ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - tcarisa
หน้า: 1 [2] 3
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดเจ็ดยอด หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 01:42:42 pm
วัดเจ็ดยอด หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร

ตั้งอยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง) ห่างจากตัวเมือง 4 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2020 โดยพระเจ้าติโลกราชกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งราย

สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ ได้แก่เจดีย์เจ็ดยอด ลักษณะคล้ายกับมหาวิหารโพธิที่พุทธคยาในประเทศอินเดีย

ที่ฐานเจดีย์ประดับปูนปั้นรูปเทวดา ด้านนอกพระเจดีย์ก็เช่นกันประดับงานปูนปั้นรูปเทวดาทั้งนั่งขัดสมาธิและยืน ทรงเครื่องที่มีลวดลายต่างกันไปดูงามน่าชม สถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช

เมื่อพระเจ้าติโลกราชสวรรคตในปี พ.ศ.2030 พระยอดเชียงราย ราชนัดดาได้สืบราชสมบัติแทน และโปรดให้สร้างสถูปใหญ่บรรจุอัฐิของพระอัยกาธิราช และ สัตตมหาสถาน คือสถานที่สำคัญในพุทธประวัติเจ็ดแห่ง ได้แก่

โพธิบัลลังก์ อนิมิตเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ อชปาลนิโครธเจดีย์ ราชายตนเจดีย์ ปัจจุบันเหลืออยู่ที่วัดเจ็ดยอดเพียงสามแห่ง คือ อนิมิตเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ มุจจลินทเจดีย์

ที่วัดนี้เป็นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ทรงสนับสนุนคณะสงฆ์นิกายสิงหล (ลังกาวงศ์) ทรงส่งเสริมการเล่าเรียนทางด้านปริยัติธรรม ทำให้ภิกษุล้านนามีความเชี่ยวชาญภาษาบาลี และในปี พ.ศ. 2020 โปรดให้ประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพื่อชำระพระไตรปิฎก ณ วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอดใน ปัจจุบัน) ใช้เวลา 1 ปีจึงเสร็จ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก เป็นครั้งแรกของไทย และถือเป็นหลักปฏิบัติของสงฆ์ในล้านนา





วัดเจ็ดยอดหรือวัดโพธาราม
เป็นวัด่ที่ได้ชื่อว่ามีเจดีย์รูปทรงแปลกที่สุดคือมียอดตั้งแต่บนเรือนธาตุสี่เหลี่ยมถึงเจ็ดยอด เหมือนมหาโพธิ์เจดีย์
พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย จัดเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ประวัติ
สร้างราวปี พ.ศ. ๑๙๙๙ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ลำดับที่ ๑๑ จองอาณาจักรล้านนาไทย โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต
เป็นนายช่างทำการก่อสร้างอารามขึ้น แล้วฌปรดให้ปลูกต้นมหาโพธิ์ในวัด จึงปรากฎชื่อว่า "วัดโพธาราม"
เจ้าอาวาสรูปแรกคือ พระโพธิรังษีมหาเถระ รจนาคัมภีร์จามเทวีวงศ์

เจดีย์เจ็ดยอด
เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย เชื่อว่าถ่ายแบบมาจากมหาโพธิ์เจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย
สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชโปรดให้จัดการประชุมพระเถรานุเถระ
ทั่วทุกหัวเมืองในอาณาจักรล้านนาแล้วทรงคัดเลือกได้พระธรรมทิณ เจ้าอาวาสวัดป่าตาล ผู้ทรงอบรมรู้ภาษาบาลี
เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระองค์ทรงเป็นพระธานฝ่ายคฤหัสถ์ ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งใหญ่เป็นลำดับที่ ๘
โดยทำมาแล้วทั้งในอินเดียและศรีลังกา นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย


พระสถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช
เมื่อพระเจ้าติโลกราชสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๐๓๐ พระยอดเชียงรายราชนัดดาได้สืบราชสมบัติแทน โปรดให้สร้างจิตกาธาน
(เชิงตะกอน) ขึ้นในวัดนี้เพื่อเป็นสถานที่ฌาปนสถานถวายพระเพลิงพระศพของพระดัยกาธิราชแล้วโปรดให้สร้างพระสถูปใหญ่
เพื่อบรรจุพระอัฐิและพระอังคารธาตุของพระเข้าติโลกราชไว้ภายในบริเวณวัดสถูปนี้ก่ออิฐถือปูน ทรงมณฑปสี่เหลี่ยม
ย่อมุมมีซุ้มคูหาเป็นจตุรมุข หลังคาทรงบัวกลม ส่วนเครื่องยอดต่อขึ้นไปก่อเป็นสถูปทรงระฆังกลม ซุ้มคูหาด้านทิศตะวันออก
ฝังเข้าไปในตัวมณฑป ประดิษฐานพระพุทธปฎิมากรปูนปั้นมารวิชัยหนึ่งองค์


ขอบคุณที่มา
http://www.med.cmu.ac.th/secret/admin/web/custom11.html
42  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เชิญเที่ยวชมวัดอุโมงค์ อีกหนึ่งตำนานของชาวเชียงใหม่ ติดดอยสุเทพ ข้าง ม.เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 09:42:41 pm







กับการเข้าไปดูศิลปภาพวาดในอุโมงค์


ภาพจำลองในอดีต ที่กรมศิลปากรถอดแบบออกมา


พระธาตุเจดีย์ บนอุโมงค์


พระอาจารย์สนธยา เคยเล่าให้ฟังว่า เคยไปนั่งกรรมฐาน และ เิดินจงกรมที่นี่ตั้งแต่ ตี 3 ถึง ตี 5
ก่อนออกบิณฑบาตร

ชวนเดินเที่ยว "วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่" ภาค ๓

เจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังกลม มีอิทธิพลจากศิลปะพม่าแบบพุกาม ต่อมาได้มีการบูรณะในสมัยพระเมืองแก้ว การบูรณะครั้งหลังสุดเป็นการปรับปรุงยอด ให้เป็นแบบศิลปะพม่ายุคหลัง ใต้องค์เจดีย์มีกรุ และภาพจิตรกรรมฝาผนังประดับเท่าที่ปรากฏเหลืออยู่ เป็นภาพดอกไม้ใบไม้ และสัตว์ ซึ่งน่าจะมีอิทธิพลผสมกันระหว่างศิลปะพม่า แบบพุกาม และจีน สันนิษฐานว่าเป็นภาพเขียนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑
วัดอุโมงค์ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และกำหนดขอบเขต เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓
(ข้อมูลจาก http://www.doisuthep.com/watcm/index_watcm.html)

สำหรับเว็บไซท์ประวัิติ เว็บวัดเลยนะคะ

http://www.watumong.org/


43  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระธาตุดอยสุเทพ ความภูมิใจของชาวเวียงพิงค์ และ ขอบพระคุณ ครูบาศรีวิชัย เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 09:29:38 pm

ประวัติ
ตามตำนานกล่าวว่า เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้เสด็จมายังดอยอุจฉุปัพพต เพื่อฉันภัตตาหาร พร้อมด้วยพระสาวก ณ ที่นี้มีย่าแสะแม่ลูกได้ตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า พระองค์จึงมอบพระเกศาธาตุให้ประดิษฐานไว้ที่ดอยแห่งนี้ ตามประวัติพระเจ้ากือนา กษัตริย์พระองค์ที่ ๘ ของ ราชวงศ์เชียงราย ได้พระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเศียร จากพระมหาเถรองค์หนึ่งที่ได้นำมาจากเมืองสุโขทัย ในชั้นต้น พระองค์ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุนี้ไว้ที่วัดสวนดอก ต่อมาปรากฎว่า พระบรมสารีริกธาตุได้แสดงปาฏิหารย์ แยกออกเป็น ๒ องค์ ขนาดเท่าเดิม พระเจ้ากือนา จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวขึ้นบนหลังช้างทรง และตั้งบารมีเสี่ยงช้าง ช้างทรงได้เดินขึ้นไปบนดอยสุเทพ ครั้นถึงบริเวณที่ตั้งวัดพระบรมธาตุ ฯ ปัจจุบัน ช้างทรงนั้นก็กระทืบเท้าส่งเสียงร้องไปทั่วบริเวณ แล้วล้มลง ณ ที่นั้น พระเจ้ากือนา จึงให้สร้างพระบรมสารีริกธาตุขึ้น ณ ที่นั้น เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๗ เป็นเจดีย์แบบเชียงแสนผสมลังกา

      สิ่งสำคัญรอบองค์พระธาตุมี 5 ประการ
   1. ฉัตร ๔ มุม : ทำด้วยทองเหลือง สร้างโดยพระเจ้ากาวิละ กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๘ มีความหมายว่า ฉัตรเป็นสัญลักษณ์ของความร่มเย็น ซึ่งแสดงให้ถึงความสงบร่มเย็นที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาที่แผ่ไปใน ทั้ง ๔ ทิศ

   2. สัตติบัญชร หรือ รั้วหอก : ที่อยู่รอบพระธาตุ ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุของโทณพราหมณ์ เมื่อภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แย่งพระบรมสารีริกธาตุของเมืองต่างๆ เพื่อนำไปไว้บูชาประจำเมือง โทณพราหมณ์จึงทำหน้าที่แบ่ง โดยให้ทหารถือหอกรอบล้อมพระบรมสารีริกธาตุไว้ เพื่อป้องกันการแย่งชิง จึงเป็นที่มาของรั้วหอกรอบพระบรมธาตุ

   3. หอยอ : ลักษณะเหมือนวิหารขนาดเล็ก ประจำอยู่ ๔ ด้าน ของพระบรมธาตุ ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ มีความหมายถึงการบูชาหรือสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า (ยอคุณ)

   4. หอท้าวโลกบาล : ซึ่งเป็นหอยอดแหลมขนาดเล็ก ประจำอยู่ ๔ มุมของพระบรมธาตุ หมายถึง ที่ประดิษฐานของท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ซึ่งเป็นเทพที่ปกปักรักษาสิ่งสำคัญต่างๆ ๔ ทิศ ทำหน้าที่รักษาพระบรมธาตุ ได้แก่

      1.ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ มียักษ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่เฝ้ารักษาทิศเหนือ

      2.ท้าวธตรัฐ มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาทิศตะวันออก

      3. ท้าววิรูฬปักข์ มีฝูงนาคเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศตะวันตก

      4. ท้าววิรุฬหก มีอสูรเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศใต้

   5. ไหดอกบัว หรือ ปูรณะฆะฏะ (ปูรณะ แปลว่า เต็ม,สมบูรณ์, ฆฏะ แปลว่า หม้อ) แปลว่า หม้อที่แสดงถึงความสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรื่องของพระพุทธศาสนาในล้านนาไทย

ที่ตั้ง
ที่ตั้ง พระบรมธาตุดอยสุเทพเป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งของเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานอยู่บนดอยสุเทพ สูงจากระดับน้ำทะเล ๑๐๐๐ เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง ห่างจากตัวเมืองเก่าประมาณ ๑๐ กิโลเมตร สามารถมองเห็นจากตัวเมืองได้ชัดเจน และเมื่อขึ้นไปอยู่ที่พระบรมธาตุ ก็จะเห็นตัวเมืองเชียงใหม่ได้ทั้งหมด มีบันไดนาคเจ็ดเศียรทอดจากทางขึ้นไปถึงซุ้มประตูวัด จำนวน ๓๐๐ ขั้น ครูบาศรีวิชัยได้บอกบุญชักชวนชาวเหนือ ให้ช่วยกันสร้างถนนจากเชิงดอยไปจนถึงยอดดอย ณ ที่ตั้งพระบรมธาตุ

44  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่อผัน จิณฺณธมฺโม วัดราษฎร์เจริญ (แปดอาร์) ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 09:24:23 pm

พระครูสรกิจพิจารณ์

(หลวงพ่อผัน  จิณฺณธมฺโม)

เกจิดังแห่งลุ่มแม่น้ำป่าสัก จ.สระบุรี

วัดราษฎร์เจริญ (แปดอาร์)   ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี

วันนี้ ผมใคร่ขอนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับสุดยอดเกจิดัง แห่งวัดแปดอาร์ เทพเจ้าแห่งความเมตตา ของชาวสระบุรี รวมทั้งศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศอีกจำนวนมาก เจ้าของวัตถุมงคลอันลือลั่น "เหรียญ แทงคอหมู(ไม่เข้า)"

พระผู้ มรณภาพแล้วศพไม่เน่า กลับมีร่างที่แข็งประดุจหินสีขาว มีเกศาและเล็บงอกยาว

ใน ส่วนของภาคประวัติ และวัตถุมงคลรุ่นดังของหลวงพ่อนั้นผมคงไม่นำมากล่าวในที่นี้ เนื่องจากผมได้รับความเมตตาจากทาง คุณแล่ม แห่งหน้าพระเครื่อง นสพ. คม ชัด ลึก เรียบเรียงไว้อย่างน่าติดตาม และลงเผยแพร่ทางหน้าพระเครื่อง คม ชัด ลึก เมื่อ วันพฤหัสบดี ที่๒๔ มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ให้ความสนใจ เดินทางมากราบ หลวงพ่อผัน ที่วัดแปดอาร์ อย่างมากมาย

สำหรับท่านที่อาจพลาดชมเรื่องนี้คลิ๊ก ชมได้ตามลิงค์นี้เลยครับ

http://www.komchadluek.net/2008/01/24/x_phra_j001_186930.php?newsid=186930

 สำหรับวันนี้ผมขอนำภาพบางส่วน ที่น่าจะเป็นการเผยแพร่ทาง อินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก มาให้ได้ปันกันชมนะครับ



ภาพถ่ายระยะใกล้ร่างของหลวงพ่อแข็งเหมือนหินและมีสีขาว



รูปเหมือน ของหลวงพ่อที่มีผู้มากราบขอพรและปิดทอง

สำหรับท่านที่อยากมากราบร่างอันเป็นอมตะของท่าน พร้อมกับร่วมทำบุญกับทางวัดสามารถ สอบถามเส้นทางได้ที่หมายเลขโทรศัพท์

๐๘๑ ๘๕๑ ๑๕๓๒ และ ๐๘๖ ๐๘๖ ๙๕๕๓


เอาใจคนสระบุรี กับพระเกจิ รูปนี้ก็สนใจว่าจะเข้าไปกราบ ตอนไปฝึกที่วัดธรรมกาย น่าจะอยู่ใกล้ ๆ คะ
45  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เชิญร่วมพิธีทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2554 ในวันที่ 1 มกราคม 2554 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 04:39:25 pm
เทศบาลนครลำปาง  เชิญร่วมพิธีทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2554
ในวันที่  1  มกราคม  2554 ณ สนามกีฬาจังหวัดลำปาง (หนองกระทิง)




กำหนดการ
เวลา  06.00 - 06.30 น.    - ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ - สามเณร จำนวนประมาณ 500 รูป
เวลา  06.30 - 07.00 น.    - ข้าราชการและประชาชนพร้อมกัน ณ สนามกีฬาจังหวัดลำปาง
เวลา  07.09 น.               -  ประธานพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
                                        -  พิธีกรนำไหว้พระรัตนตรัย และสมาทานเบญจศีล
                                  -  เจ้าคณะจังหวัดลำปาง กล่าวสัมโมทนียกถาอวยพรปีใหม่
                                  -  ถวายเครื่องไทยธรรมแด่เจ้าคณะจังหวัดลำปาง
                                  -  พระสงฆ์ - สามเณร เดินแถวเข้าสู่สนามกีฬาจังหวัดลำปาง
                                  -  พิธีกรนำกล่าวคำถวายอาหารบิณฑบาต
                                  -  พระสงฆ์อนุโมทนา
                                  -  เจ้าคณะจังหวัดลำปางนำพระสงฆ์ - สามเณร เดินบิณฑบาตร
                                  -  เสร็จพิธี
46  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / โครงการ "ทุนสร้างคน สร้างบัณฑิต รุ่นที่ 13/2554" จำนวน 34 ทุน เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 04:36:25 pm
   

โครงการ "ทุนสร้างคน สร้างบัณฑิต" รุ่นที่ 13//2554 (มูลนิธิดำรงชัยธรรม)
นำเข้าเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2553 โดย ประวีณา สร้อยจิตต์
อ่าน [505]
Share |

ค้นหาข่าวในหมวดเดียวกัน 

..................

มูลนิธิ ดำรงชัยธรรม  โดยนายไพบูลย์   ดำรงชัยธรรม  ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  และ บริษัท จีเอ็มเอ็ม  แกรมมี่  จำกัด(มหาชน)             ได้เปิดโครงการ "ทุนสร้างคน สร้างบัณฑิต  รุ่นที่ 13/2554"  จำนวน  34  ทุน

โดยแบ่งประเภททุนเป็น

- ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  จำนวน  25  ทุน

- ระดับอุดมศึกษา  จำนวน  9  ทุน   

โดยผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติตามที่มูลนิธิฯกำหนด   เปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนสิงหาคม - 5  ตุลาคม  2553

ผู้สนใจสามารถส่งใบสมัครพร้อมรายละเอียดได้ที่  มูลนิธิดำรงชัยธรรม  เลขที่  50  อาคาร  จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส

ถนนสุขุมวิท 21 (อโศก)   แขวงคลองเตยเหนือ   เขตวัฒนา  กรุงเทพฯ  10110

หากมีข้อสงสัย  ติดต่อคุณสมหมาย  แก้วอุไร  โทนศัพท์  02-6699614  วันจันทร์ - วันศุกร์  เวลาทำการ 09.00-18.00  น.

และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.damrongchaitham.com

ติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่  กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา 
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา  เขต 6  โทร  044-461182
47  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขึ้นกรรมฐาน มาแล้ว ควรจะทำอย่างไรต่อไป ดีคะ เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 12:04:34 pm
หลังจากได้ไปขึ้นกรรมฐาน ที่วัดราชสิทธาราม คณะ 5 มาแล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกว่ามีอะไรให้โทรถาม

แต่หลังจากขึ้นมาแล้ว ก็ปฏิบัติตามโดยกำหนดจิตที่ ฐานจิตที่ 1 พระขุททกาปีติ แล้ว ภาวนาพุทโธ ไปเรื่อย ๆ

ก็ยังไม่รู้สึกว่าจะทำได้ จิตอยู่ภายใต้ความง่วงบ้าง หรือ เลิกก่อนบ้าง ควรทำอย่างไรดีคะ

  เพราะรู้สึกว่า กำหนดอย่างนี้ยาก กว่าตอนไปปฏิบัติที่วัดธรรมกาย อีกคะ

   :25:
48  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำทำนายของคนชอบ นิ้ว ต่าง ๆ เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:13:37 pm







คำทำนายของคนชอบ นิ้วหัวแม่มือ

คุณเป็นคนแปลกไม่แคร์สังคม ไม่แคร์สายตาผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบฉบับชองตัวเองมากที่สุด คุณมีความเชื่อมั่นมากและมีความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบ กฏของสังคมไม่สามารถมาล้อมกรอบคุณได้ทั้งนี้เป็นเพราะ คุณมีความอิสระซ่อนเร้นอยู่มากมายความหลักแหลมซื่อสัตย์ ตะลุยฟันผ่าไปค้นหาในสิ่งที่คุณอยากได้ คุณจะไม่สนใจอะไรแบบมองผ่านๆ ไปที ความสนใจของคุณที่มีต่อสิ่งที่คุณสนใจอยู่จึงมีมาก อารมณ์รุนแรงความโกรธของคุณรุนแรง กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้าก็พังพินาศหมด

 

คำทำนายของคนชอบ นิ้วก้อย

คุณมักจะตกอยู่ในโลกของความฝันมากกว่าโลกของความเป็นจริง มีนิสัยน่ารักแต่เก็บกดมักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของคุณออกมาให้คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ในเรื่องของความรัก คุณมักจะคล้อยตามอารมณ์ ความรู้สึกร่วมไปด้วยเสมอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น คุณอาจจะร้องไห้เมื่อเพื่อนสนิทของคุณอกหัก หรืออาจจะกรี๊ดกร๊าดเมื่อเพื่อนคุณมีความสุข เมื่อพบกับหนุ่มหล่อเท่ คุณเป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น พอใจในคนรักของตัวเองไม่จุกจิกจนน่ารำคาญใจ ผู้ใดใกล้ชิดหรืออยู่ด้วยก็สบายใจไปแปดอย่าง เวลาที่ชายหนุ่มได้คุยกับคุณสักพักเขาจะรู้สึกสบายใจและสนุกสาน คุณมีคุณสมบัติของลูกผู้หญิงเต็มตัวลักษณะเด่นของคุณ คือคุณสามารถทำให้ผู้ชายรู้สึกตัวว่าอยู่ด้วยแล้วมีความสุข คุณเป็นคนที่จริงใจกับความรักเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยลืมวันสำคัญๆ เลย ลึก ๆแล้วคุณเป็นคนที่โรแมนติกนะจ๊ะ

 

คำทำนายของคนชอบ นิ้วนาง

คุณเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง หนุ่มใดที่มาใกล้ชิดคุณเอาอกเอาใจคุณ แต่ไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา(เสแสร้ง) คุณจะเกลียดมากจนไม่อยากจะเจอะเจออีกเลย แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ชอบเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตา มาตามจีบคุณหรือให้ความสนใจในตัวคุณ คุณเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้นิสัยคุณจริง ๆ คือ คนที่ใกล้ชิดคุณเท่านั้น ที่จะรู้ว่าภายใต้ความรู้สึกที่เข้มแข็งของคุณนั้น คือความบอบบางคุณเป็นคนที่ชอบคุยและก็คุยได้สนุกเสียด้วยสิ การได้โต้เถียงหรือทำตัวเหมือนดื้อรั้นคือความสุขของคุณจริงๆ คุณอาจจะรู้สึกเหงาหรือไม่มีเพื่อน ถึงแม้คุณจะผิดหวังอกหัก แต่คุณก็สามารถบอกกับใคร ๆ ได้ว่าธรรมดาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่ได้ใส่ใจด้วย ทั้งที่ลึกๆ แล้วคุณปวดร้าวน่าดู ก็แค่ระยะเวลาไม่นานนักคุณก็จะกลับมาเฮฮาปาร์ตี้ได้เหมือนเดิม

 

คำทำนายของคนชอบ นิ้วกลาง

คุณเป็นคนที่มีจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจิตนาการสูงในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ คุณมีบทบาทมากมายในชีวิตบางทีคุณก็ดูเงียบขรึมบางทีคุณก็ดูร่าเริง และในบางครั้งคุณก็จะทำตัวเป็นที่น่าส่งสารของผู้ได้พบเห็น คุณเป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นผู้หญิงที่ขี้อายถ่อมตน คุณมักจะประหม่าหรือเคอะเขินเมื่อยู่ใกล้ชายหนุ่ม นิสัยไม่มั่นใจในตัวเอง คุณจึงกลัวไปทุกเรื่อง กลัวว่าจะสวยไม่พอบ้างล่ะ ..... กลัวว่าหุ่นจะไม่ดีบ้างล่ะ ..... กลัวว่าคุณจะไม่ฉลาดพอบ้างล่ะ หนุ่มใดมาจีบคุณต้องสร้างความมั่นใจให้กับคุณโดยการพูดซ้ำบ่อยๆ ให้คุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณมีอยู่น่ะดีเลิศวิเศษหรู คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของผม (ทำนองเดียวกับบ้ายอนะแหละ)

 

คำทำนายของคนชอบ นิ้วชี้

คุณมักจะชอบทำอะไรแปลก ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน คุณมีเสน่ห์บางอย่างในตัวที่ดึงดูดใจผู้ที่มาใกล้ชิด มีแบบฉบับการแต่งตัวเป็นของตัวเอง มีความเชื่อมั่นว่าตัวคุณจะดูดีในชุดที่เลือกใส่เอง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวิงตามแฟชั่นให้มันเมื่อยตุ้ม คุณรักความหรูหราแบบแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร ยิ่งเป็นเครื่องประดับที่แปลกๆ หายากหรือไม่เหมือนชาวบ้านด้วยแล้วเป็นอะไรที่คุณโปรดปรานมากเลย ความเฉลียวฉลาด ความสง่างามของคุณนั้นนับว่าเป้าสาวไฮโซทรงเสน่ห์ ที่มีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามได้มากมายมีรสนิยมสูง หนุ่มคนใดหวังจะชวนคุณไปทานข้าวละก็ จำไว้เลยว่าร้านข้าวแกงข้างถนนน่ะชวนได้ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ต่อไปคุณไม่ไปไหนมาไหนกับหนุ่มคนนี้อีก อย่าลืมว่าคุณชอบของแปลก ๆ ในความแปลกของคุณน่ะคือจุดอ่อน
49  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / บันทึกลึกลับ หลวงพ่อผัน พระเกจิเมืองสระบุรี เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 10:08:36 am





หลวงพ่อผัน วัดราษฎร์เจริญ(วัดแปดอาร์) ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี หลวงพ่อผัน (พระครูสรกิจพิจารณ์) ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๕๔ ปีกุน ณ บ้านหนองแขม หมู่ ๑ ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี


อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๗๔ ณ พัทธสีมาวัดหนองโสน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระ นครศรีอยุธยา โดยมี พระครูนิเทศธรรมคาถา วัดบ้านสร้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการจาด วัดวงษ์สวรรค์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการหนู วัดบ้านสร้าง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "จิณฺณธมฺโม" หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดราษฎร์เจริญ


ในช่วงที่ หลวงพ่อผัน เข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรก สภาพของวัดราษฎร์เจริญทรุดโทรมอย่างหนัก อาคารเสนาสนะต่างๆ ชำรุดมาก หลวงพ่อก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์จนดีขึ้นตามลำดับ และมีความเจริญรุ่งเรืองครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน หลวงพ่อผัน เป็นพระเถราจารย์ผู้มีประพฤติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และปฏิบัติกิจการพระศาสนาอย่างถูกต้อง


อีก ทั้งท่านยังมีเมตตาธรรมใน การปกครองคณะสงฆ์ งานด้านต่างๆ เช่น งานสาธารณูปการณ์ การก่อสร้างศาสนวัตถุต่างๆ ภายในวัด ท่านก็ได้เป็นผู้นำดำเนินการก่อสร้างเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาและพุทธ ศาสนิกชนมากมาย


เช่น ก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ วิหารกุฏิ ฌาปนสถาน ซุ้มประตูหน้าวัด กำแพงรอบวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้สอยและความสวยงาม ร่มรื่นเป็นระเบียบเรียบร้อยในทุกๆ ด้าน
นอกจากนี้ ท่านยังได้สนับสนุนในการก่อสร้างอาคารเรียนของ

โรงเรียนวัดราษฎร์เจริญ เพื่อประโยชน์แก่ลูกหลานชาวบ้าน ตลอดทั้งให้ความเอื้อเฟื้อแก่ชุมชนชาวบ้านทุกครัวเรือน
หลวง พ่อผันเป็นพระสุปฏิปัณโณ ผู้มีเมตตาธรรมสูง มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิบัติกิจของพระศาสนาอย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล


และ ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ หลวงพ่อผัน ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากท่านหนึ่งของ จ.สระบุรี ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปให้ความเคารพนับถือ และเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก


หลวง พ่อปฏิบัติตัวเป็นพระของ ชาวบ้านอย่างแท้จริง ไม่ถือตัว ไม่เลือกชั้นวรรณะ เวลามีญาติโยมมานิมนต์ให้ท่านไปงานบุญกุศลต่างๆ ท่านจะสนองศรัทธาถ้วนทั่วทุกบ้านเรือน โดยไม่ถือว่าจะเป็นบ้านของคนมั่งมี หรือบ้านของคนยากจน ท่านให้ความเสมอเหมือนกันหมด
ส่วนจตุปัจจัยที่ท่าน ได้รับ จากการที่มีผู้ศรัทธาถวาย ท่านจะนำมาก่อสร้างถาวรวัตถุ เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดราษฎร์เจริญ จนหมดสิ้น ไม่เก็บสะสมไว้เป็นสมบัติส่วนตัวแต่ประการใด จึงทำให้วัดมีความมั่นคงอยู่จนทุกวันนี้


หลวงพ่อได้ละสังขารไป เมื่อ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๘สิริรวมอายุ ๙๔ ปี และได้เกิดปาฏิหาริย์พิเศษ คือ สรีระของหลวงพ่อ ไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยแต่อย่างไร กลับแข็งเหมือนหิน มีลักษณะเป็นสีขาวเหมือนแป้ง


ขณะเดียวกัน ได้ปรากฏในเวลาต่อมาว่า ทั้งเส้นผม และเล็กมือเล็บเท้าของหลวงพ่อได้งอกยาวออกมาจากเดิมอีกด้วย วัดจึงเก็บรักษาสรีระของหลวงพ่อไว้ในหีบแก้ว โดยตั้งบำเพ็ญกุศลเพื่อให้ศรัทธาสาธุชนทั่วไปสักการบูชาจนถึงทุกวันนี้


ใน ส่วนวัตถุ มงคล หลวงพ่อผัน ท่านได้สร้างไว้หลายรุ่น ล้วนมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ ด้าน ที่นิยมกันมาก คือ เหรียญรุ่นแรก ปี ๒๕๐๕ เป็นเหรียญเสมา รูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ ออกเนื่องในโอกาสได้รับพระราชทานสมณศักดิ์


และเหรียญที่สร้าง ความโด่ง ดังให้หลวงพ่อมากเป็นพิเศษ คือ เหรียญรุ่นแทงคอหมู เป็นเหรียญรูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ อยู่ในซุ้มใบเสมา คล้ายๆ กับเหรียญรุ่นนั่งพานของพระเกจิอาจารย์บางท่าน เหรียญนี้ออกในโอกาสบูรณปฏิสังขรณ์วัด ปีใดไม่แน่ชัด
สาเหตุที่ได้เรียก เหรียญรุ่นนี้ว่า "รุ่นแทงคอหมู" เนื่อง มาจากสมัยที่เหรียญรุ่นนี้ออกให้ทำบุญใหม่ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งได้รับเหรียญนี้มา แล้วเอาเหรียญใส่ไว้ในซองยาทัมใจ จากนั้นจึงเอาซองยาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง


ชาวบ้านคนนี้มีหน้าที่แทงคอหมู เพื่อชำแหละส่งขายตลาด วันนั้นหลังจากได้รับเหรียญหลวงพ่อผันแล้ว ก็ยังคงทำหน้าที่เพชฌฆาตตามปกติ
ขณะ ที่เขาแบกหมูเอาไว้บนบ่า แล้วเหวี่ยงตัวหมูลงบนโต๊ะ เพื่อที่จะฆ่านั้นเอง ซองยาในกระเป๋าเสื้อของเขา ได้หลุดลอยตกลงบนโต๊ะฆ่าหมูก่อนแล้ว ทำให้ตัวหมูทับซองยานั้นพอดี


จากนั้นเขาได้เอามีดปลายแหลมแทง เข้าที่คอหมู เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ แต่วันนั้น...เกิด เหตุการณ์ประหลาด เพราะปลายมีดอันคมกริบ ไม่สามารถจะแทงคอหมูเข้าได้เลย จึงเปลี่ยนมุมแทงอีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏแทงไม่เข้าเหมือนเดิม
เขาแปลกใจมาก จึงพลิกตัวหมูขึ้นมา ก็พบกับ ซองยาทัมใจที่ใส่เหรียญหลวงพ่อผัน ตกอยู่ใต้ตัวหมู จึงรู้ได้ทันทีว่า ที่แทงคอหมูไม่เข้า เพราะเหรียญหลวงพ่อผัน นี่เอง


ตกลงว่า หมูตัวนั้น...รอดตายราวปาฏิหาริย์ และที่น่ายินดีอีกอย่าง คือ ชายคนนั้นเลิกอาชีพฆ่าหมูอีกต่อไป
ปาฏิหาริย์ เรื่อง "แทงคอหมู" ของ เหรียญหลวงพ่อผัน รุ่นนี้ลือกระฉ่อนไปทั่วหมู่ลูกศิษย์ และผู้เคารพศรัทธาในหลวงพ่อผัน ต่อมาได้ขยายสู่แวดวงนักสะสมพระเครื่องโดยทั่วไป จนทุกวันนี้ เหรียญรุ่นแทงคอหมู กลายเป็นเหรียญหายาก และมีราคาเช่าหาแพง อีกเหรียญหนึ่งของ...พระเกจิอาจารย์ดังแห่งเมืองสระบุรี


ที่มา http://www.siammongkol.com/productinfo.php?code=02078
50  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 17 อาการของคุณที่ทำให้เขาสติแตก!! ศิลปะการครองเรือน อ่านดูอาจจะดี เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 02:45:14 pm

17 อาการของคุณที่ทำให้เขาสติแตก!!
1. จู้จี้ขี้บ่น
ผู้ชาย อาจพอใจเมื่อได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นครั้งคราว แต่เมื่อการเอาใจใส่ดูแลกลายเป็นจู้จี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาจะรู้สึกเหมือนถูกควบคุมจนหายใจไม่ออก คุณจู้จี้ได้นิดหน่อย ดูแลเขาได้เล็กน้อย แต่เท่านั้นพอ เมื่อเขาพูดว่า "ผมสบายดี ที่รัก" ก็ถึงเวลาถอยห่างออกมา ถ้าได้เรียนรู้ว่าเมื่อผู้ชายต้องการความช่วยเหลือ เขาจะร้องขอเอง

2. บุกรุกความเป็นส่วนตัว
ทุกคน ย่อมต้องการโลกส่วนตัว สถานที่ที่ผู้ชายจะอยู่ลำพัง เขาอาจจะอยากคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องงาน ความทะเยอทะยาน ความใฝ่ฝัน หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าคุณถามเขาว่า "กำลังคิดอะไร?" เขามักจะตอบว่า "เปล่า" แต่ถ้าคุณรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ก็อย่ารุกเร้าเขาอีกต่อไป ให้เวลาส่วนตัวกับเขาบ้าง

3. ตอบ "เปล่า" เมื่อเขาถามว่า "เป็นอะไรไป?"
เมื่อ ผู้ชายถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แสดงว่าสัมผัสที่หกซึ่งไม่ค่อยมีอยู่แล้วของเขาบอกว่าคุณมีปัญหาคาใจ บางครั้งเขารู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่รู้ การตอบเขาว่า "เปล่า" ไม่ช่วยอะไรเลย สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือตอบเขาอย่างซื่อตรงในครั้งแรกที่เขาถาม ไม่อย่างนั้นเขาอาจเชื่อคำตอบของคุณและเข้านอนคนเดียวโดยไม่สนใจคุณว่าคุณ กำลังมีปัญหาจริงๆ

4. ตัดสินใจไม่ได้
เขาจะ ตัดสินใจว่าอยากกินอะไรได้ภายใน 30 วินาที ขณะที่คุณกวาดตามองทั่วทุกเมนู ทีละรายการและพยายามตัดสินใจ และที่เลวร้ายสำหรับผู้ชายคือการช้อปปิ้งของผู้หญิง คุณลองเสื้อตัวแล้วตัวเล่าแต่ก็ไม่ตัดสินใจซื้อสักตัว สำหรับเขาเสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องนุ่งห่ม อย่าไปทำให้เขาทุกข์ทนกับจิตใจรวนเร พยายามตัดสินใจฉับไวเป็นครั้งคราว

5. ชวนทะเลาะเพื่อจะขอคืนดี
บาง ครั้งผู้หญิงหาเรื่องทะเลาะเพียงเพราะจะทำแบบนั้น ผู้หญิงชอบความสนิทสนมที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางอารมณ์ระหว่างคู่รัก ผู้ชายมองว่าการด่าทอเป็นเรื่องเลวร้าย พวกเขาไม่ชอบวิธีกระชับความสัมพันธ์แบบนี้ ดังนั้นถ้าคุณจะทะเลาะกับเขา ขอให้แน่ใจว่าคุณได้ประโยชน์พอจะทำอย่างนั้น

6. บอกใช่ (แต่หมายถึงไม่)
ผู้ชาย ไม่สามารถอ่านใจคุณได้ พวกเขาจะถือเอาคำพูดของคุณตามที่คุณพูดทุกคำ ไม่หมายถึงไม่ ใช่หมายถึงใช่ บางครั้งเขาสับสนกับการที่ไม่คือใช่ และใช่คือไม่ เขาจึงต้องใช้ความพยายามในการเดาความหมายที่แท้จริงของคุณ แต่มันน่าหงุดหงิดเมื่อเขาเดาผิดซะครึ่งนึง

7. โวยวายกล่าวหา
ควร หัดพูดอย่างมีเชิงเมื่อต้องบอกเขาว่าคุณไม่พอใจอะไร เขาทำไม่ได้ดั่งใจคุณทุกครั้งแน่ หากคุณอยากได้ดอกไม้ ลองซื้อดอกไม้ให้เขาแทน และดูว่าเขาเข้าใจสิ่งที่คุณสื่อหรือเปล่า เขาอาจจะรู้สึกทุกข์ใจด้วยความรู้สึกผิดจนนอนไม่หลับเชียวล่ะ

8. เปรียบเทียบเขากับพ่อของคุณ
ผู้ชาย จะชื่นชมผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองทีสามารถดูแลตัวเองได้ ที่เขาไม่อยากได้คือผู้หญิงที่เริ่มต้นแหงนมองหน้าเขาและขอให้เขาดูแลเธอ พวกเขาต้องการคู่ชีวิต การเปรียบเขากับพ่อของคุณทำให้เขาหมดความสนใจคุณอย่างสิ้นเชิง

9. พยายาม "เห็นใจ" ปัญหาของเขา
วิธี การรับมือผู้ชายที่กำลังมีปัญหาเรื่องงานหรือชีวิตด้านอื่นคือ ปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหานั้น เขาจะพร่ำพูดว่าทุกอย่างย่ำแย่สำหรับเขา และเขาใช้สติปัญญาจนหมดแล้วยังไม่รู้จะทำยังไง อย่าเปรียบเทียบปัญหาว่าขี้ปะติ๋วสำหรับคุณ เขาอยากให้คุณฟังปัญหาของเขาเท่านั้น

10. พูดอ้อมค้อม
เพราะ เขาเป็นเพศที่ขาดความอดทน ถ้าคุณมีเรื่องจะบอกเขา จะได้ผลมากที่สุดถ้ายึดหลักพูดให้สั้นและอ่อนหวาน ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจสำหรับผู้ชายคนหนึ่งมากไปกว่าการฟังเรื่องที่เล่าอ้อม ค้อม

11. นินทา
พวก เขาไม่เห็นด้วยกับการจิกกัดว่าร้ายคนอื่นเพราะบุคคลที่ตกเป็นเป้านั้นไม่ได้ อยู่ตรงนั้นเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง แล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหน? นี่เป็นเหตุผลที่เขาเลี่ยงไม่ยอมร่วมวงนินทา

12. ปากพล่อย
เมื่อ ไรก็ตามที่ผู้ชายพบว่าคู่รักของเขาเปรียบเทียบเรื่องบนเตียงของตัวเองกับของ เพื่อน ความรู้สึกแรกของเขาคือสิ้นหวัง เขาจะมีหน้าไปพบเพื่อนคุณได้อีกหรือ ความรู้สึกต่อมาคือเขาถูกคุณหักหลัง เขาไว้ใจคุณด้วยการเปิดเผยความลับด้านมืดที่สุดและลึกที่สุดของเขา แต่เขากลับเป็นอาหารปากกลางวงสนทนาของคุณกับเพื่อน

13. ถามเขาว่า "คุณรักฉันไหม"
แน่ นอนถ้าเขาไม่ได้บอกรักคุณมาพักหนึ่งแล้ว คุณถึงควรจะหยิบยกหัวข้อนี้มาพูดเป็นครั้งคราว ต้องยอมรับว่าสมองของเขาแปลกที่ไม่สามารถเข้าใจว่าการบอกรักเป็นประจำมีผล ต่อหัวใจของผู้หญิง แต่ผู้ชายก็เป็นผู้ชายอย่างนี้จริงไหม?

14. บ่นไม่หยุด
ผู้หญิง สมัยนี้น่าจะมีอำนาจเท่าเทียมกับผู้ชายทุกด้าน ดังนั้นทำไมเรายังบ่นกันไม่หยุด? ยังไม่มีใครตอบได้ อย่างน้อยผู้ชายก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าคุณคิดถึงแม่ของคุณก่อนจะเริ่มตำหนิเขาในบางเรื่องคุณอาจเลิกคิดบ่นก็ ได้

15.สื่อความหมายสับสน
เมื่อผู้ชายคนหนึ่ง รู้สึกวาคุณสนใจเขา แต่ทุกอย่างที่หลุดจากปากคุณกลับเป็นตรงกันข้าม เขาจะสับสนกับสารที่ได้รับ เช่น คุณหัวเราะกับมุขตลกของเขา คุณสบตาเขา คุณสะบัดผมใส่เขาและไขว้ขาไปทางที่เขาอยู่ แต่เมื่อเขาชวนคุณดินเนอร์คุณกลับปฎิเสธ???

16. พูดถึงแฟนเก่า
เรื่อง ราวเกี่ยวกับแฟนเก่าของคุณเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่สนใจอย่างแน่นอน ความคิดแรกของเขาที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณพูดถึงแฟนเก่าคือ "ดี งั้นทำไมคุณมาอยู่กับผม ไม่ใช่เขาล่ะ" แล้วคุณรู้สึกอย่าไรถ้าเขาเริ่มพูดถึงความนูนเด้งของหน้าอกแฟนเก่าของเขาไม่ หยุดปาก

17. ถือสากับมุขตลกของเขา
ลามก หยาบคาย และไร้รสนิยมคือคุณสมบัติสรุปมุขตลกของผู้ชายทุกคนอย่างย่อๆ แต่เมื่อเขาใช้มุขแบบนั้นกับคุณ มันอาจทำให้คุณเจ็บปวดใจมากๆ แต่คุณต้องรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจังกบมุขตลกนั้น ถ้าแฟนของคุณทำให้คุณรู้สึกด้อยค่ากับคำวิจารณ์ถากถางของเขา บอกเขาตรงๆจะง่ายที่สุด อย่ายิ้มอย่างสุภาพ(สื่อความหมายผิดๆ) อย่าบอกเห็นด้วย (ใช่ แต่หมายถึงไม่) และอย่าบอกว่าเปล่า เมื่อเขาถามว่าคุณมีปัญหาอะไร และอย่าถือสากับมันจะได้ไหม?
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ● 4 ตัวช่วย ในวันที่คุณหมดกำลังใจ ● เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 08:40:23 am
“อย่างน้อยก็เหลือ หัวใจ ที่มันยังคงเต้นอยู่ บอกให้รู้และเตือนว่าเธอยังหายใจ หกล้มก็ลุกขึ้นยืน เจ็บปวดก็ทนเอาไว้ แม้ว่าเธอไม่เหลืออะไร เหลือเพียง หัวใจ ดวงนี้ก็เพียงพอแล้ว” เพลง ” หัวใจ ” ของ Big Ass หรือถ้าเพลงเก่ากว่านี้ก็คงเป็น “แหล่ะในวันนี้เธอนั้นจงหยัดยืนแหล่ะลุกขึ้นอีกครั้ง ด้วยพลังใน หัวใจ อย่าไปยอมแพ้ให้กับปัญหาใดๆ จงพร้อมจะอดทนก้าวไปสู่หนทางที่ฝันใฝ่ด้วยตัวเอง” เพลง “เธอผู้ไม่แพ้” ของพี่เบิรด์ ธงไชย และยังมีอีกหลายๆเพลงที่ให้ กำลังใจ ใน ยามที่เราสิ้นหวังและท้อแท้ เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีใครที่จะเข้มแข็งหรือว่าแข็งแกร่งตลอด 24 ชม. อาจจะมีช่วงที่เกิดอาการท้อใจ จากเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว แต่ในยามที่คุณท้อ ถ้ายิ่งคิดให้มันแย่มันก็เป็นการซ้ำเติมให้ตัวเองหมด กำลังใจ สิ่งที่ทำได้คือคิดในสิ่งที่ทำให้เรามี กำลังใจ เพิ่มขึ้น ผมมีข้อมูลมาจากหลายๆตัวอย่างว่าเวลามีปัญหาจะนึกถึงเรื่องอะไร เผื่อคุณผู้อ่านจะได้มีแรงบันดาลใจอะไรใหม่ๆที่คุณอาจจะคิดไม่ถึง
         
                * นึกถึงตัวเราเอง อย่างคนนอกมองเข้ามา เป็นคำตอบที่ได้มาเยอะมากที่สุดในการหาข้อมูล การนึกถึงตัวเราเองในที่นี้คิดได้ในหลายแง่ เช่น มองสภาพที่เห็น ให้เป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น อย่าเข้าข้างตัวเองเกินไป ทำตัวเป็นคนนอก แล้วดูว่าถ้าเราเป็นคนนอก เราจะคิดอย่างไร และที่สำคัญที่สุด เวลามีปัญหาสิ่งที่ควรจะมีเป็นสิ่งแรกคือสติ ดั่งคำกล่าวที่ว่า สติมาปัญญาเกิด

                *  อยู่กับคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ผู้มีพระคุณ เพื่อนฝูงหรือคนที่เรารัก ทุกบุคคลที่ยกตัวอย่างมา ในชีวิตของคนเราคงต้องมีซักคนที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวข้องในชีวิตของเราและ อย่างน้อยน่าจะมีซักคนที่เราคิดถึงหรือนึกถึงในช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่ๆกับ ปัญหา บางครั้งในขณะที่เราจมอยู่กับปัญหา คำตอบที่เราไม่สามารถหาได้ ทางออกดีๆหรือคำตอบของปัญหาต่างๆอาจจะมาจากคนรอบๆข้างเราก็ได้ เพียงแต่เปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดของคนอื่น การคุยกับเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเป็นสิ่งที่ดีในยามที่เรามีปัญหา อย่างน้อยที่สุดการได้ระบายความรู้สึกออกมาก็พอจะทำให้เรารู้สึก ผ่อนคลาย ว่ามีคนรับฟังเรา จะได้ไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีแต่เราเพียงคนเดียว
               

              * ธรรมะ คน หลายๆคนจะนึกถึงธรรมะเมื่อมีปัญหาคงจะไม่ใช่สิ่งผิดที่จะคิดอย่างนั้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการฝึกจิตใจให้ยอมรับความเป็นไปของโลกนี้ การฝึกนั่งสมาธิไม่ใช่เรื่องยากและยังเป็นที่นิยมในคนยุคใหม่ ถ้าคุณผู้อ่านยังไม่มีโอกาสได้ไปลองหาเวลาไปดูนะครับ อาจจะทำให้ใจที่มันร้อนอยู่ตอนนี้เย็นลงได้ แต่คงจะเป็นการดีกว่าที่เราจะเรียนรู้เรื่องของธรรมะ ตั้งแต่ตอนที่เราไม่มีปัญหาเพื่อจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราเวลาเราต้องเผชิญ กับสิ่งร้ายๆที่เข้ามาในชีวิต

                  * ปลง คำๆ เดียวง่ายๆ แต่มีความหมาย ยากที่จะทำได้ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำ ปลงในที่นี้คือการทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตัวเราคงจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการทำจิตใจของเราให้ยอมรับสิ่งที่มันเป็น ไป ปลงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แต่เป็นการปลงเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่และก้าวต่อไป เพื่อเจอกับสิ่งที่ดีกว่าที่จะเข้ามาในชีวิต

                   หัวข้อที่ยกมาให้คุณผู้อ่านเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ยังมีคำตอบอย่างอื่นอีกเช่น คิดถึงอนาคต, คิดถึงสิ่งดีๆในอดีตช่วงเวลามีความสุขกับเพื่อนในวัยเดียวกัน, เอาตัวไปเปรียบกับคนที่แย่กว่า, ไปนั่งร้านข้างถนนดูผู้คน ทำให้คิดได้ว่าชีวิตเราไม่ได้แย่ถึงขั้นสุด, ออกกำลังกายแล้วกิน (ออกกำลังกายให้เหนื่อยจะได้นอนหลับแถมยังดีต่อสุขภาพ กินของอร่อยก็เป็นการเพิ่มช่วงเวลาที่มีความสุขให้กับตัวเอง) สิ่งสำคัญเวลาที่เราหมด กำลังใจ คืออย่าคิดว่าเราไม่มีใครและอย่าอยู่คนเดียว เพราะการอยู่คนเดียวอาจจะทำให้เราฟุ้งซ่าน ได้ แต่ถ้าคุณมีสติเพียงพอนั่นก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้น คงจะมีบางคำตอบที่ตรงและโดนใจคุณผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะ
52  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศรษฐีกับลูกสาวชาวนา เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 07:00:35 pm
เศรษฐีกับลูกสาวชาวนา
ยี่สิบกว่าปีก่อน ผมเคยได้ยินนิทานเรื่องนี้ :

เศรษฐีคนหนึ่ง ชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวน ในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวน กรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่าน หยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"

ชาวนาตกลง

เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่า กรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ

เธอจะทำอย่างไร?

หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอ ก็ยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน

ลูกสาวชาวนา เอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน พลันเธอปล่อยกรวดในมือ ร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด

เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอ ปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำ อย่างละหนึ่งก้อน ลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออก ดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร"
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ

"...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"

ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น


เราส่วนใหญ่ ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหา สามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหา มีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ เป็นวิธีการหนึ่ง
จาก Fw.mail
53  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / การฝึกอบรมสมาธิ หลักสูตร นิราศาสมาธิ ของวัดธรรมมงคล เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 10:16:23 am







ในสายกรรมฐาน หลวงปู่มั่น นั้น อุบาสก อุบาสิกา จะให้ความเคารพกับ พระภิกษุ และ สามเณร มากคะ


ติดตามเรื่องและภาพ ได้ที่เว็บนี้นะจ๊ะ

http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=4494
54  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สัมมาสมาธิ เป็นอย่างไร เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:45:27 pm
อยากทราบความหมาย ของ สัมมาสมาธิ ด้วย คะ

พอจะอธิบายให้เข้าใจ ง่าย ๆ หรือป่าวคะ
 :25:
55  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ผู้ฝึกวิปัสสนา ควรเตรียมตัวอย่างไรคะ ในการเจริญวิปัสสนา เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2010, 09:35:25 am
ในวิปัสสนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ควรเตรียมตัวอย่างไรคะ

มีอะไรที่ต้องเรียน ต้องรู้ก่อนคะ
 :25:
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดอกบัวแย้มบานรับแสงอาทิตย์อุทัยในยามเช้า ย่อมงดงามด้วยเหตุ 2 ประกา เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 02:23:50 pm

ดอกบัวแย้มบานรับแสงอาทิตย์อุทัยในยามเช้า  ย่อมงดงามด้วยเหตุ 2 ประการ คือ

ประการแรก บัวนั้นเป็นบัวพันธุ์ดี ดอกจึงมีสีที่งดงาม
ประการที่สอง บัวนั้นมีน้ำและโคลนตมคอยหล่อเลี้ยง

พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน จะเจริญงอกงามได้ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
ประการแรก พระภิกษุสามเณรมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
และตั้งใจออกบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง

ประการที่สอง พระภิกษุสามเณรต้องอาศัยปัจจัย 4 อันควรแก่สมณะบริโภค
ซึ่งท่านทานบดีผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธา นำมาอุปัฏฐากบำรุงเลี้ยง ท่านจึงมีเวลาศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรม
ฝึกฝนอบรมตนเองจนเป็นเนื้อนาบุญให้แก่ชาวโลก

ด้วยเหตุ 2 ประการนี้ จึงทำให้พระภิกษุสามเณรเจริญรุ่งเรืองเป็นอายุของพระพุทธศาสนา

อ้างอิง  : พระวิมลศีลาจารย์ พระพุทธโฆสาจารย์ จารวี มั่นสินธร
อ้างอิง  : พระไตรปิฎก

Credit by  : http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7333684/Y7333684.html
57  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมาธิออกเสียง เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 09:43:40 am

การฝึกสมาธิเพื่อช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิมั่นคงโดยการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้นมีด้วยกันหลายวิธี  ไม่ว่าจะเป็นวิธี การนั่งสมาธิ  การนอนสมาธิ  การเดินสมาธิ  แม้จะหลับตา  ลืมตา  ก็เป็นสมาธิได้ทั้งนั้น  หรือแม้กระทั่งวิธีการใช้  สมาธิออกเสียง  ซึ่งวิธีการทำสมาธิโดยการออกเสียงน้นก้เป็นการฝึกสมาธิอีกวิธีหนึ่ง  เมื่อสวดแล้วทำให้จิตใจผู้สวดได้ผ่อนคลายและเป็นการเปิดประตูจิตให้ได้รับแต่สิ่งที่ดีเป็นมงคลเข้ามาสู่ตนเองด้วย

 

การฝึกสมาธิออกเสียงวิธีนี้ได้รับการถ่ายทอดจาก  พระอาจารย์ชาติศักดิ์  ถาวรธัมโม หรือ ครูบาหนุ่ม  ยิ่งยืน  เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมสมาธิออกเสียง  อนุสติกรรมฐาน  วัดบนดอย  ต.แม่ยวม  อ.แม่สะเรียง  จ.แม่ฮ่องสอน

 

พระอาจารย์ชาติศักดิ์  ถาวรธัมโม  หรือครูบาหนุ่ม  ยิ่งยืน  จากเด็กหนุ่มบ้านนาก้าวเข้าสู่เมืองกรุงเพื่อต้องการหางานทำ  แต่ชีวิตกลับพลิกผันกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านภ-ยในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี  แต่ท่าน  พระอาจารย์ขาติศักดิ์  ถาวรธัมโม  ก็เลือกที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อก้าวเดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์และยังปวารณาตนว่า  จะขอครองเพศบรรพชิตดำรงตนอยู่ในพระพุทธศาสนาตราบสิ้นลมหายใจ  แรคือสิ่งดลจิตดลใจให้ท่านตั้ดสินใจเช่นนี้และด้วยปฏปทาอันแน่วแน่ของท่านที่มุ่งหวังจะสอนธรรมะ  จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า  ทำไมชาวแม่ฮ่องสอนถึงได้เคารพศรัทธาในต้วท่านยิ่งนัก

 

เรื่องราวการฝึกสมาธิออกเสียง  อนุสติกรรมฐาน  ของ พระอาจารย์ ชาติศักดิ์  ถาวรธัมโม  หรือ  ครูบาหนุ่ม  ยิ่งยืน  นั้นเป็นแบบอย่างให้เห็นว่าเราสามารถฝึกปฏิบัติสมาธิได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่  หากท่านใดสนใจที่จะฝึกปฏิบัติสมาธิออกเสียงนี้  เชิญแวะอ่านแวะชม และลองนำไปปฏบีติดูได้
58  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Dogstar ชวนดูโคมไฟในวันลอยกระทง Posted by Dogstar เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:13:50 am
Dogstar ชวนดูโคมไฟในวันลอยกระทง Posted by Dogstar


Dogstar ชวนไปดูโคมไฟกระดาษในเทศกาลลอยกระทงเชียงใหม่

          ที่อนุเสาวรีย์สามกษัตย์ปีนี้มีแสงสีกันอย่างคึกคัก ด็อกสตาร์
กับเพื่อนรุ่นน้องไปดูแสงสียามค่ำคืนของเชียงใหม่ก่อนวันลอยกระทง
ไม่กี่วัน การโชวสีสันของโคมกระดาษจัดที่ลานอนุเสาวรีย์
ไกล้กับถนนคนเดินวันอาทิตย์ คือมาชมโคมไฟหลากสีสันแล้วไปเดินเที่ยว
ถนนคนเดินกันแบบไม่เสียเที่ยว
           ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงบ้างแล้วเรียกว่าเดินพอสบายๆ
นักท่องเที่ยวชาวไทยเริ่มมี ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เริ่มมากันเหมือนกัน
แต่ไม่คึกคัก สำหรังด็อกสตาร์คิดว่าบรรยากาศเหงาๆค่ะ อาจเป้นเพราะ
หลังจากอุทกภัยหลายแห่งเกิดในบ้านเรา เศรษฐกิจโลกไม่ดีทำให้
จิตใจห่อเหี่ยวกัน(ลืมบอกว่ามีพวกเสื็อแดงมาออกบูธขนาดใหญ่
แต่ไม่มีใครสนใจ )มาชมภาพกันค่ะ

งานจัดที่นี่แหละ ลานอนุเสาวรีย์สามกษัตย์






สวัสดีค่ะ แล้วจะเพิ่มรูปอีกนะคะ/















59  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์บนดอยจ.เชียงใหม่ผิงไฟแก้หนาว เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 07:39:32 pm
พระสงฆ์บนดอยจ.เชียงใหม่ผิงไฟแก้หนาว
 
   


    เชียงใหม่ พระสงฆ์ สามเณร บนยอดดอยเริ่มประสบภัยหนาว บางเเห่งต้องผิงไฟ หลังอุณหภมิลดลงต่อเนื่อง


    พระ สงฆ์ สามเณร ใน จ.เชียงใหม่ ประสบภัยหนาวแล้ว บางแห่งต้องผิงไฟ โดยเฉพาะในพื้นที่สูง นายจำเริญ ศรีคำมูล นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานว่า พระสงฆ์ สามเณร
    พระธรรมจารึก รวมทั้งสถานปฏิบัติธรรมหลายพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งเจ้าคณะอำเภอ ทั้ง 25 แห่ง ได้แจ้งข้อมูลความเดือดร้อน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอรอบนอก และอยู่บนพื้นที่สูง เช่น อมก๋อย ดอย
    เต่า แม่แจ่ม ฝาง แม่อาย ไชยปราการ เวียงแหง และ เชียงดาว เป็นต้น

    ซึ่งจากข้อมูล พบว่า ปีนี้สภาพอากาศ หนาวเย็นกว่าปีก่อน และคาดว่าจะหนาวนาน แม้จะได้รับงบประมาณ จากส่วนกลางมาดูแลช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง เพราะเชียงใหม่ มีวัด และสถานที่ปฏิบัติธรรมกว่า 1,200 แห่ง มีพระสงฆ์สามเณรกว่า 20,000 รูป ส่วนมากในอำเภอรอบนอก จะอยู่ตามภูเขา ทำให้ประสบภัยทุกปี

    อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ พระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่จะเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งหามาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน เพราะในขณะนี้ มีหลายพื้นที่ พระต้องผิงไฟคลายหนาวและเริ่มป่วยอาพาธกันบ้างแล้ว

นิรันดร์ ไชยชุติกาญจน์ มุกดาหาร 087-4228872

      มุกดาหาร-ภัยหนาวพระภิกษุ-สามเณรต้องก่อไฟ พิง และออกบิณฑบาตไม่ได้

     
http://video.nationchannel.com/data/13/2010/11/10/ccehg6Bbhcdgeckjaciac.flv


      ด้านพระภิกษุ-สามเณรต้องก่อไฟพิงส่วนพระผู้สูงอายูไม่สมาทออก บิณฑบาตไม่ได้ เนืองขณะที่มีอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงส่งผลให้พระภิกษุอาพาธด้วยโรคปอด โรคทางเดินหายใจ

     

      จากสภาพอากาศหนาวเย็นส่งผลให้ด้านพระสงฆ์และสามเณรตามวัดต่างๆ ทั้งในชนบท และในตัวเมืองมุกดาหารโดยเฉพาะพระภิกษุ-สามเณรที่อยู่ในวัด ป่าศิลาวิเวก เขตเทศบาลเมืองมุกฯ ต่างเดือดร้อนขาดแคลนเครื่องกันหนาว

     

      โดยเฉพาะวัดที่อยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้ง 3 อำเภอ พระ เณร เดือดร้อนหนักโดยเฉพาะวัดที่ยู่ริม แม่น้ำโขง ยังขาดหมวก ผ้าขนหนู และอังสะ ให้พระและสามเณรได้คลายหนาว ในห้วงที่มีอากาศหนาวนี้

     

      ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละหน่วยงานต่างก็ระดมกำลังช่วยเหลือผู้ที่ ประสบภัยหนาวโดยได้มุ่งเน้นไปที่เด็กและคนชรา แต่ในสังคมเรานี้ใช่ว่าจะมีแต่ประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน จากภัยหนาว

     

      พระสงฆ์ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งแต่ละชุมชนมักจะมองข้ามไป ของบริจาคส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้บริจาคให้กับพระสงฆ์ ส่วนต่างๆขอให้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพระสงฆ์ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น

     

      โดยเฉพาะในปีนี้อากาศหนาวมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้พระสงฆ์ที่อยู่ประจำตามวัดต่างๆได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนี้ได้มีพระสงฆ์จำนวนมากอาพาธด้วยโรคปอด โรคทางเดินหายใจที่มาจากภัยหนาว.

ที่มา
http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=121114
60  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธธรรมแก้มหันตภัยธรรมชาติ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 02:25:49 pm
พุทธธรรมแก้มหันตภัยธรรมชาติ

โดย.. เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ

 

              มหันตภัยธรณีพิบัติที่เกิดขึ้นกับ ๖ จังหวัดภาคใต้และภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมียอดคนเจ็บและเสียชีวิตพอๆ กับภัยจากระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ เป็นครั้งแรก ที่ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นต่ อมนุษย์พร้อมๆ กันภายในวันเดียว

              ในพระไตรปิฎกไม่เคยบรรยายถึง ความรุนแรงจาก ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน ยุคพุทธกาล ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล ก็มีจากภัยแล้ง ที่ประเทศอินเดีย ไม่มีฝนตกอยู่นาน จนทำให้คนและ สัตว์ตายจำนวนมาก จนกระดูก (ของคนและสัตว์) ปรากฏขาวเกลื่อน ภัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนตายกันมาก ตามที่ปรากฏใน คัมภีร์ยุคอรรถกถา คือโรคระบาด (ห่าลง) โดยเป็นโรค ที่เกิดจากอมนุษย์ ทำให้มนุษย์หวาดกลัวหนีออกจากเมือง และพระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระอานนท์นำ น้ำพระพุทธมนต์ไปประพรม
พุทธวิธีการแก้ไขภัยธรรมชาติในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบที่ชาวพุทธในประเทศไทย นำมาใช้ต่อมาเมื่อเกิดโรคระบาดหลายยุค หลายสมัยในยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระราชพิธีอาพาธพินาศ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นต้น

              ปัญหาที่ชาวพุทธมักจะถามกัน เมื่อเกิดความเสียหาย ผู้คนล้มตายกันมากในลักษณะนี้ คือ "ทำไมจึงเกิดเรื่องรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้น ?"

              ชาวพุทธส่วนใหญ่มักตอบว่า เป็นกรรมเก่า ที่กระทำร่วมกันมา การวิเคราะห์ใน เชิงกฎแห่งกรรม ในลักษณะนี้ ทำให้มองเห็นว่า ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้เป็นคนไม่ดีมาก่อน และเพราะเหตุนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่สาสมแล้วที่ความยุติธรรมเกิดขึ้น การวิเคราะห์ใน ลักษณะเช่นนี้ใช้กันมาก และเป็นเหตุให้ชาวพุทธ มักไม่ให้ความสนใจปัญหาทางสังคม เพราะไม่เห็นว่าตนมีส่วนร่วมในเคราะห์กรรมเหล่านั้นด้วย

              การแก้ไขปัญหาทางสังคมตามหลักธรรม ในพระพุทธศาสนานั้นคือ มงคลสูตร เนื่องจากมงคล คือสัญลักษณ์ของความเจริญ ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มนุษย์แต่ละคน ไม่เคยอยู่ตามลำพัง แต่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอ ภัยพิบัติทั้งหลายนั้นคืออัปมงคล ซึ่งหากไม่ร่วมกันแก้ไขบำบัดแล้ว สังคมก็จะอยู่ไม่ได้

              มงคลนั้นทำให้มนุษย์มองสู่อนาคต และเห็นว่าอะไรที่ตนเองต้องปฏิบัติบ้าง เพื่อทำให้อนาคตของ มนุษยชาติดีขึ้น ในฐานะที่ตนเองเป็น มนุษย์คนหนึ่ง มิใช่ว่าเป็นเพราะกรรมอะไร แต่ควรถามตัวเองว่าเราควรทำกรรมอะไรบ้างที่จะช่วยเหลือเขาได้ต่างหาก

เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2548
61  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพื่อนสมาชิก คิดยังไง คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 02:13:57 pm


ไม่กล้าโพสต์มาก แต่พวกนักเรียนนำมาถาม

ไปดูต่อที่เว็บนี้นะคะ

http://www.dhammakid.com/board/eocoaoonoaaad-necaa/oaaiancaeoao-ocaaxeioaoaado-eoe1o-aoao8207%28aoaoeca%29/

อ่านความเห็นที่หลากหลายได้ที่นี่ คะ
http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=4127.msg11018#msg11018
62  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:34:05 pm

วัดพันตา




วิหารลายคำ อยู่ในวัดพระสงห์วรมหาวิหาร


เป็นวิหารที่มีการวาดลวดลายภายในสวยงาม และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงส์
(คนเชียงใหม่เรียกว่าพระสงห์)



หอธรรมวัดพระสิงห์
ใช้บรรจุพระไตรปิฏกคะ



วัดสวนดอก


เป็นวัดอยู่นอกเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ สร้างในสมัยพญากือนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพด้วยคะ


กู่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้านายฝ่ายเหนือ


เป็นที่บรรจุอัฐิเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้านายฝ่าย เหนือ น่าจะเป็นของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนที่ช่วงนี้ล้าน นาตกเป็นเมืองประเทศราชของสยามแล้วและต่อมาถูกยุบรวมเป็นประเทศเดียวกัน ครับ(ในสมัยรัชกาลที่ 5) แต่ก่อนอยู่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยครับและได้ย้าย มาไว้ที่วัดสวนดอกนี้ เมื่อไรไม่ทราบครับ ขอผู้รู้แก้ไขให้ด้วยคะ


63  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประเพณีเดือนยี่เพง-ประเพณยี่เป็ง เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:23:13 pm



ประเพณีเดือนยี่เพง-ประเพณยี่เป็ง

            ประเพณีเดือนยี่เพง-ยี่เป็ง    คือ ประเพณีในเทศกาลวันเพ็ญ  เดือน  ๑๒ ซึ่งแต่เดิมนั้นพิธีสำคัญของเทศกาลนี้อยู่ที่พิธีกรรมตั้งธรรมหลวงหรือฟังเทศน์มหาชาติ  ชาว บ้านจะมีการประดับประดาวัดวาอารามบ้านเรือน ด้วยประทีปโคมไฟ โคมระย้า ทำอุบะดอกไม้ไปถวายวัด ทำซุ้มประตูป่าด้วยต้นกล้วย อ้อยก้านมะพร้าว เตรียมข้าวปลาอาหารเป็นพิเศษ เช่น ห่อนึ่ง แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ และขนมต่าง ๆ ไปทำบุญ บางแห่งมีพิธีกวนข้าวมธุปายาสหรือบ้างเรียก ข้าวพระเจ้าหลวง ถวายเป็นพุทธบูชาในตอนเช้ามืดของวันเพ็ญเดือน  ๑๒  นี้ ด้วย จากนั้นก็จะมีการทานขันข้าวหรือสำรับอาหารไปถึงบรรพชนคนตาย ถวายอาหารและกัณฑ์เทศน์แด่พระภิกษุสงฆ์ และมีการฟังธรรมมหาชาติตั้งแต่เช้าถึงกลางคืน บางแห่งก็จะมีการสืบชะตาด้วย   จะมีการปล่อยโคมลอย  เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ในช่วงพลบค่ำจะมีการเทศน์ธรรมชื่อ  "อานิสงส์ผางประทีส" และชาวบ้านจะมีการจุดประทีสหรือประทีป โคมหูกระต่าย โคมแขวน  เป็นพุทธบูชากันทุกครัวเรือนสว่างไสว

ประวัติวันลอยกระทง

เขียนโดย Alex   

ลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะ พระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท



การ ลอยกระทงตามสายน้ำนี้ นางนพมาศ สนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย คิดทำกระทงรูปดอกบัว และรูปต่างๆถวาย พระร่วงทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหล ในหนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ ทำโคมลอย เป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่งบ้าง ย่อมกว่า 20 ชั่ง บ้าง" ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยังนิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆ ถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุดที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลางคืนแลเห็นแสงไฟโคมบนท้องฟ้า พร้อมกับแสงจันทร์และดวงดาวสวยงามมากทีเดียว

วันลอยกระทง เป็นวันเทศกาลสำคัญ วันหนึ่ง ของคนไทย ซึ่งจะมีขึ้นใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นช่วงที่อากาศโปร่งใสสบาย และสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว นอกจากนี้ ระดับน้ำ ในแม่น้ำ ลำคลอง ทั่วทั้งประเทศ ก็มีระดับสูงด้วย

คำว่า "Loy" ก็คือ "ลอย" และคำว่า "กระทง" นี้ หมายถึง กระทง รูปดอกบัว ทำด้วยใบตอง และในกระทง ส่วนใหญ่ ก็จะใส่ เทียนไข ธูป 3 ดอก ดอกไม้ และ เงินเหรียญ

ความ จริงแล้ว เทศกาลนี้ แต่เดิมเป็น พิธี ทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งประชาชนต้องการแสดง ความขอบคุณต่อเจ้าแม่คงคา ดังนั้น คืนเดือนเพ็ญ ประชาชนจึงจุดเทียนและธูป พร้อมกับ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วจึงลอยกระทง

ใน ลำคลอง แม่น้ำ หรือแม้แต่ สระน้ำเล็กๆ เป็นที่เชื่อกันว่า กระทงนี้ จะพาไปซึ่ง บาปและความโชคร้าย ทั้งมวลออกไป นอกจากนี้ การตั้งจิตอธิษฐาน ก็เพื่อปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง แน่นอนที่สุด ช่วงนี้เป็น เวลาแห่ง ความรื่นเริง และ สนุกสนาน เพราะได้ลอยความเศร้าโศกต่างๆ ออกไปแล้ว

เทศกาล ลอยกระทง จะเริ่มในช่วงเย็น เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ประชาชนจาก ทุกสาขาอาชีพ จะนำกระทงของตน ไปยังแม่น้ำ ที่ใกล้ๆ หลังจาก จุดเทียนไข และธูปแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐาน ในสิ่งที่ ตนปรารถนา แล้วจึงค่อยๆ วางกระทงลงในน้ำ แล้วปล่อยให้ กระทงลอยไปจนสุดลูกตา

การประกวด สาวงาม ก็เป็น ส่วนสำคัญของ เทศกาลนี้ เช่นกัน แต่ว่า ในโอกาส เช่นนี้ เราเรียกว่า "ประกวดนางนพมาศ"Aeva Debug: 0.0006 seconds.
64  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัก ชอบ หลง กับความแตกต่าง เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 04:16:22 pm


 
1. “ชอบ” คำนี้ควรเอาไว้หน้าเครื่องหมายของความรักเพราะจะทำให้ความรักปลอดความขัดแย้ง มักจะมีความสุข และสมหวังเพราะ

         1.1 ชอบ คือ รสนิยมตรงกัน นิสัยไปด้วยกันได้ เข้าใจกัน คุยกันถูกคอ เรียกว่าชอบพอกัน เช่น การคบเพื่อนเราก็ใช้ความรู้สึกนี้ เราจึงชอบเพื่อนรักเพื่อน มีความสุขพอใจ เมื่อได้อยู่กับเพื่อน แม้จะคบกันมาตั้งแต่วัยเรียน จนถึงทำงาน จนถึงแก่กว่า เพื่อนก็ไม่เคยหมดความหมาย เพราะมาจากรากฐาน ชอบ

          1.2 ถ้าคำว่า “ชอบ” นำมาใช้กับคนที่รักของเรา ก็จะเพิ่มดีกรีดีกว่าเพื่อนขึ้นไปอีก เหตุนี้ควรพิสูจน์นิสัยใจคอ จนสามารถชอบเขาได้แล้วค่อยกลายเป็นความรักจึงจะถูกต้องอย่างที่ว่า“จะรักใคร ควรจะชอบเขามาก่อน แล้วความรักจะยั่งยืน

         1.3 แต่… ส่วนใหญ่ยังไม่ทันชอบเลย ไม่รู้เสียด้วยว่าลูกใครครอบครัวเขาเป็นอย่างไร รู้แต่ชื่อเล่น ชื่อจริง ส่วนนามสกุลเอาไว้บอกทีหลัง เราก็รักไว้ก่อน ชีวิตครอบครัวจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ล้มเหลว วันหนึ่ง ๆ แต่งงานเป็นร้อยคู่ แต่ก็หย่ากันวันล่ะ 200 คู่ ขาดทุน 100% ขาดทุน 100% เพราะเรียงลำดับผิด

          1.4 เพราะถ้าเอาความ รัก ขึ้นหน้าไว้อันดับหนึ่งก่อน ชอบมักจะมองข้ามความบกพร่อง ความไม่ดีทุกอย่างของคนที่เรารักไปอย่างที่ผู้ใหญ่บอกว่า “ความรักทำ ให้คนตาบอด” พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง

           1.5 แต่…ถ้า เอาชอบไว้ก่อนยังไม่รัก ถ้าคนรักเกิดพลิกล๊อค กลายเป็นไม่ดี เพราะไม่มีอะไรจะซ่อนเร้นมิดชิดและปกปิดได้นาน เท่ากับหัวใจคน เรารู้ก่อนที่จะรัก เราก็ตัดใจได้ไม่ยาก ชอบมาก่อน จึงเกิดผลดีอย่างน้อย 2 ประการ (1). ตัดใจได้ง่าย (2). ได้คนดี

2. คำว่า “รัก” มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าที่คุณคิด คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ความหมายคำว่ารักอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดถึงทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลัง ประพฤติอยู่
 
             2.1 รัก มีความหมายถึงการอยากให้ ให้คนที่ตนรักมีความสุข แล้วตัวเองก็ต้องมีความสุขด้วย ทั้งที่ความสุขนั้นอาจจะไม่ใช่หมายถึงความสมหวังเสมอไป “ในความรักไม่มีความกลัว เพราะความกลัวถูกจัดเข้ากับการลงโทษ”mแต่การเสียเขาไปต้องมีเหตุผลที่สมควร จาก 2 ฝ่ายด้วย ไม่ใช่เราคิดไปเองว่าเขาคงจะได้ดี แล้วก็ทิ้งเขาไป (เห็นได้จากในภาพยนตร์บ่อย ๆ) ซึ่งทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสทั้ง 2 ฝ่าย กลายเป็นจบลงด้วยความเศร้าแทน

             2.2 รัก “ถ้าเราจะรักใครซักคน เราต้องคิดอยู่เสมอว่า เราจะให้อะไรกับเขา ไม่ใช่จะได้อะไรจากเขา” ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง

             2.3 ในความรักไม่มีความกลัว เพราะถ้ามัวแต่กลัวจะเหมือนกับการโดนลงโทษ แล้วอาจจะ โดน ม.ค.ป.ด.
 
3. คำว่า “หลง” หลงกับรักมักจะแยกกันยากมาก เพราะอาการคล้าย ๆ กัน ทีแรกก็ปลูกต้นรัก แต่พอต้นรักเติบใหญ่ ทำไมออกดอกเป็นความหลง ความหลงจะสำแดงแตกต่างจากความรักสังเกตได้ 3 ประการ

          3.1 เห็นแก่ตัว กอบโกยความสุขจากคนรักให้มากที่สุด เช่น
          ขอพบ ขออยู่ใกล้ ให้คนรักปรนนิบัติเอาใจ เรียกร้องความสนใจตลอดเวลา เอาแต่ความสุขความพอใจตนเองเป็นใหญ่
          คนรักจะทุกข์ยากอย่างไรไม่สน ตัวเองจะยอมทุ่มเททุกอย่าง เช่น
         - ทรัพย์สินเงินทองปรนเปรอ
         - ถ้าไม่ได้ก็ใช่เล่ห์กล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา พวกหมอดู
          คนเจ้าเข้าทรง หมอผีร่ำรวยก็เพราะคนพวกนี้ ดูผิวเผิน เหมือนความรักสุดใจแต่ไม่ใช่ เพราะความรักเป็นความสุภาพ เสียสละ อ่อนโยน มีเหตุผล

           3.2 ความหลงจะสังเกตได้ จะไม่มีลดน้อยหรือแม้แต่ตัว แต่จะร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ เหมือนถูกผีกระทำ จะไม่มีเหตุผล เกรี้วกราด รุนแรง เอาแต่ใจ เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่

           3.3 การหึงหวง อย่างรุนแรง ไร้เหตุผล แม้ตัวเองจะได้ตายก็ยอม เช่นฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าตัวตายทั้งคู่ ตามหนังสือพิมพ์ที่ออกข่าวบ่อย ๆ เช่นรักไม่สมหวัง หลายคนเห็นใจที่เขาบูชารัก แต่นั่นคือการเข้าใจผิด มันไม่ใช่ความรัก เพราะความรัก คือความอ่อนโยน มีเหตุผล ไม่กระทำผิด แต่ความหลงกระทำให้เรา “คิดสั้น” “หลงผิด” ถูกครอบงำด้วยอำนาจที่แฝงแปลงร่างมาคล้ายกับความรักแท้
65  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถังน้ำสองใบ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:30:50 pm
ข้อความดีๆ ถังน้ำสองใบ

 

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
 

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก 

ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง 

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน
 

จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
 
 

 
 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
 

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
 

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
 

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุด ประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
 
 

 
 

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
 

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
 

'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า
 

ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน'
 
 

 
 

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
 

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
 
 

 
 
 

เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
 

และทุกวันที่เราเดินกลับ ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
 

เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
 

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'
 
 

 
 
 

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
 

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
 

อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
 

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
 

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
 
 

 
 
 

มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
66  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปรามาสภิกษุ กรรมที่ต้องระมัดระวัง เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 02:18:36 pm
นำมาฝากจาเว็บนี้จ้า
อ่านแล้วสะกิดใจ เห็นว่ามีประโยชน์

http://larndham.org/index.php?/topic/40 ... ntry732560

นำ เรื่องกรรมปรามาสภิกษุมาเล่าสู่กันฟังครับ เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกัน ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเราต้องช่วยกันจรรโลงรักษาพุทธศาสนาก็จริง แต่ความจริงแท้เป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ จึงต้องสำรวมและระมัดระวังกันให้มากครับ


กรรมของอัมปาลี เกิดเป็นโสเภณี
บุ รกรรมของอัมพปาลีเกิดขึ้นในอดีตชาติเมื่อครั้ง ๓๑ กัปก่อน ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสิขีทศพล นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนครอมรปุระ วันหนึ่งนางได้ด่าภิกษุณีรูปหนึ่งว่าเป็นหญิงแพศยา ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน
เมื่อ พ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า อัมพปาลี แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิง แพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้
(ภายหลังบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของโสไรยบุตร จากชายกลายเป็นหญิง
โสไรยบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในโสไรยนครซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงสาวัตถี เขามีภริยา และมีบุตรชายแล้ว ๒ คน
วัน หนึ่ง โสไรยบุตรนั่งยานออกไปอาบน้ำนอกนครกับบริวาร ระหว่างทางเห็นพระมหากัจจายนเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ พระเถระรูปนี้มีรูปสวย มีผิวพรรณวรรณะงดงามดังทองคำ โสไรยบุตรเห็นพระเถระแล้วเผลอใจคิดไปว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้น่าจะได้เป็นภริยาของเรา”
ด้วยจิตอันเป็นอกุศล ต่อพระเถระขีณาสพผู้ล่วงอาสวะแล้ว เพศชายของโสไรยบุตรจึงหายไป กลับกลายเป็นเพศหญิงมาแทนที่ โสไรยบุตรกลับกลายเป็นโสไรยธิดา เป็นกุลธิดารูปงาม ด้วยความตกใจและความอายเธอจึงลงจากยานแอบหนีไป คนรู้จักแม้มองเห็นก็จำไม่ได้ว่ากุลธิดานี้คือโสไรยบุตร
โสไรยธิดาลงจาก ยานแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เธอจึงเดินตามขบวนเกวียนสินค้าขบวนหนึ่งไป เมื่อเดินจนเมื่อย เธอจึงถอดแหวนให้ และขอนั่งไปบนเกวียน
ขบวนเกวียนนั้น เดินทางถึงตักกศิลา แคว้นคันธาระ นายเกวียนคิดว่าบุตรเศรษฐีในกรุงตักกศิลายังไม่มีภริยา กุลธิดาผู้นี้มีรูปงามสมกัน เขาจึงพาโสไรยธิดาไปพบบุตรเศรษฐีหวังได้รางวัล บุตรเศรษฐีเห็นนางแล้วหลงรัก รับนางเป็นภริยา
โสไรยธิดาจึงได้เป็นภริยา ของบุตรเศรษฐีกรุงตักกศิลา ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ และมีบุตรกับสามี ๒ คน ตอนนี้เธอจึงมีบุตรแล้ว ๔ คน บุตร ๒ คนแรกมีเธอเป็นบิดาอยู่ที่โสไรยนคร ส่วนบุตรอีก ๒ คนมีเธอเป็นมารดาอยู่ร่วมกันที่ตักกศิลา
(ต่อมาโสไรยธิดาธิดาได้ขอขมาพระเถระจึงได้กลับเพศเป็นชาย ออกบวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของอุคคเสน จากบุตรเศรษฐีเป็นนักแสดงกายกรรม
ใน อดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปทศพล ชนจำนวนมากช่วยกันสร้างเจดีย์บูชาพระบรมศาสดา ในครั้งนั้นมีสองสามีภรรยามีจิตศรัทธาขนของกินของใช้บรรทุกยานเดินทางไปร่วม งานก่อสร้างพระเจดีย์ ระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตอยู่ ภรรยาเห็นพระเถระจึงบอกสามีว่าของกินในยานเรามีจำนวนมาก นายจงนำบาตรของพระคุณเจ้ามาเพื่อถวายภิกษาเถิด
เมื่อสามีรับบาตรมาแล้ว ภรรยาก็ใส่บาตรนั้นจนเต็ม ให้สามีนำกลับไปถวายพระเถระ เสร็จแล้วภรรยาได้กล่าวคำปรารถนาว่า ท่านเจ้าข้า ด้วยผลบุญที่ดิฉันและสามีได้ถวายภิกษาแก่ท่านนี้ ขอให้ดิฉันทั้งสองได้เห็นธรรมอันท่านได้เห็นแล้วด้วยเถิด พระเถระตรวจดูความปรารถนานั้นเห็นว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในพุทธกาลถัดไป ท่านจึงทำอาการยิ้ม
ภรรยาเห็นพระเถระยิ้มจึงพูดกับสามีว่า ดูสินาย พระคุณเจ้าของเราท่านยิ้มเหมือนเด็กนักฟ้อนเลย สามีเห็นดีเห็นงามตามภรรยาตอบว่า จริงสิ
แม้ คำพูดนี้จะไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่ก็เป็นกรรมที่ทำกับพระเถระขีณาสพ ในพุทธกาลปัจจุบันภรรยาผู้นั้นจึงเกิดมาเป็นหญิงนักฟ้อน ส่วนสามีได้เกิดมาเป็นบุตรเศรษฐีในนครราชคฤห์ชื่อว่า อุคคเสน แต่เพราะเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยาด้วยเขาจึงมีกรรมต้องออกจากเรือนเศรษฐีไป เร่ร่อนอยู่ในคณะมหรสพกับหญิงผู้เป็นภรรยา
(ภายหลังทั้งสองสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


กรรมของพระจูฬปันถก ภิกษุปัญญาทึบ
จูฬ ปันถกเป็นหลานชายราชคฤห์เศรษฐี พี่ชายชื่อมหาปันถกซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาชวนให้ออกบวช ด้วย จูฬปันถกจึงออกบวชในสำนักของพระพี่ชาย แต่ด้วยกรรมเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในพุทธกาลก่อน เคยพูดเยาะเย้ยภิกษุรูปหนึ่งว่าปัญญาทึบ แม้จะมีวาสนาบารมีจากการบวชมาแล้ว แต่กรรมเก่านั้นได้ส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาทึบมาก พระพี่ชายให้ท่องคาถาแค่ ๔ บาท ใช้เวลาท่อง ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ จนถูกพระพี่ชายไล่ให้สึกไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร
(สุดท้ายได้อุบายธรรมโดยตรงจากพระบรมศาสดา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และมีปัญญามาก)


กรรมของวัสสการพราหมณ์ เกิดเป็นลิง
วัส สการพราหมณ์เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เป็นคนมีปัญญามากกว่าอำมาตย์อื่นจึงเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าทูลถามราชกิจจากพระบรมศาสดาบ่อยๆ แต่วัสสการพราหมณ์เป็นคนนอกศาสนา แม้จะไปเฝ้าพระศาสดาบ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพราะพระบัญชาของพระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ได้ไปเพราะนับถือพระรัตนตรัย
วัน หนึ่งวัสสการพราหมณ์เห็นพระมหากัจจายนะเถระลงมาจากเขาคิชฌกูฏิ ด้วยความคะนองปากจึงเอ่ยวาจาเปรียบพระกัจจายนะเถระว่าคล้ายลิง พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า การพูดปรามาสพระอรหันต์ขีณาสพผู้พ้นอาสวะแล้วเป็นกรรมหนัก กรรมนี้จะทำให้วัสสการพราหมณ์ต้องไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในวัดเวฬุวัน ต้องขอขมาโทษจากพระเถระจึงจะพ้นจากกรรมนี้ได้
วัสสการพราหมณ์ฟังแล้วไม่ ได้ทำตาม แต่ก็ครั่นคร้ามว่าคำของพระศาสดาไม่เคยคลาดเคลื่อน เขาจึงเร่งปลูกไม้ผลสารพัดชนิดภายในวัดเวฬุวัน และว่าจ้างคนมาดูแลสวนเป็นอย่างดี หวังเพียงว่าเมื่อต้องไปเกิดเป็นลิงเขาจะได้มีผลไม้กิน
เมื่อทำกาละแล้ว วัสสการพราหมณ์ก็ได้ไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในเวฬุวันวิหารสมดังพุทธดำรัส เวลาใครเอ่ยชื่อเรียกวัสสการพราหมณ์ ลิงตัวนี้ก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยความเข้าใจ


กรรมของปัญจปาปี ผู้หญิง ๕ บาป
อดีตกาลครั้ง สิ้นพุทธกาลจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไปแล้ว มีหญิงยากไร้คนหนึ่งอาศัยในนครพาราณสี วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งขยำดินเหนียวเพื่อใช้ทาฝาเรือนอยู่ ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตหาดินเหนียวเนื้อดีเพื่อจะนำไป ทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัยของท่านที่ชำรุด มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
หญิงยากไร้ นั้นรู้สึกโกรธ เธอทำหน้าบึ้ง มองค้อน และทำปากหมุบหมิบพูดประชดประชันพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เช้าก็บิณฑบาตอาหาร พอสายยังมาบิณฑบาตดินเหนียวอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าประสงค์จะโปรดหญิงยากไร้นั้น ท่านจึงยืนสงบนิ่งอยู่ ครั้นหญิงยากไร้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าสงบนิ่งอยู่ในอาการสำรวมเช่นนั้น ความรู้สึกโกรธก็หายไป กลับมีจิตเลื่อมใส เธอจึงยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร
เมื่อถึงกาลกิริยาแล้ว หญิงยากไร้นั้นได้ไปเกิดเป็นธิดาของหญิงทุคตะ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูนอกเมืองพาราณสีนั้นเอง และด้วยวิบากกรรมที่เธอทำกิริยาไม่งามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ร่างกายของเธอจึงผิดปกติ ๕ อย่าง คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูก เป็นหญิงอัปลักษณ์ ใครเห็นใครเมิน ใครมองก็รังเกียจ บางคนแค่เห็นหน้าก็จะอาเจียน ชาวบ้านเรียกเธอว่า ปัญจปาปี หรือหญิง ๕ บาป แต่เพราะกุศลกรรมที่ใส่บาตรด้วยดินเหนียว ผิวกายของนางจึงอ่อนนุ่มมาก ใครได้สัมผัสนางเป็นต้องหลงรักทุกคน ต่อมานางจึงได้เป็นราชินีถึงสองนคร มีสามีทีเดียวถึงสองคน

การปรามาส การทำร้าย บุคคลผู้มีศีล มีธรรม หรือผู้มีพระคุณ จะให้ผลของกรรมสูงเสมอ อย่างเช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ใครทำร้ายท่านย่อมได้รับผลกรรมหนักมาก
นอกจากอย่าปรามาส อย่าทำร้ายแล้ว บุคคลผู้มีคุณธรรมสูง เป็นผู้มีศีล แม้เป็นฆราวาสก็เป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้
มีในพระไตรปิฎกอีกเรื่องหนึ่ง

เรือ สินค้าลำหนึ่งล่องไปกลางทะเล ไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะนั้นมีวิมาน ในวิมานมีเทพธิดารูปงามมากมองเห็นอยู่ที่ช่องหน้าต่าง พวกชาวเรือบอกให้เทพธิดาออกมาจากวิมานจะขอชมโฉมที่สวยงาม เทพธิดาบอกว่าเธอออกมาไม่ได้ เพราะเธอโป๊
ที่เป็นแบบนี้เพราะเธอเป็นเวมา นิกเปรต คือเป็นกึ่งเทพกึ่งเปรต พวกชาวเรือถามว่าทำอย่างไรเธอจึงจะได้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดร่างกาย เวมานิกเปรตตอบว่าต้องทำบุญด้วยผ้า
บนเรือลำนั้นไม่มีนักบวชไปด้วยเลยจะ ทำบุญกับใครได้ นายเรือนึกขึ้นได้ว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งเป็นคนรักษาศีล จึงจัดที่นั่งให้นั่ง แล้วนำผ้าให้เป็นทานแก่คนรักษาศีลคนนั้น แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญให้เวมานิกเปรต
เพียงเท่า
67  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / แจกแบบบ้าน สำหรับ กุฏิ ศาลา ซุ้มประตู เชิญแวะเข้าไปโหลดเอาได้เลยคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 02:12:49 pm





เชิญแวะไปที่เว็บนี้เลยนะคะ

http://korn-free-cd.blogspot.com/search/label/%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%20A
68  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าหนองหลุบ ตั้งแต่ 15-21 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:14:30 am








69  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ทอดกฐินวัดกลางบางแก้ว 14 พ.ย.2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:10:06 am
70  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ที่มาของสามเณร และ สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 10:19:34 am
ที่มาที่ไปของคำว่า "สามเณร"

               สามเณรและ สามเณรี แปลว่า เหล่ากอของสมณะ,หน่อเนื้อของสมณะ หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนาที่มีอายุน้อย ยังมิได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ถ้าเป็นนักบวชหญิงอายุน้อยเรียกว่า สามเณรี

คำว่า สามเณร สามเณรี เป็นศัพท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา เป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่สาธารณะทั่ว
ไป                   
                ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรสามเณรีได้นั้นทางพระวินัยกำหนด อายุอย่างต่ำไว้ประมาณ ๗ ขวบซึ่งพอช่วยเหลือตัวเองได้ พระวินัยระบุว่าพอจะไล่กาไล่ไก่ได้ ส่วนสูงไม่มีกำหนดไว้ ผู้มีอายุไม่เกิน ๒๐ ปีจะบวชเป็นสามเณรตลอดไป ไม่บวชเป็นภิกษุก็ได้
       อ้างอิง     พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด,วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548

                               *********************************

ประวัติสามเณรราหุล


              พระราหุล เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ กับพระนางยโสธรา (พิมพา) เป็นพระนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ เมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้วเสด็จมาเทศนาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิล พัสดุ์ ประทับอยู่ที่นิโครธาราม วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปที่พระราชนิเวศน์ของพระนางยโสธราพระราชเทวีเก่าของ พระองค์
                                         สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา

            ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางพิมพาราชเทวีประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมาร ราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า
            “พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณะผู้มีผิวพรรณผ่องใส รูปดุจท่านท้าวมหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา นับแต่พระบิดาของเจ้าออกผนวช เจ้าก็เหมือนหมดหวังในราชสมบัติ เจ้าจงไปกราบถวายบังคมพระบิดา แล้วกราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้น ในฐานะเป็นทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด”
           ราหุลกุมารเสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพระดำรัสของพระมารดา กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู ได้บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์โสมนัสตรัสชมว่า “ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุดประมาณ” ดังนี้แล้วก็ตรัสเรื่องอื่นๆ ต่อไป โดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
           เมื่อพระพุทธองค์ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสอนุโมทนา เสด็จกลับสู่
นิโครธาราม ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงพระอาราม มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบโอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติ อันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์จะพึงได้รับ
            พระบรมศาสดาได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า“ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติอันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ราชสมบัติซึ่งเป็น ‘ทรัพย์ธรรมดา’ หรือทรัพย์ภายนอกแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ
สงสาร เป็นไปด้วยความคับแค้นและจมอยู่ในกองทุกข์ ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่ อย่ากระนั้นเลยตถาคตจะมอบ ‘อริยทรัพย์’ หรือ ทรัพย์ภายในอันเป็นสิ่งที่มั่นคงถาวรและประเสริฐ สุดในพระพุทธศาสนานี้แก ่เธอ ซึ่งจะทำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุลในพุทธวงศ์นี้สืบไป”
         ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุต ร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุลกุมารในวันนั้น ด้วยวิธีไตรสรณคมน์ สามเณรราหุลจึงได้ชื่อว่า เป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา

          เมื่อ พระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งพระสารีบุตรว่า สารีบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ราหุลบวชเถิด ขณะนั้นราหุลกุมารยังเยาว์อยู่มีอายุยังไม่ครบอุปสมบท พระสารีบุตรจึงทูลถามว่า จะโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชราหุลกุมารอย่างไร พระบรมศาสดาทรงปรารภเรื่องนี้ให้เป็นเหตุ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุบวชกุลบุตรที่มีอายุยังไม่ครบอุปสมบทให้เป็นสามเณร ด้วยการให้สรณคมน์ ๓ นับได้ว่าราหุลเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา เมื่อราหุลกุมารบวชเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระอุปัชฌาย์ของตนไป ครั้นมีอายุครบแล้วก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ
           วัน หนึ่งในขณะที่พระราหุลพักอยู่ ณ สวนมะม่วงแห่งหนึ่งในกรุงราชคฤห์ พระบรมศาสดาเสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงแสดงราหุโลวาทสูตรซึ่งว่าด้วยภาชนะน้ำเปล่า บรรยายเปรียบเทียบด้วยคนพูดมุสาวาทเป็นต้น ตรัสสอนให้พระราหุลสำเหนียกตามเทศนานั้นแล้วเสด็จกลับไป ต่อมาอีก วันหนึ่งพระราหุลเข้าไปเฝ้า พระบรมศาสดาตรัสสอนด้วยมหาราหุโลวาท ซึ่งว่าด้วรรูปกรรมฐานธาตุ ๕ อย่างคือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน,อาโปธาตุ ธาตุน้ำ,เตโชธาตุ ธาตุไฟ, วาโยธาตุ ธาตุลม และอากาศธาตุ ช่องว่าง ให้ใช้ ปัญญาพิจารณาให้เห็นตามสภาพที่เป็นจริงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ส่วนนั้นไม่เป็นของเรา ส่วนนั้นไม่ใช่ของตัวเราเป็นต้น ในที่สุดก็ตรัสสอนในกรรมฐานอื่น ๆ ให้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภสัญญา อนิจจสัญญา ครั้นทรงสอนจบแล้วพระราหุลมีจิตยินดีในคำสอนของพระบรมศาสดา ต่อมาพระราหุลได้ฟังพระพุทโธวาทเกี่ยวกับวิปัสสนา คล้ายกับโอวาทที่ตรัสสอนภิกษุปัญจวัคคีย์ เพียงแต่ในที่นี้ยกอายตนะภายในภายนอกเป็นต้นขึ้นแสดงแทนขันธ์ ๕ ท่านส่งจิตไปตามพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์
           พระราหุลนั้น ท่านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาธรรมวินัย ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ครั้นท่านลุกขึ้นแต่เช้าก็ไปกอบทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ในเวลานี้ข้าพเจ้าพึงได้รับซึ่งโอวาทคำสอนจากสำนักของพระบรมศาสดา หรือจากสำนักของอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายให้ได้มากประมาณเท่าเม็ดทรายใน กำมือแห่งข้าพเจ้านี้ ด้วยเหตุนี้เอง พระราหุลจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใคร่ในการศึกษา ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารโดยสมควรแก่กาลแล้วก็
ดับขันธปรินิพพาน 
71  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หากท่านไม่อาจหลับไหลในยามราตรีนี้ เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 09:54:26 am



หากท่านไม่อาจหลับไหลในยามราตรีนี้
ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องรันทด

หากท่านอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้
เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ

หากวันนี้มีงานที่กวนใจท่านมาก คิดเสียว่า
ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว

ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง อย่าเพิ่งปลง
เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก

อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น
จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีวันหยุดพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ

แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย
ให้นึกถึง ผู้ที่เป็นอัมพาตอยากอาสาเดินแทน

หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น
จงอย่าลืมผู้ป่วยเคมีบำบัด ที่หวังเพียงว่า ผมจะงอกได้อีก

ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก จงดีใจเถิด
เพราะยังมีโอกาสดีกว่า ผู้ที่ตายไปก่อนเวลาอันสมควร

หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่ ขอให้ระลึกว่า
จะแย่กว่าเป็นไหนไหน ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง

ลองคิดและส่งมุมน่ามองนี้ให้เพื่อน
อาจเป็นเครื่องช่วยเตือนว่า
ชีวิตยังมีสิ่งสวยงาม น่าพิศมัยอีกมาก

ขอขอบคุณ
คุณ "Panaya Thonglaung" ที่ส่งเรื่องดีๆ มาให้เราได้อ่านกัน

คัดลอกจาก :: "บ้านใส่ใจ"

ที่มา : http://www.carefor.org/
72  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ลำดับห้อง ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีเท่าไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:58:17 pm
ลำดับห้อง ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีเท่าไร คะ

มีขั้นตอนแต่ละห้อง อย่างไรคะ ?
 :25:
73  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องสั้น ขำขัน คลาย ๆ เครียด กันหน่อย จ้า เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 11:51:51 am
ใช้ดีมาก
ชายแก่สองคนนั่งคุยกันบนมานั่งในสวนสาธารณะ

“คุณรู้มั้ย ผมพึ่งจะซื้อเครื่องช่วยฟังเครื่องใหม่มา
 ราคาตั้งเกือบสามหมื่นแน่ะ
แต่ก็คุ้มนะ ฟังชัดที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาเชียวแหละ”

 คนแก่คนแรกคุยอย่างภูมิใจ
“เรอะ! ดีจัง ซื้อมาจากไหนล่ะ” อีกคนชักสนใจ

“อะไรกันวะคุณนี่” ชายชราคนแรกค้อน
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าเกือบสามหมื่น”

 :85: :85:
74  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พักผ่อน กันมาดูภาพ นก อนิเมชั่น Gif คะ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 11:44:13 am

ขอบคุณ ภาพจากเว็บ
http://fwmail.teenee.com















75  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การทักทาย บ่งบอกตัวตน แบบธรรมดา เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:43:14 am



1. ประเภทยิ้มและสบตา
คนที่ยิ้มและสบตาเสมอ เวลาทักทายนั้น ขอบอกเลยว่าเค้าเป็นคนที่มั่นสุด ๆ เลยหละ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยแคร์สายตาของคนรอบข้างเลย ประมาณว่าใครจะว่ายังไงก็ช่าง ฉันไม่สนใจอยากทำก็ทำเลย อย่ามาพูดให้เสียเวลา ไม่มีสิ่งไหนที่จะทำให้เสีย Self ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญเค้าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สดใส ร่าเริง อารมณ์ดี มองอะไรก็ดูจะเข้าท่าเข้าทางไปซะหมด มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้างเสมอ และยังเป็นคนที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง โดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แหม! เก่งจังเลยนะ

2. ประเภทหลบสายตา
ใครที่มักจะหลบสายตาในขณะที่ทักทายหรือถูกแนะนำให้รู้จัก แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัวอยู่คนเดียว รักสงบไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาเองมากกว่า ถ้าจะชวนไปงานเฮฮา Party หรืองานที่จะต้องพบปะผู้คนมากมาย ขอบอกได้เลยว่า "Say No" แน่ ๆ อย่าเสียเวลาจะดีกว่านะ เพราะถึงจะพยายามคะยั้นคะยอสักแค่ไหน ก็ไม่สำเร็จหรอกนะจะบอกให้ แหม! ก็ความมั่นใจในตัวเองของเค้า แทบจะไม่มีเอาซะเลย หรืออาจจะไม่มีเลยก็ว่าได้นะ ทำอะไรแต่ละทีก็กลัว ไม่กล้าที่จะผิดไม่กล้าที่จะตัดสินใจ ประเภทเจ้าตัวมักจะตีตนไปก่อนไข้ คิดเองไปต่าง ๆ นานาว่ามันจะเป็นอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น และยังกลัวที่จะปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อต่อหน้าคนอื่น แหม! น่าอายซะไม่มี

3. ประเภทที่ขี้อายสุด ๆ
สำหรับคนที่ขี้อายจนแทบหาที่มุดเข้าไปหลบ ก็บอกให้รู้เลยว่าคุณเป็นคนที่มีความ romantic มาก มักจะใช้เวลาว่าง ๆ คิดเพ้อฝันเรื่องต่าง ๆ จินตนาการในหัวสมองของเขาเต็มไปหมด (บางคนเป็นเอามากวัน ๆ ไม่มีอะไรทำนั่งเหม่อลอย) แหม! มีความสุขซะจริง ๆ แถมยังมีความละเอียดอ่อนและ Sensitive ต่อสิ่งใด ๆ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่มากระทบโดนหัวใจเข้าอย่างจัง เรียกว่ามีทั้งความอ่อนโยนอ่อนไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายซะเหลือเกินอย่างเงี๊ยะ ใครพูดถูกจุดก้ทำให้หลงรักได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว ข้อสำคัญคือมีความจริงใจรักใครรักจริงนะ รับรองถ้าใครได้คบด้วยไม่มีผิดหวัง แถมไม่มีวันหลอกให้รักแล้วก็จากไป หรือรักเดียวใจเดียวแต่หลายคนแน่นอน แถมยังเป็นคนที่เจ้าระเบียบนิด ๆ และขยันขันแข็งอีกด้วยนะ

4. ประเภทที่เขินแต่ควบคุมอารมณ์
คนที่มักจะเป็นแต่ Act ควบคุมอารมณ์เอาไว้ให้เป็นปกติ ดูเหมือนอะไรใครเขินกันเล่า ไม่ได้เขินสักหน่อย ประเภทว่ายังงัยก็ปฏิเสธหัวชนฝา จะยอมรับง่าย ๆ ได้ยังงัยจริงมั๊ย และนอกจากนี้ ยังบ่งบอกให้รู้ว่า เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ยังงัยก็รักษาฟอร์มเอาไว้ไม่ให้ใครรู้หรอก ถึงจะมีก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองแหละ เขามักจะแคร์สายตาของคนรอบข้างบ้าง แต่ก็แค่เก็บเอามาแก้ไขนิดหน่อย ไม่ถึงกับเก็บเอามาคิดมากมายให้วุ่นวายใจหรอก คำพูดแต่ละคำ ที่หลุดออกมาจากปากแต่ละคำนั้นหน่ะระวังให้ดี ๆ นะ อาจจะทำให้หลงเอาได้ง่าย ๆ เชียวหละ เป็นอีกหนุ่มที่ Sensitive มีความกระตือรือล้นและรักความก้าวหน้า ไม่ชอบย่ำอยู่กับที่ ชอบที่จะทำโน่นทำนี่ ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าหรอกคน ๆ เนี๊ยะ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คืองานเฮฮา Party ต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจิตใจขาดไม่ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่ามี Party ที่ไหนก็มีเค้าที่นั่นเลยหละ ไม่พลาดอยู่แล้ว

5. ประเภทที่หลบสายตาแต่มักลอบสังเกต
เอ้า! ถึงคราวสำหรับคนที่มักจะเขินอายหลบสายตา แต่ก็มีการแอบมองกันบ้าง เค้ามีความมั่นใจในตนเอง แต่ไม่ถึงกับขั้น high confident หรอกนะ เพียงแต่จะทำอะไรลงไปก็ต้องคิดพิจารณาดูดีๆ เสียก่อนเท่านั้นแหละจะได้ไม่ส่งผลลงมาสู่ตัวเอง ก็รอบคอบไว้หน่ะดีจริงมั๊ยหล่ะ แต่ก็อาจจะมองที่เป็นคนที่เขิน และขี้อายอยู่บ้าง นั่นเป็นเพียงแค่ภาพลักษณะภายนอก ที่แสดงออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงใด ๆ หรอก ขอเพียงแต่แค่เวลาในการตั้งสติเท่านั้น เค้าจะเป็นคนที่กล้าแสดงออกขึ้นมาทันที นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งคิดหน้าคิดหลัง คิดแล้วคิดอีก ซึ่งก็ส่งผลให้เขาทำอะไร ได้อย่างที่คาดหมายไว้ได้เสมอไม่พลาดง่าย ๆ หรอกนะระดับนี้แล้ว

6.ประเภทที่ทักทายสนิทสนมกันเป็นกันเอง
คนที่ทักทายดูสนิทสนม เป็นกันเองตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จัก แสดงว่าเป็นคนที่คบคนง่าย คุยได้กับทุกคนเข้ากับคนอื่นได้เร็ว ไม่มีอคติใด ๆ กับใครหรอก เรียกได้ว่ารู้จักทุกคนชอบสร้างมิตรภาพกับคนอื่นอยู่เสมอ มักใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสบาย ๆ ไม่ชอบความสับสนวุ่นวาย เมื่อเจอกับปัญหาต่าง ๆ อย่าคิดว่าเค้าจะวิ่งหนีหรือวิ่งชนเชียวนะ แต่เค้าจะกลับค่อย ๆ หาวิธีคลี่คลายสิ่งต่าง ๆ ให้ง่ายลงและก็แก้ไขได้ในที่สุด อย่างเนี๊ยะต้องถือคติที่ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม แล้วหล่ะ นอกจากนี้คนที่อยู่ใกล้มักจะมีความสุขเสมอ เพราะว่าเค้าเป็นคนที่อบอุ่น และชอบแสวงหาความประทับใจอยู่เสมอ แต่ภายในจิตใจลึก ๆ ของเค้าแล้วนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างถือตัวเหมือนกันนะ

7. ประเภทชมกลับ
คนที่มักชมกลับเสมอ หลังจากได้รับคำชม บ่งบอกว่าเป็นคนที่รักอิสระ ไม่ชอบหยุดอยู่กับที่และยึดติดอะไรนาน เป็นประเภท Hyper ชอบที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเสมอ ยุกยิกนั่งอยู่กับที่ไม่ค่อยเป็น แถมเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองมาก เวลาที่คิดจะทำงานซักชิ้น งานชิ้นนั้นต้อง Perfect ไม่ว่างานจะหินแค่ไหน เห็นอย่างงี๊นะเป็นคนที่เจ้าอารมณ์เหมือนกันนะ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างอย่าได้มาขัดเชียว แต่ถ้าจะเยินยอก็อย่ายอจนเกินไป Limit ให้พอดีน่าจะดีกว่า.. เน๊อะ
76  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กาแฟมีประโยชน์ อย่างไรต่อสุขภาพ เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:32:22 am
 กาแฟมีประโยชน์หรือโทษอย่างไรต่อสุขภาพ?
ดูย่อๆ
 กาแฟมีประโยชน์หรือโทษอย่างไรต่อสุขภาพ?
 
หลายคนจะดื่มกาแฟในตอนเช้า แทนอาหารเช้าไปเลย แต่บางคนก็ดื่มรอบบ่ายอีก แล้วคุณรู้ไหมว่ากาแฟนั้นสำคัญกับร่างกายมากน้อยแค่ไหน หรือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพคนเราหรือไม่

ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิต ประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่ง หนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบ บุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณ caffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

 :25: :25:
77  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ้เรื่องดี ๆ ที่อยากแบ่งปัน เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:30:03 am


เรื่องดี ๆ ที่อยากแบ่งปัน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
 
แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
 
ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
 
อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้ โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
 
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
 
เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก ็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี
 
คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว
 
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
 
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก
 
" อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
 
ถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน
ไม่ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า
เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย
 
************ ********* ********* ********* ********* ********* **
ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัว
ที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ
ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
หากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ในสิ่งที่ดี
จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า
ขอให้เกิดในภพภูมิ เขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง
และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ลึกซึ้ง ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ.
78  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมุนไพร อันตราย นะคะ เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:25:56 am
สมุนไพรอันตราย 13 ชนิด


สำนักแห่งความสุขขอประกาศรายชื่อสมุนไพรอันตราย 13 ชนิดที่มีต่อชีวิตการทำงานดังนี้คือ :

1 ขิง / ข่า

ขิง(ก็รา) ข่า(ก็แรง) เป็นอันตรายต่อชีวิตการทำงานอย่างยิ่ง บางครั้งเป็นการกระทบกระทั่งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อไม่ยอมกันคนละก้าว ก็เสียทั้งงานและภาพพจน์ขององค์กร

ทางแก้ : การทำงานในสำนักงานไม่ว่าองค์กรราชการหรือเอกชนเป็นการรวมคนจากที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน รู้จักยอมกันบ้าง ทำนอง 'แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร' นอกจากจะได้ไม่เสียสุขภาพจิตแล้ว ยังได้ประสิทธิภาพของงานสูง

2 ขมิ้น (กับปูน)

ไม่ชอบเพื่อน ไม่ชอบเจ้านาย ไม่ชอบหน้าลูกค้า ไม่ชอบงานที่ทำ ไม่ชอบทุกอย่างในชีวิต!

ทางแก้ : ปรับเปลี่ยนทัศนคติมองผู้อื่นในด้านดี หรืออย่างน้อยก็ตามความเป็นจริง มองลูกค้าว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเลี้ยงค รอบครัวได้ เพราะการทำงานโดยมีทัศนคติไม่ดียากจะก้าวหน้า และที่แย่ที่สุดคือผ่านชีวิตทำงานแต่ละวันอย่างทรมาน

3 มะนาว (ไม่มีน้ำ)

พูดไม่ดี พูดมากไป พูดไม่ไพเราะ พูดแต่เรื่องร้ายๆ เหล่านี้เป็นอันตรายต่อองค์กรอย่างยิ่ง นอกจากจะขัดใจกันในองค์กรแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้าหนีหายก็ได้

ทางแก้ : พูดน้อยหน่อย ทำงานมากหน่อย มองด้านดีของคนอื่นบ้าง

4 จิก

เจ้านายประเภทที่ใช้คนไม่เลือกเวลา ชอบบรี๊ฟงานห้านาทีก่อนเลิกงาน โทร.ตามจิกลูกน้องห้านาทีก่อนเที่ยงคืนและในวันหยุดเป็นประจำ

ทางแก้ : การทำงานที่ดีอยู่ที่การวางแผน และรักษาสมดุลของงานกับครอบครัว ลูกน้องที่พักผ่อนพอเพียงและมีชีวิตครอบครัวที่ดี ย่อมทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าคนที่ทำงานใต้สภาวะของการจิก การทำงานชั่วโมงยาวนานมิได้หมายถึงประสิทธิภาพและคุณภาพเสมอไป

5 ว่านหางจระเข้ (ฟาดหาง)

เจอเรื่องไม่ดีที่บ้านก็นำมาฟาดหาง (จระเข้) กับเพื่อนหรือลูกน้อง หรือทั้งเพื่อนและลูกน้อง

ทางแก้ : แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว งานส่วนงาน ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน เพราะทุกคนก็ประสบเร ื่องไม่ดีทั้งนั้น แก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวโดยวิธีการอื่น เช่นปรึกษาเพื่อนฝูง เป็นต้น

6 (เย็น)ชา

เย็นชากับลูกค้า ลูกค้าหลุดได้ เย็นชากับลูกน้อง ลูกน้องก็หนี เย็นชากับเจ้านาย ก็อาจตกงาน!

ทางแก้ : รักษาน้ำใจเพื่อนๆ ในที่ทำงาน จะทำให้หลายสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ในที่ทำงานเป็นสวรรค์ ไม่ใช่นรก

7 สีเสียด

ใช้วาจาเสียดสี เหยียดหยาม กระแทกกระทั้นคนรอบตัวเพื่อความสะใจ ต่อหน้าลูกค้าเอ่ย "ครับๆ ค่ะๆ" ลับหลังลูกค้าด่าว่าโง่ ฯลฯ

ทางแก้ : การใช้คำพูดในเชิงลบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามจะทำให้ผู้พูดลดคุณค่าและความน่าเชื่อถือลง ลองมองด้านดีของคนอื่นบ้าง

8 กระทืบยอด

เป็นยอดในการย่ำคนอื่น เป็นเยี่ยมในการไต่ขึ้นที่สูงโดยเหยียบหัวเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ

ทางแก้ : ไต่ขึ้นที่สูงไปตามพัฒนาการของตนเอง จะเป็นฐานที่แข็งแรงที่สุด

9 มะขวิด

ไล่ขวิดคนไปทั่ว ยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่ทำงานของตัวเอง

ทางแก้ : กลับไปทำงาน! เพราะเวลาวัดผลงานในตอนท้าย ไม่ได้วัดกันที่ความคมของเขี้ยว เขา หรืองา

10 ยอ

ยกยอเจ้านายตลอดเวลา เสนอหน้าหลังเวลางาน

ทางแก้ : ความก้าวหน้าจากการประจบเอาใจผู้ใหญ่ไม่ใช่รากฐานที่มั่นคงของชีวิตการทำงานในระยะยาว

11 แมงลัก

ขโมยไอเดียของคนอื่น แล้วยกว่าเป็นของตัวเอง

ทางแก้ : พัฒนาตนเองตลอดเวลา เรียนรู้จากความคิดของผู้อื่น แล้วนำไปแตกหน่อต่อยอด เป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง

12 รางจืด

ใช้ชีวิตทำงานแบบจืดสนิท ทำงานแบบกางตำรา ไม่เริ่มงานเด็ดขาดแม้เข็มนาฬิกาอยู่ก่อนเวลาเริ่มงาน 1.025 วินาที พนักงานไม่เคยไปสังสรรค์ด้วยกัน ฯลฯ

ทางแก้ : เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตทำงานบ้าง แล้วอาจพบว่า การทำงานก็เป็นเรื่องสนุกได้

13 กระบือเจ็ดตัว

พอใจในความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ไม่ว่ามันจะจำกัดเพียงใด ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ทางแก้ : ความรู้หรือเทคโนโลยีที่เรียนมาเมื่อ 10-20 ปีก่อนอาจแก้ปัญหารูปแบบใหม่ๆ ในปัจจุบันไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปนาทีต่อนาที คนทำงานต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทัน ต้องศึกษาเพิ่ม อาจเป็นการเรียนวิชาที่เพิ่งเกิดใหม่ สัมมนาทางวิชาการ ศึกษาภาคค่ำ แทนที่จะห าประสบการณ์จากการกินเหล้าและเข้าผับอย่างเดียว 

อ่านจบแล้ว อมยิ้มสักนิด จิตแจ่มใสแล้ว เชิญปฏิบัติกรรมฐาน ต่อคะ
79  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กาแฟใส่เกลือ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 10:03:56 am


กาแฟใส่เกลือ....

กาแฟใส่เกลือ…..เรื่องดีๆที่ไม่ควรพลาด
เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งนึง เธอดูโดดเด่นมาก และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ

ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย

และหลังงานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ เธอประหลาดใจมาก

แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง

พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งนึง เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก

เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจว่า ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ

แต่ทันใดนั้น…..

เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม อยากเอามาใส่ในกาแฟ

ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ เขาอายจนต้องก้มหน้า

แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มมันเสียด้วย

ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า

ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้

เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก บ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล เขาเป็นลูกน้ำเค็ม

เล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม

เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก

คิดถึงบ้านเกิด เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น

เขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ

นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขาผู้ชายคนไหนที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน

แสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว

ดังนั้นเธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้าง

ชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของเธอ

เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการเริ่มต้นที่ดี

ทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป

จนทีสุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง เขาใจกว้าง

อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ

แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป! ต้องขอบคุณกาแฟแก้วนั้น

และชีวิตรักที่สวยงามเช่นนี้ ก็เหมือนดังเรื่องทั่วไป

เมื่อเธอตกลงใจแต่งงานกับเขา และก็มีความสุขมาโดยตลอด….

โดยทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขา

เธอต้องใส่เกลือลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป

เธอรู้ว่านี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมากที่สุด

หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับนึง

ข้างในมีใจความว่า

ที่รัก อภัยให้ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต

มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น

จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาล

แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป

ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน

ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป

ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว

ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก

ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้

แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย

มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว

แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ

ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย

การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม

ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ

และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกัน

แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม!

น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอ

กาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร

เธอก็จะตอบเสมอว่า ” มันหวาน “
80  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อแตกต่าง ระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้ เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 10:07:01 am
ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้
---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------


ถึง:


 1) ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง

     ผู้แพ้  : เมื่อพบข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน

 2) ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้

     ผู้แพ้  : จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยที่ไม่คิดว่า งานไหนควรทำก่อน ทำหลัง

 3) ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหานั้น

     ผู้แพ้  : จะทำในทางตรงข้าม คือหลีกเลี่ยงปัญหา

 4) ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฏผลงานขึ้น

     ผู้แพ้  : จะให้แต่คำสัญญา คือมีแต่ลมปาก แต่ไม่ลงมือ

 5) ผู้ชนะ : จะพูดว่า “ ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ “

     ผู้แพ้  : จะพูดว่า “ ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา “

 6) ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และ สามารถตอบสนองได้

     ผู้แพ้  : จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง

 7) ผู้ชนะ : จะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น

     ผู้แพ้  : จะทำในทางตรงข้ามและจะพยายาม หาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา

 8) ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น  จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ
                ( ไม่ใช่ไปก้าวก่าย งานคนอื่นนะ )

     ผู้แพ้  : จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และ มักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่

 9) ผู้ชนะ : ต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้เสมอ

     ผู้แพ้  : จะพูดว่า “ นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้ “

 10) ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆของเขา

       ผู้แพ้  : จะเก็บบทความนี้เอาไว้ เพราะว่าเขาไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปให้คนอื่น
หน้า: 1 [2] 3