แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - วิชชุดา
|
หน้า: [1] 2 3 ... 6
|
1
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / แก้ท้องเสีย ด้วยนม บีทาเก้น ที่มี แลคโตบาซิลลัส
|
เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2016, 12:56:01 pm
|
วันนี้มาเล่าประสบการณ์ ให้กับผู้ที่เข้ากรรมฐาน นาน ๆ ฟังอาจจะมีประโยชน์ กับท่านทั้งหลาย และมีฉลาดในการทำบุญเพิ่มขึ้นสักนิดแต่ด้วยอันนี้เป็นประสบการณ์ ส่วนตัวต้องเชื่อในวิจารณญาณของท่านกันเอง การเข้ากรรมฐานนาน ๆ ด้วยสมาธิระดับอัปปนานั้นจะสามารถเข้ากรรมฐานได้เป็นเวลานาน ๆ เป็นวัน เป็นคืนตามอำนาจสมาธิที่ฝึกฝนได้ ดังนั้นในระหว่างที่เข้าสมาธิอยู่กาย ก็จะอาศัยปีติ เป็นอาหาร สุขเป็นอาหาร เมื่อปีติ และ สุขแผ่ทั่วกายแล้วในขณะนั้น จิตเป็นเอกัคตนา เข้าสู่วิปัสสนาญาณตามที่อธิษฐานไว้ ก็จะใช้เวลาแล้ว แต่กำลังและบุคคล เมื่อครบกำหนด ออกจากสมาธิแล้ว จิตจะผ่องใส แจ่มใสมาก แต่ร่างกายนี้ เมื่ออำนาจปีติและสุข ค่อย ๆ หมดไป มันจะค่อยๆหมดหลังจากออกกรรมฐาน เหมือนก้อนนำ้แข็งที่ละลายใช้เวลาครู่ใหญ่ บ้างก็ สองสามชั่วโมง หรือ บ้างก็เป็นวัน ก็แล้วแต่บุคคลที่ฝึกได้ถึงขึ้นไหน ที่นี้ปัญหามันจะเกิดตอนนี้ ปีติและสุข ละลายหายไปหมดแล้ว เมื่อออกจากกรรมฐาน ร่างกายที่อดอาหารมา อดน้ำก็จะต้องปรับตัวตามสภาพ ถ้าดืมบริโภคถูกต้องท้อง ก็ไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นพระเลือกไม่ได้ อาหารที่บริโภคมาจากญาติโยมทำบุญเมื่อถวายมาอย่างไร ก็ต้องฉันไปตามอัธยาศัย ยิ่งเป็นอาหารมืือแรก หลังออกกรรมฐาน ถึงอาหารจะเป็นพิษไม่ถูกกับอัตตภาพ ถ้าเป็นครูอาจารย์ที่ปฏิบัติตามกฏก็ต้องดื่มและบริโภค ส่วนนั้นไว้ พอประมาณ ที่นี้ถ้าบริโภคแล้ว กายับปรับตามไม่ได้ ก็จะเกิดโทษ เท่าที่ผ่านคือ ท้องเสีย ท้องร่วง ถ่ายบ่อย เลยกลายเป็นว่า หลังออกกรรมฐาน ถ้าบริโภคอาหารผิดขึ้นมาละก็ ได้เดินเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง จนบางครั้งเป็นที่หัวร่อแก่คนที่เห็น เกิดปรามาสว่า นึกว่าแน่ เห็นนั่งกรรมฐานหลายวัน ออกกรรมฐานก็ท้องร่วง ท้องเสีย เคยได้ยินบ่อยครั้ง บางครั้งก็ต้องไปขอยาแก้ท้องเสีย เป็นหัวเราะขบขัน ( เรื่องบุญบาป ก็ตัวใครตัวมันนะ อันนี้ห้ามไม่ได้ ) ที่นี้วิธีแก้ไขสำหรับท่านที่ท้องเสีย ไม่ต้องใช้ยา แต่ให้ไปซื้อ นมเปรียว ยี่ห้อ บีทาเก้านขนาดขวดกลางหนึ่งขวด ให้บริโภคเลยในขณะที่ท้องเสีย หลังบริโภคจะถ่ายเพ่ิมอีกสองสามครั้งแล้ว อาการก็จะดีขึ้น เมื่อว่านนี้ตัวอาจารย์เองก็ประสบเหตนี้ จึงได้ให้คนไปซื้อ นมนี้มาหลังจากดื่มไปครึ่งขวดอาการถ่ายก็หายทันที จนตอนนี้ก็ดูเหมือนจะปกติแล้ว พอนึกขึ้นได้ เผื่อใครมีความสามารรถเข้ากรรมฐานต่อเนื่อง นาน ๆ อย่างอาจารย์แล้วเจอปัญหาอย่างนี้ ก็จะได้นำวิธีการนี้ไปใช้ แก้ไขโดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ ทั้งสิ้น หรือ คราวต่อไป ใครมีโอกาสถวายภัตร์หลังกรรมฐานคนแรกก็ติดอันนี้มาถวายสักขวด ก็จะดีนะ กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะโดยปกติถ้าอาจารย์ออกตอนกลางคืน ก็จะดื่มนมนี้แทน ดื่มอย่างน้อยสองคนถ้าไม่ฉันอะไรเลย สาเหตุที่นมนี้ช่วย ก็เพราะ แลคโตบาซิลลัส นั่นแหละที่ช่วย แบคทีเรียกรดนม ที่มีอยู่ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำลาย หรือควบคุมแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการเน่าเสียขึ้นในลำไส้ เจริญธรรม / เจริญพร นำมาจากเฟคพระอาจารย์ คะ อยากช่วย https://www.facebook.com/photo.php?fbid=980922152024229&set=a.250855558364229.54927.100003193598322&type=3&theater
|
|
|
15
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปาฏิหาริย์ แห่งลมหาย เป็น เสียงธรรมที่ฟังดี คะ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 10:29:00 am
|
ปาฏิหาริย์ แห่งลมหาย เป็น เสียงธรรมที่ฟังดี คะ พอจับใจความคือ 1.กล่าวถึงการปฏิบัติธรรม คือ การภาวนาตรง ๆ ไม่ใช่ทำงานเป็นภาวนาธรรม 2.กล่าวถึง มหาสติปัฏฐาน ที่มี อานาปานบรรพ เป็นจุดเริ่มต้น 3.กล่าวถึง เคล็ด 6 ประการของ สติปัฏฐาน คือ 3.1 การเห็นธรรมภายใน ( เน้นว่าคือ ลมหายใจเข้าออก ) 3.2 การเห็นธรรมภายนอก ( เน้นว่า คือ สัมปชัญญะ ที่รู้ลมหายใจเข้าออก ) 3.3 การเห็นธรรมทั้งภายใน และ ภายนอก ( เน้นว่า อิริยาปถบรรพ ) 3.4 การเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก 3.5 การเห็นธรรมคือความดับไป เสือมไป ทั้งภายในและภายนอก 3.6 การเห็นธรรมคือความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไป ทั้งภายในและภายนอก พร้อมกัน 4. กล่าวถึงผู้ฝึก กรรมฐาน ต้องใช้ กรรมฐาน ตามสถานการณ์ กล่าวกรรมฐานในสถานการณ์ 4 ประการ 4.1 พุทธานุสสติกรรมฐาน กำหนด พุทโธ 4.2 กายคตาสติ สติตามระลึกไปในกาย มี ธาตุเป็นต้น 4.3 มรณานุสสติ สติตามระลึกถึง ความตาย สบายนัก 4.4 เมตตาพรหมวิหาร การแผ่เมตตา ให้ผู้อื่นเป็นสุต ตนเองเป็นสุข ให้ถึง บรมสุข การบรรยายเรื่อง นี้นับว่าบรรยายได้ดีมาก ฟังแล้ว ตื้นตันใจ มากฟังซ้ำ ก็จะดี เพราะฟังแล้วรู้สึกถึง คุณค่าของการภาวนา ที่จับทางไม่ได้ ให้เห็นวิธีการที่ย้อนกลับมาตั้งต้น ที่ลมหายใจเข้าและออก อนุโมทนา สาธุ คะ ถ้าสรุปไว้ยังไม่ได้ตามเนื้อหา ก็ขอให้เพื่อน ๆ ที่ฟัง อยู่มาช่วยกันเติมต่อนะคะ 
|
|
|
25
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ถึงเวลาวางมือ
|
เมื่อ: กันยายน 28, 2012, 02:32:21 pm
|
ถึงเวลาวางมือ
“อย่ามัวแต่นั่งอยู่กับบ้าน ให้เด็กมันถอนหงอกอยู่เลย”...เป็นเสียงตะโกนร้องบอกของท่านผู้เฒ่า ที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า มัคนายก หรือ มักทายก สังเกตว่า ใครก็ตามที่ถูกท่านด่า อีกไม่กี่วันพระก็จะพากันแต่งกายชุดขาว มีหมอนที่ทำด้วยไม้ พากันมารักษาอุโบสถศีลค้างวัดหนึ่งวันกับหนึ่งคืน
อะไรกันหนอ ทำให้ท่านมักทายกพูดกะคนที่หัวหงอกว่า....อย่ามัวแต่นั่งอยู่กับบ้าน ให้เด็กมันถอนหงอกอยู่เลย...นั่นก็เพราะว่า ท่านมักทายกเข้าใจซึ้งถึงความเป็นจริง ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนว่า...”หัวหงอกออกบวช”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออดีตชาติ พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระราชา ทรงพระนามว่า "มฆเทวราช" ทรงครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมวิธี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มิทรงประทับเพียงบัลลังก์ในราชวังเท่านั้น ได้เสด็จประพาสต้น ด้วยทรงทราบว่า ตรงที่ไหนๆ ที่พระราชาประทับก็เป็นบัลลังก์ทั้งนั้น แม้แต่เสด็จย่ำโดยพระบาทก็เป็นบาทบัลลังก์
กาลต่อมา พระองค์ตรัสสั่งให้ช่างกัลบก (นายช่างฉลองพระเกศา) ว่ายามใดถ้าเห็นพระเกศาหงอก ขอให้บอกแก่พระองค์
จนวันหนึ่ง นายช่างกัลบกกราบทูลว่า มีเส้นพระเกศาเส้นหนึ่งหงอกแล้ว ทรงรับสั่งให้ถอนออกมา เพื่อทอดพระเนตร
เมื่อเห็นเส้นพระเกศาหงอก ทรงรำพึงกับพระองค์เองว่า ดูก่อนพ่อ ผมหงอกขึ้นบนศีรษะของพ่อ ส่อว่าเป็นคนชราแล้ว แลกามารมณ์ที่เป็นของมนุษย์พ่อก็ได้บริโภคแล้ว จะมัวหลงติดไปไย พ่อจงแสวงหาความเป็นทิพย์เถิด บัดนี้เป็นสมัยที่จะต้องถึงเวลาสละวางด้วยการออกบวช
แล้วทรงรับสั่งให้ประชุมพระราชวงศ์ เสวกามาตย์ราชมนตรี ปุโรหิตาจารย์ ทรงประกาศสละราชสมบัติแก่ผู้ที่มหาสมาคมยอมรับให้ดำรงความเป็นกษัตริย์สืบไป แล้วพระองค์ก็เสด็จออกผนวช
ท่านมักทายกท่านได้ปฏิบัติตามนี้ทุกประการ พร้อมกับกล่าวเตือนญาติโยมที่ทำบุญในวัดเดียวกับท่าน ให้เห็นเทวทูต คือ หัวหงอก ว่า เป็นเครื่องเตือนตนให้มุ่งในการบุญกุศล อย่าหมกมุ่นกังวลในกามคุณ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จนพาให้จิตวนเวียนอยู่ในวัฏฏะแห่งกิเลส
คำเตือนของท่านมักทายกยังก้องในหู เตือนให้ปฏิบัติในหลายเรื่องที่ต้องสละ ละวาง ตามวันตามวัย ซึ่งได้ทำแล้ว และประสบความเจริญ คือ ความสุข
ยังห่วงแต่ญาติโยมบางคน ที่หัวหงอก ยังไม่รู้จักความเปลี่ยนแปลง ยังหลงอยู่ เด็กๆ มันจะถอนหงอกเอา...น่าอับอายจริง...!!!
"พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) "
|
|
|
26
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธรรมโอวาท ของ พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) การเดินจงกรม
|
เมื่อ: กันยายน 28, 2012, 02:30:26 pm
|
 ขอบคุณภาพจาก http://www.santidham.comอบรมการเดินจงกรม
ธรรมโอวาท ของ พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
๐ ใช้ระเบียบหลวงปู่มั่น ๐
ต้นพรรษาปี ๒๕๓๒ หลวงปู่กำหนดให้ลูกศิษย์ตั้งข้อวัตร ให้แต่ละรูป แต่ละองค์ "เดินจงกรมให้ได้สองชั่วโมง" เป็นอุบายอันเฉียบขาดในการสู้กับกิเลส โดยเฉพาะความง่วงเหงาหาวนอน โดยยกระเบียบหลวงปู่มั่น (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) เป็นหลักฐานอ้างอิง
"...ระเบียบหลวงปู่มั่นนั้น ตั้งแต่ฉันน้ำฮ้อนน้ำอุ่น อาบน้ำแล้ว เพิ่นก็เข้าใส่ทางจงกรมแล้วนะ บ่แม่นไปคุยกันในโรงน้ำร้อนนะ ต้องเข้าทางจงกรม เดินจงกรม แล้วท่านเดินตั้งแต่ สมมติว่าเดินตั้งแต่ ๖ โมงถึง ๗ โมงถึง ๘ โมงอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า เดินจงกรมสองชั่วโมง แล้วท่านก็ขึ้นไหว้พระสวดมนต์ ไหว้พระสวดมนต์นั่งกรรมฐานก็อยู่ในขั้นสองชั่วโมงเหมือนกัน อีกสองชั่วโมงเป็น ๔ ทุ่ม เมื่อถึง ๔ ทุ่ม จากนั้นไปท่านก็พักผ่อนละ เรียกว่า จำวัด
จำวัดนี้ก็อยู่ในขั้นสี่ชั่วโมง ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ก็เที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒ ท่านก็ตื่นละ มันเป็นวรรคตอนของท่านภาวนานะ พอตี ๒ นี้ก็ตื่นมาละ ล้างหน้าล้างตา ถ้าวันไหนลงเดินจงกรมมา ก็ตี ๓ ตี ๔ ๒, ๓, ๔ นี้ นี้ถ้าเดินจงกรมก็เดินสองชั่วโมง ๕, ๖ ขึ้นมานี้ก็มาไหว้พระสวดมนต์นั่งภาวนา พอแจ้งสว่างได้เวลาบิณฑบาต
ท่านทำอยู่เวลาท่านมีชีวิตอยู่ จนท่านไม่ต้องใช้นาฬิกาเหมือนพวกเราสมัยนี้หรอก เอานาฬิกาธรรมนั่นเอง ต้องมี ระเบียบธรรม น่ะจึงเป็นไปได้"
ความคิดเห็นที่ 3 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน
พอถึงกลางพรรษา ในช่วงทำวัตรสวดมนต์เย็นคืนหนึ่ง หลวงปู่ก็ลุกขึ้นมาติดตามผลงาน โดยจี้ถามสมาชิกทุกรูปนามประมาณกว่า ๓๐ ที่จำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่อง ในปีนั้น
ไล่เรียงตั้งแต่หัวแถวจร่ดท้ายแถวเลยทีเดียว บรรยากาศของการประเมินผลในคืนนั้น มีตัวอย่างให้สัมผัสได้พอสมควร อย่างน้อยก็คงเป็นที่รื่นรมย์สำหรับองค์ผู้ประเมิน เพราะบ่อยครั้งท่านซักไซ้ไล่เรียงไปพลางหัวเราะหึๆ
"เป็นอย่างไรล่ะ ได้ปฏิบัติอะไรบ้าง ?" หลวงปู่ทักถามลูกศิษย์ซึ่งมีที่พำนักอยู่ที่ถ้ำโสดา
"เรื่องทางจงกรมเรื่องภาวนา ได้ทำดีขึ้นมา รึว่าบ่ได้สองชั่วโมงซี โธ่...บ่ได้เรื่อง ต้องได้สองชั่วโมง ทำเล่นๆ อยู่บ่ได้ความแต่อย่างใด ต้องเหมือนว่า จากนี้ไปหลังทำวัตรสวดมนต์"
"จากนี้ไปเดินให้ได้สองชั่วโมง จึงค่อยไหว้พระสวดมนต์ด้วยตนเอง แล้วก็นั่งภาวนา นี่ถ้าจะเดินจงกรมนี่ซักสิบนาทีถึงหรือบ่ถึง ? รึทางจงกรมลายหรือบ่ลายก็บ่ฮู้ ต้องตั้งใจใหม่ ไปทำอย่างนี้บ่ได้นะ"
"การเดินจงกรมนี้เป็นอุบายสำคัญ คือ ร่างกายสะดวกสบาย ไปนั่งอย่างเดียว คือ ท่องหนังสือก็ได้แต่หนังสืออย่างเดียวพอละ มันบ่ได้ ต้องมีข้อวัตรประจำ การเดินบ่ต้องพยายามอะไรมากเด้อ เดินไปถึงกุฏิก็เอาสิ่งของไว้ มีบ่ ทางจงกรมตรงนั้นมีไหมล่ะ ? มันจะตกลงซีถ้ำโสดาน่ะ เห็นว่าทางขึ้นมันลื่น ฝนตกน่ะที่ลื่น ลื่นมาก ทางขึ้นไปน่ะ ถ้าฝนไม่ตกล่ะ มันจะบ่ได้สำเร็จโสดาก่อน เวลามันเพริดลงภูเขาน่ะ โสดาตายแล้ว มันตกภูเขา มันเป็น (ท่านหัวเราะ) โซดาขวดเน้อ...ระวังไว้"
"...ทางจงกรมยาวแค่ไหน ทางนั้น โอ้ ยี่สิบกว่าก้าว มันก็ดีแล้ว หาบ่ได้ละในเมืองโสดา มันได้ขนาดนั้น นึกว่าไปขดอยู่ บ่ได้ ต้องให้มีทางจงกรม ต้องพยายมจุดไฟบ้าง อย่าไปเหยียบงู ไม่ได้ ถ้าเหยียบหัวมันก็บ่เป็นหยัง ปากมันงับลง ถ้าไปเหยียบหางละบ่ได้ อันตราย ต้องตั้งใจขึ้นมาเน้อ ท่านว่าเอาพิธีเดินจงกรมเข้าแก้ (มันก็แก้บ่ได้ละ) ง่วงเหงาหาวนอน แก้ให้มันได้"
"...ลุกจากนี้ไปแล้วละได้เดินจงกรมไหม คือว่า ต้องทำให้เป็นวัตรนะ จึงจะได้ บังคับตัวเองให้เป็นวัตร คือว่า ทุกคืนทุกวันน่ะ หลวงปู่มั่นท่านทำนะ โน่นถามดู รูปเพิ่นอยู่นั่น ถามหลวงปู่มั่นให้ดีว่า หลวงปู่ได้เดินจงกรมอย่างหลวงปู่สิมว่าไหม ถามเพิ่นก็ได้ ถ้าเพิ่นนิ่ง บ่ปากละ เออ...ถูก มันแม่นละ ถ้าบ่ถูก ท่านว่าเอา อูย..บ่ถูก ท่านว่าไป"
"ต้องตั้งใจลงไป อธิษฐานใจลงไปแล้วมันจึงทำได้ ถ้าไปทำลอยๆ อย่างนั้นบ่ได้ ลอยไปลอยมาหนักเข้าก็ได้แต่ ชะยา สะนา กะตา พุทธา แล้วก็นอน (หลวงปู่ท่านหัวเราะ)
พอจบพุทธาแล้วก็นอนลงไปเลย บ่ได้เรื่องละเน้อ ต้องตั้งใจขึ้นมาใหม่ เอาให้ได้"
คัดลอกเนื้อหาจาก หนังสือละอองธรรม สิงหาคม, ๒๕๕๕. หน้า ๕๓-๕๖
ที่ีมา www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=43325
จากคุณ : Mr.Terran
|
|
|
28
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นอนอย่างไรทำสมองไบรท์ยามเช้า มานอนกันอย่างมีความสุข
|
เมื่อ: กันยายน 25, 2012, 09:27:28 am
|
นอนอย่างไรทำสมองไบรท์ยามเช้า
 ขอบคุณภาพประกอบจาก http://monthip.diaryclub.com
เคย ไหมกับอาการสมองตื้อ ระหว่างวันความคิดเชื่องช้า แถมยังมีอารมณ์หงุดหงิดร่วมด้วย วันนี้เรามีวิธีให้มาลองรีสตาร์ท (Restart) ระบบร่างกายตั้งแต่ก่อนนอนไปจนนถึงตื่นนอน ด้วย เคล็ดลับ ต่อไปนี้
ก็เริ่มจาก อาบน้ำอุ่นก่อนนอน จะ ทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ระหว่างนั้น อาจหยดน้ำมันหอมกลิ่นที่เราชอบเล็กน้อยลงไปจะทำให้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ทั้งยังช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ด้วย
ต่อมาเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้หลับไม่ลง อย่าง กาแฟ นิโคติน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสหวาน ชา, น้ำอัดลม, โกโก้, ช็อคโกแลต, สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่รับประทานมื้อหนักก่อน
อีกอย่าง 4ชั่วโมงก่อนนอนไม่ควรออกกำลัง เพราะมีผลกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้หลับยาก
ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานที่ศึกษาด้านการนอนหลับ ของสหรัฐฯ พบว่า การสัมผัสกับแสงไฟนีออนยามนอน โดยแสงดังกล่าว จะไปกดการทำงานของเมลาโทนินฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งควบคุมการนอนหลับ ดังนั้น ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน
เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ใช้เวลา 5นาทีออกไปรับลม และแสงนอกระเบียง หรือหน้าต่าง จะกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส สมองตื่นตัว เพียงเท่านี้ก็บอกลาอาการง่วงซึมระหว่างวันได้แล้ว ยังไงก็ลองเอาไปพิสูจน์กันดู
แหล่งที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/27829
|
|
|
29
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กินหนี ไมเกรน กันเถอะ อย่าลืมปฏิบัติ สมาธิ ด้วยนะคะ
|
เมื่อ: กันยายน 25, 2012, 09:19:17 am
|
โรคหนึ่งที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานก็คือ "ไมเกรน" โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และอาการปวดอาจจะรุนแรงมากจนทำให้การเรียนหรือการทำงานต้องเสียไป การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นคงเป็น การรักษาวิธีหนึ่งที่ผู้ป่วยไมเกรนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงจากอาหารที่จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนขึ้นมา กลุ่มอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะคือ 1. สารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร เช่น เนยแข็ง ปลารมควัน เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธียืดอายุ ของหมักดอง เบียร์ เป็นต้น 2. สารแอสปาแตม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานซึ่งหวานกว่าน้ำตาลปกติ 180-200 เท่า ถึงแม้จะไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ไมเกรน แต่ก็พบว่าในผู้ป่วบบางรายมีอาการปวดศีรษะหลังรับประทานสารตัวนี้ 3. ผงชูรส กลไกการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะอาจมาจากการกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อ ประสาทบางชนิดหรือไปกระตุ้นให้เซลล์ของผนังหลอดเลือดหลั่งสารไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวนำไปสู่อาการปวดศีรษะในที่สุด 4. ไนเตรดและไนไตรต์ (Nitrates and Nitrites) เป็นสารกันบูดที่ใช้ในการถนอมอาหาร เช่น ไส้กรอก เนื้อรมควัน หรือปลารมควัน กลไกการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารไนตริกออกไซด์หรือสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว 5. เครื่องดื่มแอลกฮอล์ โดยเฉพาะในไวน์แดง พบ ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนบ่อย อาจจะทำให้มีอาการปวดศีรษะภายใน 3 ชม.หลังจากดื่มหรือเกิดตามมาในช่วงท้ายก็ได้ เพราะไวน์มีส่วนประกอบของไทรามีน ซัลไฟต์ ฮีสตามีน และฟลาโวนอยด์ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ 6. กาเฟอีน เป็นสารที่พบในกาแฟ ชา โซดา และช็อกโกแลต กาเฟอีนสามารถกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้และยังสามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ขึ้น อยู่กับขนาดและความถี่ของการใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะแนะนำให้หลีก เลี่ยงเครื่องดื่ม อาหาร หรือยาที่มีส่วนประกอบของกาเฟอีน
ที่มา : หนังสือพิมพ์M2F
|
|
|
37
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ฟังธรรม ต้องใจนิ่ง
|
เมื่อ: กันยายน 12, 2012, 10:23:25 am
|
ฟังธรรม ต้องใจนิ่ง นั้นหมายถึง การปล่อยวาง ธุระ หน้าที่ กิจกรรม งานใด ๆ ในระหว่างที่ฟัง คะ คิดดู สิคะ ถ้าฟังธรรม อยู่ พะวงถึง งาน งานไม่เสร็จ ฟังธรรม จะไปรู้เรื่อง อย่างไร ถ้าฟังธรรม อยู่ เกรงเจ้าหนี้ จะมาทวงหนี้ ฟังธรรม จะไปรู้เรื่อง อย่างไร ดัวอย่างนะคะ ดังนั้น การทำใจให้นิ่ง ก็คือ การควบคุมใจ ให้ยุด คิด นึก พูด ทำ ในสิ่งอื่น งานอื่น กิจกรรมต่าง ๆ คะ วิธีการทำ ก็มี 1.อดกลั้น อดทนข่มไว้ ด้วยขันติ และ ทมะ 2.อดกลั้น อดทนข่มไว้ ด้วยปัญญา 3.อดกลั้น อดทนข่มไว้ ด้วยการเจริญสติ 4.อดกลั้น อดทนข่มไว้ ด้วยสมาธิ ทั้งหมดนี้เรียกว่า การวางอุเบกขา ( จาก email ธัมมะวังโส ) 
|
|
|
39
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ฟังธรรม ต้องใจนิ่ง
|
เมื่อ: กันยายน 10, 2012, 10:49:50 am
|
เมื่อใดที่เราฟังธรรม ต้องทำใจของเราให้นิ่งเสียก่อน อุปมาเหมือนน้ำ ที่มีระลอก ไม่สามารถเห็นเงาของผู้มองได้ฉันใด ถ้าใจไม่นิ่ง ก็ไม่มีทาง เห็นตัวเอง ตัวตนของตนเอง ได้ ดังนั้น ผู้มีปัญญา เมื่อฟังธรรม พึงทำใจให้นิ่ง และ ปล่อยวาง ลงเสียก่อน จึงจักฟังธรรม ได้เข้าใจและ ถึงแก่นธรรม
จาก email ธัมมะวังโส ภิกษุ

ขอบคุณหัวข้อธรรมดี ๆ ที่พระอาจารย์มอบไว้ให้คะ
|
|
|
|