แบบที่ ๒ เจริญเมื่อจิตสงบ
สมาธิที่หนุนวิปัสสนานั้น ท่านหมายถึง จิตตวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์แห่งจิต
ได้แก่ สมาธิ ทั้งที่เป็นอุปจารสมาธิ ทั้งที่เป็นอัปปนาสมาธิ โดยที่สุด
ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะก็ใช้เป็นฐานของวิปัสสนาได้
สมาธิที่ใช้ในการเจริญวิปัสสนานั้น ถ้าว่าในทางปฏิบัติแล้วใช้ขณิกสมาธิ
เพราะจิตยังไม่แนบแน่นมาก จึงใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมได้สะดวก
ถ้าจิตเป็นอัปปนาสมาธิถึงขั้นได้ฌาน หรือแม้แต่เป็นอุปจารสมาธิ
จิตเฉียดจะได้ฌานอยู่แล้ว จิตในขณะนั้นเป็นเอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง แนบแน่นมาก
หรือเกือบเป็นหนึ่งแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จะใช้พิจารณาสภาวธรรมไม่ได้
จำเป็นต้องถอนออกมาให้เป็นขณิกสมาธิเสียก่อน แล้วจึงใช้หนุนปัญญาเจริญวิปัสสนาได้
แต่จิตที่แน่วแน่มาก่อนแล้วถอนออกมาพิจารณาสภาวธรรมย่อมมีพลังมากกว่าขณิกสมาธิ
ฉะนั้นอาจารย์กรรมฐานบางท่านจึงกล่าวว่า สมาธิที่ใช้ในการเจริญวิปัสสนา คือ อุปจารสมาธิ
เพราะจิตยังไม่แนบแน่นมาก จึงใช้พิจารณาสภาวธรรมได้ดี แต่อาจารย์บางท่าน เช่น
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ)
ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาของผู้เขียนได้กล่าวยืนยันว่า
ในการเจริญวิปัสสนานั้นใช้ขณิกสมาธิเท่านั้น และผู้เขียนก็เห็นด้วยตามที่บอกนี้
ฉะนั้น ในการเจริญวิปัสสนานี้ใช้ขณิกสมาธิเป็นบาท (พื้นฐาน) ของวิปัสสนา
แต่ถ้าใช้อุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิเป็นบาทก็ต้องถอนจิตออกมาให้เป็นขณิกสมาธิ
คือ ทำจิตให้สงบชั่วขณะหนึ่ง ได้แก่ สมาธิของคนทั่วไปนั่นเอง เช่นสมาธิในการทำงาน
สมาธิในการอ่านหนังสือ สมาธิในการขับรถ และสมาธิในการฟัง เป็นต้น
เพราะจิตไม่รวมตัวอยู่นาน จึงใช้พิจารณาหาเหตุผลได้ดี.
การเจริญวิปัสสนาแบบที่สองนี้นิยมใช้เมื่อ เจริญสมาธิจนใจสงบมากพอสมควรแล้ว
ก็ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาพิจารณาพระไตรลักษณ์นิยมใช้มากสำหรับผู้เจริญกรรมฐาน
สายพุทโธหรือสายสัมมาอรหัง คือเมื่อจิตสงบแล้ว ถ้าเข้าใจวิปัสสนาและต้องการวิปัสสนา
และต้องการเจริญวิปัสสนา ก็ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาได้เลย
ไม่ต้องกำหนดหรือภาวนาด้านสมถะ
หรือขั้นสมาธิอีกต่อไป แต่หันมาพิจารณาได้ทันที อย่างเช่น
ในสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต นิยมพิจารณากายคตาสติ คือ อาการ ๓๒ ในร่างกาย
ให้เห็นว่าเป็นพระไตรลักษณ์ โดยให้พิจารณาในร่างกายของตน คือ
ผมขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
จิตที่สงบจากการบำเพ็ญสมถะเป็นพื้นฐานมาแล้วจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ไว
เพราะมีศีลเป็นพื้นดี และมีจิตสงบเป็นพื้นฐานมาก่อน
นักปฏิบัติธรรมเช่นนี้จะบรรลุธรรมได้ไวถ้าบุญบารมีถึงเพราะมีสมาธิดีอยู่
เหมือนอย่างที่นักปฏิบัติที่ภาวนาพุทโธก่อน
แล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาก็ไม่ต้องภาวนาพุทโธอีก
ถ้าพิจารณาสังขารทั้งหลายหรือเอาเฉพาะขันธ์ ๕
หรือมุ่งเฉพาะอาการ ๓๒ ในร่างกายของตน
แต่ละข้อมาพิจารณาว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
แล้วก็จะซาบซึ้งยิ่งๆ ขึ้นเจนสามารถเข้าถึงธรรม
โดยการไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ตามพลังความเพียรแลบุญบารมีของตนที่ได้บำเพ็ญมา
การเจริญวิปัสสนาแบบที่ ๒ เมื่อจิตสงบนั้น หมายถึงเมื่อจิตมีสมาธิ
เพราะสมาธิหนุนให้จิตเกิดปัญญา และปัญญาในที่นี้ก็คือวิปัสสนาปัญญา
เพราะในการเจริญภาวนาตามหลักพระพะศาสนานั้นจะต้องใช้ไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลหนุนให้ได้สมาธิ สมาธิหนุนให้เกิดปัญญา
หากปราศจากศีลเสียแล้วสมาธิจะเกิดยากหรือเกิดไม่ได้
และถ้าปราศจากสมาธิ ปัญญาก็เกิดไม่ได้
เว้นไว้แต่ท่านที่มีศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นในขณะนั้น
คือในทันทีทันใด เพราะบุญบารมีที่สั่งสมมาในชาติปางก่อนเท่านั้น
อย่างเช่น สันตติมหาอำมาตย์ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น
ศีลที่เป็นพื้นฐานสมาธิของฆราวาสอย่างน้อยก็ศีล ๕
สำหรับบรรพชิตก็ต้องมีศีลของพระภิกษุ
หรือถ้าเป็นสามเณรก็ต้องมีศีลของสามเณร
ถ้ามีศีลบริสุทธิ์มากเทาใดก็ยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น
เพราะเมื่อศีลก็เป็นเหตุหนุนให้ได้สมาธิได้ดียิ่งขึ้น
ยิ่งมีสมาธิดีก็เป็นเหตุให้การเจริญวิปัสสนาได้ดียิ่งขึ้น
การเจริญวิปัสสนาโดยยึดหลักเอาปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์
อีกประการหนึ่ง ผู้เจริญวิปัสสนา เมื่อใจสงบเป็นสมาธินี้
แม้แต่เพียงได้ขณิกสมาธิก็บำเพ็ญวิปัสสนาได้ดีเช่นกัน โดยเอาปรมัตถ์มาเป็นอารมณ์
คือยึดเอา ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ หรือ นามรูป มาพิจารณา
หรือพร้อมกับการสวดมนต์เกี่ยวกับพระไตรลักษณ์ แล้วพิจารณาพร้อมไปกับการสวดมนต์
หรือไม่ต้องสวดออกเสียงเป็นเพียงแต่พิจารณาก็ไดเพื่อถอนความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
โดยเฉพาะตัวตนลงให้เกิดความเบากายเบาใจจากการพิจารณาความจริงของชีวิต
การเจริญวิปัสสนาแบบนี้สามารถเจริญได้เสมอในเมื่อเข้าใจความหมาย
พิจารณาตามความเป็นจริงของชีวิตสังขารว่าตกอยู่ภายใต้พระไตรลักษณ์
ไม่มีใครล่วงพ้นไปได้ ก็สามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงได้
เมื่อเข้าถึงพระไตรลักษณ์
การเจริญวิปัสสนาโดยยึดนามรูปเป็นอารมณ์
อีกประการหนึ่งในการเจริญวิปัสสนาในเมื่อจิตสงบแล้วนี้
สามารถแม้เพียงขณิกสมาธิเจริญนามรูปเป็นอารมณ์ได้
ในการเจริญแบบนี้ ท่านแนะนำให้เจริญโดยยึดหลัก ๓ ประการ คือ
๑. เมื่อสติตามนามรูปให้ทัน คือ
ขันธ์ ๕ อันประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เมื่อย่อแล้วก็คงเหลือแต่รูปกับนามเท่านั้น คือรูปยังคงเป็นรูป
ส่วนเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ๔ อย่างนี้เป็นนาม
จึงเรียกขันธ์ ๕ โดยย่อว่านามรูป
แม้แต่วัตถุธาตุหรือสสารทุกชนิดในโลกก็เป็นรูปทั้งสิ้น
เมื่อนามรูปมาปรากฏเฉพาะหน้าของผู้ปฏิบัติ
ก็ต้องแยกให้ออกว่า อะไรเป็นนาม อะไรเป็นรูป
เช่นร่างกายที่นั่งอยู่ หรืออาการเคลื่อนไหวของรางกายในอาการต่างๆ
ในอิริยาบถต่างๆ หรือแม้แต่เสียง กลิ่นรส และเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ที่มาสัมผัสร่างกายนี้เป็นรูป ส่วนจิตที่รับรู้เป็นนาม เมื่อนามและรูปเหล่านี้เกิดขึ้น
ตั้งอยู่และดับไปอย่างไร ก็ให้มีสติตามให้ทันความเป็นไปของนามรูปนี้
ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อสร้างความสมบรูณ์ของสติ
๒. เมื่อมีสติตามนามรูปทันแล้ว ก็ให้ปัญญาพิจารณานามรูป
โดยความเป็นพระไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
๓. เมื่อพิจารณานามรูปโดยความเป็นพระไตรลักษณ์แล้ว
ก็ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในนามรูปเสีย
ผู้ที่จะปฏิบัติตามหลักการที่กล่าวมาข้างต้นได้ดีนั้น
จำต้องปลูก “อินทรีย์ ๕” คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
ให้มีกำลังเป็น พละ ๕ และปรับให้สมดุลกัน
ก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติตามสมควรแก่การปฏิบัติ
หรือตามสมควรแก่บุญบารมีที่ได้สั่งสมมาอย่างแน่นอน
แบบที่ ๓ เจริญพร้อมกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก
การเจริญวิปัสสนาแบบที่ ๓ นี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้เองในอานาปนสติสูตร
คัมภีร์มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสน์ ซึ่งกล่าวถึง อานาปนสติ ๑๖ ขั้น
โดยเฉพาะใน ๔ ขั้นสุดท้ายเป็นธัมมานุปัสสนาซึ่งเป็นวิปัสสนาล้วน
ในอานาปนสติ ๑๖ ขั้นนั้น ๔ ขั้นแรก หรือจตุกกะแรกเป็นสมถะล้วน
๔ ขั้นที่ ๒ และ ๔ ขั้นที่ ๓ เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา
ส่วน ๔ขั้นที่ ๔ หรือจตุกกะที่ ๔
ตั้งแต่ขั้นที่ ๑๓ ถึงขั้นที่ ๑๖ เป็นวิปัสสนาล้วน
ขั้นที่ ๑๓ อนิจจานุปัสสี
ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้าหายใจออก
หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง หายใจออกก็ไม่เที่ยง อะไรไม่เที่ยง
ก็ชีวิตร่างกายเรานี้ไม่เที่ยง ทั้งรูปทั้งนามไม่เที่ยง
หายใจเข้าไม่เที่ยง หายใจออกไม่เที่ยง
เพียงแต่เห็นความไม่เที่ยงอย่างเดียว ถ้าเข้าใจพระไตรลักษณ์ได้ตลอด
ก็สามารถเข้าถึงสภาวธรรมขั้นวิปัสสนานี้ได้ชัด เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“ยทนิจจํ ........สิ่งใดไม่เที่ยง
ตํ ทุกขัง .........สิ่งนั้นเป็นทุกข์
ยํ ทุกฺขํ .........สิ่งใดเป็นทุกข์
ตํ อนฺตตา .......สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน”
ขั้นที่ ๑๔ วิราคานุปัสสี
ตามเห็นความจางคลาย หายใจเข้า หายใจออก
จางคลาย หรือคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงให้จางคลายเสีย
ราคะ แปลว่า “ความติด” วิราคะ แปลว่า “ความไม่ติด”
ให้คลายจากความติด ความยึดมั่นถือมั่นให้คลายเสีย
หายใจเข้าก็ภาวนาว่าจางคลาย หายใจออกก็ภาวนาว่าจางคลาย
จางคลายศัพท์นี้เอาไปใช้ในเวลาปวดด้วยก็ได้ เมื่อรุ้สึกปวดมากๆ แม้ในขณะที่นั่งภาวนา
“จางคลาย...จางคลาย” ก็จะกายเหมือนกัน หรือถ้าเรามีโรคภัยไข้เจ็บหนัก
ก็ให้ภาวนาโดยส่งจิตที่มีพลังไปว่า “จางคลาย...จางคลาย” ก็จะหายได้
ขั้นที่ ๑๕ นิโรธานุปัสสี
ตามเห็นความดับ ขณะหายใจเข้าและขณะหายใจออก คือ
ดับโลภ โกรธหลง หายใจเข้าก็ดับ หายใจออกก็ดับ การเห็นความดับนี้
ในหลักการปฏิบัตินั้นจะต้องเห็นความเกิดด้วย คือ เห็นความเกิดดับของนามรูป
เพราะเมื่อเห็นความเกิดดับของนามรูปก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่าย
ในการครองสังขาร คือการเวียนว่ายตายเกิด ชื่อว่ามีชีวิตประเสริฐ
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับนางภิกษุณีรูปหนึ่งว่า
“โย จ วสิสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ”
แปลว่า
ผู้ใดไม่เห็นการเกิดดับของนามรูป
แม้จะมีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี
ก็สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับของนามรูป
ซึ่งมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวไม่ได้
ฉะนั้นการภาวนาในข้อนี้ ถ้าส่งจิตไปที่ท้อง ที่มีอาการพองขึ้นเมื่อหายใจเข้า
และยุบลงเมื่อหายใจออก ก็จะได้ผลดีเพิ่มขึ้น คือ
เมื่อหายใจเข้าก็ภาวนาว่า “เกิด” หายใจอออกก็ภาวนาว่า “ดับ”
หรือถ้าผู้ใดมีลมหายใจยาวมากขึ้น ก็จะใส่คำว่า “อยู่”
มาต่อข้างท้ายว่า “เกิดอยู่” เมื่อหายใจเข้า และ “ดับอยู่”
เมื่อหายใจออก ก็จะชัดมากขึ้น เพราะคำว่า “อยู่” เป็นปัจจุบันธรรม
อะไรเกิด อะไรดับ ก็นามรูปมันเกิด มันดับอยู่ตลอดเวลาในร่างกายของเรา
คือ รูป ดับ ๑ ครั้ง จิต จะดับ ๑๗ ครั้ง หรือ ๑๗ ขณะจิต
เราจะรู้ หรือไม่รู้มันก็เกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น
เช่น เซลส์ เลือด เซลส์กระดูก เซลส์เนื้อ ตายไปตลอดเวลา
ถ้าหากว่าเซลส์เราไม่ตาย เราก็ไม่ต้องทานอาหารเข้าไปอีก เพราะยังสมบรูณ์อยู่
แต่ที่เราต้องทานอาหารก็เพราะว่าเซลส์มันตาย เราจึงต้องซ่อมเซลส์
เพราะฉะนั้น ในร่างกายของเรานี้จึงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เราจึงต้องตามเห็นการเกิดดับของนามรูปให้มาก
เพราะคนที่ไม่เห็นการเกิดดับของนามรูป
แม้จะมีชีวิตอยู่นานก็สู้คนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว
แต่เห็นการเกิดดับของนามรูปไม่ได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญไว้
ดังนั้น สิ่งใดที่มีการเกิดดับ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
และเมื่อสิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นอนัตตา
แล้วควรหรือที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่านี้เป็นของเรา
เราเป็นโน่นเป็นนี้ เป็นตัวเป็นตนของเรา
จึงให้ภาวนาว่า “เกิด” เมื่อหายใจเข้า และภาวนาว่า “ดับ” เมื่อหายใจออก
การภาวนาอย่างนี้เอง
ขั้นที่ ๑๖ ปฏินิสัคคานุปัสสี
ตามเห็นความสละคืน คือความปล่อยวาง หายใจเข้า หายใจออก
ปล่อยวางอะไร อะไรก็ได้ที่มันวุ่นวาย เป็นตัวทุกข์
วางให้หมด ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แม้ไม่วางขณะนี้ ในที่สุดก็ต้องวางอยู่แล้ว
หายใจเข้าก็ภาวนา ว่าปล่อยวาง หายใจออกก็ภาวนาว่าปล่อยวาง
เพราะฉะนั้น ในเวลาปฏิบัติต้องการจะให้ ผู้ปฏิบัติได้ใช้ ๔ คำ คือ
ไม่เที่ยง, จางคลาย, ดับหาย, ปล่อยวาง,
เอาคำใดคำหนึ่ง คือ หายใจเข้า “ไม่เที่ยง” หายใจออก “ไม่เที่ยง”
หรือหายใจเข้า “จางคลาย” หายใจออก “จางคลาย”
หรือหายใจเข้า “ดับหาย” หายใจออก “ดับหาย”
หรือหายใจเข้า “ปล่อยวาง” หายใจออก “ปล่อยวาง”
ส่วนคำว่า “ดับหาย” ใครจะเปลี่ยนไปภาวนาว่า “ดับสนิท” ก็ได้
แต่ในหลักปฏิบัติที่สูงขึ้นให้ใช้คำว่า “เกิดอยู่” “ดับอยู่” แทนตลอดไป
เพราะเป็นบทภาวนาที่นิยมปฏิบัติกันมากอย่างหนึ่ง
ทั้งได้ความหมายในการเจริญวิปัสสนาชัดมาก
ในการภาวนาหลักวิปัสสนาพร้อมกับการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก
ทั้ง ๔ คำที่กล่าวมาข้างต้นนี้
ถ้าภาวนาคำใดได้ผลดี เหมาะกับจริตนิสัยของตน
ก็ให้เอาคำนั้นเพียงคำเดียว แล้วจิตจะคลายลงไปเอง
ให้พิจารณาอย่างนั้นโดยส่งจิตไปที่ท้องก็ได้ ที่อกก็ได้ หรือที่จมูกก็ได้
แล้วจิตจะเกิดความสงบ รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นในที่สุด
วิธีการเจริญวิปัสสนา ๓ แบบนี้ หากผู้ใดเจริญเป็นทำได้ถูกต้อง
จิตจะเข้าสู่ความสงบ และคลายจากความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างแน่นอน
ฉะนั้น ขอให้ผู้ปฏิบัติพึงเจริญวิปัสสนาตามที่กล่าวมาแล้ว โดยใช้แบบใดแบบหนึ่ง
หรือทั้ง ๓ แบบ ตามความเหมาะสมของตน
จิตก็จะเข้าสู่ความสงบ เข้าสู่การปล่อยวางได้ในที่สุด
เป็นการเจริญวิปัสสนาที่ถูกต้องตามหลักพระศาสนา
ผู้ใดได้เจริญเป็นประจำ แม้จะไม่ถึงซึ่งความสิ้นทุกข์
แต่ความสุขความสงบ และความเจริญรุ่งเรืองจะมีขึ้นทั้งในปัจจุบันชาติ
และในสัมปรายภพอย่างแน่นอน
ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
ในปัจจุบัน โลกได้เจริญในด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการไปมากเพียงไร
ก็ยิ่งสนับสนุนพุทธรรมมากขึ้นเพียงนั้น
เนื้อหาสาระทุกตอนในบทความนี้
หากผู้ใดอ่านจนจบโดยอ่านอย่างพิจารณาให้ถ่องแท้และนำไปปฏิบัติด้วยตนเอง
หรือนำไปแนะนำผู้อื่นได้ ก็เชื่อมั่นว่าจะได้รับผลแห่งการปฏิบัติอย่างคุ้มค่าแน่นอน
และชีวิตจะสงบสุขขึ้น เพราะเข้าสู่หลักการแบบบูรณาการ (Integration)
ในหลักธรรมของพระบรมศาสดาของเรา
เพราะพระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
พระธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
การได้รับความสุข ความเจริญรุ่งเองนั้น คือ
คุณค่าหรือผลานิสงส์แห่งการประพฤติธรรม
จากเว็บพลังจิต โพสต์โดย คุณ jonibuddhist
(ที่มา : เอกสารประกอบการสอบเข้าศึกษาต่อ หลักสูตรศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา : “วิชาทฤษฎีและการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน”. บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหามงกุฎราชวิทยาลัย, หน้า ๙๔-๑๐๔.)
__________________