ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความตั้งใจ กับความเป็นจริง อาจจะไม่เหมือนกันเลย  (อ่าน 470 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ความตั้งใจ กับความเป็นจริง อาจจะไม่เหมือนกันเลย ถ้าถามว่ามีความฝันอยากเป็นอะไร แต่จะมีสักกี่คนที่จะไปตามความฝันที่อยากเป็นได้ เพราะทุกอย่างมีเหตุปัจจัย สนับสนุนต่างกันไป
เหมือนคำถามที่ครูถามนักเรียน โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ส่วนใหญ่ที่ฟัง 60 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบครูคือ เป็น หมอ สำหรับ ผญ  ส่วน ผช 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นตำรวจ 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นทหาร และทั้งหญิงชาย 15 เปอร์เซ็นต์ตอบอยากเป็นครู แต่ไม่มีใครตอบว่า อยากเป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่  พอดีที่โรงเรียนที่เรียนอยู่มีแต่ลูกพ่อค้าแม่ค้า ลูกทหารเป็นส่วนใหญ่ ตอนนั้น พอจ ก็ยังตอบไม่ได้เลยว่าจะเป็นอะไรมึน จนครูล้อว่า ด.ช.สนธยา ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร คงเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์เหมือนพ่อ ( พ่อทำงานส่งหนังสือพิมพ์ ) แม่ก็เป็นแค่แม่บ้าน พอจบ ม.3 แม่ จบ ป.4 ทั้งครอบครัวยากจน เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้มีความคิดให้ลูกได้ศึกษาสูง พ่อบอกว่าจบ ป6 ก็ไปทำอะไรก็ทำ ส่วนแม่ไม่ได้คิดถึงลูกเลย
ทุกวันนี้ พอจ เห็นน้องสาวจบ ป.โท พยาบาลศาสตร์ ก็ดีใจที่มาได้ไกลกว่าใครในเรื่องความรู้ทางการศึกษา
ส่วนตัว พอจ จบ ป5 ถูกครูมาตามที่่วัดให้ไปสอบจบ ป6 หลังจากนั้นก็ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ ให้อยู่แต่วัดดังนั้นจบ ป6 ก็บวชสามเณร วิ่งเล่นอยู่ในวัดไม่ได้เรียนหนังสืออะไรเลย 3 ปี อายุ 11  - 14 ปี เป็นวัยที่ไม่ได้เรียนอะไรเลย แม้แต่นักธรรมก็ไม่ได้เรียน กว่าจะมาสำนึกเรื่องเรียนนักธรรมก็ตอน อายุ 15 ไปสอบนักธรรมตรี สอบตกรู้สึกชอบช้ำระกำใจ จึงบอกลาวัดเดิมคือวัดดาวเสด็จเข้าไปอยู่วัดปากเพรียว ก็สอบนักธรรมได้ถึงชั้นโท
ตอนนี้เริ่มวัยรุ่นแล้วอายุ 16 ปีจึงลาสิกขาออกไปช่วยงานพ่อแม่ เหมือนเดิมพ่อแม่ก็ไม่ได้หางานอะไรให้ ไปหาสมัครงานทำก็ตามเพื่อนไป ไปสมัครงานได้เป็นบ่อยโรงแรม 99 หน้า บขส ดูแลรับแขกชั้นที่ 4 ทำอยู่ 2 ปี อายุ 18 ก็เริ่มมีความรัก รักแล้วไม่สมหวังถูกกีดกันจากพ่อแม่ฝ่าย ผญ เอง เพราะว่ายากจนคงไม่เหมาะสมกับ เศรษฐี แต่ ผญ ก็รักกันขอบกันอยู่แล้ว อันนี้ติดพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยสุดท้ายเหมือนคนอกหักต้องจากไม่รู้จะไปไหน คนพาไปฟังธรรมที่สวนอิทัปปัจจยตา ไม่เคยได้ฟังธรรมพระมาก่อนพอฟังแล้วรู้สึกสบายใจ เลยศรัทธาขอบวชเป็นสามเณรศึกษาหลักธรรม
ที่สวนอิทัปปัจจยาเป็นสาขาของสวนโมกรู้จักสวนโมกครั้งแรก ตอนไปอยู่ก็ไม่รู้จักพอบวชแล้วจึงรู้จักครูอาจารย์เห็นว่าอายุน้อยจึงให้ติดตามอาจารย์ฝ่ายเผยแผ่ไปเรียนเอาความรู้ทางด้านการเผยแผ่ที่ลำปาง ก็ต้องระเห็นระเหินตามครูอาจารย์ไปอยู่ลำปาง ไปอยู่ที่นั่นท่านก็สอนการเผยแผ่แต่ส่วนตัวไม่ชอบๆ การปฏิบัตินานเข้า ครูอาจารย์ที่นำไปเห็นว่าเอาแต่ปฏิบัต เผยแผ่ไม่เอาท่านก็เลยทิ้งไว้ไม่สนใจต่อไป กลายเป็นอยู่แบบถูกตัดหางปล่อยวัดไม่รู้จะทำอะไร อยู่ที่นั่นก็เลยศึกษาวิชาทางโลกไป ศึกษาอิเลคทรอนิกส์ ศึกษาหลักสูตรสอบเทียบ และ ก็ไปถึงการศึกษา พ.ม. ในยุคนั้น สอบเทียบ ม 3 และ ม ปลาย ศึกษาต่อไปจนถึงหลักสูตร เทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิทยการคอมพิวเตอร์ ไป ๆ มา ๆ ก็มาเรียนเหมือนกันแต่ไปสายลัด สอบลัดเอา สุดท้ายทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม แต่นิสัยมันติดตัวเรื่องการค้นคว้าด้วยตนเองมีค่อนข้างมากและก็พยายามอย่างมาก ด้วยการศึกษาด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่พยายามอยู่คือเรื่องของภาษาอังกฤษ พยายามฝึกอ่านพูดเขียนด้วยตนเอง หาตำรามาเรียนเองแต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังพูดเขียนไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเลย มันก็อ่านได้เป็นบางคำ พูดได้บางประโยชน์ ฟังได้บ้างไม่ได้บ้างสรุปก็คือยังไม่ได้ดั่งใจที่คิดไว้
เล่ามาเล็กน้อยแต่เพื่อต้องการให้หลายท่านทราบว่า สิ่งที่ตั้งใจ ความฝันที่ตั้งไว้ ไม่ใช่ใครต่อใครจะทำได้ดั่งตั้งใจหรือฝันไว้ ดังนั้นจะตั้งใจอะไรฝันอะไร ใครทำได้ก็ดีใจด้วย ใครทำไม่ได้ ก็อย่าได้น้อยใจแต่ให้ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์ จะยากจน ร่ำรวย ก็อย่าได้ประมาทในการสร้างกุศล ถ้าไม่กุศลผลทานเอาไว้ชาติต่อไปก็จะลำบาก ถ้าสร้างกุศลผลทานเอาไว้ชาติต่อไป ก็ต้องสบายตามผลกรรมที่สร้าง
เป็นมนุษย์เป็นคนมันก็ยังมีโอกาส เป็นเปตร เป็นสัตว์ดิรัจฉาณ เป็นสัตว์นรก มันหมดโอกาศสร้างกุศล
อย่าย่อท้อชีวิตมันลำบากก็ต้องอดทน ต้องสู้สร้างความดีกุศลต่อไป
พูดไม่ค่อยเก่งเรืองให้กำลังใจสู้ชีวิต พูดเก่งแค่เรื่องกรรมฐาน คงพูดได้แค่นี้เรื่องชีวิตต้องสู้ เท่านี้จริง ๆ เอาใจช่วยขอให้ทุกท่านพ้นความลำบาก
เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ