ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปกิณกะเรื่อง “กรรม”  (อ่าน 787 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปกิณกะเรื่อง “กรรม”
« เมื่อ: สิงหาคม 18, 2022, 06:44:20 am »
0



ปกิณกะเรื่อง “กรรม”

เข้าใจคำว่า “กรรม” ก่อน โดยความมุ่งหมาย ท่านหมายเอา “เจตนา” (เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา… อํ.ฉกฺก, ๑๒๘)

“เจตนา” เป็นเจตสิกธรรม ประกอบได้ในจิตทั้งหมด (๘๙/๑๒๑) ทั้งที่เป็น อกุศล กุศล วิบาก กริยา


@@@@@@@

“เจตนา” ว่าโดยกิจ เป็นอย่าง ๒ อย่าง คือ

๑) “สํวิธานกิจ” กิจ คือการจัดแจงให้สัมปยุตตธรรมที่เกิดพร้อมกันกับตน ให้ทำหน้าที่ของตนๆ ใน “สํวิธานกิจ” นี้ เจตนาจึงเป็นปัจจัยให้แก่สัมปยุตตธรรมที่เกิดพร้อมกันกับตัวเจตนาได้ในจิตทั้งหมด โดยได้อำนาจความเป็นปัจจัยตามกลุ่ม “สหชาตชาติ” (ซึ่งเป็นไปตามสภาวธรรม) (คัมภีร์มหาปัฏฐาน)

๒) “พีชนิธานกิจ” กิจ คือการสร้างพืชพันธุ์ ได้แก่ การก่อวิบาก (วิปากจิต, เจตสิก, กัมมชรูป) ให้เกิดทั้งในปัจจุบันชาตินี้ (ผลจิต) และในภพที่สองเป็นต้นไป (ตามสมควร)

*ปริยายผล (ผลโดยอ้อม) ของเจตนา ยังเป็นปัจจัยให้แก่ จิต,เจตสิก ในลักษณะต่าง ๆ เช่น ปกตูปนิสสยปัจจัย แก่จิต เจตสิก…ที่เกิดหลัง ๆ (คัมภีร์มหาปัฏฐาน)

@@@@@@@

เมื่อเจตนา ทรงตรัสเรียกว่า “กรรม” คำว่า “กรรม” มีนัย ๒ อย่าง คือ

๑) “มุขยนัย” นัยที่ตรง ได้แก่ ตัวเจตนา ที่เป็นตัวกรรมที่เป็นเหตุให้เกิดผลธรรมโดยตรง คือเจตนากรรม ๓๓ ในอกุศลจิต ๑๒, มหากุศลจิต ๘, รูปาวจรกุศล ๕, อรูปาวจรกุศล ๔, มรรคจิต ๔/๒๐) *(พีชนิธานกิจ)

๒) “อุปจารนัย” นัยโดยอ้อม ตรัสหมายเอาผลหรือวิบากที่ใกล้ต่อกรรม เรียกว่าเป็นผลูปจารนัย เช่น ตรัสว่า “จักขุ โสตะ…. กาย” ชื่อว่า “กรรมเก่า” แท้จริงแล้ว จักขุ,โสต..กาย…เป็นผลที่เกิดมาจากกรรมเก่า (อดีตกรรม), เป็นตัวผล หรือวิบาก ซึ่งไม่ใช่เป็น “กรรม” แต่ตรัสว่า “กรรม” เพราะตรัสผลที่ใกล้ต่อเหตุ คือกรรม ฯ

*ในข้อที่ ๒ นี้ เป็นเรื่องของผล หรือ วิบาก ซึ่งไม่ใช่กรรมจริง ๆ แต่เป็นโวหารโดยอุปจารนัยเท่านั้น ฯ

@@@@@@@

“กรรม” กับธรรมที่เป็น “ผลของกรรม” มีความเกี่ยวพันกันใน ๒ นัย คือ

๑. กรรม (เจตนา) เกิดขึ้นพร้อมกันกับผล คือเจตนา กับผลของเจตนาเกิดขึ้นพร้อมกัน (ปัจจัยกับกับปัจจยุปบันธรรม เกิดพร้อมกัน) ได้แก่เจตนาที่ทำหน้าที่ “สํวิธานกิจ” ซึ่งจะได้เจตนาที่ในจิตทั้งหมด (๘๙/๑๒๑)

๒. กรรม (เจตนา) ที่ให้ผลหลังจากเจตนากรรมนั้นดับไปแล้ว แต่สร้างวิบากให้เกิดต่างขณะจิตกัน หรือให้ผลในภพต่อไป (พีชนิธานกิจ) ได้แก่ เจตนากรรม ๓๓ คือ
    - อกุศลกรรม ๑๒ (เจตนาที่ในอกุศลจิต ๑๒)
    - มหากุศลกรรม ๘ (เจตนาที่ในมหากุศลจิต ๘)
    - รูปาวจรกุศลกรรม ๕ (เจตนาที่ในรูปาวจรกุศลจิต ๕)
    - อรูปาวจรกุศลกรรม ๔ (เจตนาที่ในอรูปาวจรกุศลจิต ๔)
    - มรรคกุศลกรรม ๔/๒๐ (สร้างผลจิตให้เกิดติดต่อกัน และต่างขณะที่ไม่ติดต่อกันก็ได้)

@@@@@@@

ความมุ่งหมายที่พระองค์ทรงแสดงเรื่องกรรม มุ่งหมายเอาหลัก ๆ ๒ ชาติ

๑) อกุศลกรรม (อกุศลชาติ) เป็นกรรมที่เป็นไปในวัฏฏะอย่างเดียว

๒) กุศลกรรม (กุศลชาติ) ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง หลัก ๆ คือ
    - วัฏฏคามีกุศลกรรม ๑๗ (กามาวจรกุศลกรรม ๘, รูปาวจรกุศลกรรม ๕, อรูปาวจรกุศลกรรม ๔)
    - วิวัฏฏคามีกุศลกรรม (ในมรรคจิต ๔ /๒๐)

*วัฏฏคามีกุศลกรรม คือ กุศลกรรมที่ก่อวิบากที่ให้เป็นไปในวัฏฏะ (ก่อปฏิสนธิวิญญาณ,กัมมชรูป…)
*วิวัฏฏคามีกุศลกรรม คือ กุศลกรรมที่ไม่ก่อวิบากที่เป็นไปในวัฏฏะ (ไม่ก่อปฏิสนธิวิญญาณ,กัมมชรูป…)

*เจตนาในจิตที่เป็น วิปากชาติ, และกริยาชาติ ไม่จัดเข้าเป็นกรรมในที้นี้ เพราะไม่ทำพีชนิธานกิจ กิจคือการก่อพืชพันธุ์ …ฯ

@@@@@@@

พระดำรัสที่พระพุทธองค์ ตรัสหมายถึงกรรม โดยชื่อ ๒ ชื่อ (ในปฏิจจสมุปบาท) คือ


๑) สังขาร (อภิสังขาร ๓ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร,อปุญญาภิสังขาร,อาเนญชาภิสังขาร) (ในพระสูตร มุ่งหมายเอาเจตนากรรมที่เป็นไปในวัฏฏะเท่านั้น)

๒) กัมมภวะ (กัมมภว ๓ ได้แก่ ปุญญกัมมภว,อปุญญกัมมภว,อาเนญชกัมมภว)

@@@@@@@

โดยปริยายอื่น ทรงตรัสไปตามกัมมทวาร (ทวารที่ทำให้กรรมสำเร็จ) ๓ คือ

๑) กายกรรม หรือ กายสังขาร (เจตนาใน อกุศลจิต ๑๒, มหากุศลจิต ๘ ที่ให้สำเร็จกรรมทางกายทวารได้)
๒) วจีกรรม หรือ วจีสังขาร (เจตนาใน อกุศลจิต ๑๒, มหากุศลจิต ๘ ที่ให้สำเร็จกรรมทางวจีทวารได้)
๓) มโนกรรม หรือ มโนสังขาร (เจตนาใน อกุศลจิต ๑๒, มหากุศลจิต ๘, มหัคคตกุศลกรรม ๙ ที่ให้สำเร็จกรรมทางมโนทวารได้)

กุศลกรรมบถ, อกุศลกรรมบถ…. กรรมที่ทรงตรัสโดยนัยต่าง ๆ ว่า กรรม ๑๒, กรรม ๑๖ …ฯลฯ…
ทั้งหมด โดยความมุ่งหมาย ทรงหมายเอากรรมที่เป็นโลกียะ และกรรมที่เป็นโลกียะนี้ จะถึงการนับว่าเป็น “กรรม” (ที่จะก่อผล คือ โลกียวิบาก ๓๒,เจตสิก ๓๕, กัมมชรูป ๒๐) ได้ ก็เพราะมี อวิชชา, ตัณหา เป็นปัจจัยอันสำคัญ เพราะถ้าไม่มี อวิชชา, ตัณหา เป็นปัจจัยแล้ว, “กรรม” ก็มีไม่ได้ ฯ

ผู้ที่ไม่มี อวิชชา ตัณหา ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น และบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ กระทำสิ่งใด ๆ เช่นแสดงธรรม, เดินบิณฑบาต, ทำฌาน, อภิญญา, สมาบัติ… สิ่งนั้นเป็นกิริยา ไม่เรียกว่า “กรรม” เพราะไม่ก่อวิบากอันเป็นเหตุให้ถือปฏิสนธิในภพภูมิต่างๆ ฯ (ผลจิตของพระอรหันต์ หรือของพระอริยบุคคลเบื้องต่ำ ๓ ไม่ทำหน้าที่ ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ทำหน้าที่เป็น ชวนะ เท่านั้น)

***หมายเหตุ : ความมุ่งหมายของคำว่า “กรรม” ในคำว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ…” ทรงมุ่งหมายเอากรรม คือเจตนาที่ใน อกุศล, และโลกียกุศล

หมายเหตุ : ปริยายของคำว่า “กรรม” มีอีกมากมายเยอะแยะ… เช่นในวินัยปิฎก กัมมขันธกะ, (สังฆกรรม, จีวรกรรม, อปโลกนกรรม, ตัชชนียกรรม…ปริวาสกรรม, อปโลกนกรรม, ญัตติกรรม…ฯลฯ…จัดเป็นบัญญัติกรรมตามพระวินัย) แต่ทั้งหมด มาจบลงตรงที่ “เจตนา, จิต, กาย, วาจา” (ต้องนำองค์ธรรมปรมัตถ์ในอภิธรรมไปกำหนดเสมอ)

@@@@@@@

กรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ กรรมอะไร.?

“กรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ” (เบื้องต้น, บุรพภาค) หมายเอาเจตนากรรม ที่เป็นไปในโลกียกุศลจิต ๑๗ โดยอาศัยสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ๔ อย่าง คือ
    ๑) ตถาคตโพธิสัทธา
    ๒) กัมมสัทธา
    ๓) วิปากสัทธา
    ๔) กัมมัสสกตาสัทธา

เกิดขึ้นโดยอาศัย บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง…
โดย “อันติมะ” (นัยสูงสุด) มุ่งหมายเอา “เจตนากรรมในมรรคจิต” ที่เป็นตัวทำลายภพชาติ
    - เจตนาที่ในโลกียกุศล ยังเป็นไปในวัฏฏะ
    - เจตนาที่ในมรรคกุศล ไม่เป็นไปในวัฏฏะ




Thank to : dhamma.serichon.us/2022/07/30/ปกิณกะเรื่อง-กรรม/
30 กรกฎาคม 2022, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ