ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุแห่งความเสื่อม : เมื่อแม่ชีตกหลุมรักกับพระ  (อ่าน 763 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เหตุแห่งความเสื่อม : เมื่อแม่ชีตกหลุมรักกับพระ
บทความธรรมะโดย ครูหนุ่ย งามจิต มุทะธากุล

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขึ้นต้นอย่างกับนิทานอีสปเลยวันนี้ ครูได้พบกับแม่ชีสาวท่านหนึ่ง ระหว่างการสนทนา ครูรับรู้ได้ว่าเธอกำลังมีปัญหาหนักอะไรบางอย่างที่พอจะเดาได้ว่าปัญหานั้นคืออะไร ครูจึงปวารณาว่า ถ้าอยากให้ช่วยก็ไปหาครูได้ และแล้ววันหนึ่งเธอก็ไปพบครู เธอเล่าปัญหาของเธออย่างตรงไปตรงมา มันก็เหมือนกับเวลาที่คุณป่วยแล้วไปหาหมอ ถ้าคุณเล่าอาการไม่ตรงกับที่คุณเป็น หมอก็จ่ายยาให้ไม่ถูกกับโรคของคุณ คุณก็ไม่มีทางหายจากโรคได้

แม่ชีเล่าว่าบวชมานาน 7–8 พรรษาแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในพรรษาที่ 7 เธอได้รู้จักกับพระรูปหนึ่งทางเฟซบุ๊ก เธอบอกว่าพระรูปนั้นเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ช่วงแรกพวกเขาติดต่อกันด้วยเหตุผลว่าเพื่อการแลกเปลี่ยนศึกษาหาความรู้ในการปฏิบัติธรรม แม่ชีรู้สึกศรัทธาว่าพระเก่ง เป็นถึงพระวิปัสสนาจารย์สอนกรรมฐาน หลังจากคุยกันไปได้สักระยะหนึ่งก็เกิดอยากเจอตัวจริงกันขึ้นมา แม่ชีหาเรื่องไปปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานที่วัดที่พระรูปนั้นประจำอยู่ “เอาจริง ๆ ก็คือหาเรื่องไปเจอหน้าพระนั่นแหละ” เธอบอกอย่างนั้น


@@@@@@

เมื่อได้ประสบพบพักตร์ ตาต่อตามาประสาน ปะคารมกันสด ๆ ก็อดพิศวาสกันไม่ได้ แม่ชียอมรับว่าเธอหลงรักพระรูปนั้นเข้าแล้ว ความรักมันเบ่งบานอัดแน่นในหัวใจจนทนไม่ไหว ทำให้เธอสารภาพรักกับพระไปตรง ๆ พระก็ไม่ได้ตกใจผลักไสไล่ส่งเธอแต่อย่างใด แต่พูดกับแม่ชีว่า “ใครตัดรักได้ก็ตัดไป แต่ฉันยังตัดไม่ได้ ก็รักกันไปอย่างนี้แหละ แต่จะให้สึกไปแต่งงานนั้นไม่มีทาง ไม่สึกแน่นอน” แล้วมันจะอย่างไรล่ะ พระเอ๋ย ชีเอ๋ย สึกก็ไม่สึก แต่งก็ไม่แต่ง เลิกก็ไม่เลิก ยังจะดันทุรังรักกันต่อไป แถมยังมีการแลกทองของรักแทนใจให้กันและกันอีก

แม่ชีบอกว่า เธอทุกข์ทรมานกับอุบัติการณ์รักนี้เป็นอย่างมาก ก็ตรงตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นั่นแหละ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ลำพังความรักของฆราวาสหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ยังห่วงหาอาทรทุกข์ทุรนทุรายแทบจะขาดใจยามที่ต้องไกลกัน แต่ทุกข์ที่เกิดจากความรักของพระกับชีนั้นมันยิ่งทุกข์หนักหนาสาหัสมากขึ้นไปอีกหลายเท่าทวีคูณ เพราะนอกจากความทุกข์ทรมานที่เกิดจากจิตที่ถวิลหาตามวิสัยของชายหญิงแล้ว ยังมีทุกข์จากหิริโอตตัปปะโหมกระหน่ำรวมกับความรู้สึกผิดที่ท่วมทับทวีเข้ามาอีก

พระก็ประกาศว่าไม่สึก ส่วนแม่ชีนั้นเล่าเธอก็บอกว่าเธอไม่อยากสึก ชีวิตทางโลกก็ผ่านมาหมดแล้ว ที่มาบวชก็เพราะรู้สึกว่าเบื่อแล้ว พอแล้ว และเพราะมีศรัทธาในพระศาสนา อยากทำงานช่วยพระศาสนาและที่สำคัญคือ สึกไปก็ไม่ได้แต่งงานกับพระอยู่ดี เพราะพระประกาศกร้าวว่าไม่สึก

@@@@@@

แม่ชีบอกว่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพบกับสถานการณ์นี้ เธอไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ เธอพยายามแก้ไข อยากหยุดความสัมพันธ์ ไปปรึกษาหารือกับครูบาอาจารย์หลายท่าน แม่ชีจะทำยังไงดี ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกว่า มันเป็นกรรม แม่ชีต้องพยายามตัดใจ แต่ท่านไม่ได้สอนวิธีตัดใจให้ด้วย ฉันก็อยากตัดใจ แต่มันทำไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง เธอเล่าต่อไปอีกว่า เธอไปหาแม่ชีใหญ่ท่านหนึ่ง ฟังดูก็น่าจะใหญ่มากเพราะมีสำนักชีในต่างประเทศด้วย เธอได้รับคำแนะนำที่น่าตกใจจากแม่ชีใหญ่ท่านนั้นว่า

“มันเป็นบุพกรรมที่เคยมีต่อกันมา มีวิธีแก้กรรมนี้วิธีเดียว ถ้าทำแล้วมันจะจบ วิธีนั้นก็คือ ให้ไปกอดพระหนึ่งครั้ง แล้วมันจะจบ”

เป็นไปได้หรือที่กอดกันแล้วเรื่องมันจะจบ ครูว่ามันจะ “จบเห่” เสียมากกว่ามั้ง


@@@@@@

นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับคนในพุทธศาสนาของเรา รู้สึกสงสารแม่ชีคนนั้นเหลือเกิน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ ถ้าเรื่องที่เธอเล่ามาเป็นความจริงก็พอมองเห็นได้ว่าเธอก็พยายามแก้ไข พยายามที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากบ่วงกรรมนี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าพญามารไม่ยอมปล่อยเธอง่าย ๆ จึงชักนำให้เธอได้พบกับคำแนะนำที่……………(เว้นไว้ให้ผู้อ่านเติมคำในช่องว่างเอาเองตามใจชอบค่ะ)

เมื่อได้รับคำแนะนำจากคนที่เธอเคารพนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ แน่นอนว่าเธอรีบไปปฏิบัติตามทันที โดยมีเพื่อนชีคนหนึ่งร่วมเป็นสักขีพยานในปฏิบัติการตัดกรรมครั้งนั้นด้วย เหตุที่รีบแล่นไปตัดกรรมนั้น อันนี้ไม่แน่ว่าเป็นเพราะอยากให้มันจบ ๆ ไป หรือเป็นเพราะอยากกอดพระ

ไฟราคะมันกำลังคุกรุ่น กลับแนะนำให้เอาน้ำมันสาดเข้าไปในกองไฟ มีแต่จะทำให้ไฟมันลุกโชนขึ้นเท่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อะไรที่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมให้ละเสีย อย่าไปคลุกคลี อย่าไปเข้าใกล้ อย่าไปริ อย่าไปลอง อย่าอหังการว่า “กูแน่” จงจำไว้ว่า เรายังเป็นเพียงผู้เพียรอยู่ ยังไม่พ้นชวดฉลูขาลเถาะ ยังไม่รู้ว่าจะถูกมารมันลากคอไปวันไหน อย่าผยอง อย่าอหังการกับกิเลสตัณหาราคะ แม้แต่พระอานนท์ พระพุทธเจ้ายังทรงสอนให้ชักสะพานหนี

@@@@@@

ครูถามแม่ชีว่า คุณต้องการอะไร เธอบอกว่า เธออยากจะทำงานรับใช้พระศาสนา เธอไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตในวิถีโลกอีกแล้ว ครูบอกเธอว่า การจะวิ่งฝ่าเปลวไฟของกามราคะออกไปนั้นมันจะต้องเจ็บปวด เร่าร้อนอย่างแสนสาหัส มันเป็นบททดสอบที่ยากมาก ๆ แต่เราทำได้ และเมื่อคุณทำสำเร็จ จิตวิญญาณของคุณจะเติบโต นักกีฬาจะเก่งได้ต้องปฏิบัติตามคำสอนของโค้ช เช่นเดียวกัน คุณจะรอดจากวิบากกรรมนี้ได้คุณต้องทำตามคำแนะนำของครู

ข้อแรก. ปิดสื่อทุกอย่างที่ใช้ติดต่อกัน ลบเบอร์โทรศัพท์ ลบไลน์ ลบทุกช่องทางการติดต่อกับพระ ตัดขาดให้หมด โดยวางจิตว่าพระนั้นได้ตายไปแล้ว แม่ชีเคยมีคนที่คุณรักตายจากไปไหม เธอตอบว่าคุณพ่อค่ะ ครูถามว่า เวลาที่คิดถึงคุณพ่อทำยังไง โทรศัพท์ไปหาได้ไหม ไม่ได้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณต้องวางจิตแบบเดียวกัน

ข้อสอง. บอกกับหัวหน้าสำนักชี บอกกับเพื่อนทุกคนว่าห้ามพูดถึงคนคนนั้นกับคุณอีกต่อไป

ข้อสาม. ไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมภาวนาอย่างเคร่งครัด พยายามปลดเปลื้องธุระทางโลกออกไปให้มาก ๆ แค่แต่งตัวเป็นแม่ชีใช่ว่าจะปลอดภัยแล้ว คุณยังต้องพากเพียรภาวนาจนกว่าใจของคุณจะเป็นชีจริง ๆ นั่นแหละจึงจะพอมีหวังบ้าง แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุมรรคผล หนทางนี้ยังอีกไกล


@@@@@@

เธอรับปากว่าจะกลับไปปฏิบัติตามคำแนะนำของครู เธอขอเบอร์โทรศัพท์ของครูไป ครูบอกแม่ชีก่อนจากกันว่า ครูยินดีเป็นโค้ชให้คุณ แต่ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามที่ครูแนะนำ คุณไม่ต้องโทร.มา



ที่มา : นิตยสาร Secret
Photo by Carl Larson from Pexels
Secret Magazine (Thailand)
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/177769.html
By ying , 7 October 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
้อ่านแล้ว ดูเหมือนจะตลก แต่เรื่องจริง ไม่น่าตลกนัก

ก็ขอให้ท่าน จงหาหนทาง ตัดรัก ตัดโลก ได้ตามเส้นทางแห่ง ธรรม เถอะน

 st12 :49:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น