ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิหารธรรมที่ทรงอยู่มากที่สุด..ก่อนตรัสรู้.?  (อ่าน 2081 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



วิหารธรรมที่ทรงอยู่มากที่สุด ก่อนตรัสรู้

    ภิกษุทั้งหลาย !  ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย  หรือความหวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม  ย่อมมีขึ้นไม่ได้ด้วยอำนาจแห่งการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิใด  สมาธินั้นภิกษุย่อมจะได้โดยไม่หนักใจ ได้โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบากเลย.
     ภิกษุทั้งหลาย !   ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย  หรือความหวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม  ย่อมมีขึ้นไม่ได้ด้วยอำนาจแห่งการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิไหนกันเล่า ? 

     ภิกษุทั้งหลาย !  ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย หรือความหวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม  ย่อมมีขึ้นไม่ได้ด้วยอำนาจแห่งการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ.
     ภิกษุทั้งหลาย !   เมื่อบุคคลเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิอยู่อย่างไรเล่า  ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย  หรือความหวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม ย่อมมีขึ้นไม่ได้ ?


     ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า  หรือโคนไม้  หรือเรือนว่างก็ตาม แล้วนั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า  ภิกษุนั้นหายใจเข้าก็มีสติ  หายใจออกก็มีสติ.
    เมื่อหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,  เมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว.
    เมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น.





   เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
    "เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้าอยู่ ", ว่า 
    "เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง  หายใจออกอยู่" .

    เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
    "เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้สงบรำงับอยู่  หายใจเข้าอยู่", ว่า
    "เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้สงบรำงับอยู่  หายใจออกอยู่".

    เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า   
    "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งปิติ   หายใจเข้าอยู่",  ว่า 
    "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งปิติ  หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งสุข  หายใจเข้าอยู่",  ว่า 
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งสุข  หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งจิตสังขาร  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งจิตสังขาร  หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตสังขารให้สงบรำงับอยู่  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตสังขารให้สงบรำงับอยู่"

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งจิต  หายใจเข้าอยู่",  ว่า 
     "เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งจิต  หายใจออกอยู่".





    เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้ดำรงจิตให้ตั้งมั่นอยู่  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้ดำรงจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้าอยู่", ว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความไม่เที่ยง หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความจางคลาย หายใจเข้าอยู่", ว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความจางคลาย  หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความดับไม่เหลือ  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความดับไม่เหลือ  หายใจออกอยู่".

     เธอย่อมทำการสำเหนียกฝึกฝนโดยหลักว่า 
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความสลัดคืน  หายใจเข้าอยู่",  ว่า
     "เราจักเป็นผู้มองเห็นความสลัดคืน  หายใจออกอยู่".  ดังนี้.





     ภิกษุทั้งหลาย !   เมื่อบุคคลเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิอยู่อย่างนี้แล  ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย  หรือความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตามย่อมมีขึ้นไม่ได้.  ---- ฯลฯ ----

     ภิกษุทั้งหลาย !   แม้เราเองก็เหมือนกัน  ในกาลก่อนแต่การตรัสรู้  ยังไม่ได้ตรัสรู้  ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่  ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม  คือ อานาปานสติสมาธินี้เป็นส่วนมาก.  เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก กายก็ไม่ลำบาก ตาก็ไม่ลำบาก และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสาวะ  เพราะไม่มีอุปาทาน.

     ภิกษุทั้งหลาย !   เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้   ถ้าภิกษุหวังว่ากายของเราก็อย่าลำบาก  ตาของเราก็อย่าลำบาก  และจิตของเราก็จงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานเถิด  ดังนี้แล้ว,  ภิกษุนั้นจงทำในใจ  ซึ่งอานาปานสติสมาธินี้  ให้เป็นอย่างดี.


ที่มา  http://www.bds53.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=82
ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ้ค มัชฌิมา แบบลำดับ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: วิหารธรรมที่ทรงอยู่มากที่สุด..ก่อนตรัสรู้.?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 03, 2014, 12:40:12 am »
0
 st12 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ