ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - bomp
หน้า: [1] 2
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ขอเสนอให้ พระอาจารย์เปิดเผยห้อง พิเศษ ให้คนทั่วไป เข้าอ่านได้ครับ เมื่อ: กันยายน 20, 2018, 06:52:01 pm
มาลุ้น ด้วยครับ
ผมก็เข้าอ่านไม่ได้ ครับ

 :91: :91: :91:
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สุดทึ่ง! พระวัดดังอรัญฯ คิดวิธีปลูกมะนาวไร้ดิน-ใช้กะปิตอนกิ่ง ให้ลูกดก เมื่อ: มิถุนายน 06, 2016, 08:54:07 pm
 st12 st12
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ขอความร่วมมือ สมาชิก เพื่อสำรวจสถานะ ของสมาชิก เพื่อ ธรรมวิจยะ ให้เหมาะสม เมื่อ: มิถุนายน 06, 2016, 08:52:54 pm
 st11 st12 st12 like1
ที่นี่ยังปิดทองหลังพระ อยู่ น่านับถือมากครับ สำหรับ ชาว มัชฌิมา สระบุรี
4  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อนุโมทนา กับ กองผ้าป่า ช่วยเหลือ สำนักงานส่งเสริมพระกรรมฐาน ปี 2557 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2014, 02:52:41 pm
 st11 st12
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: หนังสือ ประพันธ์ บทความ อารมณ์ จะแจกเป็น PDF เนื่องด้วยเล่มนี้ ต้นทุนการพิมพสูง เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 05:19:12 am
แค่ 10 หน้าแรก ก็มีประโยชน์ กับ ผมมากแล้ว สำหรับพื่นฐาน การเดินจิตภาวนา ขั้นต้น แบบว่า อ่านแล้ว เหมือนเราดำเนินชีวิตผิดรูปแบบ การปฏิบัติธรรม ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า การสร้างบุญทำได้ วิธี การเจริญสมาธิ ควรกำกับสติ กับลมหายใจเข้า ออก และ การแก้อารมณ์ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครมาสอนก่อน

   ทุกครั้งเวลาปฏิบัติสมาธิ ก็จะงุนงง โงกง่วง และ หลับ ในที่สุด

   สองวันนี้ ลองทำตาม วิธี และ ฟังจากรายการ ดู ทำตาม ทำได้ดีมากครับ สามารถ ปฏิบัติจนจบเสียง รายการ และ รู้สึกมั่นใจในกรรมฐาน จริง ๆ แต่ พอไม่ได้ฟัง รู้สึกทำไม่ได้ ครับ

    st12 st12 st12
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ตัวอักษรย่อ มะ อะ อุ มีความหมายอย่างไร ครับ เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 05:14:35 am
 st11 st12 st12 st12
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่ง พระธรรม อาจจะเปิดดาวน์โหลด เป็น PDF เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 05:14:10 am
จัดทำเป็นหนังสือ ครับ แต่ให้รอพระอาจารย์ กลับวัดก่อน นะครับ เพราะถ้าพระอาจารย์กลับวัดการจัดทำหนังสือ น่าจะทำได้ง่าย กว่าตอนนี้ ที่ออกปลีกวิเวก นะครับ

  st12 st12 st12
8  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปณิธาน ในการภาวนา และการเผยแผ่ พระธรรม เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2014, 08:00:44 am
 st11 st12
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ลองทายสิ ว่าภาพที่เห็นเป็น ประเทศไหน ครับ เมื่อ: มีนาคม 25, 2013, 12:11:45 pm
https://www.facebook.com/thaithink.good สาระดีๆรอคุณอยู่ ขอบคุณที่แชร์ให้ท่านอื่นได้ประโยชน์จากเพจนี้
สุนัข ไม่รู้จักเงิน
สุนัข ไม่รู้จักชื่อเสียง
สุนัข ไม่รู้จักทรยศ
สุนัข ไม่เคยหักอกใคร
สุนัข ไม่เคยโกหก

สุนัข คิดถึง
สุนัข รอ
สุนัข รัก
สุนัข มั่นคง

สุนัขไม่แคร์ ว่าคุณจะรวยหรือจน
สุนัขไม่แคร์ ว่าคุณจะอ้วนหรือผอม
สุนัขไม่แคร์ ว่าคุณจะหน้าตาดี หรือ ขี้เหร่
สุนัขไม่แคร์ ว่าคุณจะแข็งแรงหรือพิการ

เรามั่นใจได้จริงๆว่า นอกจากพ่อแม่แล้ว
ก็มีสุนัขเนี่ยแหละ ที่รักคุณ ทุกมิติ ทุกเวลา
ถ้าเรามอบความรักให้มันแล้ว มันจะยกทั้งชีวิตให้คุณ

"แล้วพวกเค้าทิ้งมันได้ยังไง แล้วพวกเค้าไปกินมันได้อย่างไร!!!!!!"
10  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / โครงการก้าวย่างเส้นทางธรรม 2 เดือน 3 เม.ย.56 - 26 พ.ค. 56 เชียงใหม่ - นครปฐม เมื่อ: มีนาคม 15, 2013, 02:22:07 pm
โครงการก้าวย่างเส้นทางธรรม
 


เกริ่นนำ
การเดินเพื่อแสวงบุญถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพระภิกษุสงฆ์ แต่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาหากผู้ที่ไม่ใช่พระหรือนักบวชจะเดิน เพราะการเดินระยะทางไกลๆนั้น เป็นการฝึกหัดขัดเกลาจิตใจวิธีหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะลำบากกายและลำบากใจ แต่หากก้าวผ่านไปได้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจของบุคคลผู้มีอุดมการณ์ ที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆโดยเฉพาะกับตัวเอง ดั่งเช่น ท่าน คล็อด อันชิน โทมัส อ.ประมวล เพ็งจันทร์ อ.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ หรือ คุณ พฤ โอ่โดเชา ฯลฯ

ระยะทางในการเดิน
จากประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ไปจนถึง พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ประมาณ 800กม.

ระยะเวลาในการเดิน
3 เมษายน - 26 พฤษภาคม 56 ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2 เดือน

วัตถุประสงค์โครงการ

    เพื่อฝึกหัดขัดเกลาร่างกายและจิตใจของตนเอง ให้ตระหนักรู้ถึงแก่นของชีวิต
    เพื่อนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา
    เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รู้จักกับคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
    เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้ารวมโครงการได้เห็นคุณค่าของน้ำใจมากยิ่งขึ้น
    เพื่อสร้างสันติภาคับให้เกิดขึ้นโดยเริ่มจากภายในตัวเรา แล้วโยงใยไปยังสรรพสิ่งที่แวดล้อม


สิ่งที่คาดหวังว่าจะได้รับจากโครงการ

    ได้โอกาสในการฝึกความอดทนจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
    ได้โอกาสในการฝึกการอดใจต่อสิ่งที่เป็นคุณค่าเทียมแห่งชีวิต
    ได้โอกาสในการต่อสู้กับปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากสภาพกายและใจ
    ได้โอกาสที่จะเรียนรู้จากตัวเองมากขึ้น
    ได้พบกับกัลยาณมิตรที่ยังไม่เคยได้พบมาก่อน
    ได้ทำบุญใหญ่ที่คนส่วนมากไม่มีโอกาสจะได้ทำ
    มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม


อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไปด้วย
(ในการนำสิ่งใดก็ตามติดตัวขอให้พิจารณาว่า ผู้เข้าร่วมต้องถือเอง ฉะนั้นสิ่งใดไม่จำเป็นจริงๆ หรือใหญ่เกินไป ไม่ควรนำมาให้ลำบาก)

    เสื้อผ้าสบายๆที่คงทนและทำความสะอาดง่าย
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการจุดไฟ
    อุปกรณ์รองนอนที่ไม่ลำบากในการพกพา
    ลูกอม(ในกรณีต้องการพลังงาน)
    พลาสเตอร์ยา
    เชือก
    กระติกน้ำ
    ยาแก้ปวด แก้ไข้ ที่ถูกจริต
    ของที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย
    ของใช้อย่างอื่นที่จำเป็น เช่น ยาประจำตัว สมุดจด ปากกา ผงซักฟอก แว่นสำรอง...ฯลฯ
    กล่องพลาสติกและช้อน


สิ่งที่ห้ามนำมาด้วย

    เงิน
    โทรศัพท์มือถือ
    สิ่งเสพติดทุกชนิด


กฏกติกาของการเดินทางร่วมกัน

    สัมภาระต้องถือและดูแลรักษาด้วยตนเอง
    ไม่พูดคุยกันหากไม่จำเป็นจริงๆ
    มีสติอยู่กับการเดิน
    สงเคราะห์ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในระหว่างทาง


สำหรับผู้ที่สนใจ
โทรสอบถามและสมัครได้ที่ 080-0481188
กรุณาแจ้งความประสงค์ก่อนกำหนดนัดประชุมกลุ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมในวันที่ 3 เมษายน 2556 นี้ค่ะ


http://www.dhammadrops.org/news_detail.php?id=25
11  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การละนิวรณ์ เป้าหมายแรกในการภาวนา เพื่อ วิปัสสนา เมื่อ: มีนาคม 15, 2013, 01:52:49 pm
อ่านมาแล้ว น่าจะเหลือ อีก สามข้อ ที่พระอาจารย์คงเก็บไว้อธิบายต่อ นะครับ

รออ่านอยู่ครับ

  st12 thk56
12  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ผมควรจัดการอย่างไร ถึงจะได้ใจลูกค้า..... เมื่อ: มีนาคม 15, 2013, 01:48:17 pm

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.holidaythai.com/
 
ผมขับรถวินมอร์เตอร์ไซค์ ครับ ขับมาหลายเดือน จนกระทั่งมีลูกค้าผู้หญิงท่านหนึ่ง ก็จะเรียกรถเป็นประจำ วันหนึ่งผมก็ขับรถส่งพี่เขาไปตามปกติ แต่วันนั้น โดนรถทหารแซงเบียด รถติดนะครับ คือเราจะผ่านไปในช่องมอร์เตอร์ไซค์ รถใหญ่ก็แซงเลี้ยวออกมาเอาหน้าปิดช่อง ทำให้รถเสียหลักเกือบล้ม ด้วยความเป็นห่วงพี่เขาผมก็ถามว่าเป็นอะไรหรือไม่ พี่ก็ตอบว่าไ่ม่เป็นไร แค่ลงไปยืนเท่านั้น คือนั่งแบบผู้หญิง ( ไม่ใช่นั่งคร่อม ) รถตะแครงก็เลยลงไปยืน ไม่ได้ขับเร็ว เพราะรถติด สภาพใน กทม. ก็รู้ ๆ กันอยู่

   เพื่อแสดงความเป็นผู้รับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ผมก็เลยไปถีบประตูรถ พี่ทหาร แล้วบอกว่า พี่ เห็นไหม ว่าพวกผมเกือบเป็นอันตรายแล้ว พี่ทหาร ก็หันมามองแต่ไม่พูดอะไร ทำท่า ควาน ๆ หาอะไรอยู่ ( จะมีด หรือ ปืน หรือ โทรศัพท์ ) ไม่แน่ใจ เห็นขับรถถอยหน้าออกมาผมก็พาผู้โดยสารจากไปทันที

   ตั้งแต่วันนั้นมา พี่คนนี้ไม่เรียกรถ ผมอีก

   ผมก็มานั่งนึก ว่า ในกลุ่มวิน ผมขับรถุช้า ทำตามกฏจราจร ดีที่สุด ในกลุ่มแล้ว ไม่แซง ไม่พาให้หวาดเสียว ไม่ฝ่าไฟแดง แต่เหตุการณ์ทำให้ผมเสียลูกค้า อย่างน้อย 15 คน เพราะ ทีม พี่ นี้ไม่ขึ้นรถผมเลย แสดงว่า ต้องไม่พอใจ ในพฤติกรรมผมบางอย่าง ทั้ง ๆ ที่ผมเองที่แสดงออกก็เพื่อ เทคแคร์ลูกค้า

  หรือ ท่านชาวธรรม มีความเห็นว่าอย่างไรครับ

  โปรดแนะนำผมด้วย


  thk56
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระสนธยา ธัมมะวังโส มีอะไร ดี ในการนำทางธรรม กรรมฐาน อยากรู้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2013, 03:12:41 pm
สิบปากว่า ไม่เท่ากับตาเห็น นะครับ
แล้วคนที่ว่าไม่ดี ทำงานอยู่ที่ไหนครับ

  st12
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ชายที่แต่งงาน แล้ว เวลาบวช บุญจะถึงพ่อแม่ หรือ ไม่ ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2013, 10:27:35 am
อ้างถึง
   - ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
       - ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ask1

 ชอถามเพิ่มเติม ครับ เพราะสนใจเรื่องนี้มากครับ
 
 ไม่เข้าใจ คำว่า อานิสงค์ 16 กัลป์ ครับ

   อานิสงค์ มีอะไร บ้างครับ
 
  และ กัลป์ นี้เป็น เครื่องวัดผล คือระดับ ใช่หรือ ไม่ ครับ วัดอย่างไร ครับ

  thk56
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 'จรวดปรมาณู' สกัด 'อุกกาบาต' ป้องโลก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2013, 11:20:18 am
 thk56
16  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: “หลวงพ่อกิตติศักดิ์ กิตติสาโร พระผู้เข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนา” เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:25:26 pm
 st12d
17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: นักวิทย์รัสเซียค้นพบแล้ว "เศษอุกกาบาต" ตกถล่ม - คนแห่เก็บหวังเอาไปขายทำเงิน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:55:43 am
ถ้ามาตกเมืองไทย ก็ รับรอง ราคาหลายแสน ต้องมีพระรุ่นหลอกจากอุกาบาต

  ขนาดหนังยังสร้างแล้ว เรื่อง สูบคู่กู้่โลก ก็มีมนุษย์ต่างดาวมาทวงเศษดาว ที่มาหล่อเป็นพระพุทธรูป

 
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: กระทรวงวัฒนธรรมจัด สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา 'เทศกาลมาฆบูชา' ทั่วไทย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:52:27 am
พุทธเ้คลื่อนไหว ศาสนาอื่น ก็ไม่ได้หยุดนึ่ง นะจ๊ะ
 มีการสาดกระสุน อย่างหนักเลยในช่วงนี้

  :13:
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: รัสเซียประเมินอุกาบาตตก "เสียหายเกือบพันล้านบาท" เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:51:33 am
นี่ถ้าเกิด กับ อเมริกา เป็นเรื่องใหญ่ นะ นี่

  สงสัยเรื่อง 2013 คงไม่จบกันง่าย ๆ นะ งานนี้

  :hee20hee20hee: :c017:
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ลงยันต์ทั้งคัน.! เจิมรถตำรับ 'หลวงปู่ตี๋' เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:50:41 am
เจิมคน หรือ เจิมรถดี นะ

  :d030: :d030: :d030:
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: กรมการศาสนาชะลอตั้ง 'พุทธสภา' เร่งชี้แจงทำความเข้าใจก่อน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:50:13 am
ก็คิดไว้แล้ว ว่าต้องไม่ประสบความสำเร็จ

   เอาแค่ ธนาคารพุทธ ตอนนี้ไปถึงไหนกันแล้ว

   :d030: :d030: :d030:
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: อวสาน ส้วมนั่งยอง.! ครม.ประกาศ ปี′59 ทุกครัวเรือนต้องใช้ส้วมชักโครก 90% เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:49:23 am
ฟังน่า จะดี นะ แต่ บ้านที่ไม่มีเงินเปลี่อน ทำอย่างไร เพราะเปลี่ยนส้วมแบบเก่าเป็นแบบใหม่ ไม่ใช่ จิ๊กซอว์ นะที่จะยกเปลี่ยนกันได้ ต้องมีทุบ มีรื้อกันด้วย นะ ต้องจ้างช่าง อย่างน้อย ก็ 3000 อัพค่าแรง ค่า โถใหม่

   :d030: :d030: :d030:
23  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อารมณ์ กรรมฐาน ที่สำคัญต่อ วิปัสสนา คือ ส่วนไหนครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 12:21:48 am
เราว่า ให้พิจารณา เรื่อง บาทแห่งกรรมฐาน ที่เป็นทุนกรรมฐาน เรียกว่า

   ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อันนี้เป็นอารมณ์ แห่ง วิปัสสนา


  ปฏิบัติวิปัสนา ควรจะต้องรู้จัก วิปัสสนาภูมิ กันบ้าง
  http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4144.0

  อ่านหัวข้อนี้ น่าจะพอตอบโจทย์ได้ นะครับ

   st12
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การวางอารมณ์ ใจให้เป็นกลาง คือการท่อง กรรมฐาน บทใด บทหนึ่ง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 12:18:32 am
 st11 st12 thk56
25  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พระอาจารย์ ตอนนี้อยู่ที่ไหน คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 12:17:30 am
สรุปแล้ว พระอาจารย์ เดินทางจาริก อยู่ทางภาคอิสาณ

  st11 st12
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีเหตุผล อะไรที่ ทำบุญกับพระ ได้บุญมากกว่า ทำบุญกับคนที่ไม่ใช่พระ ครับ เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 12:36:34 pm
มีเหตุผล อะไรที่ ทำบุญกับพระ ได้บุญมากกว่า ทำบุญกับคนที่ไม่ใช่พระ ครับ

  เมื่อวานนี้โดนเพื่อน ถาม อย่างนี้ ครับ ก็ชักแม่น้ำทั้งห้า อธิบาย แต่รู้สึกว่าเหตุผลเองฟังยังไม่เข้าท่า ครับ ออกมหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่ จึงมาเรียนถามที่ห้องนี้ครับ

  :smiley_confused1: thk56
27  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์วัดที่...หลวงปู่สรวง วรสุทโธ"ศรัทธาสร้าง" เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:32:34 pm




พระครูสุทธิวราภรณ์ (หลวงปู่สรวง วรสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี หรือ หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ นามเดิม สรวง นามสกุล พรหมสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2476 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา ณ บ้านเลขที่ 1 หมู่ 10 บ้านน้อยนาเวิน ตำบลโพนเมืองน้อย อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ)

ตัดสินใจอุปสมบทตามเพื่อนครั้งที่ 1 ณวัดศรีบุรีรัตนาราม ตำบลปากเพียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี เมื่อ พ.ศ. 2496 อายุ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อถวายเป็นพระราชชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยหลังจากเรียนจบจากประเทศอังกฤษ แล้วได้แยกกันไปจำพรรษา ณ วัดบ้านพึ่ง อำเภอ เดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี มีโอกาสได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่แขม หลวงปู่แขมได้สอนวิชาอาคมต่างๆ อยุ่จวบจนตลอดพรรษา พ.ศ.2497 ปลายปีออกพรรษาเสร็จก็ได้ลาสิกขาและได้ไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯ

หลังจากลาสิกขาแล้วก็ไดไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างสนุกสนานไม่ได้สนใจอะไรเที่ยวเล่นไปวันๆ ด้วยความที่เคยบวช และมีอุปนิสัยในการบวช อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส เบื่อหน่ายในหน้าที่การงาน ชีวิตเรานอกจากจะกินเที่ยวแล้วก็หาสาระแก่นสาระอะไรไม่ได้เลย ไม่มีคุณค่าและความหมายสมกับได้เกิดมา มีแต่ชักนำไปในทางที่ผิดมีแต่คิดไปในสิ่งที่ตกต่ำ ต่อไปนี้สิ่งใด ที่มันอยากทำเราก็จะไม่ทำ สิ่งไหนที่มันต้องการมากๆ เราก็จะไม่หามาให้มันลองดูสิทำไม่มันหลงมัวเมาอยู่อย่างนี้พอหนักๆ เข้ามันหลายปีก็มาหวนคิดอยากบวชให้โยมพ่อโยมแม่

พ.ศ. 2500 ได้เข้าพิธีอุปสมบทโดยมีเจ้าอธิการคำ อิณณมุตโต วัดบางชะแงะ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ก่อนเข้าพรรษาได้ลาญาติโยมไปจำพรรษากับหลวงปู่แขม ที่วัดสำเภาร่ม อำเภอเดิมบางยางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะยังมีความสนใจในสรรพเวทย์วิทยาคมต่างๆ ตามประสาความนิบมของคนในสมัยนั้น ได้จำพรรษากับหลวงปู่แขม 2 พรรษาแล้วได้ตัดสินใจกราบลาหลวงปู่แขมเพออกเดินธุดงคืไปหาพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน และตั้งใจจะไปหาพระเอาจารย์จวนซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น และหลวงปู่คำบุ ธมมธโร ซึ่งท่านเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์จวนซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ซึ่งท่านมึความชำนาญในเรื่องการฝึกกรรมฐาน และจาริกธุดงค์ หลวงปู่สรวงท่านได้มาพักปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่คำบุอยู่ป่าช้าใกล้บ้านเหล่าขวาวเป็นป่าดงใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับเขตบ้านโคกเลาะและบ้านเหล่าขวาว ก่อนเข้าพรรษาในปีนั้นได้อำลาญาติโยมออกธุดงค์ไปพร้อมกับพระอาจารย์คำบุ เพื่อไปหาพระอาจารย์จวน ณ ถ้ำจันทร์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ.2502 อายุ 24 ปี พรรษา 1 ได้ญัตติใหม่เป็นธรรมยุค ณ วัดประชานิยม ตำบลค้อใต้ อำเภอสว่างดินแดน จังหวัดสกลนครเพื่อศึกษาในด้านกรรมฐานแล้วได้ออกธุดงค์ไปหาหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล

พ.ศ.2503-พ.ศ.2507 อายุ 27-31 ปี พรรษ 2-6 จำพรรษาที่วัดโพนเมืองน้อยและวัดป่าบ้านเหล่าขวาว ตำบลโพนเมืองน้อย จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) กลับมาจำพรรษาอยู่ที่บ้านเพื่ออยู่อุปการะโยมแม่ซึ่งแก่ชรา แล้วนำญาติโยมชาวบ้านก่อสร้างศาลาการเปรียญ และเสนาสนะต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากเช่น ศาลาบ้านโพนเมืองน้อย ศาลาบ้านเหล่าขวาว และศาลาบ้านโคกเลาะ เป็นต้น ในระหว่างออกพรรษาของแต่ละปีหลวงปู่จะออกธุดงค์ไปหาครูบาอาจารย์และได้ร่วมเดินไปด้วยกัน 4 องค์คือ พระอาจารย์จวน พระอาจารย์วัน พระอาจารย์คำบุ พระอาจารย์สิงห์ทอง และบางครั้งก็เดินธุดงค์ไปพร้อมกับ พระอาจารย์วัน อุตตโม เพียงสององค์


www.amuletat7.com/เกจิสายภาคกลาง/ประวัติ-หลวงปู่สรวง-วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์.html
28  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่สรวง วรสุทโธ พระกัมมัฏฐานลพบุรี เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:27:16 pm
หลวงปู่สรวง วรสุทโธ พระกัมมัฏฐานลพบุรี

โดย ข่าวสด วัน เสาร์ ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551 08:35 น.
คอลัมน์ มงคลข่าวสด

หลวงปู่สรวง วรสุทโธ หรือ พระครูสุทธิวราภรณ์ เป็นพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หนึ่งเดียวในลพบุรี

นอกจากนี้ ยังเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคกลาง ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า

หลวงปู่สรวง ตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น

ปัจจุบัน อายุ 75 พรรษา 50 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนา นิคม จ.ลพบุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลช่องสาริกา

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สรวง พรหมสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2476 ณ บ้านน้อยนาเวิน ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อุบลราช ธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ) โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายสาร และนางสอน พรหมสวัสดิ์

ในวัยเยาว์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนในหมู่บ้าน แล้วออกมาช่วยครอบครัวประกอบสัมมาชีพเกษตรทำนา

กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเสด็จ นิวัติประเทศไทย ที่พัทธสีมาวัดปากเพรียว จ.สระบุรี

หลังอุปสมบท ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเมืองสุพรรณบุรี เนื่องจากขาดแคลนพระภิกษุ โดยจำพรรษา ที่วัดสำเภาร่ม อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี

ระหว่างจำพรรษาที่วัดดังกล่าว ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนสรรพวิทยาคมต่างๆ จาก หลวงปู่แขม หลวงพ่อเนียม วัดน้อย พระอาจารย์ผาด และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกมากมายใน จ.สุพรรณ บุรี สมัยนั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยความศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา กอปรกับมีความใฝ่รู้สนใจศึกษาด้านปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงกราบลาครูบาอาจารย์ที่สุพรรณบุรี เพื่อไปศึกษาต่อด้านปฏิบัติกัมมัฏฐาน โดยได้ออกเดินท่องธุดงค์ไปกับพระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร พระป่าสายพระอาจารย์มั่น ออกเดินทางไปยัง จ.สกลนคร และไปพำนักจำวัดที่สำนักสงฆ์ถ้ำจันทร์ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย โดยมีพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นเจ้าสำนักสงฆ์

ต่อมา พระอาจารย์จวน ขอให้ท่านไปสวดญัตติใหม่เป็นพระสายธรรมยุต ในปีพ.ศ.2502 ณ วัดประชานิยม ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูพุฒิวราคม วัดบ้านหนองดินดำ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเจ้าอธิการบุญ ฐิตปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ได้รับฉายาใหม่ว่า วรสุทโธ แปลว่า ผู้บริสุทธิ์อย่างประเสริฐ

หลังจากสวดญัตติแล้วก็กลับมาจำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน พระอาจารย์จวนได้พาออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้นำพาไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ศึกษาธรรมปฏิบัติในสำนักของครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร, หลวงปู่คำดี ปภาโส, พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร, พระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร และอีกหลายท่าน ซึ่งพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สืบสายธรรมหลวงปู่มั่นด้วยกันทั้งสิ้น

หลังจากเที่ยวธุดงค์ไปทั่วจนกระทั่ง พ.ศ.2524 หลวงปู่สรวงได้กราบลาครูบาอาจารย์ เพื่อเดินทางกลับมายังภาคกลาง ระหว่างทางได้แวะพักฟังข้อวัตรปฏิบัติกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อยู่พักใหญ่แล้วจึงออกเดินธุดงค์ต่อ และได้จำพรรษา ณ ริมคลอง ใต้ต้นมะเดื่อ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

ในปีนั้น พอถึงช่วงออกพรรษา หลวงปู่สรวงไม่รู้ว่าจะเดินธุดงค์ไปทางไหนต่อ เพราะหลวงปู่ไม่เคยเดินธุดงค์มาแถวนี้ ค่ำวันหนึ่งหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ หลวงปู่ก็นั่งสมาธิภาวนาตามปกติ และก็ได้ตั้งสัจจะ อธิษฐานว่า ถ้าเราเคยมาอยู่แถวนี้ ได้เคยสร้างวัดวาอาราม ในแถวนี้ก็ขอให้เทพเทวา เจ้าที่เจ้าทาง รุกขเทวดาทั้งหลายจงมานิมนต์ ด้วยเทอญ

เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว ก็เกิดภาพนิมิต

ครั้นพอถอนจิตออกจากสมาธิก็เป็นเวลาเกือบตีสี่ หลวงปู่สรวงทำวัตรสวดมนต์ พอฉันข้าวเสร็จได้อำลาญาติโยมออกเดินทางมาตามนิมิตที่ได้เห็น และก็ถึงภูเขาลูกดังกล่าว เมื่อได้เห็นต้นโพธิ์ที่หน้าถ้ำยิ่งทำให้เป็นที่แน่ใจว่า ต้องใช่สถานที่ที่เห็นในนิมิตแน่นอน


ต่อมา หลวงปู่สรวง จึงได้เริ่มสร้างวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2525 จนกระทั่งแล้วเสร็จ

ลำดับสมณศักดิ์ ล่าสุด พ.ศ.2550 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์พัดยศ จากพระครูชั้นเอก เป็นพระครูที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลชั้นพิเศษ ในราชทินนามที่ พระครูสุทธิวราภรณ์

ด้วยท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านวิทยาคม ค้นคว้าด้านปฏิบัติจิตตภาวนา เพื่อให้จิตบังเกิดสมาธิและได้กราบฝากตัวเป็นศิษย์พระเกจิอาจารย์ชื่อดังมากมาย

ปัจจุบัน ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นไตรมงคล อันเกิดจากการที่คณะศิษยานุศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างรูปเหมือนหลวงปู่สรวง เพื่อเป็นองค์แทนหลวงปู่สำหรับเคารพสักการะในบ้านเรือน เนื่องในโอกาสรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เมื่อปี 2550

วัตถุมงคล รุ่นไตรมงคล มีด้วยกันทั้งหมด 6 พิมพ์ คือ พระรูปเหมือนขนาดบูชา หน้าตัก 5 นิ้ว, พระสมเด็จจักรพรรดิ รุ่นคู่ใจ, พระยอดขุนแผน รุ่นสืบทอดศาสนา บรรจุในพระอุโบสถ, ล็อกเกต รุ่นรวย ล้น เหลือ, เหรียญเจ้าสัวมหาลาภ รุ่นเสวยสุขตลอดกาล และพญาราชสีห์ รุ่นปราบอันธพาลบ้านเมือง 76 คู่

แม้ปัจจุบัน จะอายุ 75 ปีแล้ว แต่สุขภาพร่างกายยังคล่องแคล่ว แข็งแรง เพียบพร้อมไปด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่สมถะ เรียบง่าย น่าเลื่อมใสยิ่ง

เกียรติคุณ บารมี รวมทั้งพุทธาคมอันศักดิ์สิทธิ์ พลังจิตของท่าน ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระวิปัสสนาธุระ ที่มีบารมีทางกระแสจิตแก่กล้า ระดับแนวหน้าของลพบุรีรูปหนึ่ง

http://news.sanook.com/crime/crime_310563.php
29  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์วัดที่...หลวงปู่สรวง วรสุทโธ"ศรัทธาสร้าง" เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:24:32 pm
วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์วัดที่...หลวงปู่สรวง วรสุทโธ"ศรัทธาสร้าง"








วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์วัดที่...หลวงปู่สรวง วรสุทโธ"ศรัทธาสร้าง" : ท่องไปในแดนธรรม โดย เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

            “พระครูสุทธิวราภรณ์” หรือ “หลวงปู่สรวง วรสุทโธ” อายุ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๕๐ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลช่องสาริกา นับเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยแห่งในยุคนี้ที่ได้รับการยอมรับนับถือในฐานะ “พระดีศรีเมืองละโว้”

             หลวงปู่สรวง เป็นผู้ให้กำเนิดวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์เป็นเวลานานกว่า ๓๐ ปีแล้ว มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด จริยวัตรงดงาม และปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีเมตตาธรรมสูง อยู่อย่างเรียบง่าย เป็นผู้มีจิตมุ่งมั่นในพระพุทธศาสนามาแต่สมัยเป็นสามเณร จนกระทั่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และมีความกล้าแกร่งทางจิตอันเกิดจากการฝึกฝน โดยออกธุดงค์แต่ครั้งยังเป็นพระหนุ่ม ได้พบเจอและได้รับการอบรมสั่งสอน พร้อมกับถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆจากพระอาจารย์สายกรรมฐานมากมายหลายองค์

             นอกจากนี้แล้วหลวงปู่สรวงยังเป็นพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หนึ่งเดียวในลพบุรี รวมทั้งยังเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคกลาง ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า ที่ตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น

             พ.ศ.๒๔๙๖ มีโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติถวายในหลวงเนื่องในวโรกาสเสด็จนิวัติกลับประเทศไทย ท่านจึงตัดสินใจบวชครั้งแรก ณ วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมือง จ.สระบุรี แล้วไปพักที่วัดบ้านทึ่ง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี มีโอกาสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่แขม หรือ “อดีตเสือฝ้าย” เสือรุ่นเก่าก่อนเสือมเหศวร รวมทั้งได้ไปกราบสนทนาธรรมและเรียนวิชาจากหลวงปู่ขอม วัดไผ่โรงวัว

             พ.ศ.๒๔๙๗ ได้ลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นได้กลับไปอุปสมบทเป็นพระฝ่ายมหานิกาย เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ที่วัดบ้านโพนเมืองน้อย โดยมีเจ้าอธิการคำ อิณณมุตโต วัดบ้านชะแง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วกลับไปจำพรรษากับหลวงปู่แขม ท่านได้สอนสรรพวิชาอาคมต่างๆ ให้จนหมดสิ้นตลอด ๒ พรรษา และยังได้เรียนวิชากับหลวงพ่อแขก วัดหัวเขา, เรียนสักยันต์กับอาจารย์ผาด หรือเสือผาด

             ต่อมาได้ออกธุดงค์ไปหาพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน โดยก่อนเดินทางได้กลับไปเยี่ยมบ้านและพบกับพระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร สหธรรมิกของพระอาจารย์จวน ท่านจึงพาไปพบกับพระอาจารย์จวน และได้รับการแนะนำให้ญัติใหม่เป็นฝ่ายธรรมยุต เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ ที่วัดประชานิยม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูพุฒิวราคม วัดบ้านหนองดินดำ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการบุญมี จิตปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้อยู่จำพรรษาที่วัดประชานิยมซึ่งมีพระอาจารย์บุญ ชินวังโส เป็นเจ้าอาวาส

             ระหว่างที่ธุดงค์อยู่ตามชายฝั่งแม่น้ำโขงได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ตาเดียว พระกรรมฐานในป่า ผู้เรียนวิชาจากสมเด็จลุน และญาท่านกรรมฐานแพง ได้เรียนวิชาตำราโบราณตะกรุดไก่แก้ว-ไก่เถื่อน สาลิกา สีผึ้งพญาหงส์ทองจาก อาจารย์ทา ฆราวาสชาวเขมรที่จังหวัดศรีษะเกษ และอาจารย์เพ็ง จังหวัดอุบลราชธานี ศิษย์ฆราวาสสมเด็จลุน หลังจากเดินธุดงค์มาสร้างวัดที่จังหวัดลพบุรีแล้ว หลวงปู่สรวงยังได้มีโอกาสถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ได้รับการถ่ายทอดวิชาการสร้างพระยันต์ นะ ครอบจักรวาลกับหลวงปู่ดู่ด้วย

             เมื่อครั้งที่ท่านธุดงค์เดี่ยวมาถึง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ได้ปักกลดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อริมคลองพร้อมอธิษฐานจิตจำพรรษา จากนั้นได้นั่งสมาธิบริกรรมภาวนา ปรากฏในนิมิตมีเทวดา ๓ องค์มานิมนต์ให้ไปโปรดญาติโยม (อดีตชาติ) ที่อยู่ในถ้ำพรหมสวัสดิ์ ท่านจึงกำหนดจิตไปตามเทวดา ได้พบเห็นสภาพภายในถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย หลืบห้องสลับซับซ้อนสวยงามวิจิตรและถ้ำห้องโถงใหญ่ที่มีองค์เทพคอยพิทักษ์รักษา เป็นที่สัปปายะ จึงคิดสร้างวัดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ โดยเริ่มบุกเบิกพื้นที่ ก่อสร้างถาวรวัตถุ ศาสนวัตถุ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องรวมเวลาถึง ๒๖ ปี จนกระทั่งกลายเป็น “วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์” ที่มีกุฏิเสนาสนะ และสถานที่ปฏิบัติธรรมร่มรื่นกลมกลืนกับธรรมชาติ

 

 “เทพเจ้าแห่งขุนเขาสาลิกา”


              "สรวง พรหมสวัสดิ์" เป็นชื่อและสกุลเกิดของหลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ ปีระกา ณ บ้านน้อยนาเวิน เลขที่ ๗ หมู่ ๑๐ ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน  จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน จ.อำนาจเจริญ) บิดา นายประสาร มารดา นางสอน พรหมสวัสดิ์ มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน

             หลวงปู่สรวง เป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย สงบ นิ่งบริสุทธิ์ สุขุม แม้จะไม่ใช่พระสายพุทธาอาคมขลัง  เพราะโด่งดังมาตามเส้นทางสายป่าวิปัสสนากรรมฐานศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แต่ความเชื่อความศรัทธาในบุญบารมี และ “ของดี” ที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้น  ล้วนมีกระแสตอบรับที่ดีเหนือคำบรรยาย ท่านได้รับสมญานามว่า เจ้าตำรับ “ไก่ฟ้าพญาเลี้ยง” และ “เทพเจ้าแห่งขุนเขาสาลิกา” ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังทุกรุ่น เป็นที่นิยมแพร่หลาย มากด้วยประสบการณ์เข้มขลังในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม โชคลาภ

             พลังศรัทธาในตัวหลวงปู่สรวงนั้นมีมากมาย ส่งผลให้มีลูกศิษย์ลูกหาหลากหลายสาขาอาชีพ  และมีการจัดสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลเป็นที่ระลึกในโอกาสต่างๆ เพื่อนำปัจจัยรายได้ใช้ในพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองให้วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ดั่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

ขอบคุณเนื้อหาจาก
www.komchadluek.net/detail/20110923/109891/วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์วัดที่...หลวงปู่สรวงวรสุทโธศรัทธาสร้าง.html
30  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / Re: เหรียญไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี รุ่นพิเศษ เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:10:06 pm

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บ http://www.web-pra.com

เหรียญพญาไก่เถื่อน หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี
เหรียญพญาไก่เถื่อน เหรียญสร้างบารมีสรงน้ำ 78 หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์

วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังของหลวงปู่สรวงได้สร้างไว้หลายรุ่น เป็นที่นิยมแพร่หลาย มากด้วยประสบการณ์เข้มขลังในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยมโชคลาภโดยเฉพาะวัตถุมงคลในรูปลักษณ์ " ไก่ฟ้า " โดยนำปัจจัยจากการบูชาวัตถุมงคลรุ่นสร้างบารมี สรงน้ำ 78 ทั้งหมดสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติกัมมัฏฐาน "สุทธิธรรมวราภรณ์" เป็นอนุสรณ์คล้ายวันเกิดอายุครบ 78 ปี

"หลวงปู่สรวง" ท่านเป็นเจ้าตำรับเครื่องรางของขลังชื่อดัง "ไก่ฟ้าพญาเลี้ยง" ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์เป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด จริยวัตรงดงาม และปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีเมตตาธรรมสูง อยู่อย่างเรียบง่าย เน้นสร้างสรรค์พัฒนาทั้งถาวรวัตถุ และจิตใจของญาติโยมด้วยข้อธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งกินใจ วัตถุมงคล เครื่องรางของขลังของหลวงปู่สรวง ได้สร้างไว้หลายรุ่น เป็นที่นิยมแพร่หลาย มากด้วยประสบการณ์เข้มขลังในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยมโชคลาภ โดยเฉพาะวัตถุมงคลในรูปลักษณ์ "ไก่ฟ้า" เป็นที่เสาะหาสะสมในหมู่ศิษย์ ดังเช่นรุ่นแซยิด 77 ปีที่ผ่านมา สามารถปลุกกระแสศรัทธาให้สาธุชนที่เลื่อมใสในพระสายปฏิบัติ สำหรับมูลเหตุที่ท่านนำไก่ฟ้ามาเป็นสัญลักษณ์ก็เพราะความเชื่อที่ว่า "ไก่" เป็นสัตว์ที่ตื่นเช้า ขยันคุ้ยเขี่ยหากิน ที่สำคัญ หากเป็นไก่ฟ้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าใหญ่นายโตอย่าง "ท่านพระยา" หรือ "พญา" ก็จะยิ่งเป็นมงคลสูงส่ง หากนำมาจัดสร้างเป็นเครื่องรางของขลัง ก็เปรียบเสมือนสิ่งมงคลที่สื่อถึงความมีกินมีใช้ไม่ขัดสน

ขอบคุณเนื้อหาจากเว็บนี้ ครับ เกี่ยวกับ หลวงปู่สรวง
http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=2848
31  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / Re: เหรียญไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี รุ่นพิเศษ เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:07:18 pm




อันนี้รุ่นเม็ดกระุดุึม 1300 บาท

  st12
32  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / เหรียญไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี รุ่นพิเศษ เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 08:04:30 pm
เหรียญไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี รุ่นพิเศษ





 199  บาท

 สำหรับท่านที่ชื่นชอบ พก ไก่ กันนะครับ

  st12
33  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / พญาไก่ฟ้ามหาลาภ หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย เนื้อทองทิพย์ ฝังข้าวเปลือก ตะกรุดเงินค เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 07:59:57 pm
 พญาไก่ฟ้ามหาลาภ หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย เนื้อทองทิพย์ ฝังข้าวเปลือก ตะกรุดเงินคู่






ไก่หลวงปู่เช้า หากินเก่ง คุ้ยเขี่ย หาแก้วแหวนเงินทอง โภคทรัพย์ ยศถาบรรดาศักดิ์ มาให้เจ้าของอยู่เรื่อย ก็ท่านเสกด้วยมหามนต์เมตตา พญาไก่ฟ้า เป็นไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หมายถึงเจ้าของหากรับราชการก็เจริญก้าวหน้า เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง หากมีอาชีพทางค้าขาย ก็จะขายของดีมีกำไร มีลูกค้าหมั่นซื้อ หมั่นหาอยู่ตลอด เหมือนพญาไก่ที่คุ้ย เขี่ยหาอาหารอยู่ตลอดเวลา ไม่เหนื่อย ไม่หยุด ไม่เกียจคร้าน การบูชา ให้หาน้ำเปล่า ข้าวเปลือกสักกำ เลี้ยงไก่อย่าให้ขาด แล้วคอยสังเกตดู ร้านค้าที่ว่าเงียบจะมีคนเข้ามา มีลูกค้ามากขึ้น เป็นนักธุรกิจ นักเจรจา พ่อค้าพานิช นายหน้า นายธนาคาร ติดต่อการงาน จะราบรื่น ได้เงินก้อนใหญ่ ได้งานชิ้นโต เหนื่อยน้อยได้มาก ผิดกับเมื่อก่อนที่เหนื่อยมากได้น้อย ทรัพย์สินเงินทองบริบูรณ์ขึ้น หากินง่ายขึ้น ถ้ารับราชการจะเจริญก้าวหน้า เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นไก่ฟ้าพญาเลี้ยง บูชาไว้ที่บ้าน ที่ร้านค้า ที่บริษัท จะร่มเย็นเป็นสุข มีโภคสมบัติหลั่งไหลมาสู่สถานที่นั้นมิได้ขาดแล ยิ่งวันไหน เห็นข้าวเปลือกกระจาย คล้ายไก่เขี่ยกิน ลองเสี่ยงโชค ลาภลอยสักหน่อย ท่านว่า จะมีโชคดีนัก

เนื้อทองทิพย์ (ผิวสีทอง) ตัวครู หรือจ่าฝูง หากินเก่ง หลวงปู่ให้ผูกด้ายสายสิญจน์ไว้ที่คอเป็นสำคัญ ใต้ฐาน ฝังตะกรุดสาลิกาคู่ ฝังข้าวเปลือกเสก 1 เมล็ด

สร้างจำนวน 999 ตัว

ขนาดความสูง 3.4 ซ.ม. กว้าง 2.1 ซ.ม. มีโค๊ดกำกับทุกตัว

สนใจสอบถามโทร. 084 - 4648055  ณภัทร
 
สนใจเช่าบูชาโดยโอนเงินผ่าน ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยหมู่บ้านธนินทร ออมทรัพย์
 
เลขที่ 110-2-21023-0   ชื่อบัญชี นางสาว ณภัทร  พรอัครพันธุ์
 
หรือที่ ร้าน ณ  หลักสี่ ไอทีสแควร์หลักสี่ ชั้น 3 ชมรมพระเครื่องหลักสี่ (ด้านในสุด)
 
เพิ่มค่าจัดส่งตามน้ำหนัก 60.- ขึ้นไป  กรุณาสอบถามก่อนชำระเงินทุกครั้ง
 
ชำระเงินแล้วแจ้งที่อยู่และรายการทางโทรศัพท์ 084-4648055 หรือทาง
 
nalaksi@hotmail.com

รหัสสินค้า : 4945698

วันที่อัพเดท : 20-09-55 00:49

ร้านค้า : ศูนย์พระเครื่อง ณ หลักสี่

ราคา : 499 บาท
34  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ใครทำ"นิพพาน"หล่นหาย เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 01:28:31 am
จากฮาร์วาร์ด-สวนโมกข์  : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี อาจารย์พิเศษบัณฑิตวิทยาลัย มจร. กรุงเทพฯ

 

ใครทำ"นิพพาน"หล่นหาย

สาเหตุที่ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักในสมัยของท่านพุทธทาสภิกขุ ทอดทิ้งส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบการศึกษา กล่าวคือ ทอดทิ้ง "ปฏิบัติสัทธรรม" (ธรรมคือการปฏิบัติธรรม) และ "ปฏิเวธสัทธรรม" (ธรรมคือการบรรลุมรรคผล) คงไว้แต่ "ปริยัติสัทธรรม"

(การศึกษาธรรมะภาคทฤษฎีซึ่งแม้จะเป็นการศึกษาส่วนที่สำคัญที่สุดที่คณะสงฆ์ยกย่อง แต่กระนั้นก็ยังก้าวไปไม่ถึงการศึกษาที่ตัวพระไตรปิฎกโดยตรง หากยังคงเป็นเพียงการศึกษาผ่านคัมภีร์รุ่นหลัง และยุ่งยากกว่าพระไตรปิฎก กล่าวคือ ศึกษาคัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกซึ่งเนื้อหาเน้นหนักไปทางอักษรศาสตร์มากกว่ามุ่งความแจ่มแจ้งในธรรมะ)

จนกลายเป็นระบบการศึกษาที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกรวมกันในเวลาต่อมาว่า "การศึกษาหมาหางด้วน" นั้น สืบเนื่องจากเหตุปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน

ซึ่งเหตุปัจจัยเหล่านี้ควรได้รับการอธิบาย เพราะมิเช่นนั้นแล้ว เราจะทำได้อย่างดีเพียงแค่โจมตีพระสงฆ์กระแสหลักในปัจจุบันที่อุดมไปด้วยปัญหานานาชนิด

ซึ่งเมื่อกล่าวอย่างถึงที่สุดและยุติธรรมแล้ว คณะสงฆ์ก็เสมอเป็นเพียง "เหยื่อ" หรือ "ผู้ถูกกระทำ" อย่างหนึ่งของระบบการศึกษาที่พิกลพิการเท่านั้นเอง หาใช่ "สาเหตุหลัก" แห่งความย่ำแย่ของระบบการศึกษาแต่อย่างใดไม่

การที่ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักในยุคของท่านพุทธทาสภิกขุ (คำนวณอย่างไม่เคร่งครัดนัก คือนับแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งวชิรญาณภิกขุเริ่มตั้งคณะธรรมยุติกนิกาย) จวบจนล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบันไม่ให้ความสำคัญกับ "โลกุตรธรรม" อันได้แก่ มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ทว่า กลับเน้นเพียง "โลกิยธรรม"

กล่าวคือ ความเจริญก้าวหน้าในทางสมณศักดิ์ ความมีเกียรติ มีตัวตน มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ความมีอำนาจวาสนาในทางการปกครอง รวมทั้งความมั่งคั่ง (และควรเพิ่มค่านิยมความอยากมีปริญญาอย่างที่ชาวบ้านทั่วไปเป็นอยู่ในเวลานี้เข้าด้วยนั้น) อันเป็นค่านิยมแบบโลกีย์ระดับเดียวกันกับที่สังคมคฤหัสถ์เป็นกันอยู่นั้น

เราสามารถสืบสาวหาสาเหตุของปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 3 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แต่เดิมนั้น โลกทัศน์หรือระบบความคิดความเชื่อของสังคมไทยอิงอยู่กับพระพุทธศาสนาอย่างชนิดที่แยกกันไม่ออก และรากฐานสำคัญของการที่พระพุทธศาสนาเข้าไปมีบทบาทสำคัญต่อประชาชนอย่างแน่นแฟ้น ก็คือ ระบบความคิดความเชื่อที่ส่งผ่านมาทางไตรภูมิพระร่วง ความเชื่อเรื่อง "นรก-สวรรค์" กลายเป็นกรอบอ้างอิงทางศีลธรรมที่ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันมาได้อย่างสันติสุข

โลกทัศน์เช่นนี้ยืนยาวสืบต่อมาแม้จนในสมัยของรัชกาลที่ 1, 2, 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เราจะพบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น เมื่อทรงตั้งพระราชปณิธานก็ยังทรงอ้างเอา "พุทธภูมิ" เป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งพระชนม์ชีพ เช่น

ข้อความที่ปรากฏในพระราชกำหนดใหม่ (ในกฎหมายตราสามดวง) ตอนหนึ่งว่า "...มีพระราชประณิธานปรารถนาพระพุทธภูมิโพธิญาณ"

อุดมคติสูงสุดของชนชั้นนำไทยในลักษณะนี้ เป็นอุดมคติพื้นฐานสำหรับคนไทยในยุคสมัยที่พุทธศาสนายังเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ซึ่งเราสามารถอ้างอิงย้อนกลับไปได้ถึงสมัยพระยาลิไท ที่พระองค์โปรดให้จารึกข้อความทำนองนี้ไว้ในจารึกหลักหนึ่งความว่า

"พระองค์มีพระราชประสงค์พระโพธิญาณในอนาคตกาล แลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อจะนำสัตว์ให้พ้นจากสงสารวัฏ ไปสู่พระนฤพานในอนาคตกาล"

หรือแม้แต่พระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ยังทรงเชื่อในโลกทัศน์แบบพุทธภูมิคือที่หมายสุดท้ายของชีวิตเช่นนี้ พระองค์ได้ทรงตั้งพระสัตยาธิษฐานไว้ในคราวบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดบางยี่เรือใต้ว่า "เดชะผลทานนี้... จงเป็นปัจจัยแก่พระโพธิญาณในอนาคตกาลโน้นเทอญ"

หลังสมัยรัชกาลที่ 1 มาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 อุดมคติแห่งชีวิตที่ผูกโยงอยู่กับมรรค ผล นิพพาน ของชนชั้นนำไทย (ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของประชาชนในสมัยนั้นด้วย) ก็ยังคงเด่นชัดอยู่ ดังปรากฏอยู่ในพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จารึกไว้ในฐานพระสมุทรเจดีย์ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่า

"ทรงปรารถนาพระโพธิญาณศรัทธิกบารมี...ทรงพระวิริยะภาพเพียรพะยายามตามประเพณีพระมะหาโพธิสัตว์เจ้าแต่ปางก่อนสืบมา...ปลงพระไทยแต่จะให้สำเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณจะรื้อขนสัตว์จากสงสารทุกข์"

ในศิลาจารึกสมัยพุทธศตวรรษที่ 13-14 ที่จังหวัดนครราชสีมา มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ขอให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย...จงเป็นพุทธองค์...และลุถึงพุทธภูมิ"

ข้อความในศิลาจารึกฉบับนี้สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของประชาชนทั่วไปที่มีความเชื่อ หรือมีอุดมคติในชีวิตเช่นเดียวกันกับชนชั้นนำของตน

แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 อุดมคติแห่งชีวิตที่ผูกพันความฝันอันสูงสุดของตนเองเอาไว้กับพุทธภูมิหรือนัยหนึ่งกับโลกุตรธรรม เริ่มสั่นคลอนและเลือนหายไปในที่สุด ดังที่พระองค์ทรงระบุเอาไว้ในเอกสารฉบับหนึ่งว่า "มิได้ทรงเอื้อมอาจปรารถนาพุทธภูมิ ดังท่านผู้อื่นๆ เป็นอันมาก"

แต่ข้อความสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า คติการถือเอาพุทธภูมิหรือมรรค ผล นิพพาน เป็นเป้าหมายสูงสุดได้ "ขาดตอน" ลงอย่างจริงจังในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตอนที่พระองค์ทรงระบุถึงคนที่ "ได้มรรคผลรู้พระนิพพาน" ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ "...ทุกวันนี้ ไม่มีคนเช่นนั้นแล้ว"

นอกจากนี้แล้ว ทัศนะของชนชั้นนำไทยอย่างเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ ผู้เขียนหนังสือ "แสดงกิจจานุกิจ" ที่กล่าวว่า "ทุกวันนี้ พระอริยบุคคลที่จะเป็นเนื้อนาบุญไม่มีแล้ว" ก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า ปฏิเวธสัทธรรม ได้ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปในสมัยพระจอมเกล้านี่เอง

และเมื่อปฏิเวธสัทธรรมกล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน หรือพุทธภูมิ ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่อไปในสมัยรัชกาลที่ 4 สิ่งที่ถูกนำมาเน้นย้ำก็คือประโยชน์ในปัจจุบันหรือโลกิยธรรม (เข้ามาแทนที่โลกุตรธรรม)

 

คําถามสำคัญก็คือ ทำไมโลกุตรธรรม หรือปฏิเวธสัทธรรม และ/หรือมรรค ผล นิพพาน ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญถึงขนาดเป็นโลกทัศน์หลักของชนชั้นนำไทยและประชาชน จึงมาขาดช่วงหรือไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในสมัยรัชกาลที่ 4

คำตอบก็คือ เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ที่รับอิทธิพลมาจากประเทศตะวันตกนั่นเอง การศึกษาแผนใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญนั้น ถูกถ่ายทอดผ่านมายังภาษาอังกฤษ

หรือกล่าวให้ตรงกว่านั้นก็คือ

ผ่านมายังตำรับตำราภาษาอังกฤษมากมายที่พระองค์ทรงศึกษาเพื่อเตรียมรับมือกับจักรวรรดินิยมตะวันตก รวมทั้งผ่านตำราแขนงอื่นๆ ที่ต่างออกไปจากภูมิปัญญาไทยแบบเดิม และผ่านวิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งทรงสนพระทัยศึกษาค้นคว้าเป็นพิเศษจนต่อมาทรงได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ของเมืองไทย นับแต่สมัยที่พระองค์ยังทรงครองเพศสมณะและเป็นที่รู้จักกันในฐานะ "วชิรญาณภิกขุ" เสียด้วยซ้ำ

ลักษณะจำเพาะอย่างหนึ่งของของการศึกษาแผนใหม่ที่พระจอมเกล้าทรงศึกษา ก็คือ วิทยาการต่างๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ที่เน้นความมีเหตุผล และเน้น "ความรู้เชิงประจักษ์" เป็นสำคัญ ทั้งนี้ โดยมีระบบเหตุผลหรือลัทธิเหตุผลนิยมเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่หนักแน่นยิ่งนัก

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อศึกษาวิทยาการแผนใหม่อย่างลึกซึ้งแล้ว โลกทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเปลี่ยนแปลงไปจากคนในสมัยก่อนหน้านั้นอย่างแทบจะสิ้นเชิง

ผลของการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ก็คือ ทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นนักเหตุผลนิยม และนักมนุษยนิยม ที่โดดเด่นของยุคสมัย คำสอนของพระองค์อันเนื่องด้วยพุทธศาสนาแต่เมื่อเป็นวชิรญาณภิกขุก็ดี แม้เมื่อทรงลาสิกขาออกมาเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์เต็มตัวแล้วก็ดี มีน้ำเสียงของความเป็นนักเหตุผลนิยมและเน้นความจริงเชิงประจักษ์อย่างชัดเจน เช่น

เรื่องนรกสวรรค์ พระองค์ก็ทรงอธิบายเสียใหม่โดยเน้นไปที่ "สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นสำคัญ

คติเรื่องพระนิพพานคืออุดมคติสูงสุดของชีวิตก็ทรงไม่ให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องเหนือวิสัยไกลตัวนัก

หลักฐานที่เด่นชัดที่สุดก็คือ การที่ทรงปรับเปลี่ยนวิธีบรรพชาของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย โดยในคำขอผ้ากาสายะ ทรงโปรดให้ตัดข้อความบาลีที่แปลว่า "เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน เป็นที่ออกไปจากทุกข์ทั้งปวง : นิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย" ออกเสีย

ทั้งนี้ โดยทรงให้เหตุผลว่า การกล่าวข้อความเช่นว่านั้น "ไม่ตรงต่อความจริงใจของผู้กล่าวมากกว่ามาก" ซึ่งเราอาจตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่า การบวชไม่ใช่เป็นเรื่องของการทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการก้าวไปให้ถึงพระนิพพานอีกต่อไป

โลกทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับอิทธิพลมาจากระบบการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมเต็มรูปแบบนี้ ไม่เพียงปรากฏในขณะเมื่อยังทรงเป็นภิกษุเท่านั้น ทว่า เมื่อเสวยราชย์แล้ว พระองค์ก็ทรงเลิกเชื่อมั่นในโลกทัศน์แบบไตรภูมิอย่างชัดเจน แล้วหันมาทรงเน้นศักยภาพของมนุษย์ (มนุษยนิยม) มากกว่า เช่น

เมื่อทรงเอ่ยถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ ก็ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่ได้มาเพราะ "บุญญาธิการ" แต่ปางก่อนเหมือนอย่างที่เคยเชื่อกันมา ทว่า พระองค์กลับทรงเชื่อว่า การทั้งปวงที่ทำให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเพราะ "มนุษย์" มากกว่า

เช่น ที่พระองค์ตรัสยืนยันแนวคิดเช่นนี้ไว้ว่า

"ที่ได้เปนเจ้าแผ่นดินทั้งนี้ ครั้นจะว่าไปว่าได้เปนด้วยอำนาจเทวดา ก็จะเปนอันลบหลู่บุญคุณของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านพร้อมใจกันอุปถัมภ์ค้ำชูให้เปนเจ้าแผ่นดินนั้นไป ด้วยว่า ความที่ได้เปนเจ้าแผ่นดิน เพราะท่านผู้หลักผู้ใหญ่ค้ำชูอุดหนุนนั้น รู้อยู่แก่ตา เห็นอยู่แก่ตา ของคนเปนอันมากตรงๆ ไม่อ้างว่าอำนาจเทวดาแล้ว"

ข้อความที่ว่า "รู้อยู่แก่ตา เห็นอยู่แก่ตา ของคนเปนอันมาก ไม่อ้างว่าอำนาจเทวดาแล้ว" นั้น สะท้อนท่าทีแบบเหตุผลนิยม (ไม่อ้างอำนาจพิเศษเหนือสามัญวิสัย) มนุษยนิยม (ยอมรับศักยภาพของมนุษย์) และสะท้อนท่าทีวิทยาศาสตร์แบบประจักษ์นิยม/วัตถุนิยม (เน้นความจริงเชิงประจักษ์ที่เห็นผ่านประสาทสัมผัส) อย่างไม่ต้องสงสัย

และด้วยเหตุดังนั้นเอง เราจึงอาจกล่าวได้ว่า โลกทัศน์ที่ถือเอาโลกุตรธรรมอย่างคติการถึงพุทธภูมิเป็นที่หมายสุดท้ายของชีวิตก็ดี การเชื่อมั่นว่ามรรค ผล นิพพาน และนรกสวรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงก็ดี

ได้ "ขาดตอน" ลงและหายไปจากโลกทัศน์ไทยเอาในสมัยรัชกาลที่ 4 นี่เอง

 

ต่อมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นพระโอรสองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นผู้นำในการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ พระองค์ซึ่งทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ ภายใต้โลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยม/มนุษยนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ก็ได้สานต่อแนวคิดแบบลดทอนความสำคัญของโลกุตรธรรมลงให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เป็นต้นว่า ตำราที่ทรงรจนานั้นก็เน้นเฉพาะ "ประโยชน์ในปัจจุบัน" (ทิฏฐธรรมมิกัตถประโยชน์) เป็นหลัก

หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือ "นวโกวาท" นั้นต้องนับว่าเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดที่แสดงให้เห็นแนวความคิดแบบเหตุผลนิยม และความจริงเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์ เพราะในหนังสือเล่มนี้ไม่กล่าวถึง "โลกุตรธรรม" เอาเลย

เมื่อกล่าวถึงหลักธรรมสำคัญต่างๆ แล้ว ก็มาหยุดอยู่เพียง "คิหิปฏิบัติ" (หลักธรรมสำหรับคฤหัสถ์) หรือเมื่อทรงกล่าวถึงสมาธิภาวนาบ้าง ก็ทรงกล่าวถึงแต่ในฐานะที่เป็นวิชาการทางปริยัติ (ทฤษฎี) ล้วนๆ ทั้งนี้ จึงไม่จำต้องกล่าวถึงธรรมขั้นลึกอย่างปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจยตาว่าจะได้รับการยกขึ้นมาเน้นย้ำหรือไม่

แต่หลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่องมรรค ผล นิพพาน ถูกทำให้เลือนหายไปอย่างเด่นชัดในสมัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็คือ การที่ทรงปฏิเสธที่จะนับเอา "ปฏิบัติสัทธรรม" (สมถกรรมฐาน, วิปัสสนากรรมฐาน) เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาคณะสงฆ์ โดยทรงให้เหตุผลว่า "เพราะเป็นวิชาที่ไม่มีหลักที่จะสอบไล่ได้"

นอกจากไม่ทรงสนพระทัยที่จะจัดให้ปฏิบัติสัทธรรม (โลกุตรธรรม) เป็นวิชาสำคัญในหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์แล้ว พระองค์ยังไม่ทรงมีนโยบายในทางส่งเสริมให้พระสงฆ์สนใจในวิปัสสนากรรมฐาน หากแต่ทรงหันมาส่งเสริมให้พระสงฆ์สนใจแต่เรื่องปริยัติธรรมและการปกครองอย่างเป็นด้านหลัก

เครื่องมือสำคัญของพระองค์ที่ทรงใช้เพื่อการนี้ก็คือ ระบบสมณศักดิ์ นั่นเอง

และด้วยเหตุดังที่กล่าวมา การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมถกรรมฐาน/วิปัสสนากรรมฐานอันเกี่ยวเนื่องกับมรรคผลนิพพานหรือโลกุตรธรรม จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิตและจากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์โดยลำดับอย่างเป็นรูปธรรม และกลายเป็นมรดกที่ตกทอดมาจนถึงยุคสมัยของ พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ (พ.ศ.2475-ปัจจุบัน)

จนเป็นเหตุให้ท่านปฏิเสธระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักโดยให้เหตุผลว่า ไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ค้นพบความบริสุทธิ์ และการศึกษาพระปริยัติธรรมทางเจือด้วยยศศักดิ์ ก็เป็นการ "ก้าวผิด" ไปก้าวหนึ่ง จนทำให้ท่านเลิกก้าวตามโลกอย่างสิ้นเชิงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2475 ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงหนึ่งเดือน

การค้นพบ "เงื่อน" ที่ทำให้เราได้รับคำตอบว่าโลกุตรธรรมกล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน หายไปจากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักได้อย่างไร ทำให้เราเข้าใจคณะสงฆ์ในปัจจุบันได้ชัดขึ้น รวมทั้งสามารถอธิบายสาเหตุแห่งความเสื่อมทรามของคณะสงฆ์ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

และประการสำคัญยังทำให้เราได้ค้นพบคำตอบด้วยว่า เหตุไรการศึกษาที่เป็นผลมาจากการปฏิรูปพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงไม่สามารถตอบสนองต่อความใฝ่รู้ความจริงของท่านพุทธทาสภิกขุได้

และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างท่านพุทธทาสภิกขุ กับนักปฏิรูปพุทธศาสนาชั้นนำอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญารวโรรส ซึ่งเติบโตมากับโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยม/มนุษยนิยมเหมือนกัน แต่ทว่า นักปฏิรูปพุทธศาสนาทั้งสองฝ่ายกลับมีปฏิสัมพันธ์ต่อพระพุทธศาสนาหรือโลกุตรธรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านพุทธทาสภิกขุได้นำเอาโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยมและมนุษยนิยมนั้นเองมาช่วยในการขับเคลื่อนเพื่อ "รื้อฟื้น" โลกุตรธรรมให้คืนกลับมา

ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลับนำเอาโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์นั้นแหละมาเป็นเครื่องมือเพื่อลดทอนโลกุตรธรรม

จนหายไปจากวิถีชีวิตของพระสงฆ์ และระบบการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างแทบจะสิ้นเชิง

 



ที่มา : http://info.matichon.co.th/weekly/wk_txt.php?srctag=MTMyMzAwNjQ5
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พระใจบุญเลี้ยงควาย 15 ตัว..อย่างดี เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 04:36:12 pm
เมื่อหมดทางไป ก็ไปวัด เมื่อเอ็นดู ก็เลี้ยงไว้ เมื่อหมดเยื่อใย ก็ตัดหางปล่อยวัด
คนเรานี้ก็แปลก คนที่ำนำสัตว์ไปปล่อยวัดจากผลสำรวจ อย่างไม่เป็นทางการสมัยเป็น นักเรียนทำวิจัยกันแล้ว ปรากฏเป็นคนที่ไม่ค่อยทำบุญ หรือ ไม่ทำบุญเลย  ดังนั้นคนพวกนี้เขาจึงไม่ได้กลัวบาปกรรม ที่ทำไว้วัด

   มีอยู่ครั้งหนึ่ง คณะวิจัยเราเจอคนที่ปล่อยหมา ที่วัดแบบจัง ๆ แต่เราก็เพียงมองห่าง ๅ นาน ๆ ไปหลายเดือน หมามันเห่าหอนกันที่วัด ก็มาโวยวายกับพระว่าปล่อยหมา เห่าหอนไม่ได้นอนพักผ่อน อย่างนี้ก็มี

   :s_good:
36  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ได้ยินว่า ศรัทธา เป็นเครื่องขัดขวางปัญญา แต่ทำไมกรรมฐานจึงเริ่มจากศรัทธา ครับ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 06:54:32 pm
ศรัทธา มาก ก็มักขาดปัญญา
   คือ เชื่อมากกว่า เหตุผล เช่น ไสยศาสตร์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เลยกลายเป็นความงมงาย ไป ก็ไม่ดีครับ

   :13:
37  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เรียนถามเรื่อง ภัย พิบัติ ที่จะเกิดอีกต่อไป กับพระอาจารย์ คะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 06:52:08 pm
ไปอ่านตรงนี้ ต่อ ดีกว่าครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9503.

 :s_hi:
38  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วม "ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ" ที่ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 01:23:46 pm
อนุโมทนา ด้วยครับ อย่างน้อยที่สระบุรี ก็มีสถามที่ปฏิบัติภาวนา อากาศดี ๆ บรรยกาศดี ๆ อาหารดี ๆ อย่างวัดเขาวง ในสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ต้อนรับนักภาวนา กันสถานที่นี้เคยไปหลายครั้งแล้ว นับว่า ดีมาก ๆ ครับ แนะนำเพื่อน ๆ ที่อยากออกนอกกรุงเทพ ก็เชิญที่นี่เลยครับ

   :c017: :25: :25: :25:
39  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: เหตุที่เข้าเว็บได้ช้า และ วิธีแก้ไข นะครับ ลองกันดูนะครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2012, 09:23:03 pm
มีประโยชน์ มากครับ เลยครับ

    :c017:
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ไม่ทราบ พระสงฆ์ เรียนฟรีหรือไม่ครับ ที่ มจร. และ มมร. เมื่อ: ตุลาคม 15, 2012, 03:46:47 pm
ภาพความร่วมมือระหว่างพระทั้งสองนิกายในประเทศไทยคือมหานิกายกับธรรมยุตไม่ได้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนเท่าใดนัก ทั้งๆที่มีความร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ทราบกันก็เฉพาะในวงในเท่านั้น

อย่างภาพที่พระธรรมสุธี นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ฝ่ายมหานิยาย พร้อมด้วยพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ ได้ร่วมพิธีถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจักการเชิงพุทธ แด่พระธรรมวราจารย์ (แบน กิตฺสาโร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 16,17,18  ฝ่ายธรรมยุต และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ กรุงเทพมหานคร ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) วิทยาเขตสิรินธร อ้อมใหญ่ จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา
   
                หรืออย่างเช่นกรณีประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน โดยได้พิจารณารายชื่อพระเถรานุเถระที่จะเข้ารับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ ประจำปี 2555 ซึ่งปีนี้มีตำแหน่งชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ฝ่ายมหานิกาย ว่างจำนวน 1 ตำแหน่ง
   
                ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้พิจารณาเห็นควรเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์พระธรรมโกศาจารย์ (ศ.ดร.ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส และอธิการบดี มจร  ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่ มีราชทินนามว่า “พระพรหมบัณฑิต” สร้างความปลาบปลื้มให้กับชาว มจร และชาวพุทธไม่น้อย           
   
                ข้อมูลเช่นนี้ก็ทราบอยู่เฉพาะในวงจำกัดเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนกับกรณีพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ผิดพระธรรมวินัย มั่วสีกา ค้ายาเสพติด เต้นโคโยตี้เป็นต้น เมื่อมีข้อมูลทางลบเช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกมา จะมีการเผยแพร่ต่อทางสังคมออนไลน์โดยเฉพาะทางเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีเสียงเรียกร้องจากพระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดี มจร ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ต้องการให้ มส.ตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบควบคุม
   
                ความจริงแล้วความร่วมมือของพระทั้งสองนิยายหรือแม้นแต่พระนิกายต่างๆในต่างประเทศ ก็มีมาอย่างต่อเนื่องดูการจัดงานวันวิสาขะโลกเป็นตัวอย่าง ทั้งการปกครองและการศึกษา มมร.ก็เคยพิจารณาพิธีถวายปริญาดุษฏีบัณฑิตแก่พระเถระฝ่ายมหานิกายเช่นเดียวกัน
   
                ต่อกรณีนี้ "สมหมาย  สุภาษิต" รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังมคม มจร  ชี้แจงว่า การที่ มจร ถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจักการเชิงพุทธ แด่พระธรรมวราจารย์ ฝ่ายธรรมยุตดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เพราะมีกิจกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านกระบวนการการเสนอชื่อให้สภาวิชาการของมหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติไปตามคุณสมบัติอย่างแท้จริง โดยไม่มีสี การเมืองหรือนิกายเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
   
                "ส่วนการการที่ มส.พิจารณาเห็นชอบให้พระธรรมโกศาจารย์เลื่อนสมณศักดิ์ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ฝ่ายมหานิกายนั้น ก็เป็นพระราชาคณะที่มีคุณสมบัติเหมาะสม   1 ใน 3 รูปที่สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กรรมการ มส. เสนอให้ที่ประชุม มส.พิจารณา" "สมหมาย"  ระบุ
   
                ภาพ มจร พิธีถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระธรรมวราจารย์ พระเถระฝ่ายธรรมยุตดังกล่าวจึงนับว่าเป็นการย้ำการทุบกำแพงนิกายโดยแท้ ทั้งนี้เพราะทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ตั้งบนหลักของ "วิชชา" ไม่ยึดฝักฝ่ายหรือนิกายเป็นที่ตั้ง
   
                หากยังมี "อวิชชา" ความเป็นนิกาย สี หรือแม้นแต่ความเป็นศาสนาจนทำให้เห็นภาพวัดพุทธในบังคลาเทศถูกเผา ทำให้ชาวพุทธต้องรวมตัวกันออกมาเรียกร้องให้ยุติพฤติกรรมการทำลายล้างเพราะศาสนาเป็นต้นเหตุ ภาพความร่วมมือของทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็คงไม่เกิด ฝ่ายการเมืองจะเอาเป็นแบบอย่างความปรองดองก็คงจะเกิดขึ้นได้

'มหานิกาย'มอบป.เอก'ธรรมยุต' ย้ำภาพทำลายกำแพงนิกาย : สำราญ สมพงษ์รายงาน

คมชัดลึก
หน้า: [1] 2