ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถาม ทำไม การภาวนา แม้ตั้งใจทำภาวนา แต่ไม่ปรากฏผลสำเร็จ อย่างที่คิดไว้ ครับ  (อ่าน 986 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ถาม ทำไม การภาวนา แม้ตั้งใจทำภาวนา แต่ไม่ปรากฏผลสำเร็จ อย่างที่คิดไว้ ครับ

ตอบ มันมีหลายเหตุปัจจัย นะ เรื่องนี้
1. ปลิโพธ ( ความกังวล ) ยังมีอยู่มาก หรือ ยังมีอยู่นิดหน่อย
ยกตัวอย่าง มีสถานที่ต้องดูแล กว้างใหญ่มาก ไป ก็ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง เมื่อดูแลไม่ทั่วถึง ก็จะพะวงกับสถานที่นั้น เพื่อเข้าไปดูแล โดยเฉพาะ พระสงฆ์ เป็นมากในเรื่องนี้ วัดยิ่งใหญ่กว้าง เสนาสนะมีมาก ก็ต้องยิ่งห่วงกังวลในการดูแล มากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าวัดกว้างใหญ่ แต่คนดูแลมีน้อย ก็ยิ่งลำบาก บางวัดไปเยี่ยมไปหา ก็บ่นแต่ว่า ทำแต่กิจกรรมดูแลวัดไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย ก็มีเยอะ บางรูป บางองค์ ทิ้งกิจวัตร เช้ามาตัดหญ้า สะพายเครื่องตัดหญ้าออกไปตัดหญ้า กลับมาฉันเพล บ่ายออกไปตัดหญ้าต่อ ถึงค่ำ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นงด กิจกรรมสนทนายามค่ำ จะฝึกกรรมฐานก็ไม่ไหว เหนื่อย ไปอยู่ด้วย 15 วัน เรียนกรรมฐาน ด้วยได้นิดเดียว นี่เห็นมาก ๆ ในหมู่พระสงฆ์ ธัมมะวังโส เดี๋ยวนี้จึงไม่ค่อยสอนกรรมฐาน กับพระ เพราะไม่ทิ้งการงาน ทำกิจวัตร พระเอาแต่เรือ่ง เสนาสนะ กันเป็นส่วนใหญ่
ถ้าเป็นฆราวาส ก็ยังอยู่ แต่เรื่องทำกิน ทำรวย กังวลอยู่แค่เรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ ถามอะไร ก็วนไปวนมา เรือ่ง โชค ลาภ วาสนา เคราะห์ ส่วนกรรมฐาน ไม่ค่อยถาม ที่ไม่ถามก็เพราะว่า ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง จึงไม่รู้จะถามอะไรกัน
ก็เรื่องปลิโพธ ยังมีอยู่อีกหลายเรื่อง ที่ยกตัวอย่างได้ แต่เอาเท่านี้พอ

2. ปฏิบัติผิดแนวทาง จากมรรค
สอนคนภาวนา เพื่อไป สู่ มรรค ผล นิพพาน แต่สอนไปสอนมาคนภาวนา ถามแต่เรื่อง ฤทธิ์ อยากเห็นโน่น เห็นนี่ อยากมีความสามารถพิเศษ อยากสัมผัสสิ่งที่เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ กันมากขึ้น คำถามไม่ได้ถามที่ติดขัด แต่ถามกันแต่เรื่อง ญาณวิเศษ ต่าง ๆ นี่เรียกว่า ไปผิด จาก มรรค ผล นิพพาน มีจำนวนมาก อยู่

3. ไม่มีความปรารถนา ใน มรรค ผล หวังเพียงแค่ ความสุขเฉพาะหน้า
อันนี้เป็นสิ่งที่ห้าม หรือ สอนกันยากเหมือนกัน หลายคนมาภาวนา มาเรียนกรรมฐาน ก็ต้องการไม่เหมือนกัน แต่ตัวกรรมฐานเมื่อสอนจริง ๆ จังก็จะมุ่งลงไปที่ มรรค ผล นิพพาน แต่ถ้าผู้เรียนไม่ปรารถนา มรรค ผล นิพพาน ก็จะคลายจากการเรียน หลายคนยังเข้าใจผิดไปเลยว่า จะทำให้กับอาชีพ เพราะว่า ต้องมีศีลมากขึ้น ต้องเป็นผู้ทรงกรรมบถ 10 จะทำให้การงานอาชีพ ขัดข้องก็เลย ทำตัวห่าง จากหลักคำสอนที่ถูกต้อง ถอยห่างออกไปคุมเชิงให้พออยู่ในโลก อันนี้ก็จริงอยู่ เพราะว่า วิถีทางธรรม ทำให้อยู่ในโลกได้ แต่อยู่อย่างพอเพียง ไม่หรูหรา ไม่อวด ไม่โก้ ประมาณนี้ ดังนั้นก็มีมากอยู่ที่เลิกรากรรมฐานไปเพราะเหตุนี้ หรือ ภาวนาไม่ก้าวหน้า

4. ขาดความเพียร
อันนี้ตรง ๆ คือ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง หรือ ไม่ทำเลย คนที่ไม่ทำเลย หรือ มีความเข้าใจตนเองว่า มีความสามารถทางกรรมฐาน คิดว่า นั่งกรรมฐาน 8 ชม เป็นเรื่องจิ๊บ ๆ ของเขา มีหลายคนมาสอบ กับพระอาจารย์ แล้วไม่ผ่านมีมากอยู่ เพราะ พระอาจารย์สอบจริง ๆ ดังนั้น ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ก็คือ ขี้เกียจ ย่อมไม่มีผลสำเร็จ

5. ขยันทำในสิ่งที่ขัดกับองค์ ภาวนา
อันนี้ขยัน แต่ขยันในสิ่งที่ไม่ได้สอน พลิกแพลงสิ่งที่สอน เช่นสอนให้เขียน ก็วางก้อนอิฐ แทนเขียน สรุปง่าย ๆ ก็คือ ไม่ทำตามที่สอน เวลานั่งกรรมฐาน ยืน เดิน ก็ไม่ทำตามที่สอนเลย แต่ ทำตามที่เขาชอบถนัด นี่เรียกว่า ญาณํง (รู้มากเกิน) จึงไม่ประสบความสำเร็จ ศิษย์บางคน เป็นศิษย์มา 10 - 15 ปี ไม่เคยทำตามที่สอน เลยแล้วมาแจ้งกรรมฐาน ไปทำอย่างที่ตนเองชอบ ติดโน่นติดนี่ แล้วก็มาแจ้งกรรมฐาน แล้วมันจะไหวไหม ?

6. ไม่มีที่ปรึกษา เวลาได้ สภาวะกรรมฐาน
อันนี้คือคนที่ ฟูมฟักลักจำ ไม่อยากเป็นศิษย์เห็นมากอยู่ แต่จะ พระอาจารย์เข้าไปชี้แนะ ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ได้มีความเคารพกัน ถึงแม้จะเห็นว่า ปฏิบัติตรงนี้ ขาด ตรงนี้ พร่อง แต่การจะแนะนำคนที่ไม่เคารพกัน นั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นคนประเภทนี้ ก็ต้องให้สั่งสมบารมีไปก่อน นี่เป็นเหตุหนึ่ง ที่ภาวนาไม่ได้ เพราะว่าติดขัด อะไรก็ต้องคาดเดา แก้ไปเอง

7. ไม่ได้สร้าง บารมี ทาน ศีล ไว้ส่งเสริม
ภาวนาอย่างเดียว ไม่ใช่สิ่งถูกต้อง การสร้างบารมีที่ สำคัญเลย คือ ศีล อันนี้ขาดไม่ได้ อย่างน้อยขั้นต่ำก็ต้องศีล 5 ถ้าไม่มีเลย เวลา สภาวะเกิด วิบากเข้าแทรก ก็จะไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ต้านทานวิบากเหล่านั้นได้ ดังนั้น ทาน ศีล เป็นเกราะป้องกันผู้ภาวนา ถ้าไม่มีเกราะ เวลาวิบากมา ก็ทานไม่ไหว

8. อยู่ในประเทศ ( สถานที่ ) ที่ไม่อำนวยการภาวนา หรือสังคมที่ขัดแย้งกับการภาวนา
อันนี้เอาแค่สังคม ก็พอ ถ้าเราอยู่ในสังคมที่เป็นคนปุถุชน มาก ๆ การภาวนาของเราจะเป็นเรื่องตลก คำพูด และ การกระทำของคนที่ไม่ชอบการภาวนา ก็ะบั่นทอนจิตใจ หรือบางที่ บางแห่ง เขาก็ว่าเราบ้า มัวแต่นั่งหลับหู หลับตา พระอาจารย์เคยถูกกระทบ จากกลุ่มพระด้วย กัน บางครั้ง ก็เอาของมาโยนใส่กลด ใส่ทางเดินจงกรม หรือมาพูดแดกดัน เหล่านี้ และท้ายที่สุด ก็ขับไสไล่ส่ง ให้ไปภาวนาที่อื่น ๆ ไม่ใช่ไม่มีเรื่องเหล่านี้ มีมากด้วย ยิ่งเป็นการภาวนาที่มีคำสอน ต่างสำนักกัน ยิ่งรุนแรง หรือ ในสำนักเดียวกัน ความเด่นด้านการภาวนา ก็เป็นเรือ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในสำนักเดียวกัน อย่าคิดว่า คนฝึกภาวนา ทุกคนจะมีเมตตา หรือ ส่งเสริมกันจริงจังนี่ที่ประสบมาจริง ๆ ดังนั้นการอยู่ในที่ ๆ ไม่ควร ก็ขัดข้อง ด้วยนะ ไม่ต้องพูดเรื่อง ต่างศาสนา ต่างลัทธิ อันนั้นยิ่งรุนแรงกว่า มีประสบการณ์มาแล้ว แต่จะไม่พูดมันมากเกินไป ที่จะเล่า

9. สุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย
อันนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสุขภาพ เป็นโรคภัย ไข้เจ็บ ความชรา ครอบงำแล้ว โอกาสจะภาวนา นั้นยิ่งยากใหญ่ หลายคนรอให้เจ็บก่อน แล้วจะภาวนา หรือรอให้แก่ แล้วจะภาวนา แต่ที่เห็นมา นั้น 95 เปอร์เซ็นต์ สายเกินแก้ไข เพราะแรงหมด ทำไม่ได้ กรรมฐานไม่ใช่ว่า จะนอนทำแล้วมันจะได้ผล ไปถึงตรงนอนนี่ มันมีความกังวลมาก ยิ่งถ้าไม่มีคนดูแลเอาใจใส่ ในขณะที่นอนป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จิตตกข้างฝ่ายอกุศล คือ ความน้อยเนื้อต่ำใจ พิราบพิไรรำพัน ถึงความลำบาก โชคร้าย อันนี้เห็นมามากแล้ว พอจ ไปเยี่ยมคนใกล้ตาย ปีหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 50 ลูกศิษย์เอารถมารับ กลางวัน กลางคืน ให้ไปโปรดคนใกล้ตาย จำนวนไม่ใช่น้อย แต่ไปถึงอย่างมากก็พอให้ได้พูด ระลึกถึง อรหัง พุทโธ หรือ พอได้เห็น จีวร ชายผ้าเหลือง เป็นส่วนใหญ่ โอกาสที่จะมาภาวนาอะไร ๆ ให้ถึงการสิ้นภพ สิ้นชาต สำหรับคนป่วย คนแก่ นั้นยากมาก ดังนั้น ขณะที่ไม่ป่วย ไม่แก่ชราเกินไป มีโอกาสในการภาวนา ก็ควรทำให้มันดี ยิ่งขึ้น

อายุเกินหลัก ห้าสิบแล้ว ยิ่งต้องขวนขวาย เพราะ ความตายไม่แน่นอน ที่แน่นอน ตาย ๆ แน่ๆ ดังนั้น การภาวนา ที่ดีต้องมีครู ต้องมีเป้าหมายชัดเจน เพื่อ มรรค ผล นิพพาน มันจะทำให้ไม่ไปผิดทาง อย่ามัวแต่หลง กับเรื่องไร้สาระกันมาก จะเหาะอย่างเทวฑัตร ก็ลงนรกได้ จะดำดินอย่างขอม ก็เป็นหินอยู่ตรงนั้น จะระลึกชาตได้ เป็นสิบ ถ้าไม่ภาวนา มรรค ผล นิพพาน แล้ว ก็ถือว่า โชคร้าย ขณะแห่งลมหายใจที่มี ก็สูญเปล่า ไร้ค่า

และยังมีอีกหลายสาเหตุ
ก็ต้องพิจารณาว่าไป ตามเหตุปัจจัย นั้น ๆ

มันยาวแล้วนะ พิมพ์มาก ก็ขอจบเท่านี้

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ