ตํานานพระโค-พระแก้ว คืออะไร.?
ตํานานพระโค-พระแก้วเป็นตํานานที่เกี่ยวข้องกับการเสียเมืองละแวก ซึ่งมีเรื่องย่อดังนี้ ในสมัยเมืองละแวกมีชาวนาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ต่อมาภรรยาได้ตั้งครรภ์และปีนต้นมะม่วงตกลงมาเสียชีวิต ลูกที่คลอดออกมาคือพระโคผู้พี่ซึ่งเป็นวัวและพระแก้วผู้น้องเป็นคน
พระโคเลี้ยงดูพระแก้วด้วยการเคี้ยวหญ้าแล้วเสกออกมาเป็นอาหารและสิ่งของต่าง ๆ ให้พระแก้ว เมื่อชาวบ้านทราบก็โลภต้องการจับพระโคฆ่าเสียเพื่อจะได้เอาทรัพย์สินที่อยู่ในท้องพระโค พระโคและพระแก้วจึงหนีไป ต่อมาพระแก้วได้เป็นพระราชบุตรเขยของพระบาทรามาเชิงไพรกษัตริย์ ผู้ครองเมืองละแวก กิตติศัพท์เรื่องพระโค-พระแก้วล่วงรู้ไปถึงกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงปรารถนาได้พระโค-พระแก้วมาไว้ในพระนคร พระองค์จึงส่งทูตมาเพื่อท้าประลองชิงบ้านเมือง (เพื่อให้ได้พระโค-พระแก้ว)
การประลองมีสามครั้งโดยพระโคเป็นตัวแทนของเมืองละแวกไปร่วมประลอง การประลองครั้งแรกเป็นการแข่งชนไก่ ครั้งที่ 2 เป็นการชนช้าง ซึ่งพระโคสามารถเอาชนะได้ทั้งสิ้น การประลองครั้งที่ 3 เป็นการชนวัว พระโครู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะโคยนต์ของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงวางอุบายว่าหากตน หมอบสามครั้งให้พระแก้วกับนางเภา (ภรรยาพระแก้ว) จับหางของตนไว้เพื่อจะได้เหาะหนีให้ทันท่วงที
ในที่สุดพระโคก็เหาะหนี แต่ทหารไทยยกทัพติดตามและนางเภาได้ตกลงมาเสียชีวิต ส่วนพระโคและพระแก้วถูกจับได้ ทําให้เสียเมืองละแวกแก่ไทย พระโคและพระแก้วถูกจับตัวไปยังกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเหตุให้สรรพวิทยาทั้งปวงที่อยู่ในท้องพระโคถูกนํามาไว้ยังเมืองไทย และเขมรก็เสื่อมลงจนถึงปัจจุบัน
ตํานานเรื่องพระโค-พระแก้ว แม้จะเป็นตํานานที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนชาวเขมร แต่ก็มิได้ปรากฏว่ามีการนํามาแต่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรอง หากอยู่ในรูปของมุขปาฐะจนถึงปี ค.ศ. 1952 สํานักพิมพ์คีม คี จึงนํามาพิมพ์เผยแพร่
ในปี ค.ศ. 2001 สํานักพิมพ์ “ไรยํ” ได้นําตํานานเรื่องนี้มาเขียนภาพประกอบแล้วพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือภาพประกอบตํานานเรื่อง “พระโค-พระแก้ว” ซึ่งในตอนท้ายเรื่องได้กล่าวถึงความสําคัญของ “พระโค” ไว้ว่า
“…พวกสยามเห็นว่าเมื่อใดได้พระโคอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นจะได้สุขเกษมศานต์ ดังนี้แล้วพวกสยามจึงได้พยายามดูแลรักษาพระโค-พระแก้วไว้อย่างแข็งแรง แล้วนับแต่เวลานั้นมา พระโค-พระแก้วจึงมิได้กลับคืนมายังเมืองเขมรจนถึงทุกวันนี้…”
นอกจากนี้ในแบบเรียน “ประวัติศาสตร์เขมร ภาค 2” ของ ตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ยังได้แสดงออกถึงความรู้สึกเสียดายพระโค-พระแก้วไว้ด้วย ดังความว่า
“…ในปี ค.ศ. 1553 สยามจับได้พระอุปโยราชศรีสุริโยพรรณกับพระราชบุตรทั้งสองคือ พระชัยเจษฎา (พระชนม์ได้ 15 พรรษา) และพระอุทัย (พระชนม์ได้ 5 พรรษา) พร้อมทั้งกระบวนขนาดนักปราชญ์ราชบัณฑิตกวี รูปประติมากรรมพระโค-พระแก้ว และเชลยเขมรเป็นจํานวนมากไปประเทศสยาม
หลังจากสมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ในประเทศเขมรได้ 3 เดือน ก็เสด็จกลับคืนไปกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งให้ขุนนางผู้ใหญ่สยามตั้งกํากับอยู่ที่กรุงอุดงค์ ควรอธิบายให้ทราบว่าที่ด้านหน้าพระวิหารพระแก้วใน กรุงเทพมหานครประเทศไทย ปัจจุบันนี้มีรูปประติมากรรมพระโคซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับวัวใหญ่ในท้องเป็นช่องว่าง ถ้าเช่นนั้นนี่คือรูปพระโคพระแก้วซึ่งสยามนําเอาไปได้ในคราวที่ตีเมืองละแวกแตกหรือไรกัน?…” พิธีปฐมกรรม ภาพฝีมือพระยาอนุศาส์นจิตรกร ที่พระอุโบสถสุวรรณดาราราม (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2543)บทบาทไทยในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีต่อกัมพูชา
นอกจากแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาจะแสดงภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในแง่มุมประวัติศาสตร์สงครามสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็แสดงออกด้วยสํานวนภาษาและทัศนคติที่คล้ายคลึงกันก็คือภาพ “ไทย” พยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชา และพยายามยึดครองดินแดนของกัมพูชาอีกด้วย ในแบบเรียนประวัติศาสตร์เหล่านี้จึงมักปรากฏคําว่า “อิทธิพลอย่างแข็งกล้าของเสียม (สยาม)” “ใต้อํานาจสยาม” “สยามเอาดินแดนเขมร” “สยามตีเขมร” หรือ “สยามยึดครองดินแดนเขมร” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์กัมพูชาในช่วงนี้ก็แสดงภาพความไม่พอใจของชาวกัมพูชาที่มีต่อประเทศเวียดนามที่รุกรานและแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชาเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ที่พระองค์เอง (สมเด็จพระนารายณ์รามา) เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปรากฏในแบบเรียนประวัติศาสตร์สําหรับชั้นประถมศึกษาของกัมพูชาว่า
“…สยามเอาดินแดนพระตะบองและเสียมราบ (เสียมเรียบ) สยามขังพระองค์เองจนถึงปี ค.ศ. 1794 จึง พระราชทานให้พระองค์เสด็จมาปกครองกัมพูชา ส่วนยมราชแบนสยามตั้งเป็นผู้ว่าการเขตของเขตพระตะบองและเสียมราบ (เสียมเรียบ) ซึ่งสยามเอาเป็นของมัน…”
แบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรสําหรับชั้นมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) กล่าวถึงการที่ไทยได้เมืองพระตะบอง เสียมราบ (เสียมเรียบ) ว่า
“…ส่วนเจ้าเมืองเขตพระนคร (เสียมราบ) ต้องตั้งอยู่ใต้อํานาจของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ดังนี้ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1795 มา เขตพระตะบองและเขตพระนครถูกสยามได้ไปโดยสันติวิธี เฉพาะการสูญเสียดินแดนนี้นักประวัติศาสตร์บางคนได้โจทย์ถามว่ามีความยินยอมพร้อมเพรียงสงบอะไรอย่างหนึ่งระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้งสองด้วยหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นรางวัลเฉพาะกษัตริย์สยามซึ่งได้รับรู้กษัตริย์เขมร แล้วยกให้ขึ้นเสวยราชย์หรืออย่างไร เขตนี้จึงตกอยู่ใต้อํานาจไทยมาจนถึง รัชกาลที่ 5… ราชพงศาวดารเขมรฉบับหนึ่งได้สนับสนุนเอกสารมีนัยคล้ายคลึงกับเอกสารสยามด้วย… แต่ยอมถวายสําหรับแต่แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าพระองค์เดียว”
แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาบางฉบับก็กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะขุนนางเขมรเป็นขบถมาเข้ากับฝ่ายไทย เช่น
“ในรัชกาลของพระองค์เอง (1794-1796) แบน (ออกญายมราช แบน-ผู้แปล) ได้กํากับเขตพระตะบอง และมหานคร (คือเขตเสียมราบ) มนตรีแบนกบฏได้กราบทูลเสด็จสยามนามจุฬาโลก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช-ผู้แปล) ว่า ข้าพระกรุณาปรารถนาอยากให้เขตพระตะบอง และเสียมราบติดไปกับแผ่นดินสยาม ถ้าพระองค์ไม่ขัดพระราชหฤทัยขอทรงส่งพระราชสาสน์พร้อมทั้งลายพระหัตถ์ด้วยถวายเสด็จองค์เอง เพราะโดยอานุภาพของพระองค์ เสด็จกรุงกัมพูชาจะเกรงกลัว และพร้อมทั้งถวายเขตทั้งสองนี้มาแก่สยามอย่างแน่นอน เขตทั้งสองนี้ตกอยู่ในกํามือสยามในปี 1795
ในปีเดียวกันนั้นเองพระองค์เองได้เสด็จไปเมืองสยาม พระองค์เองก็มีบันทูลว่า ขอให้พระเจ้าสยามเอาเขตทั้งสองนี้ แต่ในเวลาที่พระองค์ เสด็จสยามยังมีพระชนม์อยู่ เมื่อสวรรคตไปต้องคืนให้เขมร เพียงแต่ล่วงมาหนึ่งปีเสด็จสยามไม่ทันสวรรคต พระองค์เองก็สุคตไปก่อนในปี 1796 ดังนั้นแล้ว พระตะบอง และมหานครก็ถูกไทยหลอกลวงเอาตลอดไป…”เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม) เจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้ายบทบาทของไทยในรัชกาลสมเด็จพระอุทัยราชา (พระองค์จันท์) ปรากฏการกล่าวถึงในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาสําหรับชั้นประถมศึกษาว่า
“…สยามทําสิ่งต่าง ๆ ตามอําเภอใจ ในปี ค.ศ. 1810 พระเจ้ากรุงสยามสวรรคต พระองค์จันท์ทรงจัดให้พระอนุชาสองพระองค์คือ พระองค์สงวนและพระองค์อิ่มไปถวายบังคมพระบรมศพ และพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสวยราชย์ใหม่ เวลานั้นพระเจ้าสยามได้ตั้งพระองค์สงวนเป็นพระชัยเชษฐามหาอุปโยราช และพระองค์อิ่มเป็นพระศรีชัยเชษฐามหาอุปราช โดยไม่ได้ปรึกษากับพระเจ้าแผ่นดินเขมรเลย แล้วพระเจ้า สยามบัญชาให้เกณฑ์ราษฎรเขมรเอาไปรักษากรุงบางกอก…”
หรือแม้แต่ในรัชกาลสมเด็จพระหริรักษรามา (พระองค์ด้วง) แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็กล่าวถึงเหตุการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาว่า
“…สยามได้ขอพระองค์ด้วงให้ลงนามสนธิสัญญาตัดเขตมลูไพร และทนเลเพา ซึ่งสยามยึดครองได้แต่ครั้งก่อน พระบาทองค์ด้วงทรงมีพระดํารัสว่า ‘ข้าไม่ให้อะไรสยามไปทั้งหมด เพียงแต่สยามแข็งแกร่งเชี่ยวชาญ สยามเก็บไว้ก่อนเถอะเขตใดซึ่งสยามยึดครองได้ตั้งแต่ก่อน ๆ นั้น’ ในเมืองใดที่สยามยึดครองได้ สยามได้ใช้อุบายเย็น คือบั่นทอนภาษีอากรจากประชาราษฎร์ แล้วนํากําไรเล็กน้อยไปประเทศของตน…”
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภาพของไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในความรู้สึกของแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาค่อนข้างเสนอภาพในด้านลบ และมักเสนอแต่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากการรุกรานและการเข้าไปยึดครองดินแดนกัมพูชาบางส่วนของไทย รวมทั้งการเกณฑ์เอาชาวเขมรของไทยเพื่อนําไปเป็นกําลังในการสร้างบ้านเมืองไทยเท่านั้น อย่างไรก็ดีในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเมื่อกล่าวถึงประเทศ เวียดนามก็ปรากฏภาพเวียดนามผู้รุกรานกัมพูชาที่คล้ายคลึงกัน
@@@@@@@
ความรู้สึกที่กัมพูชามีต่อไทยในศตวรรษที่ 19-20
แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเสนอภาพมุมมองและทัศนคติที่มีต่อไทยในศตวรรษที่ 19-20 ไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาพในศตวรรษที่ 18 อาจเนื่องมาจากในช่วงนั้นเป็นเวลาที่ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามายึดครองอินโดจีน
ภาพไทยที่ปรากฏในศตวรรษนี้จึงมีภาพในแง่บวกบ้าง เช่น กล่าวถึงความช่วยเหลือจากสยามในการ ปราบขบถพระองค์วัตถา ในปี ค.ศ. 1861 ตรงข้ามกับภาพฝรั่งเศสที่ถูกมองในแง่มุมที่เป็นผู้ปกครอง เช่น กล่าวว่าสนธิสัญญา ค.ศ. 1884 เหมือนเป็นแอกทับลงบนกัมพูชา เป็นต้น อย่างไรก็ดีแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็แสดงออกถึงความยินดีเมื่อฝรั่งเศสช่วยให้กัมพูชาได้ดินแดนที่เสียไปคืนมา เช่น
“…แผ่นดินเขมรได้กลับคืนมาสู่เขมร ด้วยความช่วยเหลือของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1904 สยามคืนเขตสตึงเตรง มลูไพร และทนเลเพา และในปี ค.ศ. 1906 สยามคืนเขตพระตะบอง และเสียมราบ เสียม เรียบ) อีก สยามได้เมืองสุรินทร์ บุรีรัมย์ และขุขันธ์…”
เช่นเดียวกับแบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรสําหรับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ที่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “…ส่วนแผ่นดินซึ่งต้องสูญเสียไปในมือสยามนั้น เขาทราบว่าในปี 1904 ประมาณเดือนหลังซึ่งพระบาทศรีสวัสดิ์ได้ขึ้นเสวยราชย์ ประเทศสยามได้คืนไปให้ฝรั่งเศสและฝรั่งเศสได้ส่งมอบคืนให้พระองค์ด้วย เขตตราด เกาะกง มลูไพร และทนเลเพา ในเวลาเดียวกันนั้น เขตสตึงเตรง และเมืองเสียมบาง ก็ถูกถอดถอนจากประเทศลาวและมอบคืนมาให้พระราชาเขมรด้วย
ตามสนธิสัญญาวันที่ 23 เดือนมีนาคม 1907 รัฐบาลสยามได้มอบให้ฝรั่งเศสซึ่งเขตพระตะบอง เสียมราบ และศรีโสภณ เพียงแต่ฝรั่งเศสต้องให้คืนไปซึ่งแผ่นดินด่านซ้ายและตราด เขตทั้งสามข้างบน ฝรั่งเศสได้มอบคืนมาให้เขมร ควรทราบว่า การกลับคืนเข้ามาในมาตุภูมิซึ่งแผ่นดินภาคอย่างสําคัญซึ่งต้องสูญเสียไปตั้งแต่สมัยพระยาอภัยภูเบศร์ แบน (1795) เป็นโชคชัยประการหนึ่งในนโยบายฝรั่งเศสในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีจารึกไว้เป็นอนุสาวรีย์ตรงทิศใต้ของวัดพนมโฎนเพ็ญทุกวันนี้…” บรรดาครู นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนในจังหวัดพระนครและธนบุรี ร่วมหลายหมื่นคนเดินขบวนแห่เรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส กำลังชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหม วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2483 (ภาพจากหนังสือ ไทยสมัยสร้างชาติ)หนังสือ “ประวัติศาสตร์สังเขปเกี่ยวกับความสัมพันธ์เขมร-สยาม” ของแบน นุต กล่าวถึงความรู้สึกเกี่ยวกับความต้องการดินแดนพระตะบองและเสียมราบคืนจากไทยว่า
“…ในรัชกาลพระองค์ทั้งมวล พระบาทสมเด็จพระนโรดมที่ 1 พระองค์ไม่หยุดยืนแสวงทวงเอาเขตทั้งสองนั้นคืนมาเลย เพราะเขตทั้งสองนี้ล้วนแต่มีชนชาติเขมรอยู่ ส่วนอีกเขตหนึ่งนั้นเล่า มีปราสาทพระนคร (นครวัด) ซึ่งสยามไม่มีสิทธิ์อะไรเหนือถึงแม้แต่เล็กน้อยเลย จนเมื่อมาถึงปี 1904 จึงได้พระตะบองและพระนครคืนกลับมาเป็นดินแดนของเขมร…”
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานเมื่อไทยมีนโยบายความคิดแบบชาตินิยม และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ค.ศ. 1939 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยได้เข้ายึดครองดินแดนเมืองพระตะบองและบางส่วนของเมืองเสียมราบทําให้กัมพูชาไม่พอใจมาก แบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ได้อธิบายว่าการรุกรานครั้งนี้ของไทยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ พระบาทศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ทิวงคตด้วยความเจ็บพระทัย
“…ในปี 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ปะทุขึ้น ประเทศสยามซึ่งมีวิวาทกับประเทศฝรั่งเศส และได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น และในที่สุดได้บีบสะกดเหนือประเทศฝรั่งเศสเดิมไปซึ่งเขตพระตะบองและแผ่นดินที่ตั้งอยู่ตรงเทือกเขาพนมดงรักและแนวเส้นรุ้งที่ 15 โดยเจ็บพระทัยกับความโลภจากสํานักสยามนี้ พระสุขภาพต้องทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว แล้วพระบาทศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ทรงเสวยทิวงคตในราตรีที่ 22 เดือนเมษายน 1941 ที่ โบกโก (บูกโค) ในพระชนมายุ 65 พรรษา…”
แม้แต่ในคําอุทิศของวรรณกรรมเขมรที่แต่งขึ้นในสมัยนั้นคือ นวนิยายเรื่อง “ผกาสรโปน” นิพนธ์โดย นู หาจ ก็มีข้อความกล่าวถึงความรู้สึกเจ็บปวดของชาวกัมพูชาที่มีต่อการรุกรานของกองทัพไทย ดังความตอนหนึ่งว่า
“…นวนิยายนี้ได้กรองเกิดขึ้นในสมัยซึ่งประเทศกัมพูชาต้องถูกแบ่งอาณาเขตข้างตะวันตกไปอยู่ภายใต้อํานาจประเทศใกล้เคียง คือระหว่าง 7 ปีมาแล้ว ดังนี้แล้วความรู้สึกถึงบ้านเกิดถึงญาติมิตรซึ่งพลัดไป แต่ละทิศทางพรมแดนอกุศลก็มีแต่ร้อนเข้าไปในตับในดีของเขมรทุกๆ คน ดังนี้แล้วที่ใดตําบลใดซึ่งเป็นที่รักของผู้แต่งจึงถูกกําลังของความระลึกผลักดันมาเป็นฉากในเรื่องนี้…”
นอกจากกัมพูชาจะกล่าวถึงความพยายามของไทยที่เข้าไปยึดครองดินแดนบางส่วนของกัมพูชาในยุคนี้แล้ว ในหนังสือ “สังคมวิชชาเขมร” สําหรับชั้นบรรจบกับชั้นอุดมศึกษา ซึ่ง เขียนโดย สร สารุน ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยอักษรศาสตร์พนมเปญ ยังได้กล่าวถึง “นโยบายรวบรวมชาติของสยาม” ไว้ด้วย โดยกล่าวว่า
“…รัฐบาลสยามได้ประกาศอย่างเป็นทางการในปี 1939 โดยกําหนดชื่อว่า ‘นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายแผ่นดินของไทย’ คู่กันกับการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนของไทยได้จัดขึ้นอย่างหมดจดที่สุด โดยหลวงวิจิตรวาทการ ในเวลาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสยาม (ที่ถูกคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม-ผู้แปล)
นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนนี้มีกําลังสามารถ ให้ประเทศสยามกลืนเอาแผ่นดินเขมรได้โดยง่าย โดยมุ่ง หวังเอาแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนร่วมกับญวน (มีเขียนไว้อย่างชัดเจนในหนังสือนโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนของไทย นิพนธ์โดยหลวงวิจิตรวาทการ) และนโยบายนี้จะประพฤติไปตามวิธีประมวลชนชาติของไทยโดยจัดไว้ว่า เขมรมีประเพณี ขนบธรรมเนียม ความเชื่อ ศาสนา เหมือนประเทศไทยซึ่งก็คือเป็นชนชาติไทยดุจกัน เหตุนี้แผ่นดินเขมรทั้งหมดต้องรวมเป็นดินแดนของชาติไทย…”จอมพล ป. พิบูลสงคราม กล่าวปราศรัยเรียกร้องดินแดนคืน หน้ากระทรวงกลาโหม 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483อย่างไรก็ดีเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยจึงต้องคืนดินแดนเหล่านี้ให้กับกัมพูชาในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้ถูกเขียนลงในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเพียงว่า
“สยามคืนแผ่นดินให้เขมรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 ด้วยอํานาจทัพญี่ปุ่นเป็นคนชั่วร้าย สยามได้รับดินแดนจากเขมร ได้แก่ เขตพระตะบอง ส่วนหนึ่งของเสียมราบ ส่วนหนึ่งของเขตกําปงธม ส่วนหนึ่งของเขตสตึงเตรง ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1946 คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสยามคืนอาณาเขตทั้งหมดมาให้กัมพูชา…”
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาไม่ได้กล่าวถึงไทยอีกจนถึงปี ค.ศ. 1962 ซึ่งเกิดเหตุการณ์กรณีเรียกร้องเขาพระวิหารคืนจากไทย แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เพียงสั้น ๆ กล่าวคือ
“…ปราสาทพระวิหารได้กลับคืนมาเป็นของเขมร ปราสาทพระวิหารเป็นปราสาทเขมรหลังหนึ่ง ซึ่งได้สร้างขึ้นบนเทือกเขาพนมดงรัก ในเขตพระวิหาร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 สยามได้นําทัพมากํากับเอาปราสาทของเรานี้ด้วยการข่มขู่ เขมรเราได้ร้องเรียนถึงศาลโลกที่กรุงเฮก ในวันที่ 15 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1962 ตุลาการนั้นได้ตัดสินความให้เขมรชนะ แล้วต้องให้สยามมอบปราสาทพระวิหารคืนมาให้เขมร…”
เหตุการณ์นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งปรากฏเป็นเรื่องสุดท้ายในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา ซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ปราสาทเขาพระวิหารบทสรุป
หลังจากกรณีเขาพระวิหารไม่นาน ประเทศกัมพูชาได้เข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองที่ดําเนินต่อมาอีกหลายสิบปี และแม้เมื่อมีการฟื้นฟูประเทศแล้ว แต่แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ยังคงใช้ตําราที่เขียนขึ้นในช่วงก่อนเกิดสงครามกลางเมืองเป็นแนวทางในการเรียนการสอน
รวมทั้งการที่รัฐบาลกัมพูชามีแนวทางการเมืองที่เน้นเรื่องชาตินิยม จึงทําให้แนวทางในการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศกัมพูชายังคงเป็นไปในทิศทางนี้ ซึ่งแน่นอนว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาย่อมส่งผลต่อผู้เรียนคือชาวกัมพูชา อันก่อให้เกิดแนวคิดและทัศนคติในลักษณะที่เป็นชาตินิยมตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมุมมองของกัมพูชาที่มีต่อไทย ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา อาจช่วยให้เราเข้าใจความคิดและทัศนคติของชาวกัมพูชาที่มีต่อไทยบ้างไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตามนอกจากจะทราบความคิดที่ชาวกัมพูชามี ต่อประเทศไทยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรศึกษาต่อไปคือมิติทางวัฒนธรรมของกัมพูชาเพื่อช่วยให้เราเข้าใจกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของเราได้อย่างถูกต้องชัดเจน รวมทั้งน่าจะมีการนําแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาฉบับต่าง ๆ มาศึกษาวิเคราะห์กับ แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยเพื่อขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับประเทศกัมพูชาในโอกาสต่อไปอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม :-
เบื้องหลังพระนเรศวรตีละแวก เอี่ยวการเมืองกัมพูชา-สเปน สู่คำถาม “เลือดศัตรูล้างพระบาท”.?
พระนเรศวร ตีละแวกแล้วทำ “พิธีปฐมกรรม”…นำ “เลือดศัตรูล้างพระบาท” จริงหรือ.?
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “เขมร ‘เขม่น’ ไทย ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา” เขียนโดย รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมีนาคม 2546ขอขอบคุณ :-
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2546
ผู้เขียน : รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 26 มกราคม พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 1 ตุลาคม 2562
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_39654