ทรงโปรดสุภัททะปริพาชก
ในราตรีนั้นได้มีนักบวชปริพาชกนอกพระพุทธศาสนาผู้หนึ่งชื่อ สุภัททะ ขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์จึงขอร้องวิงวอนว่า อย่าได้รบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ซึ่งปริพาชกสุภัททะก็ยังกล่าววิงวอน ขอเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามข้อข้องใจบางประการ พระอานนท์ได้ห้ามว่า
“อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย พระองค์ทรงลำบากพระวรกายมากอยู่แล้ว
พระองค์ประชวรหนักจะปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้แน่นอน”
ท่านสุภัททะยังได้วิงวอนต่อว่า
“โอกาสของข้าพเจ้าเหลือเพียงเล็กน้อย ขอท่านอาศัยความเอ็นดู
โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระศาสดาเถิด”
พระอานนท์ทัดทานอย่างเดิม และสุภัททะก็อ้อนวอนเช่นเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า
จนได้ยินถึงพระพุทธองค์ จึงรับสั่งว่า
“อานนท์ ! ให้สุภัททะเข้ามาหาตถาคตเถิด”เมื่อสุภัททะได้เข้าเฝ้าพระศาสดานั้น ก็ขอประทานโอกาสกราบทูลถามข้อข้องใจบางประการ ซึ่งพระพุทธองค์ก็อนุญาตให้ถาม โดยสุภัททะได้กราบทูลถามว่า
“พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้งหกคือ ปูรณะกัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธะกัจจายนะ
สัญชัย เวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร เป็นศาสดาเจ้าลัทธิที่มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก
ศาสดาเหล่านี้ยังจะเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสหรือประการใด”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“เรื่องนี้หรือสุภัททะที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเราด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด”
พระศาสดาตรัสทั้งยังหลับพระเนตรอยู่ แล้วทรงตรัสแก่สุภัททะว่า
“อย่าสนใจกับเรื่องนี้เลย สุภัททะ เวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จงถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เธอเองเถิด” "ถ้าอย่างนั้น... ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหาสามข้อ คือ รอยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่
สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่ สังขารที่เที่ยงมีอยู่หรือไม่"
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“สุภัททะ ! รอยเท้าในอากาศนั้น ไม่มี ศาสนาใดไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุด
ในสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ก็ไม่มีในศาสนานั้น
ศาสนาใดมีอริยมรรคมีองค์ ๘ ในศาสนานั้นมีสมณะผู้สงบถึงที่สุดทั้ง ๔ ประเภทนั้น
สังขารที่เที่ยงนั้นไม่มีเลย สุภัททะ ปัญหาของเธอ มีเท่านี้หรือ"
"มีเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธองค์ทรงทราบอุปนิสัยของสุภัททะจึงตรัสว่า
“สุภัททะ ! ถ้าอย่างนั้นจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟังแต่โดยย่อ
ดูกรสุภัททะ ! อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางประเสริฐ
สามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ถึง
ซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ
ดูกรสุภัททะ ! ถ้าภิกษุหรือใครก็ตามจะพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐ
ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์”สุภัททะปริพาชก เมื่อได้ฟังพระดำรัสนี้แล้วเกิดความเลื่อมใส ทูลขออุปสมบทบรรพชา พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่าผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อน ถ้าประสงค์จะบวชในศาสนาของพระองค์จะต้องอยู่ “ติตถิยปริวาส” คือ บำเพ็ญตนทำความดีจนภิกษุทั้งหลายไว้ใจ เป็นเวลา ๔ เดือนก่อนแล้วจึงจะบรรพชาอุปสมบทได้ สุภัททะทูลว่าตนเองพอใจอยู่บำรุงปฏิบัตพระภิกษุ ทั้งหลาย ๔ ปี
ในข้อที่เรียกว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้น คือพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบันทั้ง ๔ คู่ ๘ บุรุษ คือ
๐ พระโสดาบัน ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระโสดาปฏิมรรค ๑ พระโสดาปฏิผล ๑
๐ พระสกทาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระสกทาคามิมรรค ๑ พระสกทาคามิผล ๑
๐ พระอนาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอนาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิผล ๑
๐ พระอรหันต์ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอรหัตมรรค ๑ พระอรหัตผล ๑ลัทธิของครูทั้ง ๖ทรรศนะเกี่ยวกับโลกและชีวิตในชมพูทวีป หรือ อินเดียสมัยก่อนพุทธกาลได้มีเจ้าลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยตั้งเป็นสำนักหรือคณะปรากฏใน พรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธมรรค แห่งพระสุตตันต ปิฎก ว่ามีทิฐิ ถึง ๖๒ ประการ แต่เมื่อกล่าวโดยย่อ มีที่สำคัญอยู่ ๖ ลัทธิ เรียกโดยทั่วไปว่า ลัทธิของครูทั้ง ๖
๑. อกิริยทิฐิ เป็นลัทธิที่มีความเห็นว่า ทำก็ไม่เชื่อว่าทำ เช่นบุญบาปไม่มี ความดีความชั่วไม่มี
เจ้าลัทธินี้คือ บรูณกัสสปะ๒.
อเหตุกทิฐิ เป็นลัทธิที่มีความเห็นว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยสัตว์ทั้งหลายจะได้ดี ได้ชั่ว
ได้สุขหรือทุกข์ก็ได้เอง ไม่ใช่เพราะทำดีหรือทำชั่ว อนึ่งสัตว์ทั้งหลายหลังจากท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
แล้วก็บริสุทธิ์ได้เอง ลัทธินี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังสารสุทธิกวาท เจ้าลัทธินี้ คือ มักขลิโคศาล
๓. นัตถิกทิฐิ (รวมทั้งอุจเฉททิฐิ ด้วย) ลัทธินี้มีความเห็นว่าไม่มีผล คือการทำบุญทำทานการบูชาไม่มีผล
เจ้าลัทธินี้คือ อชิตะเกสกัมพล ท่านผู้นี้สอนเรื่องอุจเฉททิฐิด้วย คือ เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายตายแล้วสูญ๔.
สัสสตทิฐิ ลัทธินี้มีความเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเคยเกิดอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น โลกเที่ยง จิตเที่ยง
สัตว์ทั้งหลายเคยเกิดอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้นต่อไปตลอกกาล ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของเที่ยง
การฆ่ากันนั้นไม่มีใครฆ่าใคร เพียงแต่เอาศาสตราสอดเข้าไปในธาตุ (ร่าง) ซึ่งยั่งยืนไม่มีอะไรทำลายได้
เจ้าลัทธิคือ ปกุธะกัจจายนะ
๕. อมราวิกเขปิกทิฐิ ลัทธินี้ความเห็นไม่แน่นอน ซัดส่ายไหลลื่นเหมือนปลาไหล เพราะเหตุหลายประการ
เช่น เกรงจะพูดปด เกรงจะเป็นการยึดถือ เกรงจะถูกซักถาม เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่
อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่ยอมรับและไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด เจ้าลัทธินี้คือ สัญชัย เวลัฏฐบุตร
ซึ่งเคยเป็นอาจารย์เดิมของพระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร๖. อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกานตวาท ลัทธินี้ถือการทรมานกายว่าเป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์
มีความเป็นอยู่เข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย เช่น อดข้าว อดน้ำ ตากแดด ตากลม ไม่นุ่งห่มผ้า
เช่น พวกนิครนถ์ ตัวอย่างเจ้าลัทธินี้ คือ นิครนถ์นาฏบุตร หรือ ท่านศาสดามหาวีระ
ศาสดาองค์ที่ ๒๔ ของศาสนาเชน
ศาสนาเชนเป็นคู่แข่งที่สำคัญของพระพุทธศาสนา และเป็นเพียงลัทธิเดียวในจำนวนลัทธิของครูทั้ง ๖ ที่ยั่งยืนสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน อยู่ในฐานะเป็นศาสนาหนึ่งของอินเดีย แต่เนื่องจากเคร่งครัดเกินไป เช่นนักบวชจะขึ้นรถลงเรือไม่ได้ จึงไม่แพร่หลายในต่างประเทศ ปัจฉิมสาวก สุภัททะภิกษุ
พระตถาคตเห็นความตั้งใจของสุภัททะ จึงรับสั่งให้พระอานนท์นำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบท พระอานนท์ทรงทำตามรับสั่ง นำสุภัททะปริพาชกไปปลงผม โกนหนวด บอกกรรมฐาน ให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ศีล สำเร็จเป็นสามเณร บรรพชาแล้วนำมา เฝ้าพระตถาคตซึ่งทรงตรัสบอกกรรมฐาน อีกครั้งหนึ่ง
ตลอดราตรีนั้น พระภิกษุสุภัททะได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำกรรมฐาน เดินจงกรมอย่างไม่ยอมย่อท้อ ไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยเพื่อบูชาคุณแห่งพระบรมศาสดาผู้จะปรินิพพานใน ปัจฉิมยามนี้ ในขณะที่เดินจงกรมอยู่ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวง ในคืนวิสาขปุรณมีนั้น พระจันทร์ที่สุกสกาวเจิดจรัส เต็มท้องฟ้านั้น กลับถูกเมฆก้อนใหญ่ดำ
ทมึนเคลื่อนคล้อยเข้าบดบัง จนมิดดวงไป แต่ไม่นานนักก้อนเมฆนั้นก็เคลื่อนคล้อยออก แสงจันทร์นวลสุกสกาวกลับสว่างตามเดิมนั่นเป็นเหตุให้ดวงปัญญาของพระภิกษุสุ ภัททะบังเกิดขึ้น เมื่อท่านเปรียบเทียบแสงจันทร์และก้อนเมฆนั้น “โอ.. จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใส มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์แต่อาศัยกิเลศที่จรมาเป็นครั้งคราว
จิตนี้จึงเศร้าหมอง เหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง” แล้ววิปัสนาญานก็บังเกิดแก่พระภิกษุสุภัททะ สามารถขจัดอาสวะกิเลสทั้งมวล บรรลุอรหัตผลในคืนนั้น จึงนับเป็น พระอัครสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าทรงประทานบวชให้
ที่มา http://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ทรงโปรดสุภัททะปริพาชก