ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หญิงที่คิดมุ่งร้ายต่อพระพุทธเจ้าไม่ได้มีเพียงแต่นาง จิญจมาณวิกา เท่านั้น  (อ่าน 2313 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28362
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



หญิงที่คิดมุ่งร้ายต่อพระพุทธเจ้าไม่ได้มีเพียงแต่นาง จิญจมาณวิกา เท่านั้น

จิญจมาณวิกา ชื่อนี้เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่สวดพระคาถาพาหุง หรือชัยมงคลคาถา พระพุทธมนต์สรรเสริญชัยชนะของพระพุทธเจ้า หลายคนอาจทราบดีว่านางจิญจมาณวิกา เป็นผู้หญิงที่คิดมุ่งร้ายต่อพระพุทธเจ้า แต่ตามจริงแล้วไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่คิดมุ่งร้ายต่อพระองค์

@@@@@@

นางอมิตตดา อดีตชาติของนางจิญจมาณวิกา

เรื่องราวของนางจิญจมาณวิกา ปรากฎในอรรถกถา แต่ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก และชาวพุทธก็รับรู้เรื่องของนางในฐานะหญิงร้ายที่คิดมุ่งจะทำลายพระพุทธเจ้าจากพระคาถาพาหุง ในอรรถกถาธรรมบทกล่าวถึงนางไว้ว่า

นางจิญจมาณวิกาเป็นผู้นับถือเดียรถีย์ นักบวชในลัทธินี้ได้วานให้นางให้ร้ายว่านางท้องกับพระพุทธเจ้า นางใช้มารยาทแกล้งเข้าไปในพระเชตวันอยู่เสมอ หลังจากฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเสร็จก็ทำเป็นเข้าไปใกล้บริเวณที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้วแอบซุ่มอยู่ บางคนไม่มีแล้วจึงแอบออกไปทางอื่น บางทีก็ทำเป็นเข้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่แท้จริงแล้วแอบไปเข้าวัดของพวกเดียรถีย์ที่อยู่ใกล้เคียง ผ่านไป 9 เดือน จึงผูกไม้กลมที่ท้องแล้วเอาผ้าห่มทับข้างบนอีกที เพื่อให้ดูเหมือนท้องนั้นนูนออกมาเหมือนหญิงท้อง แล้วเข้าไปกลางฝูงชนที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวร้ายว่าเด็กในท้องเป็นบุตรที่เกิดจากพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เรื่องจริงมีเพียงเรากับเธอเท่านั้นที่รู้” เทวดาทนเห็นการกระทำของนางไม่ได้ จึงจำแลงเป็นหนูแล้วกัดสายที่รัดท้องนาง เพื่อเปิดโปงความจริง เมื่อความจริงปรากฏว่านางไม่ได้ตั้งท้องจริง ฝูงชนเข้าขับไล่นาง นางวิ่งหนีไปยังไม่ทันจะพ้นประตูพระเชตวันก็ถูกธรณีสูบจากไปยังอเวจีมหานรกทันที

ในอดีตชาติของนางจิญจมาณวิกาคือนางอมิตตดา ภรรยาสาวของเฒ่าชูชกจากเวสสันดรชาดก ในอดีตชาตินั้นนางเป็นผู้ที่ให้ชูชกต้องมาทูลขอพระกัณหา-ชาลีไปจากพระเวสสันดร คงเป็นวิบากที่นางมีต่อพระพุทธเจ้า จึงค่อยขัดขวางและสร้างปัญหาให้กับพระพุทธเจ้ามาจนถึงสมัยพุทธกาล ส่วนเฒ่าชูชกก็มาเกิดเป็นพระเทวทัต ซึ่งเป็นอริกับพระพุทธเจ้ามาหลายภพชาติเช่นกัน


นางอมิตตาดา อดีตชาตินางจิญจมาณวิกา

 
นางสุนทรีปริพาชิกา หญิงมุ่งร้ายต่อพระพุทธเจ้าอีกนางที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

นางสุนทรีปริพาชิกา เป็นนักบวชหญิงเดียรถีย์ที่มีมิจฉาทิฏฐิ คือไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย นางได้รับการไหว้วานจากอัญเดียรถีย์ที่กำลังประสบกับการขาดลาภสักการะจากผู้ศรัทธาเพราะเวลานี้ผู้คนมุ่งสนใจต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้มีหันไปนับถือพระรัตนตรัยมากขึ้น นางสุนทรีแกล้งไปเข้าในบริเวณที่ประทับของพระพุทธเจ้าบ่อยครั้ง อัญเดียรถีย์จ้างนักฆ่าสังหารนางแล้วเอาศพไปทิ้งที่คูในบริเวณพระเชตวัน อัญเดียรถีย์แกล้งตามหานางสุนทรีเพราะเห็นว่าหายไปหลายวัน จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลเพื่อให้ทางการช่วยตามหานาง โดยมีแบะแสว่านางสุนทรีปริพาชิกาหายไปหลังจากไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวัน

เมื่อเข้าไปสำรวจในพระเชตวัน ปรากฏว่าพบศพของนางที่คูในบริเวณนั้น เหล่าเดียรถีย์ก็นำร่างไร้วิญญาณขึ้นแคร่แล้วหามไปทั่วกรุงสาวัตถี เพื่อประจาญว่าเป็นการกระทำของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาต่อนักบวชนอกศาสนา ทำให้ชาวสาวัตถีเลิกนับถือพระรัตนตรัย แล้วไม่ใส่บาตรพระภิกษุ พระสาวกทั้งหลายจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพือทูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพียง 7 วัน เรื่องก็จะเงียบไปเอง หากโดนด่า โดนขู่ หรืออย่างไรก็ตาม ขออย่าได้ตอบโต้กลับ  เป็นมิใช่ลักษณะของสัตบุรุษ หลังจากนั้นผ่านไป 7 วัน สถานการณ์ก็กลับสู่ความปกติ ชาวเมืองกลับมาเลื่อมใสพระรัตนตรัยอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าเหล่าพุทธบุตรไม่ได้สังหารนางเดียรถีย์คนนั้นจริง

อรรถกถาสุนทรียสูตร เล่าต่อจากเหตุการณ์นี้ว่า เมื่อพระสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วใครกันที่สังหารนางสุนทรีปริพาชิกา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสืบสวนจนทราบว่า นางถูกนักฆ่าที่อัญเดียรถีย์จ้างนั้นสังหารแล้วเอาศพของนางไว้ที่คูใกล้พระเชตวัน เมื่อความจริงปรากฏแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลให้นักบวชเดียรถีย์ที่เกี่ยวข้องร้องประกาศไปทั่วกรุงสาวัตถีว่าตนเป็นคนที่ฆ่านางสุนทรี มิใช่พุทธบุตรผู้ประเสริฐแห่งพระสมณโคดมะ แล้วจบด้วยโทษประหารทั้งนักฆ่าและเดียรถีย์ที่เกี่ยวข้อง


ภาพพุทธประวัติศิลปะเมียนมาตอนนางจิญจมาณวิกาใส่ความพระพุทธเจ้า


วิบากที่ทำให้พระพุทธเจ้าถูกใส่ความ

พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุที่พระองค์ถูกเดียรถีย์ใส่ความ เป็นผลกรรมมาจากอดีตชาติที่ทรงเกิดเป็นนักเลงชื่อว่า “ปุนาลิ” ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าขณะที่ตนกำลังเมามายสุราได้ที่ ปรากฏก็มีหญิงนางหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณที่พระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังครองจีวร ทำให้ปุนาลิเข้าใจผิดคิดว่านักบวชผู้นี้หลุดจากความเป็นผู้ทรงพรหมจรรย์แล้ว และป่าวประกาศไปทั่วทั้งที่ไม่เป็นเรื่องจริง ผลกรรมส่งผลให้พระองค์ตกนรกนานอยู่นาน จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นางสุนทรีปริพาชิกาจึงทำให้พระองค์เสื่อมเสียงด้วยอำนาจแห่งเศษกรรมจากการกล่าวตู่ใส่ร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง


 

ที่มา : สุนทรีสูตร ,อรรถกถาสุนทรีสูตร ,ชัยชนะของพระพุทธเจ้า โดย มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย
ขอบคุณภาพจาก : http://saraniya.com , www.thummada.com , https://pixabay.com
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/153240.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
พระพุทธเจ้า ยังมีคนปองร้าย เลย
กับเรา นี่ ต้องถือว่า ธรรมดา เลย

 thk56 like1 st12
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

nopporn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
อยู่แก๊งค์ ป่วนอ๊บ