ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบประวัติ ท้าว จาตุมหาราชทั้งสี่ ด้วยคะ ว่ามีหน้าที่อย่างไร  (อ่าน 47764 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
รบกวนท่านผู้รู้ อยากทราบประวัติ ท้าว จาตุมหาราชทั้งสี่ ด้วยคะ ว่ามีหน้าที่อย่างไร
อยู่ที่ดินแดนไหน มีการปกครองอย่างไร ใครนับถือ พุทธศาสนาบ้าง คะ

   :c017: :25:
บันทึกการเข้า

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
น่าจะหาประวัติอ่านยากนะครับ ผมเองก็ไม่ค่อยสันถัดเทวดา ซะด้วย

นึกได้ องค์เดียว คือ ท้าวเวสสุวรรณ ครับ

  :coffee2: :coffee2:

บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


จาตุมหาราชิกาภูมิ


สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ มีท้าวมหาราช ๔ องค์ แบ่งกันปกครองดังนี้
    ๑. ท้าวธตรฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดา
    ๒. ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองกุมภัณฑเทวดา
    ๓. ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา
    ๔. ท้าวกุเวระ หรือท้าวเวสสุวัณ อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขเทวดา


    ในอาฏานาฏิยสูตร ได้กล่าวถึงหน้าที่ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ และบริวาร คือ เป็นผู้รักษาด่านหน้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะยกทัพขึ้นมาตีเอาถิ่นสวรรค์คืน

    แต่ใน สุตตันตปิฎกติกนิบาต ได้แสดงหน้าที่ว่า เป็นผู้ตรวจดูโลก ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์ในวัน ๘ ค่ำแห่งปักษ์
    อมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักษ์
    บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลกเองว่า
      - พวกมนุษย์พากันบำรุงมารดาบิดา
      - บำรุงสมณพราหมณ์
      - เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล
      - รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล เป็นต้น
    มีจำนวนมากอยู่หรือ ??


    เมื่อตรวจดูแล้วถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่ พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประชุมกันในสุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็มีใจหดหู่ ทิพยกายจักลดถอย อสุรกายจักเพิ่มพูน
    แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็จะพากันชื่นบาน ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย


    ดังกล่าวมานี้เป็นหน้าที่ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ ในเรื่องความคุ้มครองโลกนั้นพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมที่เป็นธรรมคุ้มครองโลก(โลกบาล)ไว้ ๒ ข้อ คือ
       หิริ ความละอายใจที่จะทาชั่ว
       โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
    บุคคลทั้งหลาย เมื่อมีธรรมคุ้มครองโลกรักษาไว้แล้ว ก็จะไม่ทำความชั่ว เพราะความละอาย ไม่ทำความชั่วเพราะมีความเกรงกลัว
    เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะมีท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาตรวจตราที่จิตใจหรือไม่มีก็ตาม บุคคลทั้งหลายก็เป็นผู้ที่ละเว้นความชั่วได้แล้วด้วยความมีหิริ และโอตตัปปะ



ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/
หนังสืออ้างอิง (บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑)
    ๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
    ๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ
    อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา

อยากทราบประวัติ ท้าว วิรูปักขะ ครับ ไม่ทราบว่าเป็น นาค ด้วยหรือไม่ครับ

 นับถือพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่ครับ

   :c017: :s_hi:
บันทึกการเข้า

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณมากคะ นึกว่าจะไม่มีใครตอบแล้ว

  ได้ยินมาว่า หรือ ได้อ่านในบอร์ดนี้ กระทู้ไหนไม่ทราบ ที่กล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็น พระอริยะบุคคลด้วย จริงหรือไม่คะ มีพระสูตรกล่าวถึง ส่วนนี้บ้างหรือไม่คะ

  อยากเปลี่ยนภาพพจน์ ที่หลาย ๆ คนบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็นอสูร คะ พอนำรูปท้าวเวสสุวรรณไปให้เขามักจะบอกว่า บ้าหรือไม่ มานับถือ ยักษ์ นับถืออสูร อย่างนี้ คะ

  ขอบคุณมากคะ


 :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

๙. อาฏานาฏิยสูตร (๓๒)

      [๒๐๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
       สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตั้งการรักษาไว้ทั้ง ๔ ทิศ ตั้งพลขันธ์ไว้ทั้ง ๔ ทิศ ตั้งผู้ตรวจตราไว้ทั้ง ๔ ทิศ ด้วยเสนายักษ์กองใหญ่ ด้วยเสนาคนธรรพ์กองใหญ่ ด้วยเสนากุมภัณฑ์กองใหญ่ และด้วยเสนานาคกองใหญ่
       เมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว เปล่งรัศมีงามยิ่ง ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ




      [๒๑๐] แต่ที่นี้ไป ทิศที่ชนเรียกกันว่า ปุริมทิศ(ตะวันออก) ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกคนธรรพ์
       ทรงนามว่า "ท้าวธตรฏฐ์" อันพวกคนธรรพ์แวดล้อมแล้ว
       ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่
       ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
       มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก ฯ




      [๒๑๑] แต่นี้ไป ทิศที่ชนเรียกกันว่า ทักขิณทิศ(ใต้) ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกกุมภัณฑ์
      ทรงนามว่า "ท้าววิรุฬหะ" อันพวกกุมภัณฑ์แวดล้อมแล้ว
      ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่
      ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
      มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก ฯ




      [๒๑๒] แต่ที่นี้ไป ทิศที่มหาชนเรียกกันว่า ปัจฉิมทิศ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกนาค
      ทรงนามว่า "ท้าววิรูปักษ์" อันพวกนาคแวดล้อมแล้ว
      ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่
      ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
      มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก




      [๒๑๓] แต่ทิศนี้ไป ทิศที่ชนเรียกกันว่าอุตตรทิศ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของยักษ์ทั้งหลาย
      ทรงนามว่า "ท้าวกุเวร" (เวสสุวัณ) อันยักษ์ทั้งหลายแวดล้อมแล้ว
      ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องทรงอภิบาลอยู่
      ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดพระองค์
      มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  บรรทัดที่ ๔๒๐๗ - ๔๕๐๐.  หน้าที่  ๑๗๓ - ๑๘๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=4207&Z=4500&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=207
ขอบคุณภาพจาก http://www.web-pra.com/,http://i845.photobucket.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ประวัติ ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวัณ
จากอรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค อาฏานาฏิยสูตร

    มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ท้าวมหาราชนี้เป็นพราหมณ์ ชื่อ กุเวร ได้สร้างโรงหีบอ้อย ประกอบเครื่องยนต์ ๗ เครื่อง. กุเวรพราหมณ์ได้ให้ผลกำไรซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเครื่องยนต์แห่งหนึ่งแก่มหาชนที่มาแล้วมาแล้ว ได้กระทำบุญ. ผลกำไรที่มากกว่า ได้ตั้งขึ้นในที่นั้นจากโรงที่เหลือ.

     กุเวรพราหมณ์เลื่อมใสด้วยบุญนั้น จึงถือเอาผลกำไรที่เกิดขึ้น แม้ในโรงที่เหลือ ให้ทานตลอดสองหมื่นปี. เขาได้ถึงแก่กรรมไปเกิดเป็น เทพบุตรชื่อกุเวร ในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา.
     ต่อมาได้ครองราชสมบัติในราชธานี ชื่อวิสาณะ. ตั้งแต่นั้นจึงเรียกว่า ท้าวเวสวัณ.


ที่มา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=207



การดำรงตำแหน่งของท่านท้าวมหาราชทั้งสี่

ถาม: .................................

ตอบ: ท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล เป็นตำแหน่ง เหมือนยังกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ อย่างนี้ เปลี่ยนบุคคลไปได้เรื่อยๆ

ถาม: ครองตำแหน่งนานไหมคะ ?

ตอบ: แล้วแต่วาระของแต่ละคน บุญบาปของแต่ละคนไม่เท่ากัน ในเมื่อกำลังบุญของท่าน ถ้าหากว่าสูง ท่านก็อาจไปนิพพานเร็วหรือไม่ก็เลื่อนขึ้นไปเป็นพรหม ถ้าหากท่านเลื่อนพ้นตำแหน่งไป ก็คัดจากเทวดาที่เป็นลำดับรองลงไป อย่างเช่นพวก รอง ผบ. อย่างนี้ เขาเรียกว่าชั้นของ อินทกะ

    แต่ละทิศที่มีท้าวมหาราชอยู่จะมีอินทกะ ๑,๐๐๐ องค์ จะคัดอินทกะมาแทนองค์หนึ่ง พอมารับตำแหน่งแทน ตำแหน่งอินทกะที่ว่างลง ก็เลื่อนชั้น วชิระ ขึ้นมาแทน เขาจะมีทดแทนเป็นชั้นๆ ไป พวกนี้ถ้าอยากรู้ขึ้นไปคุยกับท่าน สนุกจะตาย เพียงแต่จำให้หมดก็แล้วกัน ปวดกระโหลกเหมือนกัน

ถาม: มีคนเขาบอกว่า ท้าวธตรฐมาบอกว่า ให้ไปอยู่ด้วยจะตกลงไหม ถ้าตกลงจะให้อยู่ในโลกมนุษย์อีกเพียง ๕ ปี ?

ตอบ: ก็ลองดูสิ จะไปยากอะไร ถ้าตกลงแล้วอยู่ได้ ๕ ปี จริงไหม ของพรรค์นี้บางอย่างบอกแล้วว่า ยิ่งรู้เห็นชัดเจน โอกาสโดนหลอกยิ่งง่าย อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อ เตือนแล้วเตือนอีก อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะอาจมีการหลอกกัน ยิ่งชัดเจนมากยิ่งหลอกง่าย

    เพราะฉะนั้นต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจด้วย เรื่องที่หนึ่งถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เรื่องที่สองถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เรื่องที่สามถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เป็นอย่างไรมันอยากไปเต็มทีแล้วใช่ไหม ไล่มันไปเลย อาจเป็นความจริงก็ได้

    แล้วขณะเดียวกันอาจเพี้ยนก็ได้ เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องตำหนิกัน เพราะเรื่องที่เขารู้ เขารู้จริงๆ แต่ในเมื่อเรื่องที่เขารู้แล้ว มันจะเป็นจริงตามนั้นไหม อีกเรื่องหนึ่ง เห็นเขาไล่ตีกันมา ก็วิ่งเข้าไปขอที ขอที อย่าตีกันเลย คราวนี้มันหันมารุมตีนใส่เรา เพราะกำลังถ่ายหนังกันอยู่ วิ่งเข้าไปขวางกล้องเข้าตอนไหนก็ไม่รู้ เราเห็นจริงๆ ไหมล่ะ ? แต่เรื่องที่เราเห็นมันจริงไหมล่ะ ? นั่นแหละลักษณะอย่างนั้นระวังเอาไว้

ถาม: แล้วท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ ตอนนี้เปลี่ยนหมดหรือยัง ?

ตอบ: เปลี่ยนหมดหรือยัง .. สมัยพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไปทีหนึ่ง
     เพราะว่าพอ "พระเจ้าพิมพิสาร" ท่านสวรรคต ท่านก็ขึ้นไปเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณ เป็นอินทกะของท้าวเวสสุวรรณ
     แล้วปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นท้าวเวสสุวรรณเสียเอง


ถาม: แล้วบริวาร....(ไม่ชัด)......

ตอบ: ก็ต้องดูความสำคัญนะ ถ้าหากว่าบารมีท่านสูง เป็นพระโพธิสัตว์มาอะไรอย่างนี้ บางทีท่านก็มีสิทธิได้ก่อน องค์ที่เป็นพระอริยเจ้าก็รอ เพราะพระอริยเจ้าไม่อยากได้อะไรอยู่แล้ว ถึงเวลาถ้าโดนมัดมือชกส่งขึ้นหน้า ก็เต้นไปตามบท

ถาม: แล้วปฏิเสธได้ไหม ?

ตอบ: ก็ไม่ทราบเหมือนกัน


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


ที่มา http://board.palungjit.com/f61/การดำรงตำแหน่งของท่านท้าวมหาราชทั้งสี่-157037.html


     
     จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ท้าวเวสสุวัณองค์ปัจจุบัน ไม่ใช่ "กุเวรพราหมณ์" แล้ว
     ท้าวเวสสุวัณองค์ปัจจุบัน คือ "พระเจ้าพิมพิสาร" ซึ่งเป็นโสดาบัน
     ขอให้ไปอ่านประวัติพระเจ้าพิมพิสารเอาเองนะครับ
     ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าพิมพิสาร
     หรือที่ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=1222&Z=1276&pagebreak=0

     ถึงตรงนี้ตอบปัญหาของคุณสุนีย์ได้แล้ว..นะครับ


     กระทู้แนะนำครับ
     ท้าวเวสสุวัณ "เทพแห่งขุมทรัพย์"
     http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7471.0

      :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 03, 2012, 03:34:57 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


หลวงพ่อเล่าเรื่อง อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล

"มาวันนี้อารมณ์เริ่มทรงตัวขึ้นมาบ้าง ก็ใช้กำลังทรงตัวได้ แต่ถ้าใช้กำลังทรงตัวแน่นไปอีกก็ไม่เห็นอะไร พอขยับจิตเคลื่อนลงมานิดหนึ่งอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ก็เห็นท่านท้าวมหาราชนั่งอยู่ข้างๆ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ เขาเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาลมีหน้าที่รักษาคุ้มครองชาวมนุษยโลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะส่งเทวดาไปอารักขา ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ก็อดใจไว้

และก็มีหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของคนทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิดเป็นพรหม

ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
    ๑) ท่านท้าวเวสสุวัณคุมด้านทิศเหนือ
    ๒) ท่านท้าววิรุฬหกคุมด้านทิศใต้
    ๓) ท่านท้าวธตรฐคุมด้านทิศตะวันออก
    ๔) ท่านท้าววิรูปักข์ คุมด้านทิศตะวันตก


ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ
  ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ และเป็นประธานของท้าวมหาราชทั้ง ๔ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักจะทำสัญลักษณ์เป็นรูปยักษ์ จะเห็นได้ตามวัด ตามถํ้าจะมีรูปปั้นยักษ์อยู่ทางด้านหน้าทางเข้า

   ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท่านท้าวมหาราชเขตจาตุมหาราช ถอยหลังไป ๑ ชาติ ในตอนต้นเลยทีเดียวที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ท่านมีนามว่า “กุเวรพราหมณ์”เป็นชื่อเดิม ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานครทรงพระนามว่า “พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์”ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารครองกรุงกบิลพัสดุ์

   ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรง พระนามว่า “สมเด็จพระสมณโคดม”ท่านมีพระสหายอีก ๒ องค์คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลครองกรุงสาวัตถีกับท่านพันธุรเสนารวมเป็น ๔ องค์ เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน

    ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า“ไม่ได้หนีใคร ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องการแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากความตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมา สอนคนอื่น”

   พระเจ้าพิมพิสารจึงบอกว่า “ถ้าพระองค์ทรงบรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดท่านก่อน”

  พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศน์ พอเทศน์จบปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร

   ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน จึงมีอานิสงส์ดังนี้คือ
    การถวายทาน เป็นปัจจัยให้ได้ทิพยสมบัติ
    การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร เป็นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม
    กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงฌานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อไปเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก


    เวลาที่ท่านจะตาย ท่านถูกลูกชายคือ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรมาน คือพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกบฏทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วก็ทรมานพ่อ โดยจับขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้ ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติแม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน

    ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน แม้ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกคน และก็เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา มีการทรมานจากร่างกาย และในที่สุดก็เป็นคนตาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาตายท่านออกด้วยกำลังของฌาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้ว ท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว



ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้
   ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็นกุมภัณฑ์

   “กุมภะ”แปลว่า “หม้อ”ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก


    ท่านมาบอกอาตมาว่า ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น

    นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์    

    หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเองถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติแต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย

    เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า“อินทกะ”แปลว่า“ผู้เป็นใหญ่”คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์ พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้ คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม) จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้



ท่านท้าวธตรฐ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันออก
  วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เห็นท่านท้าวมหาราชมานั่งอยู่ องค์หนึ่งมาตัวสูงเท่ายอดตาล จึงหันไปถามว่า “ใคร” ท่านท้าววิรุฬหกตอบว่า “ท่านธตรฐครับ”พอท่านเข้ามาใกล้ก็เลยถามว่า “ทำไมสูงเหมือนเปรตแบบนี้ล่ะ”

    ท่านตอบว่า “อย่างนี้เขาเรียกสูงแบบเทวดา ไม่ใช่สูงแบบเปรต” ถามท่านท้าวธตรฐว่า “อดีตของท่านเคยเป็นอะไรมาตอนเป็นมนุษย์” ท่านตอบว่า “อดีตผมเป็นพระราชาเมืองพาราณสีครับ”ก็เลยถามท่านว่า “เวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นเทวดาได้อย่างไร”


    ท่านตอบว่า “เทวดาหรือพรหมไม่จำเป็นต้องนับถือพระพุทธศาสนาเสมอไป พราหมณ์ก็เป็นเทวดาเป็นพรหมได้” เวลานี้ท่านเป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ท่านไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว



ท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันตก
   ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ วันเดียวกันนั้นอาตมาได้หันไปถาม ท่านวิรูปักษ์ ว่า “อดีตท่านเป็นอะไร” ท่านตอบว่า “อดีตผมอยู่ปักษ์ใต้ ประเทศไทยนี่เอง เป็นผู้ชายไทย ฐานะสูงมากสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ตายแล้วไปเป็นอินทกะเลย เมื่อท่านวิรูปักษ์องค์เก่าขึ้นไปเป็นพรหม ท่านก็ขึ้นเป็นแทน ท่านเก่งมาก

    เป็นอันว่าก็ได้ทราบประวัติของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วว่าใครเป็นใคร ทำให้ทราบว่าการเป็นเทวดาก็ไม่หนักสำหรับพวกเรา การเป็นพรหมก็ไม่หนัก การไปพระนิพพานก็ไม่หนัก การไปนรกก็ไม่หนัก ชอบทางไหนก็ไปได้ทั้งนั้น.."



เนื้อหา จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ......แล้วไปไหน
โดย พระราชพรหมยาน (คณิตพร รวบรวม)


ที่มา http://board.palungjit.com/f23/หลวงพ่อเล่าเรื่อง-อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล-233722.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.siammongkol.com/,http://www.konmeungbua.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ คือ ท่านท้าววิรุฬหก ครับ
อ้างอิงจากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๕ โดย ส. สังข์สุวรรณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ดังนี้ ครับ

    "ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึก ตอนที่ ๖ ของหนังสือเล่มที่ ๕ เรียกว่า หนังสืออ่านเล่น เขียนโดย ส.สังข์สุวรรณ แต่ว่า เวลานี้เขียนไม่ไหว ตาไม่เห็นเส้น ไม่เห็นน้ำหมึก ก็เลยต้องบันทึกเสียงแทน ให้เจ้าหน้าที่ลอกเป็นตัวหนังสือ

    ก็เป็นอันว่าตอนที่แล้ว เรื่องมาขาดตอนลงที่เรื่องราวของ ท่านพลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่าท่านเป็นเทวดาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อท่านจริง ๆ เคารพท่านจริง ๆ ขอย้ำตอนนี้นะบรรดาท่านผู้ฟัง ถ้าเชื่อไม่จริง เคารพไม่จริง อย่าลืมว่าท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ความรู้สึกของคนท่านจะไม่ยอมช่วย

    มาว่ากันถึงการช่วยเหลือ เขาบนกันทุกอย่างเป็นการช่วยเหลืออาตมาจะนำเรื่องมาคุยให้ฟัง อาตมาก็เคยบน แต่ทว่าบนให้คนอื่นเขาบนเพื่อช่วยเขา ท่านก็ช่วยได้ ถ้าไม่ลืมเรื่องนี้ ก็จะนำมาเล่าให้ฟังเพราะไม่ได้บันทึกมา

    เเป็นอันว่า ครั้งหนึ่ง เสริมศรี ส่งสิริ เธอมีความเคารพในกรมหลวงชุมพรฯ มาก มีอะไรขัดข้องเธอก็บน แต่ว่าการบนทุกอย่างของท่านมีผลทุกคราว คนนี้มีความเลื่อมใสมาก ต่อไปเมื่อคนอื่นมีทุกข์ ต้องการให้ท่านกรมหลวงชุมพรฯ ช่วย ก็มาของร้องให้เสริมศรีบน เพราะตนเองจะบนก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยทำผิดหรือทำถูก จิตใจนั้นเคารพแน่ แต่เกรงว่าจะผิดระเบียบ และเสริมศรีก็ช่วยบนให้ และก็มีผลตามนั้นทุกครั้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์

   ใครว่าผีช่วยไม่ได้ เทวดาช่วยไม่ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย ไม่จริง คนมันไม่ดีเทวดาท่านจะช่วยอย่างไร เทวะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ท่านจะเป็นเทวดาได้ ธรรมะเบื้องต้นของท่านที่ปฏิบัติได้ขั้นแรกคือ หิริ และ โอตัปปะ

    ก่อนจะตายมีความรู้สึกตัว เกรงกลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว เวลานั้นจิตเป็นกุศลธรรม ตายจากความเป็นคน จึงเป็นเทวดา แต่ในเมื่อคนที่จะไปใช้ท่าน หรือต้องการจะเห็นท่าน ต้องการจะให้ท่านช่วย ในเมื่อคนนั้นมันยังนิยมความชั่วไม่อายความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่ว เป็นคนเลว เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐก็ไม่กล้าสู้คนเลว ไม่กล้าช่วยคนเลว เพราะเกรงว่าจะเลวไปด้วย อย่างนี้คนเลวบนไม่ได้ผล บอกกันเสียก่อนนะ

  วิธีบน ที่แรกเขาก็บนกันตามความชอบใจ ต่อมาอาตมาถามท่าน ก็ขอพูดกันตรงไปตรงมา เคยคุยกับท่าน ท่านกรมหลวงชุมพรฯ นั้น ท่านมาให้เห็นเป็นปกติ และก็ขอร้องให้ท่านช่วยอะไร ท่านก็ช่วยตามกำลังของเทวดาที่จะพึงช่วยได้ อย่าไปเกณฑ์เทวดาทุก ๆ อย่าง ถ้าจะเกณฑ์ว่าขอเทวดาจงบอกหวยให้ อันนี้ไม่ได้ เกณฑ์ได้แต่ว่าท่านไม่ช่วย อย่างอาตมานี้ขอพูดให้ฟัง

    ท่านปู่ใหญ่ คือ สหัมบดีพรหม
    เดิมทีเดียวเมื่อท่านเป็นพระในหลายร้อยปีมาแล้ว อาจจะเป็นเกือบพันปีมาแล้ว ท่านชื่อ สิงห์ เป็นพระทรงสมาบัติขั้นสูง และก็เป็นพระอริยเจ้า ต่อมาก่อนหน้าท่านเป็นสหัมบดีพรหม ขณะเป็นรอง ไปถามเรื่องหวยท่าน ท่านเอาเรียงเบอร์มาให้อ่านเลย อ่านเรียงเบอร์ อ่านได้ทุกรางวัล เหมือนกับที่เขาพิมพ์ ทำภาพให้เห็น แต่ท่านบอกว่า ห้ามบอกใครนะ


   แต่ความจริงสังเกตดูแล้วว่า ท่านไม่บอกนี่ตรงทุกที ถ้าบางครั้งท่านจะบอกได้เท่านี้นะ ถ้าพูดเท่านั้นมีผล ถ้าพูดเลยไปตัวเดียวหรือแต้มเดียว หรือว่าประโยคเดียว จะไร้ผลทั้งหมด เวลานี้ท่านก็เลยขอร้อง ปฏิเสธ บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อยากจะรู้จะให้รู้ แต่ห้ามพูดเด็ดขาด ก็เลยเป็นอันว่า ไม่รู้เสียดีกว่า รู้แล้วพูดไม่ได้ มันอึดอัดใจ

   มาว่ากันถึงเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ กันดีกว่า วิธีบน
   บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วอาจจะบนกันบ้าง วิธีบนก็คือ
    ๑. ข้าวปากหม้อ คำว่า ข้าวปากหม้อ หมายความว่า ข้าวปากหม้อที่ยังไม่เป็นเดนใคร ตักมา ๑ ถ้วย
    ๒. หมูต้ม หมูธรรมดาต้น ประมาณสักครึ่งกิโล ถ้าจนมาก็ชิ้นเดียว อย่าให้เล็กนัก
    ๓. ไก่ต้ม ถ้าจนมากมีทุนน้อย ก็ไม่ต้องถึงตัว เอาชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่คนมีทุนมากต้องเอาถึงตัว อย่าขี้เหนียวนะ ขี้เหนียวเทวดาไม่ช่วย
    ๔. ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละถ้วยเล็ก ๆ ก็ได้ ๒-๓ อันก็ได้นะ
    ๕. ขนมจีนน้ำพริก


    เท่านี้ก็พอแล้ว แต่ว่าตามพิธีกรรม ถ้าจะบนท่านให้ใช้ของทั้งหมดนี้ก่อนเวลาบน ถวายก่อน เวลาถวายท่านกำหนดว่า เวลาตอนเช้าให้ใช้เวลาก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที หรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าให้ถึง ๒ โมงเช้า ถ้าจะแก้ตอนบ่าย ตอนเย็นให้ใช้เวลา ๓ โมงเย็น แต่ก่อนเวลา ๓ โมงเย็นสัก ๑๐ นาที เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งไม่ต้องใช้กัน

    เวลานี้ท่านเป็น วิรุฬหก เมื่อก่อนเป็น วิรุฬหก ชอบให้เขาแก้บนด้วยน้ำตาลเมา แต่เดี๋ยวนี้บอก ไม่เอาแล้ว ลูกน้องมันมาก เดี๋ยวลูกน้องมันเมา มนุษย์จะมีความลำบาก เทวดาเมานี่ยุ่ง แต่ความจริงเทวดาท่านไม่กินน้ำตงน้ำตาลหรอก ก็ว่ากันเรื่อยเฉื่อยไป เป็นสัญลักษณ์ว่าสมัยเป็นคนชอบอะไรก็ขออย่างนั้น"



ที่มา http://board.palungjit.com/f23/หลวงพ่อเล่าเรื่อง-อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล-233722.html
โพสต์โดย คุณ Charls สมาชิกเว็บพลังจิต
ขอบคุณภาพจาก http://www.konmeungbua.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่ถวายภัตตราหารหลวงพ่อ

ตามปกติฉันนอน 22.00 น. และตื่น 1.30 น. เป็นปกติ ทำวัตรสวดมนต์แบบย่อ ๆ พอเวลาใกล้ 2 น. ฉันก็เริ่มทำสมาธิ พอถึง 4 น. ฉันก็ดูตำรา 5 น. ฉันก็กลับทำสมาธิใหม่เพื่อรักษาอารมณ์ เวลาออกบิณฑบาตรตามแบบฉบับของพระโบราณ ปฏิปทาของพระสมัยใหม่ท่านทำกันอย่างไรฉันไม่รู้ ด้วยฉันแก่แล้ว และมานั่งเป็นฤาษีหัวล้านอยู่ในป่าห่างเมืองหลวงตั้ง 300 กม.เศษ จะรู้เรื่องของพระในเมืองหลวงได้อย่างไร

วิธีที่เข้าฌานก่อนแล้วคลายอารมณ์มาสู่อุปจารฌานหรือปฐมฌานแล้วออกบิณฑบาตร แบบนี้ท่านเรียกว่าพระโปรดสัตว์ เพราะท่านที่ใส่บาตรมีผลมาก ได้บุญแรง มีลาภง่าย ยิ่งได้พระอริยเจ้าท่านเข้า ผลสมาบัติ คือ พิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน เมื่อจิตสะอาดดีแล้วเข้าฌานเต็มกำลังแล้วคลายออก ทรงอยู่เพียงอุปจารฌานฌานหรือปฐมฌานอย่างนี้อานิสงส์ยิ่งมาก บุญมาก ลาภสูง ที่ท่านพอตื่นก็ร้องเพลงหรือนึกถึงคนรัก นึกถึง

สถานหรือวิธีหากิน ซักซ้อมความคล่องเพื่อลาภสักการ อย่างนี้ท่านไม่เรียกพระโปรดสัตว์ ท่านเรียกว่าไปให้สัตว์โปรด ด้วยท่านไม่มีอะไรดีที่จะให้บรรดาท่านที่สงเคราะห์เลย นี่ว่ากันตามแบบพระโบราณไม่ทันสมัยนะ สำหรับท่านที่ทันสมัย มีลาภ มียศ มีคนสรรเสริญ มีกามสุขสมบูรณ์ ท่านอาจจะมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่งและทำให้พระทันสมัยขึ้น อาจจะมีผลดีกว่าที่ฉันว่าอย่างนี้ ได้ฟังแล้วอย่าถือเอาไปเป็นแบบแผนนะ ประเดี๋ยวจะหาพระครึ ๆ อย่างฉันพูดไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสทำบุญ

พูดเลยเรื่องไปเสียแล้วอีกกระมัง มาเข้าประเด็น คำว่าประเด็นหมายความว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง เคยเข้าในเมืองหลวงเห็นเขาพูดกันฉันก็เลยพูดบ้าง มันเข้าท่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาแบบเก่าดีกว่านะ พูดว่าเรามาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า อย่างนี้ฟังง่ายดีนะ ขณะที่หลวงพ่อท่านเชิญ พอท่านหยุดนิ่ง ฉันไม่ประสงค์องค์อื่น อยากรู้จักท้าวเวสสุวัณองค์เดียว

   เห็นช่างภาพเขาเขียนรูปท่านเป็นยักษ์ ไม่ใช่ยักยอก เป็นยักษ์มีเขี้ยวยาว มีกระบองยาวคล้ายพลองลูกเสือ ท่าทางน่ากลัว ก็เลยอยากเห็นยักษ์ ตามข่าวที่เล่าลือกัน เขาว่าท่านมีอานุภาพมาก ฉันเลยขอท่านท้าวเวสสุวัณองค์เดียว กรุณามาให้เห็นเวลา 2 น.

ฉันก็เข้าสมาธิ เรื่องของสมาธิ เข้าเพียงหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็จมเบ้า (เต็มอัตรา) คำว่าจมเบ้าเป็นภาษาเด็กเลี้ยงควาย เกรงว่าจะหายสาบสูญไปเสีย ก็เลยเอามาพูดไว้เพื่อรักษาศัพท์วัฒนธรรมเลี้ยงควาย เมื่อถึงเวลา 2 น. ตรง ฉันก็คลายออกมาสู่อุปจารสมาธิเป็นอารมณ์ที่พอจะเห็นนิมิตได้

    เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา 2 นาฬิกาเพียงเป๋งแรก ทั้ง ๆ ที่หลับตา
    ก็มองเห็นชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวห่มผ้าสไบเฉียงขาว ถือไม้พลองยาวแค่หัว เดินลิ่ว ๆ มาทางทิศเหนือ แกเดินเร็วเหลือเกิน ไม่ถึงนาทีมาถึงที่ฉันอยู่แล้ว ใจฉันบอกเลยว่าท่านผู้นี้คือท่านท้าวเวสสุวัณ ดูท่านแล้ว ท่านมายืนห่างจาก ฉันสัก 2 วา
    ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย ทรงงามมาก ไม่สวยตื้อต้าอย่างฉัน หัวท่านไม่ล้าน ความจริงตอนที่ฉันเห็นท่านวาระแรกหัวฉันไม่ล้าน แต่มีผมสั้นมากเพราะถูกโกน



    ดูท่านสักครู่ ท่านยืนเฉยไม่พูดอะไรเลย ชักนึกกลัวตะบองท่าน จึงออกปากเชิญ ท่านกลับบอกว่าขอบใจท่านอาจารย์ อาตมาขอชมบารมีเท่านี้ เชิญท่านกลับได้

    ท่านยิ้มแล้วพูดว่า เมื่อท่านอยากเห็นผม ผมมาให้ท่านเห็นแล้ว ท่านกลัวผมทำไม
    ท่านแอบรู้ใจเสียนี่ พวกเทวดานี่แย่มาก รู้แม้การนึก
    เมื่อเห็นท่านพูดเพราะ ความจริงเสียงท่านเพราะมาก พูดจานิ่มนวลดีมาก ไม่เหมือนเสียงฉัน เสียงฉันไม่ต่างอะไรกับเสียงกะทะแตก เวลาพูดก็ไม่มีสำเนียงเพราะ ก็เรื่องของคนไกลเมืองหลวง มายาไม่ทันสมัย มันก็อย่างนั้นเอง จะดัดแปลงให้ทันสมัยหรือก็แก่จะเข้าเตาเผาเสียแล้ว ขนเอาวาจาโฮกฮากทิ้งไว้ เก็บเอาวาจาเพราะพริ้งมาใช้แทน ดีไม่ดีใครเดินมาพบวาจาโฮกฮากที่วางไว้เอาไปใช้แทน

    ถ้าอายุยังน้อยอยู่ อีกนานกว่าจะตายก็จะต้องใช้ไปอีกหลายปี เมื่อไม่มีคนชอบฟังก็จะลำบากอย่างฉัน ต้องเอาป่าเอาดงเป็นเรือนอาศัย และจะต้องตายในป่า ไม่มีเครื่องตั้ง ไม่มีเมรุประดับศพ อย่าทิ้งมันเลยพาตายไปด้วยดีกว่า

    เมื่อเห็นท่านพูดด้วยก็ชักมีกำลังใจ เลยชวนท่านคุย ท่านก็คุยด้วย เรื่องที่คุยก็ถามท่านว่า เมื่อช่วยหลวงพ่อได้ ช่วยฉันมั่งได้ไหม บอกท่านว่า ฉันมีสมาธิไม่ดี เวลาท่านมาขอให้เห็นง่ายๆ

    ท่านบอกว่าได้ ท่านว่าลืมตาหรือหลับตาก็ได้ จะได้เห็นสบาย ๆ
    เลยถามต่อไปว่าขอเห็นองค์อื่นและบริวารทั้งหมดด้วย องค์อื่น ๆ ท่านจะยอมไหม
    ท่านบอกว่ายอมทุกองค์ เลยบอกว่าอยากเห็นเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่าเขามากันครบแล้ว
    พอท่านพูดขาดคำก็เห็นครบทั้ง 4 องค์ ไม่เห็นมีเขี้ยวสักองค์ ท่านสวย ๆ ทุกองค์เมื่อท่านใจดีผีเลยเข้า ถามท่านว่า เทวดาเขามีชฎา ท่านมากันนี้ไม่เห็นมีชฏาสักองค์

    ท่านบอกว่ามาหาพระจะเอาหมวกสวมมาทำไม ท่านไม่ยักเรียกชฏา เรียกหมวก ถามท่านว่าขอเห็นภาพเต็มยศได้ไหม ท่านพูดว่าเขาไม่เรียกเต็มยศ เขาเรียกว่าเครื่องประดับเต็มอัตรา โดนท่านสอนภาษาไทยเข้าให้ ระยำจริง ๆ ท่านบอกอยากเห็นก็ได้ พอท่านพูดจบต่างก็มีเครื่องประดับแพรวพราวไม่เห็นไปแต่งตัวเปลี่ยนเครื่องเดิมที่ไหนเลย ถามท่านว่าทำไมแต่งตัวเร็วนัก ท่านบอกว่าพอนึกก็เสร็จ

    ดูของท่านมันง่ายทุกอย่างทั้ง 4 ท่าน ท่านถามว่าจำได้ไหม บอกว่าจำไม่ได้ ท่านพูดว่ามนุษย์ลืมง่าย
    ท่านกับพวกผม 4 องค์นี้เคยอยู่ร่วมกันมา วันหน้าจะเล่าให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้น เวลานี้สว่างมากแล้ว พระกำลังจะออกบิณฑบาตร ท่านเตรียมตัวไว้ออกบิณฑบาตร อยากฉันอะไร
    ตอบท่านว่า อยากฉันผักบุ้งต้มน้ำปลาที่เขาหั่นพริกใส่รวมกัน
    ท่านบอกว่า พอกลับถึงวัดจะมีคนเอามาให้ ถามว่าเมื่อบิณฑบาตรไม่ได้หรอกหรือ ท่านบอกว่าถือมาลำบาก เมื่อกลับถึงวัดจะมีคนนำมาให้เอง ท่านลากลับ

    ฉันก็ไปบิณฑบาต พอกลับมาวัด หลวงปานท่านเรียกเข้าไปหา
    ท่านถามว่าเมื่อคืนนี้ คุยกับท่านท้าวมหาราชสนุกไหม เรียนท่านว่าสนุก
    ท่านบอกว่าท่านท้าวมหาราชมาฟ้องว่า กลัวท่าน นึกในใจว่าเทวดานี่ปากบอนจริง แล้วก็รับกับท่านว่ากลัว

    ท่านบอกว่า ขอผักบุ้งต้มน้ำปลาใส่พริกเขาไว้หรือ เรียนท่านว่าขอรับ   
    ท่านหัวเราะ แล้วหยิบถ้วยใส่ผักบุ้งต้มที่ถอนทั้งต้น ผักบุ้งอะไรแปลกจริง มันใหญ่ขนาดแขนเกือบจะลงไปได้ ยาวหลายวา ถ้วยที่ใส่เป็นถ้วยดินโบราณ โตเกือบเท่าชามกะละมัง มีน้ำปลาผสมพริก ไม่รู้ว่าพริกอะไรมันเผ็ดน่าดู แตะเข้าไปนิดเดียวน้ำหูน้ำตาไหล

    ท่านบอกว่าเก็บเอาไว้ ผักกินไม่หมดตากแดดไว้ เอาไว้ดูเป็นอนุสรณ์
    ถ้วยใบนั้นหายเสียเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ทราบว่าใครเอาไป ฉันไปอยู่เสียที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนภาษาบาลี ถ้าอยู่สมัยนี้ลูกหลานคงจะได้ชมของโบราณ

    เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่ท่านทั้งหลายสมัยใหม่มั่ง เก่ามั่งหาว่าครึหรือไร้ผลนั้น มันไม่แน่นักหรอกนายเอ๋ย ทำกันจริง ๆ ค้นกันจริง ๆ คงเห็นว่าไม่ไร้ผล แต่เอาผลตามที่ควรเอา อย่าหวังผลเลิศจนเกินพอดี เชิญมาขอหวย เชิญมาขอให้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ว่าตามภาษาคนเก่า สมัยนี้บรรดาศักดิ์ไม่มีแล้ว ของเก่ายังเหลือแต่ทว่าของใหม่ไม่มี หรือใครจะนึกมีเอาเองก็ไม่ทราบ 

    เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่พูดมาแล้วขอผ่านไป มาพูดถึงท่านขุนด่าน ที่พวกฉันรู้จักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อปานท่านจะสร้างวัดที่ไหน ท่านต้องบวงสรวงก่อนเสมอเพื่อขอให้ช่วย เมื่อท่านบวงสรวง พวกฉันสามลิงรวมอยู่ด้วย จึงรู้จักท่านขุนด่าน เพราะท่านขุนด่านท่านรับเชิญมาในพิธีบวงสรวงด้วย ท่านขุนด่านเป็นเทวดาชั้นอำมาตย์ของท่านท้าวเวสสุวัณ



    เรื่องท่านขุนด่านขอผ่านไป คราวนี้มาวินิจฉัยกันถึงเรื่องเทวดา 4 ทิศ

    ทิศตะวันออกมีท่านท้าวธตรฐ เป็นใหญ่ในบรรดาคนธรรพ์ทั้งหมด พวกคนธรรพ์นี้ได้แก่ พวกเทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ในเรื่องกากี เป็นเทวดาผู้มีบุญเคยบำเพ็ญฌานมาในสมัยเป็นมนุษย์

    ทิศใต้มีท่านวิรุฬหก เป็นใหญ่กว่ากุมภัณฑ์ทั้งหมด

    ทิศตะวันตกมีท่านวิรูปักษ์ เป็นใหญ่กว่าบรรดานาคทั้งหมด คำว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคตระกูลงู เป็นชื่อเทวดาหรือชื่อกองพลเทวดา ตัวจริงท่านเป็นเทวดาสวยงามมาก

    ทิศเหนือมี ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหมด ยักษ์ตระกูลนี้ก็ไม่มีเขี้ยวเหมือนยักษ์โขนหรือหนังตะลุง มีรูปสวยเหมือนกัน

    ท่านทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับมนุษย์มาก ตามที่ท่านบอก ท่านว่ามีหน้าที่รับทราบความประพฤติของมนุษย์ และมีหน้าที่อารักขาชั้นดาวดึงส์ จัดเป็นกองทัพเทวดาที่รักษาเมืองสวรรค์ ถ้าจะเรียกเป็นกองทัพก็จัดเป็น 4 ทัพ คือกองทัพ

   ภาคบูรพา ภาคทักษิณ ภาคปัจจิม ภาคอุดร รวม 4 ทัพด้วยกัน ท่านจะรบกับใครไม่ทราบท่าน แต่ละท่านไม่เห็นมีปืนผาหน้าไม้ เห็นมีแต่กระบองและอาวุธสั้น เมืองท่านคงยังไม่คิดสร้างปืนเพื่อรบกัน แต่ละกองท่านคัดเอาคนที่ได้ฌานเมื่อสมัยเป็นมนุษย์แต่ตอนตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยตายตามยถากรรม เลยให้เป็นเทวดาชั้นนี้

    เมื่อเป็นเทวดาอยู่พยายามบำเพ็ญบารมี คือ บำเพ็ญฌาน เมื่อกลับทรงฌานได้ใหม่ท่านก็ไปอยู่ชั้นพรหม เป็นพรหมเลย เห็นท่านว่าอย่างนั้น
    และเคยทราบมาจากท่านที่เคยบอก และเคยไปนั่งดูเวลาเขาไป คิดว่าจะทิ้งวิมานไว้จะได้เอาไว้เป็นที่พัก พอแกไปมันก็หายไปพร้อมกัน คือ ทั้งเจ้าของและวิมาน ไม่ยอมทิ้งทรัพย์สินไว้ให้คนอื่นใช้เลย เทวดานี่ขี้เหนียวจัง ไม่เหมือนคน คนเมื่อตายแล้วไม่เอาอะไรไปเลย

    แม้แต่ตัวยังไม่เอาไป ยกให้คนที่ยังไม่ตายทั้งหมด ตลอดจนความแก่ โรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์เร่าร้อน ไม่มีใครเอาไปด้วย ยกให้เป็นทรัพย์สินเพื่อลูกหลานปกครองตลอดไป ใจดีจัง เทวดาขี้เหนียวกว่ามนุษย์เยอะลูกหลานทั้งหลาย

    วันนี้ดูเหมือนสาระจะน้อยไปนะ ที่มีก็เครียดเกินไป แต่ทว่ามันเป็นเรื่องควรรู้ไว้บ้าง ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงหรือเชิญเทวดา ถ้าคนเชิญเห็นก็มีผลตรง เป้าหมาย ถ้าเชิญดะแบบชุมนุมเทวดา ก่อนที่จะเริ่มสวดมนต์ คนเชิญก็ไม่รู้ พระก็ไม่เห็น เรื่องของเรื่องมันก็ว่ากันตามธรรมเนียม บางรายแต่งทำนองดัดเสียหยดย้อยไปเลย ว่าแล้วเฉย มาหรือไม่มาฉันไม่เกี่ยว ความจริงก็ดีเหมือนกัน ถ้าพูดกันตามที่ถูกแล้ว ถ้าไม่คิดว่าทำกันตามประเพณี ตั้งใจเชิญด้วยความเคารพ มีผลไม่น้อยเลย ลองทำให้ใจสว่างจากนิวรณ์เถิดจะรู้จะเห็นเอง

    วันนี้เหนื่อยเสียแล้ว ขอพักเท่านี้นะ ขอลูกหลานทุกคนจงมีตาทิพย์หูทิพย์โดยทั่วกันเถิด สวัสดี



ที่มา http://pradee2.com/board/index.php?PHPSESSID=98d7ac6b286b815a15d074d2580f5166&topic=104.0
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 03, 2012, 08:58:15 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ฺBenten

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 53
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ข้อมูลสุดยอดครับ อย่างน้อยผมก็จับหลักได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ก็คือ พระเจ้าพิมพิสาร

 :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า
ร่วมขบวนการกับ อ๊บ อ๊บ เพื่อศึกษาธรรม

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว เพิ่มพูน แต่บางอย่างก็ยังคลางแคลงใจ เพราะเป็นเรื่องที่มานอกพระสูตร หลายตอนและเป็นเรื่องที่อันบุคคลเข้าถึง หรือพิสูจน์ได้ยาก ครับ

  แต่ก็ได้รับประโยชน์ มากครับ

   :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา

อยากทราบประวัติ ท้าว วิรูปักขะ ครับ ไม่ทราบว่าเป็น นาค ด้วยหรือไม่ครับ

 นับถือพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่ครับ

   :c017: :s_hi:

คำตอบจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     ทิศตะวันตกมีท่านวิรูปักษ์ เป็นใหญ่กว่าบรรดานาคทั้งหมด
     คำว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคตระกูลงู เป็นชื่อเทวดาหรือชื่อกองพลเทวดา
     ตัวจริงท่านเป็นเทวดาสวยงามมาก

     ท่านวิรูปักษ์องค์ปัจจุุบันเป็นคนไทย อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีฐานะทางสังคมสูง
     ส่วนท่านชื่อเดิมว่าอะไร หากมีเวลาจะค้นมาใ้ห้อีกที

      :49:

ขอบคุณมากคะ นึกว่าจะไม่มีใครตอบแล้ว

  ได้ยินมาว่า หรือ ได้อ่านในบอร์ดนี้ กระทู้ไหนไม่ทราบ ที่กล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็น พระอริยะบุคคลด้วย จริงหรือไม่คะ มีพระสูตรกล่าวถึง ส่วนนี้บ้างหรือไม่คะ

  อยากเปลี่ยนภาพพจน์ ที่หลาย ๆ คนบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณเป็นอสูร คะ พอนำรูปท้าวเวสสุวรรณไปให้เขามักจะบอกว่า บ้าหรือไม่ มานับถือ ยักษ์ นับถืออสูร อย่างนี้ คะ

  ขอบคุณมากคะ

คำตอบจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ทิศเหนือมี ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหมด
    ยักษ์ตระกูลนี้ก็ไม่มีเขี้ยวเหมือนยักษ์โขนหรือหนังตะลุง มีรูปสวยเหมือนกัน   
    "ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย ทรงงามมาก"

    ท้าวเวสสุวัณองค์ ปัจจุบัน คือ พระเจ้าพิมพิสาร ในพระไตรปิฎกบอกว่าท่านเป็นโสดาบัน
    อ่านเรื่องนี้ได้ที่ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=1222&Z=1276&pagebreak=0

     :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

บูรณะ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 11
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ท้าวเวสสุวรรณบรรลุโสดาบัน


จากอรรถกถามาตาสูตร

 บทว่า อหนฺเต ภคนิ ภาตา ความว่า ท้าวเวสวัณทรงสำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีว่าพี่ เพราะพระองค์เองเป็นพระโสดาบัน จึงตรัสว่า ภคินิ พี่ท่าน แล้วจึงสำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีนั้นนั้นว่าเป็นน้องของพระองค์อีก เพราะนางยังอยู่ในปฐมวัย แต่พระองค์แก่กว่า เพราะทรงมีพระชนมายุ ๙ ล้านปีแล้ว จึงตรัสเรียกพระองค์เองว่า ภาตา พี่ชาย.


มาตาสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=1437&Z=1537&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=50


"ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา"

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10503454/Y10503454.html

จากคุณ    : Real~Fine
บันทึกการเข้า