โยมสงสัยว่า เวลาเรารักษาศีลให้ บริสุทธิ์ ในขั้น วิสุทธิศีลนั้น มีความหมดจดได้เวลาไหนคะ
เวลาที่ตั้งใจรักษาศีลเพื่อ ปรมัตถ์ธรรม คือมุ่งเพื่อการตัดกิเลส ตั้งความปรารถนาเพื่อพระนิพพาน มีอุปสมานุสติ
เป็นเป้าหมาย
สมมุติ ว่า โยมได้ตบยุงไปเมื่อ ชม.ที่แล้ว แต่ก็พยายามรักษาศีล ไม่ตบยุงอีก
ความหมดจดของศีล ใน สีลวิสุทธิ นั้นนับอย่างไร คะ
ศีล เริ่มต้นด้วยการสมาทาน
หมดจดเมื่อเริ่มต้นทำความเพียรใน สมาธิ
หมดจดที่สุดของที่สุดเป็นวิสุทธิ ที่อุปจาระสมาธิ
เนื่องด้วย สีลวิสุทธิ เป็นผลัดส่งไป จิตตวิสุทธิ และ จิตตวิสุทธิ ก็ส่งไปที่ วิสุทธิ ต่อไป
สำหรับกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่บรรยายล่วงหน้า เพราะ
วิสุทธิ 7 นั้น เป็นห้อง วิปัสสนา ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ห้องที่ 1
อนุวิปัสสนา เป็นห้องที่ 2
วิปัสสนาญาณ 10 เป็นห้องที่ 3
วิโมกข์ 3 อนุวิปัสสนาวิโมกข์ เป็นห้องที่ 4
โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นห้องสุดท้าย ( ปฏิสัมภิทา )
ด้านล่างเป็นที่ บรรยายทั่วไป ตามเว็บต่าง ๆ ส่วนใหญ่ จะบรรยายอย่างนี้
สำหรับกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำัดับ ไม่ใช่แบบนี้ เพราะด้านล่างเป็นแบบปริยัติ อ่านจบแล้วก็ไม่สิ้นกิเลส
อ่านแล้วเพียงแค่รู้เท่านั้น
วิสุทธิ 7 ประการ [size=-1]วิสุทธิ 7 เปรียบเหมือนรถ 7 ผลัด ที่ส่งบุคคลให้ถึงจุดหมายปลายทาง รถย่อมไม่ใช่จุดหมายปลายทางฉันใด วิสุทฺธิ 7 นี้ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางแห่งการปฏิบัติธรรมฉันนั้น แต่เป็นเครื่องมือ เป็นทางนำไปสู่จุดหมาย คือมรรคผลนิพพาน
(ในวงเล็บอธิบายเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น)
++++++++++++
วิสุทธิ 7 ประการ คือ จิตจะถึงความสะอาดบริสุทธิ์ปราศจาก อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมมี 7 อย่าง คือ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ด้วยความบริสุทธิ์ 7 ประการ
1. สีลวิสุทธิ คือ ไม่ละเมิดศีล 5 ศีล 8 หรือ ศีล 227 ข้อ ตามกำลังของท่าน
(ความหมดจดแห่งศีล)
2. จิตตวิสุทธิ จิตจะสะอาดได้ก็กำจัดกิเลสร้ายคือ นิวรณ์ 5 ได้เด็ดขาด
(ความปลอดโปร่งจากอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไม่มีนิวรณ์รบกวน)
3. ทิฏฐิวิสุทธิ คือ มีจิตเข้าใจมีความคิดเห็นตรง ไม่ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ความเห็นที่ว่าตายแล้วจิตสูญตามขันธ์ 5 หรือพระนิพพานเป็นอนัตตา เป็นความเห็นผิดไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระองค์ว่า นิพพานนังปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าจิตสูญสลายตามขันธ์ 5 นิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร้ จะเอาอะไรไปเป็นสุขอย่างยิ่งเล่า โกลนี้เป็นทุกข์เพราะ เป็นอนัตตา พระนิพพานเป็นสุข เพราะพระนิพพานไม่ใช่อนัตตาไม่ใช่ตัวตน คือ อมตะธรรมชาติที่วิเศษยิ่ง ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีขันธ์ทิพย์แห่งกายเทพกายพรหม ไม่มีอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน บาปบุญกรรม ตามไม่ถึงอิสระเสรีตลอดกาล
(ความหมดจดแห่งความเห็น เห็นความเกิดดับแห่งนามรูปตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา)
4. กังขาวิตรณวิสุทธิ คือ จิตจะบริสุทธิ์ ผุดผ่องสะอาดได้ด้วยหมดความสงสัยกังขาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์สวัสดิโส ภาคย์ ที่พระองค์ท่านมีเมตตาต่อปวงชน สั่งสอนเทวดา พรหม คน สัตว์ ชี้แนะแนวทางแสงสว่างของชีวิตคือ พระนิพพาน ผู้ใดเห็นพระพุทะเจ้า เห็นพระพุทธรูป (องค์แทนพระพุทธเจ้า) ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเข้าใจในพระธรรม คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ผู้นั้นเห็นองค์พระตถาคต ผู้ใดเห็นพระตถาคตผู้นั้นเห็นเข้าใจพระนิพพาน อยู่ในจิตในใจของทุกท่านเอง คือ จิตหลุดพ้นจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมทำชั่วไม่มี
(ความหมดจดเพราะข้ามความสงสัยเกี่ยวในนามรูป ทั้งในอดีต ในอนาคต และในปัจจุบัน)
5. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นไปของจิต คือ ถ้าจิตใจยังผูกพันในอวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของชีวิต มีกิเลส โลภ โกรธ หลง มีตัณหาความอยาก มีบาปกรรมชั่ว ติดในรสอาหาร ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดภพทั้ง 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มีนรก สัตว์เดรัจฉาน ผีเปรต คน เทวดา พรหม เวียนเกิดเวียนตายไม่มีวันหยุดยั้งจนกว่าจะจบกิจ มีจิตสะอาดเข้าพระนิพพานได้
(ความหมดจดแห่งฌานทัศนะ ว่าอันใดเป็นทางอันใดมิใช่ทาง)
6. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน ได้ด้วยการรู้ฉลาดเข้าใจตามความเป็นจริงของโลก ของร่างกายเป็นทุกข์เป็นโทษ เพราะแปรปรวนเสื่อมสลาย มีแต่ของสกปรก น่ารังเกียจเป็นของสมมุติ เป็นของปลอม เป็นภาพมายา หลอกหลอนให้จิตหลงตลอดเวลา เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความวางเฉยเห็นว่าเป็นธรรมดาของโลก ของขันธ์ 5 ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ยินดียินร้ายกับขันธ์ 5 คือ มี วิปัสสนาญาณ 10 อย่างนั่นเอง เป็นหนทางที่จะทำให้จิตสะอาดเป็นพระอรหัตตผลขีณาสพเจ้ามีจิตพระนิพพานพ้น จากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้ยังไม่ตายจิตก็เป็นสุขเลิศล้ำ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานตามธรรมชาติของโลก จิตท่านไม่เกาะเกี่ยวกับความทุกข์ในขันธ์ 5 อีกต่อไป
(ความหมดจดแห่งฌานทัศนะ เกี่ยวกับปฏิปทาให้ถึงพระนิพพาน)
7. ญาณทัสสนวิสุทธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากพลังของญาณของสมาธิภาวนา พ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาด้วยปัญญาที่เข้าฌาน 1-2-3-4 เป็นอัปปนาสมาธิกำลังแก่กล้า สำเร็จกิจตัดกิเลส อย่างอยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเป็นพระอรหันต์ พระอริยบุคคลที่สูงสุดในพระศาสนาเรียกว่า สมาธิวิมุตติ สำเร็จกิจด้วยกำลังของฌานสมาบัติเป็นปัญญารู้รอบวิปัสสนาญาณ ตามความเป็นจริง
(ความหมดจดแห่งฌานทัศนะ คือมีความรู้ความเห็นสมบูรณ์เต็มที่)
[/size]