได้
 
 เอาเป็นว่า โยม ปฏิบัติก็เป็นพระอรหันต์ได้
 
 แต่พระอรหันต์ ที่ชาวโลกยกย่อง อยู่ที่บ้านนะจ๊ะ คือ พ่อ แม่ เป็นพระอรหันต์ ของลูกเท่านั้น
 สำหรับ พ่อ แม่ ทำไมเป็นพระอรหันต์ของลูก โยมก็คงพอเข้าใจ

คาถาพญาไก่เถื่อน ถ้าสวดภาวนาตลอดเวลาที่สวดนั้นก็สามารถ ทำให้ใจสงบได้ อานิสงค์มากมี ดูในหัวข้อเรื่อง อานิสงค์ การสวดคาถาพญาไก่เถื่อน เลยจ้า


ยิ่งสวดมาก ยิ่งดี ยิ่งภาวนามาก ก็ยิ่งดี
อาตมาเองตอนเดินจงกรมในช่วงบวชใหม่ ๆ ก็ได้คาถาพญาไก่เถื่อน นี่แหละเดินภาวนา

กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นกรรมฐานเหมาะกับทุกจริต
เพราะมีกรรมฐานครบทั้ง 40 กอง

อ่านกระทู้ย้อนหลัง ในห้องนี้ ก็จะพอจะเข้าใจ หรือเรื่องกรรมฐาน  ก็จะ้เข้าใจ
0814333659 โทรถามได้

ความคืบหน้าที่ คณะญาติโยมถามมา
ตอนนี้ได้ดำเนินการสั่งทำรอยพระพุทธบาท ตามกำหนดรอยพระบาทจะนำมาส่งในวันที่ 7 ม.ค.53
( ยังไม่มีเจ้าภาพ )

ส่วนฐานนั้นยังไม่ได้ดำเนินการรอพระพุทธบาทจำลองมาก่อน ( ยังไม่มีเจ้าภาพ )

พระสาวก 8 องค์ปิดทองดำเนินการสั่งแล้ว ( ยังไม่มีเจ้าภาพ )

มีคุณโยมติดต่อมา แต่เพียงสอบถาม ไม่มีผู้ใดแสดงตัวเป็นเจ้าภาพจ๊ะ

ฆราวาสเข้าร่วมกิจกรรมได้ แต่ต้องเตรียมเต๊นซ์ นอนกลางแจ้ง อุปกรณ์มาเอง ถ้าต้องการอยู่ร่วมในเขตสังฆกรรม
แต่ถ้าต้องการปฏิบัติภาวนา ในวัดจะมีเรือนพักให้ และเข้าร่วมกิจกรรมหลัก ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ตักบาตร
ฟังธรรม ภาวนา เดินจงกรม เป็นต้น

การปฏบัติหลักก็มี
ของพระุคุณเจ้า
04.00 น. ทำวัตรเช้า
06.15 น.เก็บวัตร
07.30 น. บิณฑบาตร ในวัดด้านหน้า
09.00 น.ฉันภัตตาหารเช้า ถ้าฉันเพลก็เก็บไว้ฉันเอง
13.00 น. ฟังธรรม หรือ ภาวนา
15.00 น. ฉันน้ำปานะ ภาคบ่าย ทำกิจส่วนตัว
16.30 น.เดินจงกรม
18.00 น.ทำวัตรเย็น มีการสวด ธัมมจักร ทุกวัน
20.00 น. บอกวัตร
มีอาจารย์ กรรมพักอยู่ร่วมด้วยไม่ต่ำกว่า 5 รูป

สำหรับญาติโยม ก็ดูเวลาร่วมกิจกรรมกันในเวลาดังกล่าวเอง
ส่วนด้านหน้า ที่ศาลา 1 ยังเปิดปฏิบัติตามปกติ

ตอบคำถามข้อที่ 1
 ระเบียบประจำวันหลัก นะถ้าลงละเอียดกำลังดำเนินการหน้าเว็บนี้อยู่
 1.นั่งกรรมฐาน 04.00 น. ถึง 04.25 น.
 2.ทำวัตรเช้า และนั่งกรรมฐาน อีกรอบ 04.25 ถึง 05.30 น.
 3.ทำกิจส่วนตัว และ ช่วยทำความสะอาดวัด 05.30 น. ถึง 07.45 น.
 4.ทานอาหารเช้า 08.00 น.( โดยประมาณ )
 5. เวลา ตั้งแต่ 08.00 น. ถึง 11.00 น. เป็นเวลาที่ว่าง ภาวนา และศึกษาหลักธรรม กรรมฐาน
 6.ทานอาหารกลางวัน 11.00 น. ถึง 12.00 น.
 7.เวลา ตั้งแต่ 12.00 น. 18.00 น. เป็นเวลาที่ว่าง ภาวนา และศึกษาหลักธรรม กรรมฐาน
 8.ทำวัตรเย็น และนั่งกรรมฐาน 18.00 น. ถึง 19.30 น.
 9. เวลา 19.30 น. เป็นเวลา ปฏิบัติภาวนา ส่วนตัว
 10. วัดจะการปิดประตูศาลา และ ประตูลานธรรม 20.00 น.
 
ตอบคำถามข้อที่ 2
 ในการอยู่ฝึกภาวนา ถ้าเป็นกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ก็จะเป็นอาตมา
 ถ้าเป็นการมาอยู่ทั่วไป ก็เป็นฝ่ายวัด คือ พระมหาภีรญาณ เจ้าอาวาส
 
ตอบคำถามข้อที่ 3
 ไม่มีค่าใช้จ่ายในการฝึกภาวนา มีแต่ศรัีทธาโยม แล้วแต่บริจาค หรือบริจาคก็ได้
 
ตอบคำถามข้อที่ 4
 ควรแต่งกายสุภาพ ชุดที่นั่งกรรมฐานสบาย สีขาวเป็นต้น สำหรับ ศีล 5
 หรือให้ดีก็แต่งชุดขาว ถ้ารับศีล 8
 
ตอบคำถามข้อที่ 5
 ไม่ต้องเตรียมเครื่องนอนมา เตรียมยามาสำหรับคนมีโรคประจำตัว แต่วัดอยู่ใกล้ รพ.สระบุรี
 ถ้าสะดวกเตรียมมุ้งครอบมาก็ดี
 
ตอบคำถามข้อที่ 6
 การจอดรถ ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่เหมือนวัดในกรุงเทพจ้า
 ส่วนความปลอดภัย ที่ผ่านมาก็ไม่มีอันตรายใด ๆ
 
ตอบคำถามข้อที่ 7
 ถ้ามาภาวนาเดี่ยว สำหรับ อุบาสกจะสะดวกมาก เพราะมีห้องให้พัก
 สำหรับ อุบาสิกา นั้่นที่พักถ้ามาคนเดียว เดี๋ยวจะวังเวง
 การเข้าพักติดต่อ เจ้าอาวาส หรือ แจ้งที่อาตมาได้
 
ตอบคำถามข้อที่ 8
 สำหรับการวัดผล การภาวนา ตัวผู้ปฏิบัติย่อมรู้ตัวเองดี
 ไม่มีสอบอารมณกรรมฐาน
 
ตอบคำถามข้อที่ 9
 กรณีที่ต้องขึ้น กรรมฐานนั้น วัดแก่งขนุนเป็นวัดในเมือง ด้านหน้าวัดมีจำหน่ายจัดหาง่าย และศิษย์กรรมฐานจะช่วยดูแลกันเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้
 
ตอบคำถามข้อที่ 10
 ไม่จำกัดเพศ เป็นได้ทั้ง พระ อุบาสก อุบาสิกา ไม่จำกัดอายุ แต่ขอให้ช่วยเหลือตัวเองได้
 สำหรับผู้สูงอายุ เวลาภาวนาให้นั่งเก้าอี้ได้ คนเป็นโรคเข่้า ก็นั่งเก้าอี้ได้

เชิญมาบวชเลย จ้าถ้ามีศรัทธา ในการภาวนา อาตมายิ่งยินดีเป็นอย่างมาก
การมาอุปสมบถต้องติดต่อทางวัด คือเจ้าอาวาส มหาภีรญาณ ปุณฺณฉนฺโท
ระเบียบการมาอยู่เหมือนวัดทั่วไป เพียงแ่ต่ถ้าต้องการมาปฏิบัติอยู่ภาวนาก็
มารายงานตัวกับอาตมา และอยู่ด้วยกัน ในช่วงที่อาตมาอยู่ก็จะคอยแนะนำ
อบรมให้
ระเบียบผู้บวชโดยคร่าว ๆ
1.ไม่เป็นคนทุพพลภาพ
2.มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ มหาเถรสมาคม
3.ไม่สักยันต์
4.ไม่สูบบุหรี่
5.ไม่ติดยาเสพติด
6.อ่าน ออก เขียน ได้
7.ยินดีในระเบียบปฏิบัติของวัด
8.มีผู้มอบ หมายถึง บิดา มารดา ภรรยา บุตร
9.ที่สำคัญ ต้องมีศรัทธา

1.รูปงานสามเณรจะนำมาลงให้ดู นะ
2.แบบฟอร์มการสมัึครมี แต่ต้องเป็นสมาชิกถึงจะโหลดได้
3.เดี๋ยวนำภาพตารางการฝึก สามเณร มาให้ชมนะจ๊ะ
4.สามเณรเมื่อลาสิกขา และ ไม่ลาสิกขา จะมีประกาศนียบัตร จากหน่วยงานราชการ
   เพราะทางวัดร่วมมือกับ หน่วยงานเทศบาล ชุมชน ศูนย์วัฒนธรรม ในการจัดงานบวช

ถ้าเดินทางมาสระบุรี จากกรุงเทพ หรือ จังหวัดอื่น ๆ แล้ว
ลงที่ บขส. นั่งรถมอร์เตอร์รับจ้าง 30 บาทครับ ถ้ามาหลายรูปนั่งรถตุ๊ก ก็ประมาณ 60 บาทครับ
นิมนต์มาวันที่ 11 เลยก็ได้หรือมาก่อนก็ได้นะครับ

งานปฏิบัติธรรม นับถอยหลังเพื่อส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ผ่านไปเสร็จสิ้น มีคณะญาติธรรมมาปฏิบัติกันอย่างพอสมควร ประมาณ 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มสวดมนต์ข้ามปี และ นั่งกรรมฐานข้ามปี มีรูปให้ชมด้วย

 :angel: เสริมได้ดี

ไปยังไม่ถึง วัดลาดคำ อยู่ที่โคราช อากาศดีมาก ออกจากการนั่งกรรมฐานครั้งที่ 1
วันที่ 23 ธ.ค.คงถึงวัด

นิมนต์ ท่านศรีคเณศร์ ลงรูปให้โยมดูด้วย

เชิญท่านพุทธศานิกชน ร่วมงานบุญประัเพณีสงกรานต์
ในวันที่ 13 - 14 เม.ย. 2553
งานสรงน้ำพระ และ สามเณร 150 รูป ( ประมาณ )
งานรดน้ำดำหัว ผู้สูงอายุ
ก่อพระเจดีย์ทราย
ทำบุญรวมญาติ สวดอภิธรรม และมาติกา และสวดมนต์เย็น

รับสมัคร กุลบุตร เ้พศชาย อายุ 9.6 ปี ขึ้นไปเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร
ในโครงการภาคฤดูร้อนประจำปี 2553 รุ่นที่ 17
คุณสมบัติ
1.อายุ 9.6 ปี
2.เพศชาย
3.ไม่ทุพพลภาพ
4.อ่าน ออก เขียน ได้
5.สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ไม่เสียค่าใช้จ่าย ในการบรรพชา
เิริ่มรับใบสมัครตั้งแต่ วันที่ 15 มี.ค.2553
ผู้ปกครอง ส่งตัวเด็กพร้อมรูป 2 นิ้ว หรือ 1 นิ้ว
สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาสูติบัตร
ส่งตัว 28 มี.ค.2553 เำพื่อทดสอบและคัดเลือก ( ซ้อมการขอบรรพชา และปรับตัวเข้ากับระเบียบวัด )
บรรพชาสามเณร 1 เม.ย.2553
ระหว่างวันที่ 1 - 14 นั้นเป็นช่วงการฝึกอบรม
ลาสิกขา 15 เม.ย. 2553
Aeva Debug: 0.0005 seconds.

เชิญพระสงฆ์ที่ต้องการปฏิบัติ วุฏฐานวิธี เข้าร่วมปฏิบัติอยู่ปริวาสกรรม ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.53 ถึง 21 ม.ค.53
และเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมทำบุญตักบาตร และเป็นเจ้าภาพถวายน้ำปานะแก่พระสงห์
และร่วมปฏิบัติธรรม ด้วย


เจริญพร
Aeva Debug: 0.0004 seconds.

[กรรมฐานแก้กรรม การปฏิบัติ นวหรคุณ ของ พระครูสิทธิสังวร วัดราชสิทธาราม]

เจริญพร อาตมาปฏิบัติกรรมฐาน หรือสอนกรรมฐาน นั้นก็ไม่ได้มุ่งไปในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่ยอมออกจากการงาน สละครอบครัวออกมา สละยศถาบรรดาศักดิ์ สละความสบายอันเป็นของคฤหัสถ์ มานุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ มาใช้ชีวิตของบรรพชิต มุ่งหวังในการปฏิบัติเพียงเรื่องเดียว ก็คือการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ดังนั้นคำตอบในเรื่องของการรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้น คงจะตอบได้ไม่กระจ่าง แต่เรื่องของการแก้กรรมนั้นเบื้องต้นตอบได้ว่าแก้ได้เลย เพราะ กรรม แปลว่าการกระทำ เมื่อคุณปฏิบัติภาวนาย่อมเป็นฝ่ายกุศล ก็ย่อมสร้างแต่กรรมดี ในปัจจุบันก็เปลี่ยนแล้ว การเปลี่ยนเช่นนี้ก็เรียกว่า แก้กรรมในปัจจุบัน ผลการปฏิบัติก็ย่อมเปลี่ยนด้วย ถ้าคุณพูดดี คิดดี ทำดี คนปฏิบัติกรรมฐานย่อมทรงอยู่ ในกุศลกรรมบถ 10 ( อ่านเอาในกระทู้ )ยกตัวอย่างเราฆ่าเขา เขาก็มาฆ่าเรา สลับกันไป สลับกันมา ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เพราะเราเป็นผุ้ภาวนา่ย่อมประกอบด้วยศีล ย่อมเว้นจากการฆ่า่ กรรมจากอดีตก็จึงสิ้นสุด การภาวนาอย่างนี้เรียกว่าการตัดกรรมส่วนอดีต และปัจจุบันด้วย กรรมก็จะสิ้นสุึดลง

ยกตัวอย่างในองค์ภาวนา ผู้เริ่มต้นภาวนา โดยใช้ อาทีนวสัญญา เป็นองค์ภาวนา                               
องค์ภาวนา อาทีนวสัญญา นั้นมีองค์ภาวนา ที่ ผล ของโรคต่าง ๆ                                 
และ เหตุ แห่งโรคต่าง ๆ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กำหนดไว้บ้างดังนี้                               
ผลจากโรคต่าง ๆ มี                               
โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝีโรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละออง บวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง                                 

อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ                                 
                                                               
องค์ภาวนาวิปัสสนา
ผู้เจริญภาวนา ย่อมพิจารณา เห็นโทษแห่งกาย อันเป็นที่รุมของโรค ทั้งเหตุให้เกิดโรค นั้นก็มาจาก อาการต่าง ๆ แต่ ร่างกาย ก็ย่อมเป็นผู้เสวยโรคนั้น อยู่ร่ำไป เมื่อพิจารณาถึงโทษ แห่งกายนี้ ย่อมบรรเทาซึ่งโมหะ ความเข้าใจผิดว่า โรคต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นเอง หากแต่ว่าโรคนั้นย่อมเกิด ด้วยสาเหตุนานับปการต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคอันเกิดแต่วิบากกรรม ซึ่งผู้พิจารณา อย่างนี้ ย่อมเข้าใจถึงซึ่งธรรมชาติ แห่งกาย ว่ามีกายเวทนาเป็นนิตย์
 
เหตุเกิดโรค มี 5 โรค

1. โรคที่เกิดจากกาย เกิดจากสะสมของธาตุอาหาร เกิดจากกรรมพันธ์ ปรุงแต่งมาจากกรรมเก่า
2. โรคที่เกิดจากกาย อันเกิดสภาวะจิตสะสม เช่นไม่ป่วย ก็บอกว่าป่วย ไม่เจ็บ และัก็บอกว่าเจ็บ จนในที่สุดก็เป็นโรคทางกายจริง ตามที่จิตสะสมไว้
3. โรคที่เกิดทางจิต เกิดจากสั่งสมสภาวะ การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน
4. โรคที่เกิดจากจิต เกิดจากสั่งสมกิเลส มัวเมา ในโลก ธรรม ทั้ง 8 มี ลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีได้สุข มีได้ทุกข์ มีสรรเสริญ และนินทา
5. โรคที่เกิดวิบากกรรมที่สร้างไว้ทั้่งอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ เช่น หูหนวก ตาบอด สมองลีบ และอื่นๆ

คุณคิดว่า การภาวนา การปฏิบัติธรรม จะแก้โรคอะไรได้ ในโรคที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หาคำตอบบ้าง อย่ามัวให้ผู้อื่นมาชี้คำตอบให้ การภาวนาคือการหาคำตอบ วิธีการภาวนา คือวิธีการหาคำตอบ ตราบใดที่เรายังบรรลุคุณธรรมจริง คำตอบที่มีอยู่ทั้งหมดก็ยังไม่ใช่คำตอบ

มีหนังสืออธิบายเรื่องนี้เยอะแยะมากมาย ในร้านหนังสือ ที่ควรจะเข้าไปอ่านเช่นหนังสือ กรรมฐานแก้กรรม การปฏิบัติ นวหรคุณ ของ พระครูสิทธิสังวร วัดราชสิทธาราม เป็นต้น และถ้าต้องการความเข้าใจจริงควรเข้ามาสนทนากับอาจารย์โดยตรง นั่นหมายถึงความเคารพในพระสงฆ์ และต้องการได้คำตอบจริง ๆ

ลูกศิษย์ที่เป็นหมอ ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม ก็มักจะพูดให้ฟังเรื่องพวกนี้เป็นประจำ

คุณว่ากรรมฐาน การภาวนา ไม่ว่าจะเป็นสมถะ วิปัสสนา หรือการปฏิบัติ ของคุณ จะช่วยแก้โรคอะไรได้
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ได้อธิบายกันตรงนี้ ว่าแก้อะไร เพื่ออะไร จะได้อะไร

มันสำัคัญว่าคุณต้องการเข้าใจอะไร ? ต้องการเข้าใจจริงหรือ ?

อาตมาเดินทางอยู่ ใช้พิมพ์คำตอบให้ในโทรศัพท์  nokia n72 แต่ก็พยายามนั่งพิมพ์ฺใส่คำตอบลงมาที่ละบรรทัด กลัวจะตอบคำถามคุณเสร็จใช้เวลา 4 ชัี่่่วโมง โทรมาถามเลยก็ได้ 0814333659

อนุญาต ให้ผู้อื่นตอบในกระทู้ ที่เขียนว่าอาตมาดูแล เพราะตั้งแต่วันนี้ 2 อาทิตย์จะนั่งกรรมฐานต่อเนื่อง

อริยทรัพย์ เกิดได้จาก
1.ผู้มีใดมี ศรัทธาในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว
2.ผู้ใดมี ศีลเป็นที่งดงามและเป็นที่สรรเสริญของพระอริยเจ้า
3.ผู้ใดมี ความเลื่อมใส ในพระสงฆ์
4.ผู้ใดทำ ความเห็นธรรม ให้เนือง ๆ

มอบหมายหน้าที่ ให้กับ พระอนุชิต ( อาจารย์เฉย ) ไว้แล้ว
ส่วนรายละเอียดให้ภาพร่างเป็น ไฟล์ไว้กับเว็บมาสเตอร์แล้ว

ภาพที่ 1 คือ พระครูสิทธิสังวร หรือหลวงพ่อจิ๋ว วัดราชสิทธาราม ถ่ายวันที่ 28/11/52 ขณะไปเยี่ยมท่าน
ภาพที่ 2 คือ วัดภูเขาดิน นครศรีธรรมราช ที่อาจารย์ไปตะลุยในถ้ำ มาแล้ว
ภาพที่ 3 คือ พระธาตุพระนครศรีธรรมราช
ภาพที่ 4 คือ คุ้งน้ำที่สำนักสงฆ์ วังตะเคียน ซึ่งเป็นที่อาจารย์ ได้พบอาจารย์ ของอาจารย์ คุ้งน้ำนี้กล่าวว่าท่านได้ลงดำนั้า 1 ชั่วโมงขุดเอาหินขึ้นมาและให้เป็นที่อยู่กับปลาอีกหลายๆๆชีวิต

ภาวนา กรรมฐานให้มากขึ้น ถ้าเราเป็นบุคคลพิเศษ ความสามารถจักมีประโยชน์
กรรมฐาน จะป้องกันจิตหลอก จิตหลอน และจิตอุปาทานได้
กรรมฐาน จะทำให้เรามองเห็น และรู้แจ้งในความเป็นจริง

ตอนนี้ 8/12/52 อาจารย์อยู่ นครราชสีมา วัดป่าสาละวัน กำหนดจะกลับน่าจะเป็นวันที่ 23/12/52

ลองภาวนาให้จิตอยู่ที่ พุทโธ และ ฐานจิต ไม่ต้องไปสนใจกับภาพ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น

ให้ปฏิบัติ ตามขั้นตอนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
ก่อนออกกรรมฐาน ให้สวดคาถาพญาไก่เถื่อน 9 จบ อธิษฐานขอพร ให้ทำบ่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง
เพราะตอนนี้ โยมมีเวลาอยู่เฝ้าผู้ป่วย ต้องการคำปรึกษา ให้โทรหาอาจารย์ ที่เบอร์ 0814333659

เป็นคุณธรรมพื้นฐาน ของผู้ฝึกกรรมฐาน อนุโมทนาด้วย

อนุโมทนาด้วย กับการทำบุญที่ครอบคลุม

การแจกหนังสือ เป็นการแจกธรรมทาน เช่นกัน
ผู้แจก ได้รับบุญเมื่อแจกแล้ว
ผู้รับ จะอ่านหรือไม่อ่าน เป็นเรื่องของผู้รับ

แต่ผู้แจก ควรจะพิจารณาด้วย ว่าแจกแบบนี้แล้วเขาไม่อ่าน เราก็ควรจะทำวิธีอื่นเพิ่มด้วย

อนุโมทนา ด้วยจ้า อุตส่าห์ยังเก็บไว้อีก :angel:

[[font=&quot]สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า [/font]]

พระโสดาบัน มีการละกิเลส 3 อย่างได้โดยเด็ดขาด
1.สักกายทิฏฐิ  มีความเห็นถูกต้องว่า นี่ไม่ใช่เรา นี่ไม่ของเรา นี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
2.วิจิกิจฉา มีความเลื่อมใส เชื่อมั่น ต่อพระรัตนตรัยอย่างหาที่สุดมิได้
3.สีลัพพตปรามา มีปัญญามองเห็น สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เมื่อเห็นแล้วก็ละจากการปฏิบัติที่ผิด

พระโสดาบันฝ่ายเจโตวิมุตตินั้น มีสมาธิระดับอุปจาระสมาธิ ขึ้นไป
พระโสดาบันฝ่ายปัญญาวิมุตินั้น มีสมาธิแค่ระดับอุปจาระสมาธิ

    [font=&quot]ผู้ที่กำลังละสังโยชน์ ตั้งแต่ข้อที่ 1 [/font]–[font=&quot] 3 [/font]
[font=&quot]ชื่อว่าผู้ได้ โสดาปัตติมรร�[font=&quot]ชื่อว่าผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม ( ผู้ทรงอารมณ์แห่งพระโสดาบันอย่างต่อเนื่อง  [/font])
[font=&quot]ผู้ที่ละสังโยชน์ ได้ตั้งแต่ข้อที่ 1 [/font]–[font=&quot] 3 [/font]
[font=&quot]ชื่อว่าผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตรงนี้ชื่อว่าพระโสดาบัน ( ผู้เสวยอารมณ์แห่งพระโสดาบันอย่างถาวร )[/font]
[font=&quot]พระโสดาบัน เป็นผู้มีอารมณ์ตั้งมั่นในการปฏิบัติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติดี ไม่มีการประพฤติ ผิดในธรร�
[font=&quot]สมดังคำสรรเสริญสังฆคุณ ว่า [/font][/b]“[font=&quot]สุปะฎิปันโน สาวะกะสังโฆ  [/font]ผู้ประพฤติดีพร้อม ด้วยกาย วาจา และ ใ�”
ปัจจะเวกขะณะญาณ ของพระโสดาบัน มี 2
1.มรรค 2.ผล ( 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่เหลืออยู่ 5.นิพพาน  3 ข้อท้ายไม่ชัดเจน )
[font=&quot]พระโสดาบันมี 3 ประเภ�
[font=&quot]1.เอกพีชี เกิดชาติเดียวเป็นพระอรหันต�
[font=&quot]2.โกลังโกละ เกิดอีก 2-3 ชาติ เป็นพระอรหันต�
[font=&quot]3.สัตตักขัตตุงปรมะ เกิดอีก 7 ชาติเป็นพระอรหันต� 

สาธุ สาธุ สาธุ

กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

เป็นกรรมฐานทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แล้ว

คุณจะฝึกกรรมฐานอะไร ก็อยู่ใน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
เพียงแต่ถ้ามาเรียนกับพระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน กรรมฐานที่จะฝึกองค์แรก คือ พระพุทธานุสสติ กรรมฐานซึ่งเป็นกรรมฐานที่มีอานุภาพมากที่สุด พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสแสดงไว้ในพุทธานุสสติสูตร ปรากฏทั้งในส่วนพระอภิธรรม ว่า ผู้ฝึก พุทธานุสสติกรรมฐาน หวังผลได้ 3 อย่าง
1.ได้อุคคหนิมิต
2.สำเร็จอุปจาระสมาธิ
3.บรรลุเป็นพระโสดาบัน

การสอนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นไปตามลำดับ ไม่ตัดลัด ไม่ข้ามขั้นตอน ฝึกไปเรื่อยแบบจากไม่เป็นจนถึงขั้นสูงสุด ซึ่งการฝึกอย่างนี้เป็นการฝึกที่ปกติ ส่วนใหญ่ผู้ฝึกกรรมฐาน ชอบฝึกแบบก้าวกระโดด ฝึกแบบผลขั้นสูง สุดท้ายก็ไม่สำเร็จอะไรเลย มีเพียงความเข้าใจ แต่ทำจริงทำไม่ได้ เป็นเหตุให้คนที่มาฝึกกรรมฐาน แล้วเบื่อ เพราะฝึกแล้วก็มีแต่หลับ แต่ฟุ้งซ่าน ไม่คลายความสงสัย ไม่ละจากความพอใจ ไม่ทำให้ความขัดเคืองใจหายไปได้

จะฝึก กรรมฐานแบบไหน ก็ต้องเป็น สัมมาสมาธิ ใครจะฝึก ใครจะสอนได้ทั้งนั้น ถ้าผู้ฝึก ผู้สอนนั้น เป็นพระสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน

จะได้ผลดี แต่ต้องพิจารณาการสั่งสมอุปนิสัยมาด้วย

สาธุ กับคำถามนี้
 
 แท้ที่จริงแล้ว คำตอบไม่ได้อยู่ที่ ประชากร จ้า
 
 ทั้งหมดนั้นเริ่มที่ใจ ใจของใคร ใจของตัวเรา
 แล้วใจเราเป็นอย่างไร
 
 วุ่นวายบ้าง สุขบ้าง ไม่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์บ้าง รอทุกข์รอสุขบ้าง
 
 ถามตัวเองว่า เ้ราพอใจชีิวิต ที่เป็นอยู่อย่างนี้หรือป่าว
 
 ที่ต้องดิ้นรนภายใต้ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย
 เหนื่อยไหมกับชีวิต แล้วเราต้องการอะไร ทุกภพ ทุกชาติ เมื่อเกิดขึ้นมา
 บ้านก็สำคัญ การเรียนก็สำคัญ ประเทศชาติก็สำคัญ อะไรเราก็บอกว่าสำคัญ ทั้งนั้น
 สุดท้าย เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็ไม่มีอะไรสำคัญสักอย่างเดียว
 ถึงรู้ขนาดนี้่ ก็ไม่ยังทำให้เราสิ้นทุกข์ หรือสิ้นกิเลสได้
 
 มีเพียงแต่ กรรมฐาน อันเป็นอุบายที่ให้ใจสงบ ใจเย็น ใจเบา ใจยินดี ใจร่าเริง ใจอาจหาญ เท่านั้น
 แท้ที่จริงมนุษย์ที่เกิดมา ก็อยู่ได้ด้วยกรรมฐาน ด้วยอุบายประการต่างๆ ที่จะทำให้ใจสงบ
 ไม่ว่าการเที่ยวไปดู ไปเพลิดไปเพลิน ไปเล่น ไปรำ ไปร้อง ทั้งหมดก็ต้องการที่จะทำให้ใจสงบ
 แต่อุบายที่ใช้ ที่ทำอยู่นั้น ก็ไม่ได้ให้ใจสงบ ได้อย่างแท้จริง
 
 มีเพียงพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ค้นพบหนทางแห่งความสงบ ความไม่วุ่นวาย ความไม่เวียนว่าย ตายเกิด ในภพ ในชาติต่อไป
 ดัีงนั้นพระองค์จึงได้ประกาศว่า ที่นี่ไม่วุ่่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านจงมาที่นี่เถิด
 
 คนในโลก แบ่งออกเป็น 4 พวก
 พวกที่ 1 อุคติตัญญู พวกที่พร้อมบรรลุธรรมในทันที ที่สามารถ รหัสแห่งธรรมได้ เหลือน้อยมากแล้ว
 พวกที่ 2 วิปจิตัญญู พวกที่ต้องอบรม บ่มภาวนา ฟังบ่อย ๆ อยู่กับกัลยาณมิตร ก็มีเหลือมาก
 พวกที่ 3 เวไนยะ พวกที่ต้องใช้ความพยายามสูง ในการอบรม บ่มภาวนา ซึ่งมีอยู่มากมาย
 พวกที่ 4 ปทปรมะ พวกที่ไม่สามารถรับองค์ธรรมได้เลย ต้องเวียนว่าย ตายเกิด ในสงสาร อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีมากมายเหลือ คณานับ
 
 ดังนั้นการปฏิบัติ ไม่ได้เทียบที่จำนวนคน แต่การปฏิบัติอยู่ที่เราเห็นอะไรในวัฏฏะสงสารแล้ว
 แล้วอะไรเป็นแบบในการนำพ้นจากวัฏฏะสงสาร
 
 ก็มีแต่ กรรมฐาน อันเป็น สมถะ และ วิปัสสนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้เราแล้ว ดังนั้นการดำเนินกรรมฐาน จึงเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของประชากร ด้วยดวงตาเห็นธรรม
 
 การปฏิบัติกรรมฐาน จะัให้ผล 3 อย่างโดยย่อ
 1.ให้ผลที่สุขกาย และ สุขภาพจิต รักษาโรคโดยเฉพาะทางจิตได้ และผู้มีสมาธิแก่กล้าก็สามารถรักษาโรคทางกายได้
 สมมุติ ถ้าคุณมีคนที่คุณรักกำลังหายใจรวยริน ทั้งที่หมอก็บอกว่าหมดหวังแล้ว คุณจะทำอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น กรรมฐานจะมีคำตอบให้คุณ
 2.ลดวิบากกรรม เพราะผู้ฝึกกรรมฐานนั้น ไม่ได้ฝึกแต่เพียงสมาธิโดยส่วนเดียว ผู้ฝึกต้องมีศีล การเป็นผู้มีิศีล ย่อมทำให้หมดเวรหมดกรรม หมดการเบียดเบียน เพราะศีลธรรมจะทำให้โลกนี้มีความสงบ
 3.เป็นบารมี เพื่อพระนิพพาน หรือการไม่กลับมาเวียนว่าย ตายเกิด ในสังสารวัฏฏ์ นี้ต่อไป
 
 ดังนั้่นไม่มีบุคคลใดไม่ฝึกกรรมฐาน อยุ่ที่เราจะฝึกโดยธรรมชาติ แห่้งจิตของมนุษย์ หรือโดยธรรมอันเป็นสิ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้
 
 ซึ่งอานิสงค์การฝึกกรรมฐาน ยังมีอีก แต่ขอแสดงไว้เท่านี้ เพราะอาตมาเห็นว่าควรจะต้องแสดง
 
 ซึ่งตอนนี้กำลังเดินทางอยู่ และพิมพ์ด้วยโทรศัพท์มือถือใช้เวลามาก จึงต้องยุติไ้ว้แต่เพียงเท่านี้