ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่  (อ่าน 6364 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่
การปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐานมีความเป็นกังวลกันว่า
ทำมากๆแล้วจะเป็นบ้า เป็นโรคประสาท หรือหลงไปไหนต่อไหน
จริงๆแล้วการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้นไม่ทำให้เป็นเช่นนั้น
แต่ที่คนเป็นเช่นนั้นกัน เพราะนอกรีตนอกรอย
ปฏิบัติแบบคิดเองเออเอง ห่างครูบาอาจารย์ห่างตำรา
วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านได้รู้มา
ไม่ได้นึกคิดขึ้นมาเองนะครับ

อย่างแรกการปฏิบัตินั้นเพื่อคุณงามความดี เพื่อความหลุดพ้น แถวบ้านเรียกว่าเพื่อพระนิพพาน
อันนี้ท่านว่าให้ยึดไว้เลย ไม่งั้นเสียผู้เสียคนได้ง่าย คือต้องปฏิบัติเพื่อเอาดีกัน
โดยที่การปฏิบัติเพื่อเข้ากระแสพระอริยะนั้นจะประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
ดังนั้นผู้ที่จะปฏิบัติพระกรรมฐานควรจะมีศีลเป็นพื้นฐานที่หนักแน่น
ถ้าเป็นฆาราวาสต้องมีศีล๕ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่มามีตอนสมาทานศีลก่อนเข้าพระกรรมฐาน
ไม่ขอทวนศีล๕ แต่ขอเน้นว่าให้รักษาศีลแบบจริงจังคือ
ไม่ผิดศีลเอง ไม่แนะนำให้คนอื่นผิดศีล และไม่ยินดีเมื่อรู้ว่าคนอื่นผิดศีล
หน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบขอให้ทำจนหมดจนสิ้น อย่าได้ค้างคา
ทั้งนี้เพื่อตัดความกังวลใจต่างๆให้หมดไป

ต่อมาขอให้ทราบด้วยว่าบทสมาทานพระกรรมฐานนั้น คือการมอบตัวถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า
ขอให้ปฏิบัติกันอย่างจริงจัง จริงใจ อย่าทำเล่นๆ หรือทำแบบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ดังนั้นก่อนปฏิบัติพระกรรมฐานขอให้พิจารณาขันธ์ ๕ กันเสียก่อน
โดยแนวทางของผมจะพิจารณาตามบทสวด สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ และอะภิณหะปัจจะเวกขะณะ
ที่ทำก็เพื่อไม่ต้องห่วงร่างกาย ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
ด้วยกรรมฐานมีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าโชคดีต้องตายในระหว่างปฏิบัติ ก็ไปเกิดในที่ๆสบายทั้งนั้น

ขอให้ทราบไว้ว่าพระกรรมฐานมีมากมาย ที่ทราบปกติก็มีอยู่ ๔๐ กอง
ขอให้เลือกเอาตามจริตของแต่ละคนก็จะดีมากๆ เช่น
โทสะจริต ท่านให้เจริญพรหมวิหาร๔ หรือกสิณสี
เรื่องจริตกับพระกรรมฐานหาข้อมูลกันไม่ยาก ใช้คำสองคำนี้หาใน google มีเพียบ
แต่ผมขอแนะนำให้ปฏิบัติอานาปานุสสติกรรมฐานให้คล่องเสียก่อนจะดีมาก
เพราะเป็นกรรมฐานระงับอารมณ์ฟุ้ง เมื่อได้แล้วไปเริ่มกรรมฐานกองอื่นจะง่าย
ถ้าใครปฏิบัติกรรมฐานกองอื่นแล้วมีอารมณ์ฟุ้ง ให้ใช้อานาปานุสสติเข้ามาควบคุมจะดีมาก

จากนั้นท่านั่งท่านอนท่ายืนท่าเดินในการปฏิบัติ ทำที่บ้านขอให้ทำแบบสบาย
หากลำบากในการนั่งขัดสมาธิสองชั้น หรือขัดสมาธิเพชรเนื่องจากร่างกายไม่อำนวย
ก็นั่งแบบไหนก็ได้ เพราะนักปฏิบัติจริงๆแล้วเขาเอาทุกท่าทุกขณะ
จะห้อยขา หลังพิงฝา หรือจะนอนก็ได้ แต่ระยะแรกๆยังไม่แนะนำให้นอน กลัวจะหลับซะก่อน
ที่แนะนำอย่างนี้เพื่อให้ตัดความกังวลเรื่องร่างกายไปซะ

โปรดทราบไว้ด้วยว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานให้ได้ผลนั้น ต้องไม่หักโหมปฏิบัติโดยมีหลักคือ
ไม่ทรมานร่างกายตัวเองมากเกินไป ถ้ายังไม่ได้เป็นผู้ทรงฌานเป็นปกติแล้ว ปฏิบัติได้แค่ไหนให้เอาแค่นั้น
การตั้งเวลานั้นสำคัญ คือต้องไม่ทำหักโหมจนไม่ได้พักผ่อน
เรื่องทรมานร่างกาย พระพุทธเจ้าท่านทำมาแล้วไม่ได้ผล เราไม่จำเป็นต้องไปวัดรอย
และต้องไม่อยากได้มากเกินไป เช่น ปฏิบัติกสิณ ก็เคร่งเครียดจะเอาภาพนิมิตอยู่นั่น
อันนี้แหละจะทำให้เป็นบ้า คืออยากได้มากเกินไป มันก็ฟุ้ง พอฟุ้งนิวรณ์มาแล้วสมาธิก็ไม่เกิด
เมื่อสมาธิไม่เกิดนิมิตก็กำหนดไม่ได้ ก็ยิ่งฟุ้งไปกันใหญ่ มันเป็นงูกินหางเห็นมั้ย

ถ้าวันไหนปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบอารมณ์ฟุ้งกระจาย ท่านให้เลิกปฏิบัติ ไปทำโน่นทำนี่
จะดูหนังดูละครก็ว่าไป อย่ามาเคร่งเครียดจะเป็นจะตายต้องทำให้ได้ อันนี้ท่านไม่แนะนำ
ยกเว้นกรณีที่ว่าจะเป็นผู้ทรงฌานเป็นปกติแล้ว อันนี้จะทดสอบตัวเองก็ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าระยะเริ่มต้นเริ่มแรก ขอให้ทำแบบสบายๆไว้ก่อน เพราะจิตต้องการความสบายนะ

ว่ากันถึงนิมิต นิมิตที่เราจะเอามาใช้งานให้เป็นนิมิตที่เรากำหนดหรือสร้างเอง เช่น วงกสิณ
นิมิตนี้ขอให้ศึกษาการทรงอารมณ์ให้อยู่ได้นาน ให้ได้สม่ำเสมอ นึกเมื่อไหร่ก็มาเลย
แต่นิมิตที่เราไม่เอา หรือไม่ต้องสนใจ คือนิมิตที่ลอยมาหรือผุดขึ้นมาเอง
เช่น ภาพอะไรต่างๆ แสงสีต่างๆ ไม่ต้องสนใจ
บางทีเห็นภาพนางฟ้าเทวดา เข้ามาแวบหนึ่ง แล้วเราอยากเห็นอีก อันนี้สมาธิตกแล้วนะ
เพราะการเห็นภาพเหล่านั้นเป็นเพราะสมาธิใกล้ถึงฌานแล้วอารมณ์ใจมันได้
มันก็เลยผุดขึ้นมาให้เห็น แต่เรากำหนดมันไม่ได้ ควบคุมไม่ได้
ขอให้เห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันมีสองทางคือไม่สนใจมันก็ได้ หรือจะเพลิดเพลินไปกับมันก็ได้
แต่ให้รู้ไว้ว่าเรายังไม่ได้ฝึกมาเพื่อให้เห็นมัน ดังนั้นมันก็มาแค่นั้นแหละ อย่าไปต้องการอยากได้
เพราะถ้าต้องการอยากได้มันไม่มาให้เห็นหรอก นิวรณ์มาแล้วสมาธิก็ไม่เกิด
นิมิตพวกนี้อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อุปาทาน สัญญาเก่าก็ว่ากันไป
(ผมเองก็ไม่สนใจจะรู้ด้วยสิว่าเพราะอะไร)
แต่ไม่ใช้ทิพจักขุญาณแน่นอน ดังนั้นมันไม่มีความสำคัญอะไรหรอก ปล่อยๆมันไป

ที่พิมพ์มาทั้งหมดไม่ใช่ว่าตัวเองเก่งหรือว่าได้สมาธิขั้นไหนๆ เพียงแต่ตั้งใจจะแบ่งปัน
เพราะเห็นกังวลกันว่าทำสมาธิแล้วจะเป็นบ้า จะหลง
ทั้งๆที่ถ้าปฏิบัติเอาดีกันนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้นเลย
เอาดีคือ เพื่อกุศล เพื่อพระนิพพาน
ถ้าตั้งอารมณ์ใจให้ถูก เรื่องบ้านั้นไม่มี เรื่องหลงนั้นไม่ได้
จะบ้ายังไง ก็บอกแล้วให้ปฏิบัติสบายๆอย่าเคร่งเครียดและหักโหม
จะหลงอะไร หลงในนิมิต ก็บอกแล้วว่ามันเป็นสิ่งไม่สำคัญอะไร เอามาใช้งานไม่ได้
หลงว่าตัวเองดี.. อันนี้ไม่ต้องปฏิบัติกรรมฐานหรอก คนมันจะหลงนะ แค่มีศีลข้อเดียวมันก็หลง
แต่ถ้าปฏิบัติเอาดีกันเนี่ย มันจะตรวจสอบตัวเองเสมอว่าดีพอหรือยัง
ส่วนใครปฏิบัติพระกรรมฐานแล้ว มีคนเขาหาว่าเป็นบ้าอันนี้อาจจะเป็นไปได้
เพราะใครเขามาด่า นักปฏิบัติก็ยิ้ม เขาชม นักปฏิบัติก็ยิ้ม
ได้อะไรมา ก็ยิ้ม เสียอะไรไป ก็ยิ้ม
จะสุขหรือทุกข์ก็ยิ้ม
ที่ยิ้มนะเพราะเห็นความจริงของโลกธรรม๘
เขาเห็นก็เลยคิดว่าเป็นบ้า อันนี้มีเป็นเรื่องปกติ
แต่นักปฏิบัติที่ดีจะไม่บ้า ไม่หลงในกิเลส อันนี้แหละที่เราต้องการหรือเปล่า

ถ้าขาดตกบกพร่องหรือทำให้ใครขุ่นข้องหมองใจต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยว่าไม่มีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น
ขอให้ความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกๆคนนะครับ

จากคุณ    : sirnitfi
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

drift-999

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 239
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 06, 2011, 05:36:20 pm »
0
ผมอยากบอกว่า เขาบ้ากันได้จริงๆนะครับ ไม่ได้พูดให้เสียกำลังใจ เคยเห็นมาแล้ว

บ้าจนต้องศรีธัญญา รักษาโรคจิตเนื่องจากเห็นภาพหลอน ต่าง ๆ นานาประการ

เพราะการฝึกสมาธิ  ไม่ใช่สิ่งที่มีในศาสนาพุทธอย่างเดียว ศาสนาอื่นเขาก็มีการฝึกสมาธิ

เช่น พวกพ่อมด หมอผี พวกผีปอบ อีสาณนี่เห็นเยอะมาก ๆ ครับ

ไม่ใช่ว่าฝึกสมาธิ แล้วเป็นพุทธหมด

ดังนั้น แนวทางการฝึกสมาธิ ก็มีทั้งผิดและถูก ถ้าฝึกถูกก็ปลอดภัุย ถ้าฝึกผิด ฝึกไม่ดี ก็ บ้่า ได้นะครับ


ถึงแม้ทำตามวิธีการแล้ว  แต่จิตไม่เหมือนกัน  ก็เป็นการฝึกคนละแนวทางกันครับ ต้องดูจริตคนฝึกด้วยครับ
เพราะจริตทางจิต ของคนฝึกสมาธินั้นไม่เหมือนกัน จริง ๆ ครับ

สิ่ง สำคัญที่จะทำให้ไม่ผิดแนวทางคือ สติ และความรู้สึกตัวครับ  ถ้าฝึกแล้วมีสองตัวนี้อยู่ ก็ไม่บ้า  ถ้าฝึกแล้วเบลอๆ เคลิ้มๆ แข็งๆ ทื่อๆ หลงไปกับนิมิต หลงไปกับสิ่งที่เห็นโน่นเห็นนี่ เนี่ย ก็ผิดแนวทางแล้วครับ

ซึ่งเคยเห็นมาแล้วจากเพื่อนผมเอง เดินแก้ผ้า บอกว่าสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว เดินแก้ผ้า รำทั่วหมู่บ้านเลยครับ

 :91:
บันทึกการเข้า

SRIYA

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 199
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 06, 2011, 05:38:15 pm »
0
คนที่เป็นโรคจิต..มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคประสาท..แต่ตัวเองไม่รู้
ในสมัยนี้เดินกันเต็มถนน
ประเภทอยู่คนเดียวไม่ได้...ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้
คิดวนเวียนฟุ้งซ่านเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวซึมเศร้า..มีโอกาสสูงครับ
เพราะสิ่งที่เห็นในสมาธิ..มันชัดเจนเหมือนตาเห็น
ถ้าเห็นแล้วมีสติรู้จักปล่อยวางก็ไม่เท่าไร..แต่บางคนเห็นแล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะ
เห็นเทวดานางฟ้ามาชวนให้ไปอยู่บนสวรรค์
ลืมตาขึ้นมามองไปทางไหนก็มีแต่ความเบื่อหน่าย..เห็นโลกรอบตัวมีแต่ความสกปรก
เลยคิดฆ่าตัวตายหวังจะหนีไปอยู่บนสวรรค์ที่เคยเห็นจากสมาธิ

เคยมีข่าวการผูกคอตายหมู่ยกครัว
พ่อเป็นร่างทรงเกิดเพี๊ยน..สุดท้ายทุกคนในครอบครัวก็พร้อมใจพากันผูกคอตายกันหมดบ้าน
ทุกคนแต่งหน้าทาปากแต่งตัวกันสวยงามเต็มที่..ไม่เว้นลูกสาวตัวน้อย

การฝึกสติตามวิธีของพระพุทธเจ้า..เป็นขั้นมีตอนคงไม่ทำให้ใครบ้า
แต่หากเห็นเพียงแสงสว่างวาบ...ก็หลงว่าตัวเองบรรลุแล้ว..เก่งแล้ว
คิดค้นหารูปแบบใหม่ๆ ตามแต่ความไม่รู้และความหลงจะพาไป
จนหลุดออกไปนอกแนวทาง..แต่ดันมั่นใจว่านั่นคือทาง
อันนี้ไม่แน่ครับ..???



จากคุณ    : อารยัน

http://www.pantip.com
บันทึกการเข้า
อยากให้ทุกชีวิต มีความอบอุ่น

SRIYA

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 199
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 06, 2011, 05:39:15 pm »
0
ส่วนมาก ที่เป็น บ้า

เพราะไม่มี ครูบาอาจารย์ คอยกำกับ

คิดว่า ทำด้วยตัวเองได้  เรียนด้วยตัวเองได้  เหมือนเรียนภาษาอังกฤษ
เหมือนเรียนปริญญาตรีืในมหาวิทยาลัยเปิด  ท่องจำ แล้วไปสอบ

พวก เทวบุตรมาร ที่คอยขัดขวางไม่ให้คนสำเร็จมรรคผล
จึงได้โอกาส แทรกเข้ามาสร้างภาพนิมิตต่าง ๆ ให้หลงไป

จากคุณ    : นายช่างปลูกเรือน

 :25:
บันทึกการเข้า
อยากให้ทุกชีวิต มีความอบอุ่น

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 15, 2011, 10:10:15 am »
0
การปฏิบัติกรรมฐาน ตามขั้นตอนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้น

รับรองไม่เป็นบ้า มีแต่จะแก้ความบ้าออกนะจ๊ะ

 ;)

==================================

ส่วนผู้ปฏิบัติ กรรมฐาน ที่มีความบ้านั้น ส่วนใหญ่แล้วที่อาตมา ได้เจอพบมาเป็น เพราะต้องเป้าหมาย
ในกรรมฐานผิด และ ปฏิบัติกรรมฐานผิดวิธี เป็นวิธีการสะกดจิต เป็นส่วนใหญ่ ที่เจอ

จนไปสู่คำว่า โรคอุปาทานหมู่ ตามที่นักจิตตเวชให้คำพูดกันต่าง ๆ นา ๆ

คนที่จะบ้าได้ ต้องถูกกระทบกระเทือน สะเทือนใจ ทางจิตอย่างรุนแรง เช่น
คนที่ประสพกับความสูญเสียอย่างสุด ๆ จนไม่สามารถควบคุมสติได้ เป็นต้น

ในครั้งพุทธกาลก็มี นางปฏาจารา ซึ่งต่อมาได้พบพระพุทธเจ้า จนสำเร็จเป็น พระอรหันตสาวิกา เป็นต้น

เจริญธรรม
 ;)






บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ