1. สภาวะของผู้ที่จะรู้
ผู้ที่จะเห็นธรรมตามจริงนั้น แม้ยืนอยู่ก็ดี จิตจะยังคงความสงบตั้งมั่นมีความรู้เห็นตามจริงไม่เกิดความติดข้องใจในโลก แม้จะเดิน นั่ง นอน อิริยาบถใดๆก็ตามจิตจะยังคงความสงบตั้งมั่นมีความรู้เห็นตามจริงไม่เกิดความติดข้องใจในโลก จะมองฟ้ส มองดิน มองน้ำ มองลม มองอากาศ มองเขา มองต้นไม้ มองคน มองสัตว์ มองสิ่งของก็เห็นตามจริงในธรรม เห็นความเกิดขึ้น ความเสื่อมไป ความไม่คงอยู่ ความบังคับจับต้องให้เป็นไปดั่งใจปารถนาไม่ได้ เห็นความทุกข์จากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เห็นความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
2. สภาวะของจริต จริตก็คือสิ่งที่ทำเป็นประจำเกิดขึ้นกับตนเป็นประจำจนเป็นนิสัย
ผู้ที่จะเห็นธรรมตามจริงนั้น แม้จะยืนอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่ก็ดี จะนอนอยู่ก็ดี หากทำอิริยาบถใดๆที่พอดีกับจริตนิสัยตน คือ เป็นสิ่งที่ทำให้ตนนั้นไม่ขัดข้องจนเกินไป ไม่หนักจริตตนเกินไป มีกำลังพอเหมาะพอดี สบายตน เจริญได้เรื่อยๆทำให้จิตตั้งมั่นดี จะพิจารณาธรรมใดๆที่เหมาะกับตนทำให้จิตใจแช่มชื่นเห็นง่าย ไม่ลำบากไป ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถใดๆก็เห็นธรรมได้ อันนี้อยู่ที่จริตนิสัยที่ตนพอใจยินดี
3. สภาวะผู้ที่มีสัมปะชัญญะ+สติ ส่งผลให้เกิดจิืตตั้งมั่น
แม้จะยืนอยู่ก็รู้ว่ายืนอยู่ หายใจเข้าก็รู้ลมหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ลมหายใจออก สภาวะจิตใดเข้าครอบงำก็รู้ สภาวะปรุงแต่งใดที่ตนเสพย์อยู่ก็รู้ เมื่อรู้สภาวะอกุศลครอบงำก็รู้ที่จะสงบรำงับจิตสังขารใดๆ รู้วางใจไวกลางๆ ไม่เข้าไปเสพย์กับความปรุงแต่งนั้นๆ สักแต่รู้ว่ามันเกิดขึ้น สักแต่รู้ว่ามันตั้งอยู่ สักแต่่รู้ว่ามันดับไป แต่ไม่เข้าไปร่วมกับมัน
แม้จะเดินอยู่ก็รู้ว่าเดินอยู่ กำลังก้าวย่างก็รู้กำลังก้าวย่างอยู่ หายใจเข้าก็รู้ลมหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ลมหายใจออก สภาวะจิตใดเข้าครอบงำก็รู้ สภาวะปรุงแต่งใดที่ตนเสพย์อยู่ก็รู้ เมื่อรู้สภาวะอกุศลครอบงำก็รู้ที่จะสงบรำงับจิตสังขารใดๆ รู้วางใจไวกลางๆ ไม่เข้าไปเสพย์กับความปรุงแต่งนั้นๆ สักแต่รู้ว่ามันเกิดขึ้น สักแต่รู้ว่ามันตั้งอยู่ สักแต่่รู้ว่ามันดับไป แต่ไม่เข้าไปร่วมกับมัน
แม้จะนั่งอยู่ท่าใดก็รู้ว่านั่งอยู่ จะนั่งบนเก้าอี้สบายๆ จะนั่งขัดสมาธิกับพื้นก็รู้ตัวว่านั่งท่าใด หายใจเข้าก็รู้ลมหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ลมหายใจออก สภาวะจิตใดเข้าครอบงำก็รู้ สภาวะปรุงแต่งใดที่ตนเสพย์อยู่ก็รู้ เมื่อรู้สภาวะอกุศลครอบงำก็รู้ที่จะสงบรำงับจิตสังขารใดๆ รู้วางใจไวกลางๆ ไม่เข้าไปเสพย์กับความปรุงแต่งนั้นๆ สักแต่รู้ว่ามันเกิดขึ้น สักแต่รู้ว่ามันตั้งอยู่ สักแต่่รู้ว่ามันดับไป แต่ไม่เข้าไปร่วมกับมัน
แม้จะนอนอยู่ท่าใดก็รู้ว่านอนอยู่ จะนอนตะแครงขวา หรือ นอนหงาย ก็รู้ตัวว่านอนท่าใด หายใจเข้าก็รู้ลมหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ลมหายใจออก สภาวะจิตใดเข้าครอบงำก็รู้ สภาวะปรุงแต่งใดที่ตนเสพย์อยู่ก็รู้ เมื่อรู้สภาวะอกุศลครอบงำก็รู้ที่จะสงบรำงับจิตสังขารใดๆ รู้วางใจไวกลางๆ ไม่เข้าไปเสพย์กับความปรุงแต่งนั้นๆ สักแต่รู้ว่ามันเกิดขึ้น สักแต่รู้ว่ามันตั้งอยู่ สักแต่่รู้ว่ามันดับไป แต่ไม่เข้าไปร่วมกับมัน
* พระพุทธเจ้ารู้สมถะก่อนวิปัสนา พระพุทธเจ้าทรงฌาณให้จิตสงบรำงับจากอุปกิเลสทั้งหลายก่อนจึงเจริญปัญญาขึ้่นเห็นตามจริง(ดูได้จากสัจจกนิครนถ์สูตร ว่าด้วยเรื่องการอบรมกายและใจ) ดังนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงสอนสมถะก่อนเป็นสิ่งแรกก่อนจะเห็นในวิปัสนา ผู้ที่เข้าเจริญในวิปัสนาก่อนหากของเก่าไม่มีมาหรือจิตไม่ตั้งมั่นพอมาก่อนแล้วจะไม่มีทางเห็นตามจริงได้นอกจากความคิดเท่านั้น กรรมฐานจึงเกิดขึ้นทั้ง 40 กอง
* ทีนี้คุณคิดว่าคุณอยู่ในสภาวะใดก็เลือกเอาสภาวะนั้นครับ สิ่งใดๆก็ดีหมด อยู่ที่เราทำแล้วกายและใจสงบรำงับจากกิเลสได้มาก จิตตั้งมั่นง่าย นี่เป้นแค่ส่วนเล็กๆที่ยกมาให้ดูน่ะครับมีอีกมากมายหลายอย่างหลายวิธีแต่วิธีเหล่านี้เรารู้จักกันดีให้ผลได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป หวังว่าแนวพิจารณานี้ๆจะเป็นประโยชน์แำก่ท่านเจ้าของกระทู้ได้บ้างนะครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ