ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส  (อ่าน 2631 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 08:56:14 am »
0
โลกคือ หมู่สัตว์ ที่กำหนดกฏเกณฑ์ อันไม่สามารถข้ามพ้น พันธนาการของจิต ผู้ที่เดินตาม พระสุคต ในปัจจุบัน มีน้อยนัก ส่วนผู้ที่ อาศัย พระสุคต อยู่กิน นั้นมีมาก กว่าผู้เดินตาม

ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งพระอนาคามี สมดังที่พระชินสีห์ ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว

ผู้ที่จะก้าวข้ามฝั่งมา ไปตามพรหมจรรย์ ในยุคนี้ จึงมีน้อยนักไม่ได้มีมากเลย

ยิ่งเรียนธรรมปฏิธรรมไปยิ่งลึก ก็ยิ่งเหงา เดียวดาย เพราะยิ่งสูงไปตามลำดับชั้น ก็จะขาด เพื่อนในระดับนั้นๆ ไป ในปัจจุบัน

ดังนั้นผู้ปฏิบัติไปสู่พรหมจรรย์ จริง ๆ นั้น มีน้อยมาก จริง ๆ

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ธรรมทานปิดทองหลังพระ ไม่มีรางวัลให้นอกเสียจาก บุญบารมีที่ติดตัวเท่านั้น

ท่านที่ได้ตามช่วยเหลือ ธรรมทานปิดทองหลังพระกับธัมมะวังโส ทุกท่านนั้น ต้องขอบอกว่า ขอบคุณในน้ำใจทุกท่านเป็นอย่างมาก แม้คนช่วยจะไม่ได้มีจำนวนมาก มีจำนวนนับคนได้ ไม่ถึง 20 คนก็ตามแต่ก็สามารถทำให้ ธรรมทานปิดทองหลังพระ ที่ ธัมมะวังโส ทำมานี้ ได้เดินต่อไป ทั้งระบบเสียงออนไลน์ ทั้งเว็บที่กระจายพระธรรม ซึ่งปีนี้เป็นปีที่เข้าปีที่ 18 แล้ว จากที่ได้ทำมา

ต้องขอบคุณในน้ำใจของ สมาชิกที่ส่งเสริมธรรมทานให้ก้าวเดินต่อไปได้ แม้ว่าสมาชิก จะไม่เคยได้รับวัตถุสิ่งของ เสียงสรรเสริญ เยินยอยกย่องเลยก็ตาม เพราะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นสิ่งที่ปิดด้านหลังพระช่วยเหลือ แต่ไม่รับสิ่งตอบแทนเป็นโลกธรรม 8 ดังนั้นท่านจึงสามารถก้าวไปกับ ธัมมะวังโสได้

18 ปีมานี้ ธัมมะวังโส ก็ไม่ได้รับอะไรจากการทำงาน ปิดทองหลังพระ นี้เช่นกัน ไม่ว่าจะชื่อเสียง เกรียติ เงินทอง สักการะ ล้วนแล้วก็ไม่ได้เช่นกัน แต่ที่ยังทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเชื่อมั่นในบารมีธรรม ที่ครูอาจารย์ได้สั่งสอนอบรมและชี้นำให้ได้กระทำ เพื่อเป็นการสืบวิชากรรมฐาน มิให้สูญหายไป เพื่อส่งมอบให้แก่บุคคลที่สมควร และต้องการการฝึกฝนวิชากรรมฐาน

ก็ขอสดุดี คุณงามความดี ที่่ท่านทั้งหลาย ได้มาร่วมปิดทองหลังพระกับ ธัมมะวังโส ซึ่ง ธัมมะวังโส รับปากว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก็ไม่จะไม่ยุติการเผยแผ่พระกรรมฐาน ส่วนนี้ ถึงแม้ว่าจะอาพาธ ไม่คล่องตัว ก็จะพยายามกระทำการเผยแผ่ พระกรรมฐานส่วนนี้เอาไว้ ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็น ธรรมทาน ที่เหมาะสมและสมควรแก่ผู้ที่ต้องการนำไปฝึก ต่อไป

ขอให้ผู้สนับสนุนทุกท่านจงถึงซึ่งความสุข มีความสำเร็จในพระธรรม กรรมฐาน มูลกรรมฐาน กัจจายนะ กันทุกท่าน เทอญ

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:01:40 am »
0
แก่ท่านผู้ติดตามมา....

สติ ระลึกรู้ในศีลของตน

สัมปชัญญะ สำนึกในหน้าที่ ๆ ปฏิญาณไว้กับครูอาจารย์

ธรรม ตั้งไว้ซึ่งความสังเวช สลดใจ ต่อกายสังขาร อันประกอบด้วย เจ็บ ชรา

ธรรมพละ ตั้งไว้ซึ่ง ความตายอันจะมีอีกไม่นาน

กาย แล จิต ทั้งปวง เข้ากรรมฐาน ดำรงไว้ซึ่งธรรม ที่ชื่อว่า เฉพาะหน้า

โคจร เป็นไปตามลำดับ ของ มรรค

ทรงไว้ ซึ่งธรรมอันเห็นว่า เกิด ดับ เกิด ดับ อย่างนั้น

อุเบกขา วางละลงซึ่ง ความยึดมั่นถือมั่น ใน กาย ใน จิต ใน วิญญาณ ทั้งปวง

ปฏินิสสัคคา ปล่อยละ เว้นแล้ว ซึ่งความยึดถือว่า มีตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นเพียง ปรมัตถ์สภาวะ

ดำรงอยู่ ด้วย ธรรมชือว่า มรรค ผล นิพพาน

หวังว่าท่านที่ติดตามมา จะเข้าใจและดำเนินธรรมได้ตามที่บอกไว้

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:02:07 am »
0
ถ้าสับสนเส้นทาง ใน กทม ให้ไปเริ่มที่ สนามหลวง
ถ้าสับสนเรื่องชีวิต ให้ทบทวน ที่พระรัตนตรัย

คำพูดประโยคนี้ ได้ยินได้ฟัง มาจากครูอาจารย์ ในสายสวนโมกขพลาราม ตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร

ท่านกล่าวว่า รถเมล์ในกทม สมัยนั้น ล้วนผ่านสนามหลว ดังนั้นถ้าหลงทางในกทม ให้ไปเริ่มต้นที่ สนามหลวง ( สมัยปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ )

ส่วนเรื่องของชีวิต ถ้ามีความสับสน เป็นทุกข์ ก็ให้เริ่มต้นที่ พระรัตนตรัย

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ต้องมีสักอย่างเป็นที่พึ่ง ให้แก่จิตใจที่กำลังทุกข์ และสับสนนั้นได้

พระพุทธเจ้า ในทางกรรมฐาน ก็คือคำ บริกรรม พุทโธ เป็นส่วนใหญ่
พระธรรม ในทางกรรมฐาน ก็คือผลของการทำกรรมฐาน
พระสงฆ์ ในทางกรรมฐาน ก็คือครูอาจารย์ผู้มอบสอนวิชากรรมฐาน

ดังนั้น ถ้าชีวิตเป็นทุกข์ สับสน ความหมายง่าย ๆ ก็ประมาณนี้

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:02:38 am »
0
เรื่องของชีวิต ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก มันอยู่ที่ต้องปล่อยวางให้มาก

เมื่อปล่อยวางลง มันก็จะเหลือแค่ภาระหน้าที่

การปล่อยวางเป็นสภาพทางจิตใจที่สามารถจัดกระทำได้ ด้วยการเติมเต็มพระธรรม ลงไปในใจ เพื่อให้ใจเข้มแข็ง

ส่วนภาระหน้าที่ เป็นสิ่งที่เลี่ยงกันไม่ได้ พ่อ แม่ ผัว เมีย ลูกน้อง เจ้านาย แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้ เป็นต้น มันเป็นภาระหน้าที่ ๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้พบ ไม่ให้เกิดได้ แต่ก็สามารถกระทำการเสริมบุญเข้าไปช่วยจัดการได้ คือทำให้มันเป็นภาระที่เบาลงมา อย่าได้เป็นภาระหนัก

ดังนั้น เรื่องของชีวิตรวม ๆ ก็ต้องแยกความลำบากหรือทุกข์ออกมาให้ได้

1. ทุกข์กาย มี แก่เจ็บ ตาย เราหนีไม่ได้ หนีไม่พ้น

2. ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน เป็นสิ่งที่หนีไม่ได้เพราะต้องกิน ต้องใช้ ก็ต้องทนอยู่กับมันให้ได้

3. ทุกข์เพราะความอยาก อยากเป็น อยากได้ อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น อันนี้เป็นทุกข์ทางจิตใจ ซึ่งมันต้องแก้ไขด้วยการทำใจให้ปล่อยวาง คลายความยึดถือลงให้ได้

ดังนั้น จะสุขมาก หรือ ทุกข์มาก เราสามารถเลือกได้ในข้อ 3 เท่านั้น ส่วน 1 และ 2 อยู่ที่บุญกรรมสะสมกันมาไว้ก่อน ทำบุญไว้ดี เจริญธรรมขาว ก็มีความสุขมาก

เจริญธรรม / เจริญพร

บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:03:10 am »
0
ชีวิตที่ไหลไป สู่ ความดับ

ธรรมชาติ ของชีวิตที่เกิดมา ล้วนแล้วไหลไปสู่ความดับ ภาษาธรรมเรียกว่า ความเสื่อม

ความชรา ความอาพาธ ความตาย เรียกว่า ความดับ หรือ ความเสื่อมไป

เมื่อคนเราเกิดมา ก็ย่อมมีฐานะ ในการดำรงชีวิตของตนให้มีความสุข ยิ่งขึ้น มีความทุกข์ให้น้อย

ดังนั้น ความทุกข์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตไม่ต้องการ
แต่หาก ชีวิตมีความสุข เป็นสิ่งที่มีชีวิตต้องการได้

โดยความเป็นจริงแล้ว

ในชีวิตเรา สุขมีมากกว่าความทุกข์ เพราะถ้าไม่มีสุขเลย คนที่มีชีวิตย่อมไม่อยากมีชีวิต คนที่ทิ้งชีวิต ก็เพราะเห็นว่า ชีวิตไม่มีความสุข ความสุขปรากฏไม่ได้ ด้วยการมีชีวิตจึงทิ้งชีวิต ไปในรูปแบบต่าง ๆ

การแสวงหาความสุข เป็นสิ่งที่มีการสอนกันมาตั้งแต่เกิด ทั้งในสถานศึกษา และ ประสบการณ์ชีวิต

การภาวนา เป็นหนทางหนึ่งที่มาเติมเต็ม ความสุข ที่ไม่หายจากไป จากชีวิต ถ้าผู้ภาวนา ได้ ทำการภาวนา ตาม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เขาย่อมได้รับความสุข จนถึงความสุขที่สุด

ความสุขที่สุดที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้เสมอ ๆ ก็คือ ความสุขที่ไม่ต้องเกิดต่อไป

พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า

นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

จากพระดำรัสนี้จึงทำให้เรามองเห็นว่า ไม่มีเกิดดับนอกเสียจากความทุกข์ ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ทุกข์ดับ สุขก็เกิด สุขดับ ทุกข์ ก็เกิด เพราะความทุกข์ กับ ความสุข เป็นของคู่กัน

ถ้าเรายิ่งภาวนา ดำเนินตามวิถีแห่งมรรค
สิ่งที่จะปรากฏชัด ก็คือ ความสุขนั่นเอง

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:05:18 am »
0
การเจริญพระกรรมฐาน ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนปุถุชน คนทั่วไป จะทำได้ อย่างน้อยผู้ที่จะทำได้ ต้องมีจิต เป็นโยคาวจร

คำว่า โยคาวจร หมายถึง ผู้กำลังทวนกระแสไปสู่นิพพาน

ดังนั้น กรรมฐาน เป็นเรื่องที่เหมาะกับคนที่เป็น โยคาวจร

ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่เป็นโยคาวจร กรรมฐาน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้ทุกวัน เพราะตัวกรรมฐาน นั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน จนกว่าจะถึงปลายทาง คือการสิ้นสุดกิเลส

กรรมฐาน คือ อะไร หลายคนอาจจะอธิบาย ว่าเป็นอุบาย สงบใจ อุบาย แห่ง ปัญญา

ความเป็นจริงกรรมฐาน ก็คือ มรรค การปฏิบัติกรรมฐาน ก็คือดำเนินวิถีชีวิตไปด้วย มรรค ซึ่งมรรค ก็มีคุณสมบัติ 8 ประการ ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ จนถึง สัมมาสมาธิ ในตัวมรรค นั่นเอง

ดังนั้น กรรมฐาน ไม่ใช่เรื่องของ ปุถุชน แต่เป็นเรื่อง ของ โยคาวจร

บุคคลที่เป็นโยคาวจร ไม่ได้มีจำนวนมาก ไม่ได้หาตัวเจอได้ง่าย ๆ

ดังนั้นก็ขออนุโมทนา กับท่าน โยคาวจร ทั้งหลายที่กำลังดำเนิน เส้นทางธรรม มีกรรมฐาน เป็นที่ตั้งทุกท่าน ก็ขอให้เจริญก้าวหน้า ในพระธรรมกรรมฐาน นั้นทุกท่าน

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:05:51 am »
0
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

ไม่ว่าจะวิกฤติ จะทุกข์ จะสุข หรือ เฉย อย่างไร ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ จะป่วย จะเจ็บ จะแก่ จะมีแรง หรือไม่มีแรงอย่างไร ก็ตาม

ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะตายจากกัน

หน้าที่อะไรที่เป็น สิ่งที่ ธัมมะวังโส ทำได้ก็ต้องดำเนินต่อไป
ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป

ถ้าต้องการความสุข ก็อยู่ในกุศลให้มาก
ถ้าต้องการทุกข์ ก็อยู่ในอกุศลให้มาก
ถ้าต้องการความสงบ ก็ต้องอยู่ในมรรค ผล นิพพาน ให้มาก ๆ

อริยมรรค และ อริยสัจจ เป็นธรรมที่ควรศึกษามากที่สุด

ขอให้ทุกท่านจงมีความปลอดภัย รอดพ้นจาก ภัยทั้งปวง มีดวงตาเห็นธรรมกันยิ่งขึ้นไป

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:06:46 am »
0
อดทน เป็นคำสำคัญ แต่ก็ค่อนข้างจะทำได้ยากอยู่ เพราะว่าขีดจำกัด ของความอดทนแต่ละคนไม่เท่ากัน ที่ไม่เท่ากันก็เพราะว่า การอบรมบ่มนิสัย ให้ทนได้มาก หรือ ทนได้น้อย มันแตกต่างกัน

พอจ สอนให้ลูกศิษย์ ให้นั่งอย่างอดทน เวลาที่ร่างกายมันเริ่มปวดชา อย่างน้อย จิตมันวุ่นวายอยู่กับความเจ็บ มันก็ละจากกิเลสตัวอื่นๆ ไปชั่วคราว เหลือแต่ความฟุ้งซ่าน กับความเจ็บ สองจิต สองใจ จะหยุด หรือ จะต่อ

สอนไปอย่างนี้ บ้างก็ทนได้นาน บ้างก็ทนไม่ได้ บ้างก็ทนได้จนผ่าน ผึง เข้าไปสู่สมาธิ แต่ก็มีน้อยคน

ดังนั้นคำว่า อดทน แต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน เพราะการบ่มฝึกอมรมจิตนั้นไม่เท่ากัน นั่นเอง แต่อย่างไรก็ต้องอดทน เพื่อ มรรค ผล นิพพาน

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:08:33 am »
0
คนภาวนา ถึงจะถูกรังแก ก็ไม่บ่น ไม่ด่าใคร ไม่นินทา ไม่ติฉิน แต่จะวางเฉย ปล่อยให้เรื่อง อกุศล มันดับไป แล้วสร้างกุศลชำระกาย วาจา ใจ ให้ผ่องใส

คนปุถุชน ชอบแส่หาเรื่อง บ่นนั่น บ่นนี่ เพ้อเจ้อ ตัดพ้อ ต่อว่า ไปเรืือยเปื่อย ไม่รู้จักสำรวมใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่หันมามองแง่ลบของตนเอง แต่ จะรังควานหาแง่ลบของคนอื่น หรือจะคอยทับถมให้คนอื่นเศร้าหมอง ตามไป

จะเลือกเป็นแบบไหน ก็อยู่ที่ใจของพวกท่านทั้งนั้น
ไม่รูู้จะเลือกอะไร ก็ขอแนะนำ สำรวมใจลงไปที่สะดือ แล้วสวดบทพุทธคุณให้ใจสงบจะดีกว่า

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:12:10 am »
0
เมื่อ สิบปีที่แล้ว เขาเรียกเราว่า หลวงพี่
ตอนนี้ผ่านมา จะสิบห้าปีแล้ว จากหลวงพี่ เป็น หลวงตา หลวงปู่ ไปแล้ว ส่วนใหญ่ ตอนนี้เจอหลาน ๆ ก็จะเรียกว่า หลวงตา นาน ๆ จะเจอเรียกว่า หลวงลุง

เอ้า จะเรียกอะไร ก็เรียกไปตามฐานะ และ วัย ที่มันเป็น

แต่ที่แน่ ๆ กำลังวังชา เริ่มหายไป อันนี้สิของแท้ ยกน้ำถังเดียว ยกไม่ไหวแล้ว เอ้อ นี่แหละเขาเรียกว่า ชรา หรือ แก่

โรคชรา มารุมเร้า ให้แย่ลง
โรคความดัน มาก่อน ตามด้วยโรค เบาหวาน ตามติดมา... อีกหลายโรค ตอนนี้มีปัญหา การขับถ่าย กินยาหมอแล้ว ลำบาก ถ่ายลำบากมากขึ้น ถ่ายครั้งหนึ่ง เมื่อก่อนแค่ 2 - 3 นาที ก็ออกจากห้องน้ำแล้ว ทุกวันนี้ นั่งในห้องน้ำ มากกว่า 30 นาที จะนั่งเข้ากรรมฐานไปแล้ว

จากเป็นพระที่นอนน้อย นอนวันละ 3 - 5 ชม ตอนนี้ ไม่นอนไม่ได้ กินยาหมอแล้ว สลึมสลือ นอนรวดเดียวเลย 8 ชม นอนมากจริง ๆ

งานพิมพ์หนังสือ ก็ พิมพ์ไม่ได้คล่องแบบเดิม เพราะว่า โรคความดัน ทำให้เป็นเส้นเลือดตีบในสมอง ซีกซ้ายตอนนี้ ชาด้าน มือไม่มีแรง ขาก็ไม่มีแรง บางวันถือของก็ร่วงหล่น ขาก็ไม่มีแรงทรุดลงดื้อ เดินเป๋ไป เป๋มา ตอนนี้เดินจงกรมไม่ได้แบบเมื่อก่อนเสียแล้ว ก็ต้องว่าไปตามที่ถนัด

สรุปแล้ว ความชรา มาเยือน
คนชรา อายุ 60 ปี ได้เงินบำรุง
แต่พระชรา 60 ปี ไม่ได้เงินนะ ไม่มีเงินรัฐมาช่วย

คนชรา กับ พระชรา ต่างกัน

วันก่อนไปนั่งเข้าคิว รอหมอ คนชรา ถึงหมอก่อน ส่วนพระชรา เลยคิวแล้วเขาก็ไม่เรียก ต้องเดินไปทักท้วงกว่าจะได้พบหมอ ไปตั้งแต่ 6 โมงเช้า พบหมอ เที่ยงวัน คุยไม่ถึง 3 นาที หมอก็ไล่กลับแล้ว

เป็นพระใช้สิทธิ์รักษาฟรี มันก็ฟรี แต่ ฟรี แบบอนาถา นะ
มองยาแล้ว ซ์้อเองน่าจะดีกว่า ....

นี่แหละ ชรา ธัมโมมหิ ชรัง อะนะตีโต เรามีความแก่ชรา เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ชราไปได้

ใครไม่แก่ไม่รู้ ฉันเองก็พึ่งจะรู้ตัว ตอนโรคต่าง ๆ มันมารุมเร้าจริง ๆ นี่แหละ เมื่อก่อนประมาทไม่คิดว่า จะแก่ ก็เลยถือดี แข็งขันทำโน่นนี่ ไม่ง้อใคร ๆ วันนี้เดินเหินลำบาก ลากขาเดินไกล ก็แทบแย่แล้ว

ขอให้ทุกท่านจงมีสติ อย่าประมาท ช่วงนี้ทางรัฐบาล ขอให้ร่วมมืออย่าออกนอกสถานที่ โดนไม่มีความจำเป็น ก็ขอให้อดทนกันหน่อย มันจะลำบากก็ต้องทน ใครทนไม่ได้ก็ต้องทน นะ

ขอให้ทุกขีวิต จงอยู่รอด ปลอดภัยด้วยกันทุกท่าน ทุกคนเทอญ

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:13:00 am »
0
ในสภาวะ โกลาหล สิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องมีมากที่สุด ก็คือ สติ

สติ ต้องระลึกถึงเหตุที่จำเป็น และผลที่มันควรจะเป็น

ถ้ามี สติ แล้ว ความโกลาหล ก็ไม่ใช่ปัญหา ต่อไป ดังนั้นจะทำอะไรก็ควรมีสติ เพราะสติ มันจะนำพาความถูกต้อง มาให้ทุกครั้ง แต่ถ้าไม่มีสติ มันก็จะทำแต่เรื่อง ถูกใจ

ดังนั้น ถ้าต้องการความถูกต้อง ก็ต้องประคอง สติ ให้ตั้งมั่น

ทำอย่างไร ให้สติมาก่อน
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้นึกถึง ตถาคต แล้วก็ภาวนา พุทธานุสสติ

พุทธานุสสติ ก็คือ พุทโธ แบบเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ก่อนที่จะทำอะไรไปตามใจ มันก็จะมีสติ

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:13:29 am »
0
การสำรวจใจตนเอง
เวลาเราอ่านข้อความ คนที่ชอบ เราก็รู้สึกดี
เวลาเราอ่านข้อความ คนที่ไม่ชอบ เราก็รู้สึกไม่ดี
เวลาเราอ่านข้อความ คนที่ไม่รู้จัก เราก็รู้สึกเฉย ๆ

เพราะเราปรุงแต่ง อยู่ในความเป็นตัวตน มีตัวเรา มันจึงมีความรู้สึก ดังนั้นทุกการอ่าน มันจึงมีอัตตา อยู่ตลอดเวลา

ภาวนากับการอ่าน
มองเห็นว่า เป็นธรรม อย่างแรก
มองเห็นว่า เป็นธรรมอย่างไร ?
มองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ชอบก็เป็นทุกข์ ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ กลางก็เป็นทุกข์ ถ้ามองเห็นอย่างนี้ ก็จะมีแต่ธรรมตา ที่ไหลไปเป็น ธรรมดา

เมื่อเห็นเป็นธรรมดา ก็จะเห็นธรรมที่ชื่อว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การเห็นอย่างนี้ ก็จะละเอียดขึ้น ชื่อว่า ธัมมัฏฐิตตา

เมื่อเห็นแต่ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จิตก็จะเห็นเป็นสองอย่างเพราะละตัว ละตนจะเหลืออยู่ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เท่านั้น ไม่มีสิ่งที่ตั้งอยู่ ชื่อว่า

เมื่อจิตมองเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป ปรากฏชัด จะมองเห็น อนิจจตา ความไม่เที่ยง และ ทุกขตา ความเป็นทุกข์ เมื่อนั้นจิตก็จะเริ่มปล่อยวาง การเห็นอย่างนี้ ชือว่า เห็น ธรรมนิยามตา

เมื่อจิตเข้าใจ อนิจจตา และ ทุกขตา มากขึ้นจิตก็จะมองเห็นตามความเป็นจริงจนเข้าใจในสิ้นสุดว่า ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัว เป็นตน จากเรา จากของของเรา การเห็นอย่างนี้ ชื่อว่า ตถาตา จิตก็จะสลัดคืน พ้นจากชอบ พ้นจากชัง พ้นจากโลก

ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมาถึง ตถาคโต เถิด
ตถาคโต ก็คือ ธรรมชื่อว่า พุทธานุสสติ ที่เป็นปลายทาง เป็นธรรมอันเอก เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:13:57 am »
0
อัตถิ อิมัสมิง กาเย ในร่างกายนี้มี

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
เป็นที่มา ที่รุม ของโรค เป็นเด็ก หนุ่มสาว ไม่ค่อยเห็นเรื่องเจ็บป่วย แต่พออายุ หลัก 5 ครึ่งคนมานี้ เริ่มมาเห็นแล้ว ว่ากายนี้ ไม่เป็นดั่งใจ มีเวทนา รุมเร้า เช้าปวดหัว บ่ายปวดท้อง เย็นปวดฟัน ค่ำปวดเนื้อ ปวดตัว เป็นเวทนา ที่เป็นประจำของกายนี้

กายนี้เป็นที่อาศัย เป็นที่พึ่งพา เป็นที่ดับสนิท
การจะใช้กายนี้ เพื่ออะไร ก็อยู่ที่ผู้อาศัยกายนั้น เข้าใจสภาวะธรรมตามนั้น หรือไม่

ถ้าถาม พอจ ตอนนี้ต้องการอะไร
คงตอบว่า ต้องการให้กายนี้สงบลง ไม่มีเวทนา
แต่การทำกายให้สงบ เป็นไปไม่ได้ เพราะกายนี้ไหลไปตาม ความแก่ ความเจ็บ และที่สุดก็ต้องตาย
ดังนั้นการทำกายให้สงบ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

พระพุทธเจ้า พระองค์ก็รู้อย่างนี้จึงสอนให้พวกเรา ทำจิตให้สงบ ไม่ให้เดือดร้อนไปกับกายนี้ ส่วนกายที่ไม่สงบก็ให้มองเห็นตามความเป็นจริง ว่าต้องเสื่อม ต้องดับไปเป็นธรรมดา

สักกายทิฏฐิ การละความเห็นว่านี่เป็นกายเรา กายของเรา เป็นสิ่งที่พระโสดาบันจะต้องละ และจะต้องเห็น เพราะถ้าไม่ละ ไม่เห็น มันก็จะเข้าใจผิด ว่าเป็น เรา เป็น อัตตา อยู่

ถ้าจิตมองเห็นว่า เป็น อนัตตา มันก็จะไปสู่ นิพพาน ได้แต่การมองเห็นนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ให้จิตมีความสงบ

ดังนั้นอะไรทำจิตให้สงบ คำตอบ ก็คือ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
ถ้าภาวนาไปตามกรรมฐาน จิตก็จะถึงความสงบ ไม่เดือดร้อนทางกายต่อไป ที่เหลือก็คือการจัดการตัวนามธรรม

ขอให้ทุกท่าน ที่ต้องการพ้นทุกข์ จงอย่าทิ้งกรรมฐาน

เจริญธรรม / เจริญพร

( เกี่ยวกับภาพ พระ ในภาพคือ ธัมมะวังโส ที่อุปสมบถเป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ. 2531 อายุตอนนั้น 21 ปี ภาพขณะเข้าปริวาสกรรม ที่ธรรมสถานหาดทรายแก้ว ตามครูอา่จารย์ไปช่วยงาน แต่พระเยอะ เป็นพระนวกะ ท่านเลยให้ไปเข้าปริวาสกรรมแทน 10 วันตื่น ตี 3 ครึ่ง นอน 4 ทุ่ม ฉันมื้อเดียว นอนบนผืนทรายขณะร่างกายเป็นหนุ่ม อย่างไรก็ได้ สู้ได้ นึกไปตอนนี้ มันทำไม่ได้ ร่างกายไม่ให้แล้ว ประมาทเมื่อหนุ่มสาว นึกว่ามีกำลัง พอแก่เฒ่าขึ้นมาจึงเห็นว่ากายนี้ไม่เที่ยง )
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธรรมปฏิสันถาร จาก ธัมมะวังโส
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2020, 09:14:24 am »
0
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า
"นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ"
ความทุกข์ เป็นสิ่งที่มีอยู่กับมนุษย์ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เวลาที่เรายิ้มได้ รู้สึกสบายก็เพราะว่า ความทุกข์นั้นดับไป

ทุกข์ คู่กับความสุข
ยามไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจ ผิดหวัง ไม่สมหวัง ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นคำย่อของคำว่า ทุกข์

เมื่อทุกข์ดับไป สิ่งที่เรียกว่า สุข จึงเกิดขึ้น
แท้ที่จริงก็คือทุกข์ เกิด ทุกข์ ตั้งอยู่ และ ทุกข์ ดับ นั่นเอง

ผู้ภาวนาย่อมมีความฉลาดพิจารณา ทุกข์ที่เกิด ทุกข์ที่ตั้งอยู่ และทุกข์ที่ดับไป เมื่อพิจารณาก็จะเห็นว่า แท้จริง ทุกข์ อาศัยเหตุหนึ่งเกิดขึ้น อาศัยเหตุหนึ่ง ตั้งอยู่ อาศัยเหตุหนึ่ง ดับไป

เมื่อจิตมองเห็น เหตุต่าง ๆ เหล่านั้น จิตก็จะไม่สร้างเหตุให้ ทุกข์ ดำรงอยู่ได้

การป้องกันเหตุไม่ให้ทุกข์เกิด กับไม่ใส่เชื้อให้เหตุแห่งทุกข์มี นั่นคือการภาวนา ที่ไปสู่ความไม่มีทุกข์ต่อไป

การไม่มีทุกข์ต่อไป ย่อมหมายถึงความสิ้นสุดหรือ พรหมจรรย์
การสลัดคืน เหตุแห่งทุกข์ หรือ ตัณหา เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เมื่อสลัดคืน และ คลายจากตัณหานั้น ความทุกข์ทั้งหลาย ก็จักสิ้นไป

เหตุนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ