สำหรับเรื่องอาการปวดเมื่อย นั้นถ้าในขั้นสูงสุดกล่าวว่า เมื่อออกกรรมฐานก็เดินปร๋อได้ ไม่ต้องมาบีบ มานวด โดยส่วนตัวพระอาจารย์เอง ก็คิดว่ามีคำกล่าวที่กล่าวเกินไปอยู่บ้าง ต้องภาาวนาเองจึงจะเข้าใจ
ในส่วนการนั่งกรรมฐาน จะยึุดท่านั่ง 3 ท่าเป็นหลัก คือ
1.ขัดสมาธิเพชร คือ นั่งขัดขาคู้บัลลังก์
2.ท่าอาสนะดอกบัว อันนี้เป็นมาตรฐาน ที่ใช้กันอยู่
3.ขัดตะหมาด นั่งขัดขาเยื้องธรรมดา
อันนี้เหมาะสมกับผู้มีสุขภาพ ที่ดีแล้วก็พึงจะใช้ท่าเช่นนี้ เพราะสบายเกินไป จิตก็ไม่เป็นสมาธิ
ดังนั้นถ้าสุขภาพเราไม่พร้อม นั่งบนเก้าอี้ ห้อยขา ก็ได้ไม่แปลก ไม่ได้จัดเป็นการฝึกวิปัสสนาเลย
เพียงแต่จัดท่าทางให้เหมาะสมแก่สถานะ เท่านั้นเอง
ที่สำคัญอยู่ที่การเดินจิต สมาธิ เป็น กิริยาแห่งจิตต้องเดินจิต มิใช่เดินกายพระลักษณะ พระรัศมีนั้น เกิดขึ้นที่จิตรับรู้กับกาย และ รับรู้กับจิต ดังนั้นแม้นอนอยู่ ก็ภาวนาได้ แต่สำคัญที่การเดินจิต
แล้วทำไม ไม่สอนท่านอนเลยละ
สอนได้ แต่เพราะความสบายนั้น ย่อมเป็นอุปสรรค ส่วนมากคนนอนภาวนาจิตไหลลงภวังค์เข้าสู่ความหลับโดยธรรมชาติ ของกาย และจิตในท่านอนอยู่ ดังนั้นสอนท่านอนทำได้ยาก และเป็นกรรมฐานที่ฝึกยากที่สุุด
ส่วนกรรมฐานที่ออกแรงมาก ๆ เช่นการเิดินจงกรม ก็เช่นกันเมื่อเหนื่อยจิตก็ล้่า ก็พาลจะหยุดเอาอีก
ท่าที่เหมาะสมก็คือ ยืน กับ นั่ง ที่นี้ยืน ๆ ได้นานกว่านั่ง หรือ ว่า นั่งได้นานกว่า ยืน
คำตอบก็คือ นั่ง ทำได้นานกว่า ยืน
ดังนั้นท่านั่ง จัดเป็นการฝึกกรรมฐาน แบบกลาง ๆ แล้ว คือไม่สบายเกิน ไม่ลำบากเกินไป
เจริญธรรม