ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - pimpa
หน้า: 1 2 3 [4]
121  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ภาพที่ปรากฏและวาดไว้ตั้งนานรูปเจดีย์ ถึง 8 ปีนี้ ที่แท้ก็คือ... เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 12:45:27 pm
ตอนที่พระอาจารย์ได้ นิมิต คืออย่างไรครับ

และมีจำนวนภาพที่วาด ออกมาทั้งหมดกี่ภาพครับ

 :25:
122  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธชัคคสูตร : เพื่อขจัดความหวาดกลัวและป้องกันอันตรายจากที่สูง เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 06:34:26 pm
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่
   
หลายคนก็เตรียมไปนับถอยหลังหรือเคานท์ดาวน์ แต่ผมอยากเชิญชวนท่านผู้อ่านสวดพระปริตรส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เห็นจะดี กว่า เพราะเป็นสิริมงคลอย่างแท้จริงแก่ตนเอง และครอบครัว ซึ่งวัดหลายแห่งก็จัดพิธีสวดมนต์รับปีใหม่ดังกล่าว อาทิ วัดสระเกศฯ ผมเองก็ขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านทั้งหลายล่วงหน้าครับ แต่บทความนี้ขอเสนอบทสวดพระปริตรต่อจากตอนที่แล้วครับ
   
๑๒. ธชัคคสูตร : เพื่อขจัดความหวาดกลัวและป้องกันอันตรายจากที่สูง
   
เมื่อสวดโมรปริตรและหรือวัฏฏกปริตรจบแล้วก็จะลงมือสวดธชัคคสูตรต่อไป ธชัคคสูตรนี้ มีที่มาจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถาวรรค พระพุทธองค์ตรัสธชัคคสูตรนี้แก่พระภิกษุในขณะที่ประทับอยู่ที่เชตวัน นครสาวัตถี โดยทรงเล่าเรื่องการเทวาสุรสงครามระหว่างเทพ ซึ่งมีท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์เป็นจอมทัพกับเหล่าอสูร ซึ่งถูกท้าวสักกะและเทพบริวารขับลงไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วยึดสวรรค์นั้นครอบครองแทน เหล่าอสูรเคยอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้และเคยได้ทราบว่าสวรรค์ชั้นนี้มีต้น “ปาริชาต” ซึ่งเป็นดอกไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม อันเกิดจากบุญกุศลของท้าวสักกะ ในขณะที่อสูรนครก็มีต้นไม้ชื่อ “จิตตปาตลิ” เหมือนต้นปาริชาตแต่ไม่มีกลิ่นหอมเลย ดังนั้น เมื่อดอกจิตตปาตลิบาน พวกอสูรก็ระลึกถึงดาวดึงส์เทวโลก ก็เกิดความแค้นยกทัพขึ้นมาบนสวรรค์จะรบเพื่อชิงแดนคืน ในการรบนี้ เทพนักรบทั้งหลายก็อาจเกิดความกลัว ขนพองสยองเกล้าได้ ดังนั้น ท้าวสักกะจึงขอให้เทพทั้งหลายมองดูยอดธง (ธชัคคะ) ของท้าวสักกะจอมเทพ หรือยอดธงของแม่ทัพเทพอื่น ๆ อาทิ วรุณเทวราช อีสาณเทวราช ความหวาดกลัวก็จะหายไป
   
แต่พระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า แม้เทวดาจะดูยอดธง (ธชัคคะ) ของจอมเทพแล้ว ความกลัวก็อาจหายไปบ้าง ไม่หายบ้าง เพราะท้าวสักกะยังไม่หมดกิเลส คือ ราคะ โมหะ โทสะ ยังเป็นผู้หวาดกลัว ยังเป็นผู้สะดุ้ง ยังเป็นผู้หนี แต่ถ้าภิกษุทั้งหลายเกิดความกลัวเมื่ออยู่ป่า หรืออยู่ตามบ้านร้าง แล้วน้อมระลึก ถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เสมือนมองดูธงชัยแห่งพระรัตนตรัยแล้ว ความหวาดกลัวจะหายไปหมด เกิดความอาจหาญแกล้วกล้าทุกผู้ เพราะพระพุทธองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ไม่หวาดกลัว เป็นผู้ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี
   
ในธชัคคสูตรนี้จะมีบทพระพุทธคุณที่เรียกว่า “อิติปิโส” บทพระธรรมคุณและบทพระสังฆคุณ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของพระสูตรนี้จึงเรียกบทนี้ อีกชื่อหนึ่งว่า อนุสสรณปาฐะ
   
การสวดพระพุทธมนต์แบบนพเคราะห์ถือว่าธชัคคสูตรนี้เป็น พระพุทธมนต์ประจำพระศุกร์ หรือ คนเกิดวันศุกร์ สำหรับ พระประจำวันศุกร์นี้คือพระปางรำพึง ซึ่งพระพุทธองค์ประทับยืน และเอาพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายบนพระอุระ
   
บทสวดย่อคือ “วา โธ โน อะ มะ มะ วา” ต้องสวด ๒๑ จบ ตามกำลังพระศุกร์
   
อานุภาพการป้องกัน
   
ถือกันว่าการสวดระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนี้จะทำลาย    ความหวาดกลัว หรือความขนพองสยองเกล้าได้ โดยเฉพาะเมื่อไปต่างถิ่นต่างที่ ทั้งยังคุ้มครองจากภยันตรายที่เกิดจากมนุษย์และอมนุษย์ได้ รวมทั้งป้องกันอันตรายจากที่สูง หรืออันตรายทางอากาศหรือการเดินทางโดยเรือบินได้ ดังความในบทขัดตำนานว่า
   
“สัตว์ทั้งหลายแม้ที่อยู่ในอากาศ สามารถได้ที่พึ่งอย่างเดียวกันกับสัตว์ที่อยู่บนแผ่นดิน อนึ่ง ด้วยการระลึกถึงพระปริตร ที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนสุดที่จะคณานับได้ สามารถรอดพ้นจากข่าย คือ อุปัทวันตรายนานาประการ อันเกิดแต่ยักษ์และโจร เป็นต้น เราทั้งหลาย จงสวดพระปริตรนั้นเถิด”

ธะชัคคะสูตร หรือ อะนุสสะระณะปาฐะ
   
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชา     จะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
   
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ (อ่านว่า วิญญูฮีติ)
   
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามี  จิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏิฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเณยโย, อัญชะลีกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ
   
คำแปล
   
เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงเป็นครูของเหล่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ทรงมีความสามารถในการจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ฯ
   
พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล สามารถแนะนำผู้อื่นให้มาพิสูจน์ได้ว่า “ท่าน จงมาดูเถิด” ควรน้อมนำเข้ามาใส่ตัว ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ฯ
   
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ปฏิบัติเหมาะสม ได้แก่ บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงลำดับได้ ๘ ท่านนั่นแหละ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาน้อมนำบูชา ควรแก่สักการะที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรให้ความเคารพ เป็นเนื้อนาบุญของโลก
   
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ.


ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต / อิสริยาภรณ์ อุวรรณโณ
123  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ไม้เท้ายอดกตัญญู เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 10:37:33 am
เรื่องนี้ซึ้งมาก ขอบอก ใครไม่เชื่อ อ่านเลย       


          ชายชราคนหนึ่ง ใบหน้าซูบซีดมีแววหม่นหมองอมความเศร้าไว้อย่างน่าสงสาร แขนขามีแต่หนังหุ้มกระดูก นุ่งผ้าที่เก่ายิ่งกว่าเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ผมสีขาวนั้นยาวและหยาบ แสดงอาการที่ไม้ได้เอาใจใส่ดูแลจากเจ้าของ หรือจากใครๆเลย แกตาบอด เบ้าตาที่บอดนั้นกลวงลึกจนเห็นสันกระดูกเบ้าตาชัด แกถือไม้เท้าที่หงิกงอเดินคลำทางเปะปะไปข้างถนน สะพายซอเก่าๆอันหนึ่งไว้ที่บ่าขวา มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือกะลาสำหรับขอทาน

         ชายชราคนนี้ เดิมนั้นแกเป็นคนร่ำรวย มีลูกทั้งหญิงชายนับได้ 7 คน แกเลี้ยงดูส่งเสียลูกให้มีการศึกษาดี ได้แต่งงานมีครอบครัวหมดทุกคน ทั้งได้แบ่งทรัพย์มรดกให้ลูกทุกๆคนเรียบร้อยแล้ว แต่ลูกของแกต่างคนต่างเกี่ยงกัน ไม่มีใครรับเลี้ยงพ่อแม่ คนโน้นก็บอกว่า คนนั้นน่ารับไปเลี้ยง คนนั้นก็ว่าคนนี้ต่างหากที่ต้องรับไปเลี้ยง ต่างคนต่างกลัวเสียเวลา เสียทรัพย์ กลัวเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พวกลูกๆต่างก็ไปอยู่ที่เมืองอื่นไกลออกไป จึงทำให้ชายชราต้องอยู่กันเพียงสองคนผัวเมีย

         พวกลูกๆ นั้น นานหลายปีแล้วไม่เคยมีใครมาเยี่ยมดพ่อแม่เลย ต่างคนต่างมุ่งคร่ำเคร่งอยู่กับการทำมาหากิน ยุ่งอยู่กับลูก เมีย ผัว และใช้เวลาว่างไปในงานสังคมดื่มๆ กินๆ หรูหราไป ไม่มีใครห่วงใยพ่อแม่ คนน้องก็คิดว่าพี่ๆคงไปดูแล้ว ส่วนพี่ๆ ก็คิดว่าน้องๆคงดูแลแล้ว นี่แหละโบราณที่ว่า "ลูกสิบคนพ่อแม่เลี้ยงได้ พ่อแม่มีเพียงสองคน แต่ลูกสิบคนเลี้ยงท่านไม่ได้"

         พ่อแม่ผู้อาภัพทั้งสอง อยู่กินกันไปอย่างว้าเหว่ เพราะคิดถึงลูกๆ เหลือเกิน ได้แต่บ่นคิดถึงเขา ประกอบกับสมัยนั้น ไม่มีการไปรษณีย์ ไม่มีการประชาสงเคราะห์อย่างทุกวันนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยพุทธกาลสองพันห้าร้อบกว่าปีมาแล้ว

        สมัยนั้นพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ สองผัวเมียชราผู้นี้เป็นพราหมณ์ ต่อมาบ้านของแกถูกไฟไหม้ ทุกอย่างวอดวายไปในกองเพลิง เมียของแกก็ตายในกองเพลิงนั้นด้วย

         ชายชราผู้นี้จึงเสียใจมาก ธรรมดาแกเพื่อนบ้านนั้นเขาให้ก็แต่ชั่วครั้งชั่วคราว จะให้กินตลอดไปนั้นก็ไม่มี แกก็เกรงใจเขา จึงเที่ยวเร่ร่อนขอทาน โดยสีซอขับบรรเลงเพลงไปตามสี่แยกข้างถนน ข้างตลาด จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปพบพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์จึงคิดอุบายให้ โดยแต่งเพลงให้บทหนึ่ง ให้แกท่องแล้วไปขับร้องตามชุมชนต่างๆ (ในพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลี)...

           โอ้ อนิจจา ตัวเรา ยามเฒ่าแล้ว
พวกลูกแก้ว ทอดทิ้ง ไม่เหลียวหา
หูก็หนวก ตาบอดซมซานมา
ถือกะลา สีซอ ขอเขากิน

      มีไม้เท้าอันเดียว เที่ยวเร่ร่อน
ง่วงก็นอนข้างถนน บนกรวดหิน
เมื่อเป็นทุกข์ โอดครางกลางแผ่นดิน
ยามจะกิน อาหารเศษ ทุเรศทรวง

        ยามซวนเซ จะพลาด ล้มฟาดพื้น
มีไม้เท้า ยันยืน ได้ยึดหน่วง
ฉันซูบผอม ตรอมใจ ตาลึกกลวง
ไม่มีลูก คอยห่วง เอื้ออารี

      โอ้มีลูก ลูกนั้น มันเนรคุณ
ไม่เกื้อหนุน ทอดทิ้งให้หมองศรี
ยามฉันถูก ท่านไก่ไล่จิกตี
ไม้เท้านี้ ป้องภัย ไล่สัตว์พาล

    ถูกวัวดุ ฟู่ฟู่ ขู่จะขวิด
มีไม้เท้าเป็นมิตร คอยสงสาร
ใช้กวัดแกว่ง คอยรักษาเป็นปราการ
ยามข้ามธาร ไม้เท้านำฉันไป

        เมื่อเดินทาง ไม้เท้าบอกวิถี
ไม้เท้านี้ ดีกว่าลูกเป็นไหนไหน
คนเศษคน อกตัญญู ไร้น้ำใจ
มันทำได้ ใจหินสิ้นเมตตา

        เสียงซอเศร้าๆ ที่ชายชรานั่งร้องขับคลอ ตามสี่แยก ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ฟังเกิดความสงสารอย่างจับใจ หยิบเงินและอาหารมาบริจาคช่วยเหลือแก และนำไปวิจารณ์สาปแช่งลูกเนรคุณเหล่านั้น

          จนกระทั่งข่าวนี้แพร่ไปถึงลูกๆ ของแก ทำให้ลูกนั้นได้สำนึก พากันมารับพ่อไปเลี้ยงดู ทั้งนี้เพราะคนอินเดียสมัยนั้น เขาถือมากในเรื่องการปรนนิบัติบิดามารดา เขาบูชาบิดามารดาเป็นเสมือนเทพเจ้า เขาเชื่อฟังบิดามารดา ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าดื้อรั้นในสิ่งที่พ่อแม่ห้ามปราม เมื่อถูกสังคมรุมประณามเช่นนั้น พวกลูกๆ ก็คิดได้ สำนักผิด พากันมารับเอาพ่อไปเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่....


แล้วคุณล่ะ วันนี้ดูแลพ่อแม่แล้วรึยัง

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=866124#ixzz19qTzCBzI
124  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดเขาแก้ววรวิหาร ต.ต้นตาล จ.สระบุรี พระูบรมธาตุประจำจังหวัด เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 09:55:08 am
วัดเขาแก้ววรวิหาร ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เ

สด็จประพาสหัวเมือง เมื่อถึงอำเภอเสาไห้ ได้โปรดเกล้าฯ บูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้

และสถาปนาเป็นพระอารามหลวง มีคำเล่าลือกันว่าวันดีคืนดีจะเห็นดวงแก้วสุกสว่างเหนือวิหารวัดเขาแก้ว

ถือว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุในองค์พระเจดีย์ ในเจดีย์ปรางค์ห้ายอดองค์เล็กซึ่งตั้งอยู่

ระหว่างหอระฆังและเจดีย์องค์ใหญ่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพุทธรูปปางป่าเลไลก์ และ

พระพุทธบาทซึ่งล้วนมีลักษณะงดงาม




ดเขาแก้ววรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอบู่บนเขา ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตท้องที่ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ ปี พ.ศ.2171 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายได้ทรงแวะพักไพร่พลขบวน ราบ ณ พลับพลาท่าหิน ลานหน้าวัดเขาแก้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเลื่อมใสในภูมิฐานของวัด ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณธรรม พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัด นี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้จัดพวกนายกองโค พากันไปรับไม้เครื่องบนและสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ก่อกำแพงรอบพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์และบูรณะองค์พระเจดีย์ของเดิม เมื่อเสร็จแล้วมีพระกระแสรับสั่งให้สถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “ วัดคีรีรัตนาราม ”

เมื่อ พ.ศ.2456 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิโนรส องค์สังฆประมุขเสด็จออกตรวจการ คณะสงฆ์จังหวัดสระบุรี เสด็จทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเห็นป้ายที่ติดไว้ท่าหินลาดหน้าวัดว่า “ วัดคีรีรัตนาราม ” รับสั่งว่าเป็นคำมคธ ทรงให้เรียกเป็นคำไทยว่า “ วัดเขาแก้ว ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา





125  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 06:43:43 pm
สาธุ อนุโมทนากับ พรต้นปี และ ส.ค.ส. ของพระอาจารย์ คะ

ถึงแม้ชาวธรรมอาจจะเห็นไม่จำเป็น แต่ชาวโลก ก็ยังได้สดชื่นในธรรม อยู่คะ
 :25: :25: :25:


126  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รู้ได้อย่างไร..และต้องทําอย่างไรเมื่อ..งูกัด. สำหรับนักท่องไพรปีใหม่นี้คะ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:34:12 am
รู้ได้อย่างไร..และต้องทําอย่างไรเมื่อ..งูกัด.
พักนี้ มีหลายๆพื้นที่ที่โดนน้ำท่วม และย่อมหนีไม่พ้นเรื่องสัตว์มีพิษ ที่หนีน้ำ. ในกระทู้นี้ ขอนําเรื่องเกี่ยวกับ...รู้ได้อย่างไร ว่าโดนงูกัด. และควรทําอย่างไร.

ถูกงูพิษกัดจริงหรือไม่


การจะพิจารณาว่าถูกงูกัดหรือไม่ จะแบ่งพิจารณาเป็น3หัวข้อ

   1. ไม่เห็นสัตว์ที่กัด
   2. เห็นว่าเป็นงูแต่ไม่ทราบชนิดงู
   3. สามารถตีงูได้

กรณีไม่เห็นสัตว์ที่กัด
กรณีเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา การพิจารณาคงต้องอาศัยประวัติช่วย เช่นถ้าถูกกัดบริเวณกิ่งไม้ให้สงสัยว่าจะเป็นงูเขียวหางไหม้ ถ้าถูกกัดตามทุ่งนาให้สงสัยว่าเป็นงูเห่า ถูกกัดบริเวณซอกไม้อาจเป็นงูหรือตะขาบ แมงป่อง ถ้าถูกกัดตามพงหญ้าโดยมากเป็นงูกัด นอกจากนั้นยังต้องดูแผลที่ถูกกัดด้วย ถ้าถูกงูพิษกัดจะต้องมีรอยเขี้ยว 1-2 แผลเสมอมีเลือดออกซึมๆ ถ้าดูแผลแล้วไม่พบรอยเขี้ยวแสดงว่าไม่ใช่งูพิษ

เห็นว่าเป็นงูแต่ไม่ทราบชนิดงู
กรณีนี้ต้องแยกว่าเป็นงูพิษหรืองูไม่มีพิษ โดยอาศัยรอยเขี้ยวถ้ามีรอยเขี้ยวแสดงว่าเป็นงูพิษ แต่ถ้าไม่มีรอยเขี้ยวเป็นงูไม่มีพิษ

การดูแลเบื้องต้น

   1. หลังจากถูกงูกัดให้หลีกให้พ้นตัวงู โดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการถูกกัดซ้ำ ระยะที่ปลอดภัยประมาณระยะทางยาวเท่ากับตัวงู 
   2. อย่าตกใจกลัว ดิ้นรน โวยวาย เพราะจะทำให้อาการจากพิษของงูรุนแรงและรวดเร็วขึ้นไปอีก
   3. ถอดเครื่องตกแต่งบริเวณที่ถูกกัด เช่น แหวน
   4. หากมีเลือดออกให้ปล่อยให้เลือดออก เพื่อให้พิษออกให้มากที่สุด
   5. พยายามให้บริเวณที่ถูกงูกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
   6. ล้างแผลด้วยนํ้าสะอาดห้ามกรีดแผล ใช้ไฟจี้ ใส่ยา พอกยา หรือ พอกน้ำแข็งที่แผลเป็นอันขาด เพราะจะทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อแบคทีเรีย
   7. อย่าให้ผู้ป่วยดื่มสุรา หรือยาที่มีสุราเจือปนอยู่
   8. อย่าให้ยาระงับประสาท,ยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท ยาแก้ปวดจำพวก morphine และยาแก้ปวดพวก aspirin เพราะจะไปเสริมฤทธิ์กับพิษงู hemotoxin
   9. เคลื่อนไหวผู้ป่วยให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ควรจะให้นอนพัก และ รีบหามผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลไม่ควรนั่งเพราะจะทำให้ผู้ป่วย ปวดศีรษะ หากผู้ป่วยอยู่นิ่งพิษจะดูดซึมช้า เนื่องจากพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางระบบน้ำเหลือง
  10. จัดตำแหน่งอวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ
  11. ให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะพบตัวงู หากไม่พบต้องจำสี ลักษณะพิเศษของง ถ้าเป็นไปได้ ญาติควรพยายามหางูตัวนั้นให้พบ โดยตีที่คอแล้วนำซากงูไปโรงพยาบาล
  12. การรัดด้วย touniquet จะทำการรัดด้วยเชือก ไม่จำเป็นต้องเป็นเชือกกล้วย เข็มขัด สายยาง หรือผ้าผูกคอ วิธีการมีดังนี้

    * รัดให้หลวมๆโดยสามารถสอดนิ้วเข้าไปได้หนึ่งนิ้ว หากรัดแน่นเกินไปจะมีการดูดซึมพิษในหลอดเลือดดำใต้ผิวหนัง และเมื่อปล่อยสายรัดพิษจะกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
    * ตำแหน่งที่เหมาะสมคืออยู่เหนือแผล 2-4 นิ้ว
    * ใช้เชือก หรือผ้า รัดเหนือแผลที่ถูกกัดแน่นพอควร ให้สอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว
      และทุก 15-20 นาที ควรคลายเชือกหรือสายรัดออกประมาณ 1 นาที จนกว่าจะถึง
      โรงพยาบาล การรัดแน่นเกินไปอาจทําให้บวมและเนื้อตายมากขึ้น หากผู้ป่วยสามารถไปถึง
      โรงพยาบาลได้ภายในครึ่งชั่วโมง อาจไม่จําเป็นต้องใช้เชือกหรือผ้ารัด ี
    * ถ้าแผลบวมมากก็เลื่อนสายรัดขึ้นไปได้ หรือปลอดออก
    * ถ้าถูกงูกัดมาแล้วเกิน 30 นาทีการใช้สายรัดได้ประโยชน์น้อยมาก
127  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การกำจัดศพ ที่ธิเบต ไม่เหมือนบ้านเรา ( ดูแล้วสยอง ) เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 11:12:16 am











128  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: แจกหนังสือ อริยธรรม 34 ฟรี เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 03:10:07 pm
หนังสือน่าสนใจ คะ

 :25:
หน้า: 1 2 3 [4]