ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสนาเรียนได้ "ในพริบตาเดียว" ด้วยคำว่า "เช่นนั้นเอง"  (อ่าน 2700 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ตถตา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ตถตา เป็นคำสรุปรวมของเรื่องปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตาซึ่งครอบโลกให้เหลืออยู่เพียงว่า ตถตา-เป็นอย่างนั้น ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นดังนี้

    - อวิตถตา - ไม่ผิด ไปจากความเป็นอย่างนั้น
    - อนัญญถตา - ไม่เป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
    - ธัมมัฏฐิตตา - เป็นความตั้งอยู่โดยความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ
    - ธัมมนิยามตา - เป็นกฎตายตัวของธรรมดา

ทั้งหมดนี้มันยุ่งยากลำบากมากเรื่อง ไม่ต้องจำก็ได้จำคำว่า "ตถตา" ไว้คำเดียวพอ แปลว่า เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเห็นเช่นนั้นเอง หรือจะแยกออกไปเป็นว่า มันปรุงแต่งกันออกไปเป็นสายยาว เป็นปฏิจจสมุปบาท กระทั่งว่ามีอายตนะ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน มีทุกข์ มันก็คือเช่นนั้นเอง ที่ต้องทุกข์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ขณะใดไม่ต้องทุกข์ เพราะว่า มันเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น

ฉะนั้น เรามีเช่นนั้นเองไว้เป็นเครื่องดับทุกข์เถอะ อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเองไว้ก่อน แล้วก็จะไม่รัก จะไม่เกลียด จะไม่โกรธ จะไม่กลัว ไม่วิตกกังวลอะไรหมด เพราะมันเช่นนั้นเอง


 :25: :25: :25: :25:

ถ้ามันเกิดทุกข์ขึ้นมา เราก็เห็นเช่นนั้นเองของความทุกข์ แล้วก็หาเช่นนั้นเองของความดับทุกข์ที่มันเป็นคู่ปรปักษ์กัน เข้ามาซี่ "เช่นนั้นเอง" อย่างนี้มันเป็นทุกข์ "เช่นนั้นเอง" ที่มันดับทุกข์ก็เอาเข้ามา มาฟัดกันกับ "เช่นนั้นเอง" เช่นนั้นเองกับเช่นนั้นเองมันก็ฆ่ากันเอง ในที่สุดความทุกข์มันก็ดับไป เพราะเรามีเช่นนั้นเอง ฝ่ายดับทุกข์หรือฝ่ายพระนิพพาน

พุทธศาสนาเรียนได้ในพริบตาเดียวก็ด้วยคำว่า "เช่นนั้นเอง" หัวใจของปฏิจจสมุปบาท สรุปอยู่ที่คำว่าเช่นนั้นเอง ปฏิจจสมุปบาท คือ คำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา คือสอนว่า ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรและดับไปอย่างไร

สมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ฉันไม่พูดเรื่องอื่น ฉันพูดแต่เรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์เท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ดี ต่อไปข้างหน้าก็ดี" คือ ให้ความทุกข์และความดับทุกข์นี้ มันรวมอยู่ในคำว่า "เช่นนั้นเอง" เรียกว่า "ตถตา" ก็ได้ "ตถาตา" ก็ได้ "ตถา" เฉยๆ ก็ได้ หมายถึง สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครสร้าง ใครบันดาล ให้มีให้เกิดขึ้น แต่เป็นเช่นนั้นขึ้นมาเอง





      ข้อความอ้างอิง จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น
    ครั้นแล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น
    และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้

    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี ชราและมรณะ...เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ...เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ...เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน...เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา...เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา...เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ...เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ...เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป...เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ...เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร


     st12 st12 st12 st12

    พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่
    พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น
    ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น
    และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร

    **ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท


    **ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนญฺญถตา อิทปฺปจฺจยตา อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท
    (ถ้าเขียนทับศัพท์จะได้ว่า - ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา หลักอิทัปปัจจยตา ดังพรรณนามาฉะนี้แล เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท)



ขอบคุณที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ตถตา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2016, 10:01:26 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ข้อความนี้ ถ้าปรากฏ ในเว็บอื่น จะไม่โพสต์ตอบแต่เพราะว่า มาปรากฏในเว็บเรา จึงจำเป็นต้องแก้ ให้ถูกต้อง

  ตัวฉันเอง แรกเริ่มปฏิบัติก็มุ่งไปในสายสวนโมกตั้งแต่ อายุ 15 ปี จนถึง 38 ปี ก็สาระวนอยู่ด้วย คำว่า ตถตา
   หมดไป 23 ปี ฉันเองไม่ได้เข้าสู่ภูมิธรรม พระอริยะเลย มีแต่ใจรักสันโดษ มีลักษณะขวนขวายน้อย ไม่ประพฤติผิดศีล ถ้าตายขณะนั้นก็ยังต้องเกิดอีก นับว่าเสียเวลาไปมาก เลยเพราะไม่มีครูที่เข้าใจแท้จริงมาสอนในขณะนั้น เรื่อง สวรรค์ ก็ถือว่าอยู่ที่ใจ เรื่องนรก ก็เชื่อว่าอยู่ที่ใจ ที่เป็นภพฉันไม่เชื่อเลย ในสมัยนั้น ไสยศาสตร์เวทย์มนต์คนละทาง ดูดวงฤกษ์ น้ำมนต์ ไม่เอา มันดีตรงนี้ แต่เวลาใช้ชีวิตจริงในสังคม แล้ว ตถตา เป็นเพียงคำปลอบจำ เท่านั้นไม่ใช่มีแก่นสาร     

  ตถตา ไม่ใช่คุณสมบัติของปุถุชนเลย
  หาก ปุถุชน นำไปใช้ จะเป็นการปฏิเสธ ธรรม ทั้งหมดเหมือนว่าทุกอย่างไม่มี ผล คือไม่พ้นทุกข์ ไม่สามารถไปสู่ ประตูอมตะได้
    ตถตา ชั่งหัวมัน อุเบกขา สันโดษ ใช้ไม่ดี ก็ไม่มีธรรมก้าวหน้า

    ฉันเคยเจอคนที่มีกิเลส พูดกับฉัน อย่างนี้มาแล้ว

      ปฏิบัติไม่ได้ ก็ เช่นนั้นเอง ( แล้วทำอะไรต่อ )
      อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไ ก็เช่นนั้นเอง
      ฟังไป ก็เช่นนั้นเอง
      ภาวนาไป ก็เช่นนั้นเอง
     
      สุดท้ายมันนำไปสู่คำพูด และแนวคิด คือไม่เอาอะไร แม้กระทั่งการภาวนา เชื่อสิคนที่พูดกับฉันถึงฉันไม่เป็นพระอรหันต์ตอนนั้น ฉันก็รู้ว่าเขาาไม่ได้เป็นพระอรหันต์

    ดถตา จนถึง ธัมมนิยามตา นั้น จะปรากฏขึ้นในคราเดินจิต ปฏิจจสมุปบาท รอบที่สอง ไม่ใช่คำพูดของปุุถุชน อันปุถุชน จะนำไปใช้ได้

    อุปมา เหมือนคนที่ไปดูคนกำลังจะตาย แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ต้องตาย แล้วคนๆ นัั้น คน ๆ ก็พยายามพูดรหรือพยายามนึกว่า ตถตา เช่นนั่นเอง ความตายเป้นเช่นนั้นเอง เขาเรียกว่าอาการไม่ต่างอะไร จากหมอพยาบาล เห็นคนตายทุกวัน ผ่าตัดเห็นอวัยวะน่าเกลียดทุกวัน แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปสู่วิมุตติ ได้ ทำนองเดียวกับ สัปเหร่อ ชิน ผี นั่นแหละไม่ต่างกันเลย

   หากพิจารณาให้ดี พระสูตรบทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่ พระอนาคามีบุคคล และ พระโสดาบัน เป็นส่วนใหญ่ ดังน้นหากผู้ปฏิบัติ ภูมิธรรม ไม่ถึงพระโสดาบันขึ้นไปแล้ว

    พระธรรม บทนี้จะเป็นตัวขวางธรรม ไม่ให้เข้าไปสู่วิมุตติ เหมือนเด็ดผลมะม่วงขณะดิบ โอกาสจะสุก ด้วยการเพาะบ่มเป็นเรื่องยาก ส่วนมากจะเน่าเสียก่อน

    ดังนั้น โปรดระวังกันด้วย เตือนได้เท่านี้


 ;)


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2016, 11:52:15 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ท่าน ทำไม่ได้ ก็ไม่ได้ หมายความว่า คนอื่น ทำไม่ได้
เพราะอย่าง ตถตา หลวงพ่อพุทธทาส ท่านก็กล่าวสอนสิ้นทุกท่านอย่างเป็นทางการเสมอภาค

 อ่านหรือฟัง มาดี หรือ ป่าว
  :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

    ทุกข์จึงต้องพูด...ไม่ทุกข์ไม่พูด


          พูดไปสองไพเบี้ย..นิ่งเสียตำลึงทอง


         เฮอะๆๆๆ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา