ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เกี่ยวกับนิวรณ์ ถึงแม้เรารู้ว่า นิวรณ์ นั้น ๆ เกิดขึ้นเราควรกำจัดนิวรณ์...  (อ่าน 2741 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เกี่ยวกับนิวรณ์ ถึงแม้เรารู้ว่า นิวรณ์ นั้น ๆ เกิดขึ้นเราควรกำจัดนิวรณ์ ที่เกิดขึ้นที่เรารู้ตัวแล้ว

ด้วยวิธีอย่างไร ถึงจะเป็นแนวทางที่ถูกที่ควร

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ควรเข้าไปพบพระภิกษุที่เจริญทางใจ มี ๖ ประการ ๖ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ สมัยใดภิกษุในธรรมวินัยนี้
    มีใจถูกราคะกลุ้มรุม มีใจถูกราคะครอบงำอยู่ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้น ควรเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจถูกราคะกลุ้มรุม ถูกกามราคะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละกามราคะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อละกามราคะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ควรเข้าพบภิกษุผู้เจริญทางใจ
    อีกประการหนึ่ง สมัยใด ภิกษุมีใจถูกพยาบาทกลุ้มรุม มีใจถูกพยาบาทครอบงำ และเธอไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นควรเข้าไปหาภิกษุผู้เจริญทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจถูกพยาบาทกลุ้มรุม ถูกพยาบาทเข้าครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละพยาบาทแก่ผม ภิกษุผู้เจริญทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อละพยาบาทแก่เธอ ดูก่อนภิกษุนี่เป็นสมัยที่ ๒ ที่ควรเพื่อเข้าพบภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ
    อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกถีนมิทธะกลุ้มรุม ถูกถีนมิทธะครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ถูกถีนมิทธะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละถีนมิทธะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญเมตตาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละถีนมิทธะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่เป็นสมัยที่ ๓ ที่ควรเพื่อเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
    อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะ กลุ้มรุม ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละอุทธัจจะกุกกุจจะแก่กระผม ผู้เจริญภาวนาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละ อุทธัจจะกุกกุจจะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ ๔ ที่ควรเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
    อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกวิจิกิจฉากลุ้มรุม ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ถูกวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละวิจิกิจฉาแก่กระผม ผู้เจริญภาวนาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละ วิจิกิจฉาแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ ๕ ที่ควรเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่รู้ ไม่เห็น ซึ่งนิมิตเป็นที่สิ้นอาสวะโดยลำดับ ในเมื่อตนอาศัยกระทำไว้ในใจนั้น สมัยนั้นภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งนิมิตเป็นที่สิ้นอาสวะโดยลำดับ ในเมื่อกระผมอาศัยกระทำไว้ในใจนั้น ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อความสิ้นอาสวะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อความสิ้นอาสวะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่เป็นสมัยที่ ๖ ที่ควรเพื่อเข้าไปพบภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 05, 2010, 09:26:09 am โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
สำหรับ พระสูตรบทนี้ พออ่านเสร็จท่านทั้งหลาย ก็จะเข้าใจความสำคัญใน กัลยาณมิตร ทันที

 หากกำลังจิต ของเรายังไม่พอที่จะดับนิวรณ์นั้นได้ ก็ควรเข้าหา กัลยาณมิตร คือ ครูอาจารย์

ผู้ปฏิบัติได้ ให้ช่วยแนะนำ หรือ ช่วยในการภาวนาในเบื้องต้น ( ย้ำว่าเบื้องต้น ) เพราะว่า การฝึก

ภาวนานั้น จะยากในขั้นที่ 1 เท่านั้น พอได้แล้ว ก็สามารถปฏิบัติไปได้ เหมือนทางน้ำที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง

น้ำย่อมไหลไปได้สะดวกฉันใด จิตที่ปราศจากนิวรณ์ แล้ว แม้เพียงชัวขณะหนึ่ง ก็ย่อมเปิดดวงตาเห็นธรรม

ได้ฉันนั้น เช่นกัน

เจริญพร
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา