ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชวนลูกปฏิบัติธรรม  (อ่าน 4628 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ชวนลูกปฏิบัติธรรม
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 07:57:53 pm »
0
   
ชวนลูกปฏิบัติธรรม

เนื่องในโอกาสที่พระอาจารย์สาครมีดำริจะสร้างศาลาเอนกประสงค์ ให้เยาวชนที่กำลังอยู่ในวัยเรียนได้เข้ามาศึกษาแนวทางชีวิตที่ถูกต้องดีงามจากพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติไทยเราเป็นบุคลากรที่มีความรู้คู่คุณธรรม

ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะเท่าที่ผ่านมา เราก็คงจะได้ประสบกับเหตุการณ์ทางบ้านเมืองอันเกิดจากผู้ที่มีอำนาจ มีความรู้(ทางโลก) แต่ขาดคุณธรรมศีลธรรม บ้านเมืองของเราจึงต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

พระอาจารย์สาครมีความเป็นห่วงเยาวชนวัยเด็กที่กำลังรับข้อมูลจากทางโลกแสง สี เสียง จากผู้ใหญ่ที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมบางคน ที่ต้องการเพียงเงินทองสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงว่ากำลังมอมเมาเยาวชนที่จะเติบโตเป็นกำลังที่สำคัญของชาติต่อไปในอนาคตเหล่านี้ และพวกเราก็คงไม่อยากจะฝากอนาคตของประเทศไว้กับผู้ที่จะต้องไปเป็นผู้นำของชาติในอนาคตที่ขาดคุณธรรมและศีลธรรมที่ดี ซึ่งพวกเราก็คงได้ประจักษ์แก่ใจและสายตาของพวกเราดังที่เป็นอยู่นี้อีกแล้ว


โครงการ ๑ + ๑ = ๓

โครงการ ๑ + ๑ = ๓ จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างให้เยาวชนวัยเด็กเล็กเหล่านี้ เป็นกำลังสำคัญของชาติที่มีประสิทธิภาพและมีคุณธรรมประจำใจ โดยให้พวกเขาเหล่านั้นได้เข้ามารับการอบรมศีลธรรม และคุณธรรม รวมทั้งได้ปฏิบัติธรรมจากพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และรุ่นพี่ๆ ที่จะอบรมสั่งสอนให้พวกเขาเหล่านั้นโดยเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการเรียน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็จะนำครอบครัวที่เป็นที่รักของพวกเขาอีกหลายคน เข้ามาสู่ทางที่ถูกต้องดีงามทางด้านศีลธรรมของศาสนาพุทธของเรา

พระอาจารย์สาครท่านได้เห็นว่าครอบครัวของผมน่าจะเป็นตัวอย่างครอบครัวที่ใช้ชีวิตอย่างคนสังคมเมืองหลวงที่มีความสุข เนื่องจากพวกเราได้ปฏิบัติธรรมจนได้ผลน่าพอใจระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งกระทบมอมเมา ยั่วยุต่างๆ ก็ไม่สามารถมาระแคะระคายลูกๆ ของผมได้ พวกเราจึงได้ถูกมอบหมายให้เป็นผู้เขียนบทความนี้ขึ้น

เพื่อให้ผู้คนที่กำลังสับสนในการใช้ชีวิตการเป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน และมองหาทางออกให้กับตัวเอง และครอบครัวในทางที่ถูกที่ควร ไม่สับสนกับสภาพสังคมในปัจจุบัน แต่สามารถนำพาครอบครัว และดำเนินชีวิตได้ตามพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราได้อย่างพอดี และพอเพียง ในสังคมปัจจุบัน รวมทั้งยังได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างดีอีกด้วย


ตัวผมเองหวังว่าผู้อ่านคงจะได้รับประโยชน์บ้าง จากตัวอย่างการดำเนินชีวิตของครอบครัวของผมเอง เพื่อนำไปปรับใช้ในการสอนลูกให้สามารถดำเนินชีวิตของพวกเขาในสังคมปัจจุบันได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของโลก แสง สี เสียง และอบายมุขต่างๆ รวมถึงวิธีการชวนลูกๆ เข้าปฏิบัติธรรม เพื่อที่ผู้อ่านได้นำไปพิจารณาว่าสมควรนำส่วนใดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง

โดยผมจะขอนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของครอบครัวของผมเอง โดยผมจะใช้วิธีเล่าเรื่องการสั่งสอนลูกๆ ตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนพวกเขาจะเกิดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน...และผลที่ได้รับจากลูกๆ ที่นำความสุขมาให้ผมและภรรยามากแค่ไหน อย่างไร...ดังต่อไปนี้


ในบทความต่อไปนี้จะขอเล่าย้อนไปในตอนก่อนเริ่มศึกษาพระธรรม และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมมีความตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม เผื่อบางทีผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงวิธีการที่ผู้เขียนได้รวบรวม คัดเลือก เฟ้นหาแนวทาง วิธีการ หากุศโลบายต่างๆ มาสอนให้ลูกๆ และสามารถจะมองนึกเห็นภาพการสอนลูกๆ ของผมตั้งแต่เริ่มต้นรักษาศีลมาเป็นลำดับ

จนในที่สุดก็ได้ทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติธรรมได้ผลดี และกลายเป็นวัคซีนที่คุ้มครองป้องกันคุณภาพชีวิตของพวกเขา ในการใช้ชีวิตในสังคมที่โรงเรียน และยังนำไปใช้ในชีวิตการเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมอันไม่ค่อยน่ารื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี

ในช่วงชีวิตวัยเด็ก ( ๗ - ๑๑ ขวบ ) ผมเป็นคนที่ทำบาปขึ้น คือ ยิงนกแม่นมาก ได้ยิงและฆ่านกตายมากนับร้อยตัว แถมยังตกปลาอีกมากด้วย ก็ตามประสาเด็กผู้ชายที่มีความคึกคนอง ซุกซน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และด้วยผลของบาปกรรมที่ได้ทำไว้นี้เอง จึงเป็นเหตุทำให้ผู้เขียนเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างรุนแรง ก็เพราะผลของบาปจากเหตุที่ได้ฆ่าและเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นไว้นั่นเอง



ผลของบาปเริ่มให้ผลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ทำให้ตัวผมมีสุขภาพไม่ค่อยดี (ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง)
เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในตอนเริ่มต้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๑ ผมได้เจ็บป่วยอย่างรุนแรงด้วยโรคไตวาย เกือบเอาชีวิตไม่รอด


แต่เดิมก่อนหน้านี้ผู้เขียนไม่เคยใส่ใจ และไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมเลย หรือแม้เพียงแต่ที่จะคิดใส่บาตรด้วยซ้ำไป ศีล ๕ ก็ยังไม่รู้จัก (เมื่อก่อนไม่ใช่ชาวพุทธ) การเจ็บป่วยด้วยโรคไตวายถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด จะเรียกว่าเป็นทุกขลาภก็คงไม่ผิด เพราะด้วยการเจ็บป่วยในครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนได้หันหน้าเข้าวัด และได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

ในตอนเช้าวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๓๑ ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนในสังคมโลกเขามีความสุขกันแต่ชีวิตของผมกลับเป็นตรงกันข้าม ในตอนเช้าวันขึ้นปีใหม่นั้นเองประมาณเจ็ดโมงเช้า ภรรยาของผมและเพื่อนบ้านได้พยุงพาผมไปส่ง ร.พ. แถวถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นผลของอาการไตวาย ด้วยอาการน้ำท่วมปอด อ่อนเพลียไม่มีแรง ทานข้าวไม่ได้ นอนราบก็ยังไม่ได้เลยทั้งคืนต้องนั่งหลับเอา และสั่งน้ำมูกออกมาเป็นเลือดเป็นลิ่มๆ

หมอที่ ร.พ. นั้นได้รับตัวเข้าไปให้ออกซิเจน ได้สักสองชั่วโมง ก็ได้บอกกับภรรยาของผมว่าโรคนี้ ที่นี่รักษาไม่ได้ ขอให้พาไปรักษาที่ ร.พ.อื่น ถ้าไม่อย่างนั้นผู้ป่วยก็คงจะตายในวันสองวันนี้แน่ แต่อาจเป็นด้วยบุญเก่าของผมคงจะยังพอมีเหลืออยู่บ้าง จึงได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมอสมเกียรติ มาช่วยรับตัวไปรักษาที่ ร.พ. ศิริราช ในคืนวันนั้นเอง

ขณะที่พักรักษาตัวอยู่ที่ศิริราชตึก ๗๒ ปี ก็มีเพื่อนมาเยี่ยมบ้าง และก็มีของติดมือมาเยี่ยมตามประเพณี วันหนึ่งขณะที่นอนป่วยอยู่ที่ศิริราช มีรุ่นพี่มาเยี่ยมพร้อมนำหนังสือธรรมะที่แจกตามงานศพติดมือมาให้ด้วย เป็นหนังสือเรื่อง “การเตรียมตัวก่อนตาย และการปฏิบัติธรรมอย่างง่ายๆ” คนมาเยี่ยมคงจะเห็นว่าผมคงจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตในการป่วยครั้งนี้แล้ว

ในช่วงที่ไม่มีใครมาเยี่ยมจึงได้นอนอ่านหนังสือเล่มนั้น หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว สิ่งแรกที่ปรากฏในความคิดก็ คือ ได้เกิดความกลัวตกนรกเป็นที่สุด เกิดอาการกลัวการตายมาก เพราะรู้ตัวว่าผลของบาปกรรมที่ได้สร้างไว้จะต้องให้ผลนำไปนรกแน่ๆ

ตอนนี้แหล่ะที่หนังจีนมักจะเอาพูดในหนังเสมอๆ คือข้อความ “ไม่เห็นโรงไม่หลั่งน้ำตา” ผมกลัวตายและกลัวการตกนรกมาก จึงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอโอกาสให้มีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าจะปฏิบัติธรรมได้สำเร็จให้ได้ตามที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนั้น เพราะมีข้อความในหนังสือตอนหนึ่งกล่าวว่า… “หากผู้ใดก็ตาม แม้เมื่อปฏิบัติธรรมได้สำเร็จเพียงขั้นอริยะชั้นต้นแล้ว ก็จะสามารถปิดประตูอบายได้อย่างแน่นอน…คือไม่ตกนรกอีก”

ด้วยความที่ผมมีความกลัวตกนรกมากในขณะนั้นอยู่แล้ว อยากจะหนีนรกให้ได้ จึงตั้งใจอย่างที่สุดว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จะต้องปฏิบัติตามที่หนังสือเล่มนั้นสอนให้ได้ก่อนจะตาย จะได้ไม่ต้องตกนรก และได้บอกกับตัวเองว่า หากถ้ามีชีวิตรอดจาก ร.พ.ได้ ก็เปรียบเสมือนรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้ว จะไม่มีโอกาสครั้งต่อไปอีกแล้วล่ะ เพราะการป่วยครั้งต่อไปจะต้องตายและตกนรกอย่างแน่นอน ต้องไปใช้ผลของบาปที่ตนได้ทำไว้

เพราะยังปิดประตูอบายไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กับเขาอีกเมื่อไร !!?? และจะ ได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อีกหรือไม่ …เพียงแค่คิด ก็เห็นนรก รออยู่แล้ว !!!?? แต่สิ่งศักดิ์ท่านอาจจะให้โอกาสผมจึงยังไม่ต้องตาย


หลังจากพักรักษาตัวอยู่เกือบครึ่งเดือนก็มีโอกาสได้กลับบ้าน ชีวิตที่เดิมเคยมีแต่ความสุขต้องทนทุกข์ทรมานทุกวัน ต้องคอยเปลี่ยนน้ำยาล้างท้อง ประมาณ ๒ ลิตร วันละ ๔ ครั้ง (ตอนเด็กๆ ก็ได้เคยใช้เข็มฉีดยาฉีดน้ำเข้าท้องตั๊กแตนนับสิบตัว จนท้องมันบวมเป่งไปด้วยน้ำ ท้องแตกตายไปมากมาย) จากอาชีพเดิมที่เป็นสจ๊วตและเพิ่งจะสอบเป็นหัวหน้าได้ ก็กลับต้องลงมาทำงานภาคพื้นดินที่สำนักงานใหญ่ เงินเดือนเหลือนิดเดียว แต่ก็ยังพออยู่ได้ ในตอนนั้นยังไม่มีลูก

แต่นับว่าเป็นการโชคดีที่ผมที่ได้นำเรื่องนรกนั้นมาเป็นสิ่งที่ทำให้ใจได้มีความกลัว และได้นำมาคิดอยู่ในใจไว้เสมอ จึงทำให้ตัวเองมีความเพียร อดทน ในการตั้งใจศึกษาธรรมะ และพยายามเร่งปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ตัวผู้เขียนเองยังมีลมหายใจอยู่ จะได้แค่ไหน หรือ ไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่จะต้องพยายามอย่างยิ่งสุดชีวิต และตั้งใจทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะหนีจากนรก ให้จงได้สักวันหนึ่ง…ในชาตินี้แหล่ะ…



เริ่มรับศีล ๕ และอานิสงส์ของศีล ๕

ประมาณเดือน เมษายน ๒๕๓๒ ประมาณ ๑ เดือน ก่อนที่จะได้เปลี่ยนไต เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ป้อม (สุรสิงห์) ได้มาเยี่ยมที่บ้าน ได้แนะนำและชวนให้รับศีล ๕ และอธิบายถึงอานิสงส์ของศีล ๕ ว่ามีอานิสงส์มาก ผู้รับศีลจะได้พบกับสิ่งดีๆ ในชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีได้ และได้ท้าให้ผู้เขียนรับศีล ๕ ว่า

ถ้าชีวิตของผมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ภายใน ๖ เดือน จะมานอนให้เหยียบ ๓ ที ถึงบ้านเลย แต่ถ้าดีขึ้นแล้วจะต้องให้ยืมบ้านผมเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ๗ วัน และตัวผมจะต้องเข้าปฏิบัติด้วย

ผมจึงได้รับคำท้า และรับศีล ๕ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ด้วยคิดว่าถ้าหากได้รับศีล ๕ แล้วได้เปลี่ยนไตก็คงจะดีมากเลย เพราะเท่าที่รู้มาในตอนนั้นว่า ได้เปลี่ยนไตแล้วจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ในระว่างนั้นก็ได้พยายามติดต่อสอบถามเรื่องการเปลี่ยนไตจาก ร.พ.เอกชน และจากเพื่อนๆ พี่ๆ บางคนที่มีญาติที่เปลี่ยนไต…เรื่อยมา

อยู่มาวันหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จาก เพื่อนคนหนึ่งได้แนะนำ ว่า ระหว่างรอการเปลี่ยนไต ให้ไปลองกินดี
งูเห่า ๒ ตัว ที่สวนลุมพินี ด้านถนนหลังสวน แล้วอาจจะหายจากโรคไตก็ได้ (เขาได้ยิน ได้รู้มาอย่างนั้น) ราคาตัวละประมาณ ๔๐๐ บาท

เมื่อมีโอกาสที่ให้เลือกทำ ผมจึงไม่รีรอรีบขับรถออกจากบ้านในวันรุ่งขึ้นโดยทันทีมุ่งตรงไปที่สวนลุมฯ ตอนไปถึง ก็นั่งที่ร้านกาแฟใกล้ๆ สั่งโอเลี้ยงมานั่งกินดูเชิงอยู่แถวนั้น คอยดูคนอื่นเขากินก่อนว่าเขากินกันอย่างไร..แล้วตัวเองจึงจะเข้าไปกินบ้าง

ได้เห็นว่าคนขายได้จับหัวงูเห่ามัดคองูด้วยเชือกปอพลาสติก และผูกงูไว้กับรั้วเหล็กดัดของสวนลุมฯ นั้นเอง งูมันก็ดิ้นสุดแรง มันสะบัดตัว เอี้ยวตัว หลีกคมมีดคัทเตอร์ของคนขายที่จ้วงกรีดตรงท้องค่อนมาทางปลายหาง แต่ก็ไม่พ้นในที่สุดท้องของมันก็ถูกกรีดยาวประมาณ ๕ นิ้ว

ขณะนั้นมันก็ยังไม่ตายสนิทดี คนขายได้ใช้นิ้วล้วงเอาดีของมันออกมา และบีบใส่ถ้วยตะไลเล็กๆ ยื่นให้ผู้ซื้อคนนั้นกินพร้อมกับเหล้า ๑ เป๊ก เมื่อผมได้เห็นพฤติกรรมการทารุณ ทรมาน และฆ่าสัตว์ทั้งเป็นเพื่อกินดีจากมันมาบำรุงร่างกายของคอเหล้าแถวนั้นแล้ว ตัวผมเองก็ฉุกคิดขึ้นได้ถึง ศีล ๕ ที่ตัวเองได้สมาทานไว้ จึงได้บอกกับตัวเองว่า “หากถ้าเราจะตายเพราะไม่ได้กิน ดีงูเห่า ๒ ตัวนี้ ก็ให้มันตายไปเถอะ

แต่เราจะไม่ยอมสั่งให้ฆ่างูเห่า ๒ ตัว มากินเป็นอันขาด มันผิดศีลที่เรารักษาไว้ ” …ยอมรับว่าในตอนนั้นใจของผมรู้สึกสิ้นหวัง และหมดโอกาสที่จะหายจากโรคไต (เพราะคิดว่ากินดีงู แล้วจะต้องหาย) จึงได้จ่ายค่าโอเลี้ยงขับรถกลับบ้าน แต่ในใจนั้นมันรู้สึกดีอย่างไงบอกไม่ถูก มันรู้สึกขนลุก ขนชัน หนาวเย็น รู้สึกอิ่มใจจากการที่ตนเองรักษาศีล ๕ ไว้ได้ แม้ในใจวูบหนึ่งก็คิดเหมือนกับว่าเราเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะ…คงต้องตายแน่…หมดหวังแล้ว …(ผมคิดในใจ)

คืนวันหนึ่ง ประมาณ ๑ อาทิตย์ต่อมากลางเดือน พ.ค. ๒๕๓๒ ผมได้ ฝันว่าไปยืนอยู่ที่หน้าห้องพักครู
ที่เรือนไม้ชั้นสองของโรงเรียนสมัยตอนอยู่มัธยม ยืนหันหลังให้ห้องพักครู ในฝันนั้นบรรยากาศทึมๆ สลัวๆ มืดคล้ายฝนจะตก สายตามองทอดไกลไปตลอดสองข้างของฝาเรือนไม้ เห็นมีเตียงเหล็ก(แบบพับเก็บได้) และมีคนป่วยนอนอยู่บนเตียงเรียงกันยาวเฟื้อยไปทั้งสองข้างเต็มทุกเตียง …


สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก……“เอ้าเธอน่ะ...เข้ามาได้แล้ว ถึงตาของเธอแล้ว” ผมจึงได้เดินเข้าไปในห้องนั้น ได้เห็นเก้าอี้หมอทำฟันตัวหนึ่ง แต่ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีหมอตั้ง ๔-๕ คน เท่าที่เห็น มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายยืนใส่ชุดสีเขียวใส่หมวก ปิดปากด้วย MASK และ ใส่ถุงมือยางสีขาว ในฝันนั้น มีความรู้สึกว่าเหมือนกับอยู่ในห้องผ่าตัดแบบหนังฝรั่ง (เกิดมาไม่เคยเข้าห้องผ่าตัด) และตัวเองก็ได้เดินเข้าไปและนั่งลงให้พวกหมอได้ทำการผ่าตัด…จนกระทั่งสะดุ้งตื่นนอน


เทวดาท่านคงจะเมตตาคนมีศีล ๕

เมื่อตื่นนอนก็รีบบอกกับภรรยาอย่างให้ความหวังตัวเองและพูดอย่างมั่นใจว่าตนเองกำลังจะได้เปลี่ยนไตแล้ว เพราะเมื่อคืนได้ฝันว่าไปห้องผ่าตัดมา ซึ่งเหตุการณ์ในฝันนั้นก็ชัดเจนเหมือนจริงมากๆ และฝันนั้นก็เป็นความจริงตามนั้น การผ่าตัดเปลี่ยนไตได้เกิดขึ้นหลังจากฝันได้เพียง ๑ สัปดาห์ เมื่อได้รับโทรศัพท์เรียกให้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่ ร.พ.ศิริราช และผมก็มีสุขภาพแข็งแรงดีอย่างที่ทุกคนเห็นมาก็ได้เกือบ ๑๘ ปีแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ถึงอานิสงส์ของศีล ๕ ว่ามีอำนาจมีคุณยิ่งใหญ่มาก สามารถเปลี่ยนชีวิตของผมกลับจากสีดำเป็นขาวได้ภายในพริบตา ตอนนั้นคิดว่าสิ่งศักดิ์ต้องมีจริง คงจะมีเทวดาท่านได้รู้ว่าเรารักษาศีล ๕ และไม่ยอมทำผิดศีล ท่านอาจจะช่วยให้ได้เปลี่ยนไต และแถมยังมาบอกให้รู้ในฝันก่อนที่จะได้เปลี่ยนไตจริงๆ อีกด้วย

ด้วยกำลังใจที่รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดาจริง คอยช่วยเหลือผู้มีศีล ๕ ทำให้จิตใจของผมฮึกเหิม ตั้งใจรักษาศีล ๕ ทุกวัน และตอนนั้นได้บอกกับตัวเองว่า “นี่ขนาดศีล ๕ งช่วยเราได้ถึงเพียงนี้ หากถ้าเราได้ศึกษาพระธรรม และปฏิบัติธรรม เราคงจะได้สิ่งดีๆ ในชีวิตของเราอีกมากมาย”



คิดอยากมีลูก

ปี ๒๕๓๔ ผมคิดว่าตนเองอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน (หลังการเปลี่ยนไต… เพราะได้รู้มาอย่างนั้น) จึงคิดอยากมีลูก เพื่อจะให้ลูกอยู่เป็นเพื่อนภรรยา หลังจากที่ผมได้ตายจากไป และจากการที่ได้รู้ถึงอานิสงส์ของศีล ๕ ซึ่งมีคุณมากมายมหาศาลมาแล้ว จึงได้ตกลงกับภรรยาว่าเราจะมีลูกกันสักคนหนึ่ง

แต่เราทั้งคู่จะต้องรับศีล ๕ ก่อนแล้วจึงจะมีลูก และได้อธิบายคุณของศีล ๕ ให้ภรรยาฟังว่าหากพ่อและแม่เป็นผู้ที่มีศีล ๕ จะได้ลูก ที่จะมาเกิดนั้นมาจากภพภูมิที่ดี เพราะรู้มาว่า หากพ่อแม่เป็นผู้มีศีลดี ผู้ที่จะมาเกิดต้องเป็นผู้ที่มีศีลดีด้วย และก็อาจจะเป็นผู้มีบุญพอสมควรด้วยจึงจะมาเกิดได้

เราทั้งสองได้ร่วมกันสมาทานศีล ๕ พร้อมกัน และในใจตอนนั้นก็หวังว่าอาจจะได้ลูกที่มาเกิดคนนี้ มาช่วยผู้เขียนปฏิบัติธรรมต่อไปในอนาคตก็เป็นไปได้…ในตอนนั้นผมมีความหวังเช่นนั้น



เริ่มทดลองปฏิบัติธรรมเอง

ปี ๒๕๓๕ ได้ลูกคนแรก และได้เกิดความรู้สึกถึงความรักและผูกพันที่มีต่อลูก ชักเกิดไม่อยากจะตายเร็วๆ ซะแล้ว อยากอยู่กับลูกนานๆ ได้เกิดความทุกข์เสมอเวลาคิดถึงว่าจะต้องตายภายในไม่ช้านี้ จะต้องจากคนที่เรารักมากๆ และคิดว่าจะต้องเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเสียที เพราะก็รู้มาอีกว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะมีสุขภาพดีหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายช้าหน่อย

ในตอนกลางวัน ก็ได้พยายามระวังรักษาศีล ๕ ไม่ให้ขาด และจากการระวังไม่ให้ศีลขาดนั้น ตัวเองก็ได้มารู้ตอนหลังว่า ได้เริ่มตั้งต้นฝึกการปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้ตัว รู้สึกในใจว่ามั่นใจขึ้นมาก (รู้อยู่คนเดียว) และคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะเริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว ในช่วงเวลากลางคืน

ขณะนั่งป้อนนมลูกตอนขวบปีแรก (ขณะภรรยาไปบิน) ผู้เขียนได้หัดนั่งสมาธิตามหนังสือที่ได้อ่านมา ในช่วงแรกๆ ได้เลือกแนวทางกำหนด พุธ โธ ตามสายพระอาจารย์วัดป่าสายหลวงปู่มั่น (ได้อ่านจากหนังสือที่หาซื้อมา มีพระอาจารย์ในหนังสือสอน) ตอนแรกหัดนั่งสมาธิก็ได้ความสงบดี

แต่ส่วนใหญ่นั่งหลับสัปหงก และพอรู้สึกตัวก็หลับไปแล้วหนึ่งตื่น บางครั้งก็ฟุ้งคิดไปในเรื่องทางโลก ต่างๆ นาๆ เพราะทำงานมาทั้งวันก็เพลีย แต่ด้วยความกลัวนรก จึงได้อดทนพยายามตั้งใจทำให้บ่อยๆ ทุกวันเท่าที่โอกาสอำนวย (ไม่ได้ทำทุกคืน) และในช่วงแรกของการปฏิบัติธรรมผู้เขียนยังไม่รู้จักการเจริญวิปัสสนา เพียงแต่เจริญสมถะกรรมฐานคือนั่งสมาธิให้จิตสงบได้ก่อนเท่านั้น

ในที่สุดก็เริ่มดีขึ้นนั่งสมาธิก่อนนอนวันละ ๑๕–๒๐ นาทีทุกคืนมีสติรู้ตัวดีขึ้น หลุดบ้างแต่น้อยลงและเมื่อสงบดีก็นึกว่าปฏิบัติแค่นั้นพอ…ก็ยังไม่รู้จริง… นี่แหล่ะที่ปฏิบัติโดยไม่มีพระอาจารย์ หรือขาดกัลยาณมิตร


ปีพ.ศ. ๒๕๓๖ เพื่อนชื่อป้อมก็ได้มาทวงสัญญา หลังจากให้โอกาสพักรักษาตัวจนหายดีแล้ว (ตอนนั้นลูกคนโตอายุได้ เกือบขวบครึ่ง) ป้อมก็ชวนเข้าร่วมปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิตที่บ้านของผู้เขียนเอง พระอาจารย์องค์แรกของผม ก็ คือ พระอาจารย์ภูมิศีริ (พระน้องชายของคุณครูสุขวดี) ส่วนภรรยาและเพื่อนๆ เป็นผู้ให้บริการเรื่องสถานที่ และอาหาร …ฯลฯ

ในช่วงเวลา ๗ วัน ที่ได้ร่วมปฏิบัตินั้น ได้ทำให้มีศรัทธา และมีแนวทางในการเจริญสติได้ดีมาก สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เสมอ หลังจากนั้นแล้วก็พยายามและตั้งใจปฏิบัติมาโดยตลอดตามที่ได้เรียนมาอย่างต่อเนื่อง ในตอนนั้นได้ตั้งใจเอาไว้เมื่อลูกโตขึ้น ก็จะนำลูกเข้าปฏิบัติธรรมด้วย

หลังจากการเข้าร่วมปฏิบัติธรรมครั้งนั้นแล้ว รู้สึกว่ามีศรัทธาเพิ่มขึ้นมาก และตั้งใจรับศีล ๕ ทุกวันมิได้ขาด คือทำตอนหลังจากตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็จะสวดนะโม.. ๓ จบ ไตรสรณคมน์… ๓ จบ และก็รับศีล ๕ หน้ากระจกที่แต่งตัวนั้นเลย ในช่วงเวลาขับรถไปทำงานและกลับบ้าน ก็ได้เปิดฟังรายการธรรมะตามวิทยุ AM

ส่วน ในช่วงเวลากลางคืนก็จะมีความสุขนั่งฟังพระท่านเทศน์ธรรมะทางวิทยุอยู่คนเดียว (ตอนที่ภรรยาไปบิน) ในช่วงวันหยุดก็ได้ฟังเทปพระเทศน์บ้าง อ่านหนังสือธรรมะที่ได้รับแจกตามงานศพบ้าง ขอยืมเขามาอ่านบ้าง แต่ในช่วงหลังๆ ได้เริ่มไปเดินเลือกหนังสือและซื้อมาอ่านเองที่ร้านเรืองปัญญาแถวท่าพระจันทร์ เพราะผู้เขียนเคยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นมาหลายปีตอนที่ได้เรียนที่ธรรมศาสตร์ พอนึกจำได้ว่าถ้าจะอ่านหนังสือธรรมะก็ต้องไปหาซื้อได้ที่นั่น และศึกษาด้วยตนเองแบบนี้มา ๒-๓ ปี

ในใจตั้งใจไว้ว่าอยากปฏิบัติธรรมตามพระอาจารย์เหล่านั้นบ้าง แต่ยังมีความรู้ไม่เพียงพอ และตอนนั้นก็ไม่สามารถเดินทางไปวัดหรือสำนักสงฆ์ต่างๆ ได้บ่อยๆ และไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายๆ วันได้ จึงได้พยายามศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยตนเองที่บ้าน

โดยได้ฟังธรรมะจากวิทยุ หนังสือของพระอาจารย์สายวัดป่าต่างๆ (สายพระอาจารย์เสาร์ และหลวงปู่มั่น) และหลังจากพอมีแนวทางบ้างแล้วจึงได้ทำบ้านให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมสำหรับตัวเองและลูก ที่ตั้งใจอยากจะสอนให้เขาด้วยตัวเองที่บ้าน เพื่อที่พวกเราจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกวัน ไม่ต้องรอคอยเพื่อที่จะเดินทางไปปฏิบัติธรรมกับคณะต่างๆ


ซึ่งส่วนมากทุกๆ สำนักปฏิบัติมักจะจำกัดจำนวนผู้ไปปฏิบัติบ้าง จำกัดอายุของเด็กๆ บ้าง ในตอนนั้นผมมีลูกเล็กๆ ที่ต้องคอยดูแล และพวกเขาก็ยังมีอายุต่ำกว่าที่ทางสำนักจะรับ จึงมักเป็นอุปสรรคในการไปปฏิบัติธรรมในสำนักต่างๆ หรือแม้แต่ไปที่วัดก็ตาม



การเตรียมลูกๆ ให้พร้อมก่อนปฏิบัติธรรม

การเตรียมความพร้อมของลูกในการปฏิบัติธรรม นั้น ในตอนแรกเริ่มสอนเรื่องทาน สอนให้ลูกเห็นการทำบุญด้วยวิธีการใส่บาตร ได้อุ้มลูกพาไปใส่บาตรทุกวันหยุดทุกเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ (ในตอนนั้นผู้เขียนเริ่มทำงาน OFFICE ไม่ได้บินอีกแล้ว)

และได้ทำอย่างนี้มาจนกระทั่งเขาเริ่มโตขึ้นพอที่จะใส่บาตรด้วยตัวเองได้ ในช่วงที่ลูกคนโตอายุได้ประมาณ ๒ - ๓ ขวบ ภรรยาได้ท้องลูกคนเล็ก ในช่วงตอนกลางคืนก่อนนอน ผมมักจะนอนอ่านหนังสือเล่านิทานทั้งไทย ทั้งฝรั่ง ที่มีภาพประกอบให้ลูกๆ ได้ดูภาพไปด้วย

เมื่อเขาโตขึ้นเกือบ ๔ ขวบ (อนุบาล ๑) คนเล็กขวบกว่า ลูกๆ เริ่มจะนอนดึกตามพ่อและแม่ จึงต้องหาวิธีให้ลูกนอนแต่หัวค่ำและตรงเวลา (ก่อน ๒ ทุ่มครึ่ง) ผู้เขียนจึงได้ใช้วิธีปิดไฟเล่านิทาน เพราะจะทำให้ลูกๆ หลับง่ายกว่าเปิดไฟเล่า และตอนนี้เองที่ผมเริ่มคิดที่จะแต่งนิทานขึ้นเอง


เพราะถ้าปิดไฟก็จะอ่านหนังสือไม่ได้ จึงคิดเอาศีล ๕ แต่ละข้อ มาแต่งเล่าด้นกันสดๆ เป็นนิทานเลย เริ่มชำนาญแล้ว และยังจะเป็นการเพาะปลูกนิสัยและอัธยาศัยในขั้นต่อไปคือ ให้ลูกมีศีล ๕ และ ยังทำให้ลูกเป็นคนที่มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป

ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อลูกคนโตมีอายุประมาณ ๕ ขวบ ลูกคนเล็กก็ประมาณ ๒ ขวบ พวกเราก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่เป็นหมู่บ้านจัดสรรแถบบางบัวทอง ซึ่งเป็นที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมมากเพราะมีเงียบความสงบเหมือนอยู่บ้านนอก ตอนเช้าๆ จะมีพระมาเดินรับบิณฑบาตทุกวัน

ทำให้พวกเราได้มีโอกาสใส่บาตรทุกวันที่หน้าหมู่บ้าน แม่ครัวจะเป็นผู้เตรียมให้ ยกเว้นในวันพระ ซึ่งพระท่านจะมีกิจที่วัด ในตอนนั้นการเล่านิทานให้ลูกๆ ฟังก็ได้พัฒนาขึ้นมามาก โดยใช้เรื่องที่อ่านมาจากพระไตรปิฎก(ฉบับประชาชน) บ้าง จำมาจากการฟังรายการธรรมะที่พระท่านได้เทศน์ทางวิทยุในแต่ละวันบ้าง ส่วนตัวผมก็ได้นั่งสมาธิหลังจากลูกๆ หลับแล้ว

ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ (ลูกคนโต ๗ ขวบ คนเล็ก ๔ ขวบ) ผมได้ทำข้อตกลงกับลูกๆ ใหม่ ว่าต่อไปนี้ถ้าอยากฟังเรื่องนิทานก่อนนอน (ตอนนั้น ลูกๆ เริ่มติดนิทานธรรมะแล้ว จึงต้องขอฟังก่อนนอนทุกคืน) ลูกๆ จะต้องรับศีล ๕ และต้องใส่บาตรทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียน พ่อจะนิมนต์พระมาที่หน้าบ้านเรา ๒ รูป

แม้ในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ก็จะห้ามเว้น จะต้องตื่นมาใส่บาตรก่อนแล้วอยากจะนอนต่อพ่อก็ไม่ว่า แต่ที่สำคัญคือลูกๆ จะต้องสวดมนต์ทำวัตรเย็นทุกวันพร้อมกับพ่อด้วย แล้วพ่อจึงจะเล่านิทานให้ฟังตกลงไหม..? และพวกเขาก็ได้ตกลงตามนั้น

การที่ผมตั้งใจที่จะสร้าง ศรัทธา โดยการเล่าเรื่องนรก สวรรค์ และชาดกในพระไตรปิฎกให้ลูกฟัง รวมทั้งได้ปูพื้นฐานให้พวกเขามีศีล ๕ และให้ทำบุญ (ทาน) ใส่บาตรในตอนเช้า นั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญมากเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมต่อไป เหมือนเป็นการเริ่มตอกเสาเข็มให้แข็งแรงแน่นหนาก่อนที่จะลงมือสร้างตึกสูงๆ เพื่อจะได้ตึกที่สูงและมั่นคงแข็งแรงอยู่ได้นาน ไม่พังลงมาก่อนเวลาอันควรเพราะมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง

ในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ นั้นเองผมได้สมัครเป็นสมาชิกชุมรมพุทธของบริษัทการบินไทย เพื่อที่จะได้รับหนังสือธรรมะที่ชมรมจะแจกให้ฟรีสำหรับสมาชิก (ค่าสมาชิกก็ถูกมากปีละ ๕๐ บาท) ส่วนมากจะเป็นหนังสือของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (ท่านก็เป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลวงปู่มั่นด้วย)

ในตอนนั้นหลังจากที่ได้อ่านแนวทางการปฏิบัติของท่านแล้วก็ได้ทดลองนำมาปฏิบัติตามดู มีความรู้สึกว่าแนวทางปฏิบัติของท่านเข้าใจง่าย และปฏิบัติตามได้ง่ายด้วย ถูกตรงกับจริตอัธยาศัยของผู้เขียนมากกว่าแบบเดิม จึงได้เปลี่ยนมาปฏิบัติตามแนวทางของท่านอย่างจริงจัง

หลังจากปฏิบัติได้ประมาณ ๔ เดือน ในช่วงหลังวันสงกานต์ ตอนประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ของคืนวันกลางเดือนเมษายน ๒๕๔๒ ได้รับผลของการปฏิบัติที่ออกมาดีมาก ใกล้เคียงตามที่หนังสือของพระอาจารย์หลวงพ่อพุธท่านได้เขียนไว้ใน หนังสือ (เปิดหนังสือเปรียบเทียบเอาเอง) จึงพอทำให้ผู้เขียนมั่นใจและรู้ว่าปฏิบัติมาได้ถูกทางแล้ว แต่ก็เกือบ ๗ ปี สำหรับคนที่ทำบ้าง ไม่ทำบ้างอย่างผู้เขียน



ในคืนนั้นหลังจากได้รับผลของการปฏิบัติที่ดีมาก ทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอนอีกเลยหลังจากการนั่งสมาธิแล้ว นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้จะพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้กับใครได้ และก็คงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราเป็นแน่ (ในตอนนั้นก็มีแต่พระอาจารย์ในรูปของหนังสือ)

จึงเดินลงมาชั้นล่างไปนั่งริมทะเลสาบมองพระจันทร์อยู่คนเดียวจนเกือบตีสอง และคิดว่าสิ่งที่เราได้รับสัมผัสมาครั้งนี้จะต้องนำไปให้ลูกๆ ที่เรารัก ให้พวกเขาได้รับสัมผัสความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้นกับเราเช่นนี้ให้จงได้ โดยจะเอาแนวทางที่ตนประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อพุธนั้นเป็นแบบ จะต้องสอนให้ลูกๆ ได้รู้ ได้เห็นตามที่เราได้พบเห็นนี้ให้จงได้ หากเรายังมีชีวิตอยู่

ในตอนนั้นความคิดถึงภาระความผูกพันกับลูกๆ ยิ่งทวีความรู้สึกรุนแรงมากกว่าเดิมมาก มันได้แวบเข้ามาในหัว มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้เดินทางไปพบเมืองที่มีแต่ความสุขสมบูรณ์มาก แต่ไม่อยากไปอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ใจมันอยากจะวิ่งกลับไปรับพวกเขาไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน

คืนนั้นจึงได้นั่งคิดตัดสินใจเรื่องอนาคตของลูกๆ ว่า การเรียน ความก้าวหน้า ความมั่นคงในชีวิต ความร่ำรวยของลูกๆ จะต้องมาทีหลัง ต้องเป็นรองจากสิ่งที่เราอยากจะให้ลูกๆ ได้รับถ่ายทอดจากเรา ลูกจะเรียนไม่จบ หรือจบมาแล้วไม่มีงานทำ หรือถึงแม้จะต้องยากจนกินข้าวเปล่ากับไข่ต้มจิ้มน้ำปลา หรือถึงขนาดที่จะต้องทำงานแลกข้าววัดกินเราก็จะยอม แต่จะต้องทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางที่จะทำให้พวกเขาได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ นี้ให้จงได้ในชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกๆ ของพ่อ

นับแต่วันนั้นมา ผมได้ตั้งใจที่จะใช้แนวทางของท่านหลวงพ่อพุธ มาใช้สอนลูก ๆ ทั้งสองคน เพียงแต่รอวันที่จะให้ลูกคนเล็กอายุได้ ๗ ขวบบริบูรณ์ก่อน เพราะได้ทราบมาว่านางวิสาขาอุบาสิกาได้บรรลุธรรมตอนท่านอายุได้ ๗ ขวบ (ตอนนั้นลูกคนเล็กอายุได้ประมาณ ๔ ขวบ คนโต ๗ ขวบ)

ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ ๓ ปีนี้ ผมเองก็ได้เร่งอ่านธรรมะของพระพุทธองค์ ฟังธรรมจากพระเทศน์ในวิทยุทุกคืน และได้พยายามปฏิบัติธรรมทุกคืน เพื่อจะได้เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับลูกๆ ยอมรับว่าในตอนนั้นไม่รู้จักพระอาจารย์ที่ไหนเลยนอกจากพระอาจารย์ในหนังสือจึงได้อ่านแต่หนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ และได้แต่เลียนแบบแนวทางปฏิบัติของท่านเท่านั้น

การที่ต้องอ่านและฟังให้มาก ก็เพราะว่าลูกๆ มักจะชอบถามปัญหาต่างๆ สงสัยในสิ่งใดพวกเขาก็จะถามทันที และถ้าหากผมไม่อาจแก้ข้อสงสัย หรือตอบปัญหาเมื่อพวกเขาติดขัดในเรื่องที่อยากรู้ในธรรมะข้อนั้นๆ หรือแม้แต่วิธีการปฏิบัติธรรมตามที่เราสอนเขาแล้ว ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวพ่อผู้สอน และ ศรัทธาที่มีต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์…อาจจะล้มครืนลงมาจนไม่สามารถจะประกอบกับคืนเข้าที่ได้อีกในชาตินี้ก็ได้


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1474
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 08:01:06 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ชวนลูกปฏิบัติธรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 08:13:22 pm »
0
  พวกเขาอาจจะไม่ยอมปฏิบัติตามที่เราจะสอนอีกต่อไป หรือสักแต่ว่าทำไปยังนั้น…ไม่อยากขัดใจพ่อ ในตอนนั้นยอมรับว่ารักและห่วงลูกๆ มาก ไม่อยากให้ลูกตกนรกอีกในชาติต่อๆ ไป อยากให้พวกเขาปิดประตูอบายกันให้ได้ในชาตินี้เลย จึงได้เริ่มต้นชักชวนลูกๆ ให้ปฏิบัติธรรม โดยได้เล่าเรื่องและผลของการปฏิบัติจะทำให้พวกเขาไม่ต้องตกนรกให้ฟังทุกวัน ทำให้พวกเขาอยากจะปฏิบัติธรรมเร็วๆ จะได้ไม่ตกนรก (และเอาสวรรค์มาล่อ...ชวนให้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเป็นคนดีและปฏิบัติธรรม)


น้อมใจลูกๆ ก่อนเริ่มสอนให้ปฏิบัติธรรม

ประมาณ เดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ลูกคนสาวคนเล็กอายุได้ประมาณ ๖ ขวบ ๑๐ เดือน และลูกสาวคนโตประมาณเกือบ ๙ ขวบ พวกเราก็ได้สวดมนต์เย็นตามปกติ หลังจากนั้นก็ได้เลือกพระสูตรเรื่อง “นางปฏาจารา” มาเล่าให้ลูกๆ ฟัง

เนื้อความในพระสูตรกล่าวถึงว่า นางต้องพลัดพรากจากผู้อันเป็นที่รัก ซึ่งทุกๆ คนที่นางรักต้องตายจากนางไปในวันเดียวกันถึง ๖ คน คือ สามี ลูก ของนางทั้ง ๒ คน พ่อ แม่ พี่ชาย ที่ทำให้นางถึงกับเสียสติเหมือนคนบ้า จนกระทั่งได้มาพบกับพระพุทธองค์ ได้ทรงเตือนสติให้นางรู้สึกตัว และได้สั่งสอนให้นางพิจารณาเรื่องความตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก

นางจึงได้บรรลุอรหันในเวลาต่อมา ขณะที่นางรดน้ำล้างเท้า ๓ ขัน น้ำซึมไปในทราย ๓ ครั้ง ไกลเท้านางออกไปเรื่อยๆ ไม่เท่ากัน นางน้อมใจพิจารณาเวลาความตายของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต้องตายจึงต้องพบกับความพลัดพรากเป็นธรรมดา

ทุกๆ พระสูตรที่เล่าให้ลูกๆ ฟัง ผมก็จะคอยดูอารมณ์ตอบสนองทางสีหน้าของลูกเสมอ เพราะการหาอารมณ์ (สิ่งที่ถูกจิตรู้) มาให้ลูกๆ ได้พิจารณา เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามันเป็นเหมือนการหายาให้ลูกกินถูกตามโรค(กิเลส) ที่เป็นอยู่ เพื่อหายจากการเจ็บป่วยของเขา ไม่ต้องไปทดลองกินยาผิดเรื่อยๆ ไป

และในคืนนั้นขณะที่เล่าเรื่องนี้ ก็ได้สังเกตเห็นอารมณ์พวกเด็ก ๆ ว่า พวกเขามีความรู้สึกสลดมาก จึงได้พูดคุยเสริมต่ออารมณ์ร่วมในพระสูตรนั้นต่อไปเลย... (และได้ทำความตกลงกับพวกเขาทั้งสองคนแบบจับเข่าคุยกันในฐานะที่เสมือนกับพวกเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง..!!!)

โดยใจความที่ตกลงกัน…ก็คือ “ พวกเราก็เหมือนกัน ชาตินี้พวกเราก็ได้มาร่วมเกิดเป็นพ่อลูกกัน เราก็รู้
ว่าวันหนึ่งเราคนใดคนหนึ่งก็จะต้องตายจากกันไปก่อนอย่างแน่นอน แต่การที่ได้เกิดร่วมกันในชาตินี้แม้ว่าพวกเรารักกันมาก และก็มีความสุขมากที่ได้อยู่ร่วมกัน พ่อเองดีใจและมีความสุขมากที่ได้มาเกิดร่วมกับลูกๆ พ่อก็เป็นห่วงลูกมาก เหมือนนางปฏาจารา ต้องจากผู้ที่นางรักมาก ลูกๆ

เห็นไหมว่า ไม่ว่าจะรักจะห่วงและไม่อยากตายจากกัน แต่ก็ไม่มีทางหนีพ้น พ่อก็ไม่รู้ว่าลูกๆ พ่อแม่ พี่น้อง และสามีของนาง จะไปเกิดที่ใด จะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ เพราะในพระธรรมไม่ได้กล่าวไว้ แต่พวกเราเองยังพอมีเวลาเตรียมตัวได้ทันนะ ในตอนนี้พวกเราก็ยังไม่มีคติที่แน่นอน (อาจจะไปเกิดในอบายภูมิได้) ยังตกนรกได้ พวกเราควรจะกลัวนรกให้มากๆ อย่าทำบาป รักษาศีล ๕ ให้ดี และควรจะเบื่อการที่จะต้องเกิดมาพบกัน มารักกัน

ในที่สุดก็ต้องมาตายและต้องพลัดพรากจากกันอย่างนี้ในทุกภพทุกชาติที่ได้เกิดเสียทีได้แล้ว..!! ขนาดในชาติที่เป็นมนุษย์นี้นับว่าเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น ในชาตินี้พวกเรายังไม่อยากตายจากกันเลย แต่หากจะเปรียบเทียบกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ (มีอายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์)

ตามที่พ่อเคยได้เล่าให้ฟัง ลูกๆ ลองคิดดูซิว่า ถ้าหากเราได้ไปอยู่เกิดในชั้นดาวดึงส์ร่วมกันนานๆ พวกเราคงรักกันมากกว่านี้อย่างแน่นอน และเมื่อต้องตายจากกันจะมิทำให้พวกเราต้องทุกข์มากกว่านี้หรือ ..!!??

เพราะการยิ่งได้อยู่ด้วยกันนานๆ เวลาจากกันก็คงจะทำให้ทุกข์มากกว่าตอนจากกันตอนเป็นมนุษย์เสียอีก จริงไหมลูก..รู้อย่างนี้ยังจะอยากไปเกิดในสวรรค์ร่วมกันอีกไหม..!? พ่อขอให้สัญญาว่าพยายามทำทุกวิธีที่จะช่วยลูกๆ ไม่ให้ต้องตกนรกอีกให้ได้ในชาตินี้ที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อ...

ขอให้พวกเรามาจับมือกัน (พวกเราจับมือกันล้อมเป็นวง) และขอให้ตั้งจิตร่วมกันอย่างแน่วแน่ว่า พวกเราจะรีบปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อจะไปอ่านค้นคว้าพระธรรมที่ถูกต้องมาสอนลูกๆ ซึ่งจะทำให้พวกเราไม่ไปสู่การเกิดในนรกอีก..!! ดีไหมลูก..?

- ดีค่ะ..พ่อ …ลูกทั้งสองได้ตอบผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและดูมั่นใจมาก
- พ่อต้องสอนเม…สอนมิ้นด้วยนะ..!! เด็กๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะฟังดูเหมือนอ้อน แต่ตั้งใจ
- ตกลงจ๊ะ…พ่อจะรอให้มิ้นอายุครบ ๗ ขวบ ปีหน้า แล้วพ่อจะเริ่มสอนพร้อมกัน ทั้งสองคนเลยนะ
- ทำไมไม่สอนเมตอน ๗ ขวบบ้าง…(ลูกคนโตถาม) .. พ่ออยากสอนพร้อมๆ กันพวกเราจะได้เป็นทีม
ปฏิบัติธรรมไงล่ะ รอน้องด้วยสิ…พวกเราต้องช่วยกันนะ ปฏิบัติไปพร้อมๆ กันเลยทีเดียว
- เด็กๆ ตกลง ตบมือกับพ่อทั้งสองมือแบบฝรั่ง…(GIVE ME TEN)



ตั้งหน้าตั้งตารอคอย ...วันที่ ลูกคนเล็กอายุครบ ๗ ขวบ

ก่อนสอนลูกปฏิบัติธรรม ได้เล่าอธิบายให้ลูกๆ ฟังว่าพวกเราซึ่งเป็นฆราวาส (ไม่ใช่พระ) ต้องเริ่มต้นที่ ทาน* ก่อน ศีล สมาธิ และปัญญา พ่อสามารถสอนลูกๆ ได้แค่ ๓ อย่าง คือสอนเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ส่วนในเรื่องของ ปัญญา ลูกๆ จะรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อลูกปฏิบัติธรรมได้แล้ว พ่อรู้แทนให้ไม่ได้ แต่พ่อจะช่วยลูกๆ


เราจะปฏิบัติธรรมพร้อมกันทุกวัน พ่อขอสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกๆ ของพ่อไปไหนก่อนที่พ่อตาย เราจะเริ่มปฏิบัติธรรมกันหลังจากที่ลูกๆ ทำการบ้านเสร็จ กินข้าว อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เราจะร่วมสวดมนต์และปฏิบัติธรรมกันทุกคืน พ่อจะพยายามอย่างเต็มที่ พ่อจะช่วยลูกๆ ของพ่อให้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกให้จงได้ …พ่อขอให้สัญญา.



ไตรสิกขาแรก “ศีล” สอนลูกเรื่องศีล ๕ (เป็นเครื่องทำลายกิเลสในขั้นต้นทางกาย วาจา ใจ)

ตามที่ผมได้รู้ถึงอานิสงส์ของศีล ๕ มาแล้วเป็นอย่างดี จึงได้ให้เด็กๆ ตั้งใจรับศีล ๕ ในตอนเช้าทุกเช้าก่อนใส่บาตร เพราะเป็นบาทฐานที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติสมาธิ หรือการเจริญวิปัสสนา เพราะศีลจะช่วยไม่ให้เกิดนิวรณ์(ตัวกั้นขวางไม่ให้สมาธิเกิดขึ้น) ต่างๆ ได้ง่าย ผู้ใดก็ตามที่มีศีลไม่ครบ

หรือหากว่าครบแต่ไม่เป็นศีลที่บริสุทธิ์(ด่างพร้อย) การปฏิบัติธรรมก็ไม่ค่อยจะได้ผล (จิตรวมได้ยาก มักจะฟุ้ง) หรือไม่มีความก้าวหน้าเลย และการปฏิบัติอาจจะถอยหลังด้วยซ้ำไป เพราะผู้ที่ขาดศีล ความประพฤติก็ไม่ดี จิตว้าวุ่นคิดกังวลในเรื่องไม่ดีที่ตนทำ (นี้คือ นิวรณ์ตัวหนึ่ง) ความจำในพระธรรมก็จะไม่ดี เมื่อปริยัติไม่ดีก็ทำให้การปฏิบัติก็ไม่ได้ผล


สอนลูกๆ เจริญสติระวังสังวรอินทรีย์อายตนะ ๖(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

ในช่วงนั้น มีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง MIB (MEN IN BLACK ตอนแรก) ฉายใน HBO ผมกับลูกๆ ได้ดูทีวีพร้อมกันที่บ้าน เมื่อหนังจบพวกเราก็ขึ้นไปสวดมนต์และปฏิบัติธรรมกันตามปกติ วันนั้นผู้เขียนได้ความคิดจากหนังเรื่องนี้มาสอนลูก คือ มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีศพชายสูงอายุถูกผู้ร้ายฆ่าตาย ศพอยู่ในห้องนิติเวช เมื่อพระเอกทั้งสองคนไปเปิดหน้ากากของศพ ก็ได้พบมนุษย์ต่างดาว ตัวเล็กนิดเดียว สูงประมาณ ๖ นิ้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหัวของหุ่นมนุษย์ มีคันบังคับเต็มไปหมด เพื่อใช้ควบคุมบังคับให้หุ่นมนุษย์ทำตามที่มันต้องการ

ผมจึงได้นำความคิดนี้มาสอนลูกในเรื่องการเจริญสติในขณะที่ลูกๆ ไปโรงเรียนในตอนกลางวัน เพื่อให้พวกเขาได้หัดฝึกสำรวมสังวร อินทรีย์ ในอายตนะทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยให้ลูกๆ คิดว่าตัวเองเป็นเสมือนมนุษย์ต่างดาวนั้น นั่งคุมหุ่นกายของเด็กๆ เอง ให้คอยระวังเวลาจะ กิน เดิน หิว ปวดฉี่ หรือโกรธโมโหจะทำร้ายใคร ก็ให้โยกคันบังคับในหัวหุ่นร่างกายของพวกเขาก่อน แล้วพวกเขาจึงจะทำได้ตามต้องการ ที่ให้ลูกๆ

ทำเช่นนั้นเพื่อให้พวกเขาคิดก่อนทำได้ฝึกเจริญสติไว้ให้บ่อยและมากเท่าที่จะทำได้ พวกเขาจะทำให้เขาคอยระวังสังวรควบคุมสติตัวเองอยู่…ด้วยการรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะทำให้เขาได้รู้ตัวก่อนทำ ก่อนสวดมนต์เย็นก่อนนอนก็จะถามถึงการบ้านที่มอบให้ลูกๆ ไปทำ

ในบางครั้งอาจถามว่าวันนี้ หุ่นมนุษย์ของลูกถูกครูตีหรือเปล่า ? ถูกเพื่อนแกล้งไหม ? การให้พวกเขาได้ฝึกสติ สำรวมอินทรีย์ ในตอนกลางวัน ซึ่งเป็นการเตรียมตัวที่จะนั่งสมาธิในเวลากลางคืน เพราะสติยิ่งมียิ่งมากยิ่งดี การเจริญสมาธิ จะทำได้ง่ายกว่ามาก



ผลของการเจริญสติ ดูหุ่นมนุษย์กายของตัวเขาเองทำให้ลูกๆ …

๑. พยายามระมัด ระวัง ไม่ให้ทำอะไรผิดศีล ๕ ในแต่ละวัน เช่นไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนรังแกสัตว์ ก็จะทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงดี เพราะไม่ได้สร้างเหตุที่จะมีผลทำให้ต้องเจ็บป่วยในอนาคต ไม่เสียเงินต้องทำประกันชีวิตในเรื่องค่ารักษาพยาบาล

๒. ให้เจริญสติ โดยพยายามสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คอยระวัง ไม่ให้ผิดศีล ๕ ทำให้ผลการเรียนออกมาดีเยี่ยม เพราะตาคอยดูที่ครูเขียน หูคอยฟังเสียงครูสอน สามารถเข้าใจบทเรียนได้โดยทันที ไม่ต้องเรียนพิเศษเพิ่มอีกในวันหยุด (นอกจากอยากจะเรียนเพิ่มเสริมความรู้)

๓. ให้สำรวมการใช้ปัจจัย ๔ สามารถช่วยในเรื่องความพอเพียง สันโดษ ในเรื่องของการกิน การใช้สิ่งของ จะนุ่งห่มใส่ เสื้อผ้าก็พอสมควร ลูกสาวคนเล็กมักจะบอกกับแม่ของเขาว่า จะใช้เสื้อผ้าต่อจากพี่สาวของเขาได้ แม่ไม่ต้องซื้อให้เขาหรอก ส่วนคนพี่ก็จะขอใช้ต่อจากแม่ได้ บางครั้งเวลาไปห้าง แม่แทบจะต้องบังคับให้ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใส่บ้าง โทรศัพท์มือถือก็ไม่ยอมใช้ บอกว่าไม่จำเป็นไม่เห็นจะต้องพูดคุยอะไรมากมาย มีเรื่องอะไรก็ให้คุณครูโทรฯ บอกพ่อก็ได้

๔. ได้สอนให้ทำหน้าที่ลูกที่ดี พวกเขาได้พูดว่า ลูกจะตั้งใจเรียน เป็นนักเรียนที่ดี มีความขยัน เมื่อเรียนจบจะได้งานดี จะได้มีเงินทำบุญจะได้ไม่ต้องไปขอใครเวลาอยากทำบุญ มีงานที่ดีทำ สามารถจะเลือกได้เอง ก็จะมีเวลาว่างพอไปปฏิบัติธรรมที่วัดได้ ลูกคนไหนมีเงินมากกว่า ก็ให้เลี้ยงดูอีกคนหนึ่งไม่ให้ทิ้งกันต้องคอยช่วย เหลือกัน เวลาไปวัดก็จะไปพร้อมกัน

(เดี๋ยวนี้เด็กๆ เอาเงินมาเก็บรวมกันไว้เป็น ๒ กระปุก อันหนึ่งเอาไว้ใช้จ่ายทั่วไป เช่น ซื้อหนังสือที่ชอบ อีกกระปุกหนึ่งเอาไว้ทำบุญร่วมกับพ่อ เด็กๆ ช่วยทำบุญกองทุนธรรมญาณที่บริษัทฯ ของผม ร่วมกับผมทุกเดือน)



สอนให้เจริญมรณานุสติ (ไว้เป็นอารมณ์เสมอๆ ช่วยเรื่องความไม่ประมาทให้เด็กๆ ได้ดีมาก)

ก่อนนั่งสมาธิ (หลังสวดมนต์) พยายามพูดสอน (น้อมอารมณ์ก่อนนั่งสมาธิ) ให้พวกเขาคิดเรื่องความตายไว้อยู่เสมอ เช่น ….พรุ่งนี้เวลาลูกๆ กลับจากโรงเรียนอาจจะไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว พ่ออาจจะตายในวันนั้นก็ได้ อาจจะประสบอุบัติเหตุตายขณะขับรถกลับบ้าน

ตอนกลางคืนเด็กๆ อาจจะต้องสวดมนต์กันเองนะ ขอให้พี่เป็นคนนำน้องปฏิบัติธรรมตามที่พ่อได้สอนมาแล้ว พ่อขอให้เด็กๆ ทำต่อไปจนตาย อย่าได้ทิ้งการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าหากพ่อมีโอกาสกลับบ้านวันนั้น ก็จะมาสอนต่อให้ ดังนั้นขอให้ลูกๆ จงมีความเพียร ขยันๆ มากๆ เร่งๆ เข้าเวลาพ่อเหลือน้อยแล้ว ถ้าพ่อตายจะไม่มีคนสอนนะ



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1474
http://dyouth.or.th/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 08:16:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ชวนลูกปฏิบัติธรรม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 08:25:23 pm »
0

สอนให้ลูกๆ ทำใจแบบนักรบ (ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีใจกล้าหาญ มุ่งมั่น)

นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง ที่ผมพยายามปลุกเร้าใจลูกๆ ให้มีหัวใจของนักรบ เพราะการที่พวกเขาจะสู้กับกิเลสที่มันได้ดึงให้พวกเขาเวียนว่าย ตายเกิดมา ไม่รู้กี่ภพ กี่ชาติ นับไม่ถ้วนแล้ว มันไม่ใช่กิเลสธรรมดา อย่าได้คิดไปดูถูกศัตรูตัวฉกาจนี้เลย และหากพวกเราคิดจะต่อกรกับพวกมันละก็ต้องมีหัวใจระดับนักรบ คือ ตายเป็นตาย ถึงจะเอามันอยู่ได้บ้าง

โดยใช้อุบายสอนลูกๆ ให้เป็นดังนักรบศึกบางระจัน (พวกเขาได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว) พวกเขาได้เห็นนักรบค่ายบางระจันกำดาบสองมือ กำขวาน ขี่ควาย วิ่งเข้าตะลุยไปสู้กับพวกพม่า และต้องทำตัวเป็นทัพด่านหน้า ปกป้องแผ่นดิน ก่อนที่ข้าศึกมันจะบุกเข้ากรุงศรีฯ ไม่ให้มันผ่านด่านของพวกเราไปได้

แต่ถ้าใจพวกเราเป็นดังเช่น นางสนม หรือขุนนางบางคนในกรุงศรีฯ พอทหารจะยิงปืนใหญ่สักที ยังบ่นว่าหนวกหู ห้ามยิง พวกพม่าถึงได้เข้าทำลายกรุงศรีฯ ได้ลงอย่างราบคาบ จึงได้บอกให้ลูกๆ จงทำใจให้เป็นนักรบบางระจัน และตราบใดที่ลูก ๆ ยังมีชีวิตอยู่อย่าได้ยอมแพ้ต่อกิเลส ต้องพยายามสู้กับมันไปอย่าได้ท้อถอยอย่างเด็ดขาด


ในที่สุดลูกคนเล็กก็อายุครบ ๗ ขวบ...สอนลูกนั่งสมาธิ

วันเวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึง แม่ของเขาได้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านมีเพื่อนบ้านมาทานข้าวเย็นด้วยมีเค้กก้อนเล็กๆ มิ้นได้เป่าเค้กวันเกิดครบ ๗ ขวบ ในคืนวันนั้นพวกเราก็ได้สวดมนต์ก่อนนอนตามปกติ แต่คืนวันนี้ผมได้บอกพวกเขาว่าจะเริ่มสอนลูกนั่งสมาธิเป็นวันแรก

หลังจากสวดมนต์ก็สอนให้พวกเขานั่งในท่าขัดสมาธิธรรมดา ไม่ใช่ขัดสมาธิเพชร เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเจ็บ และเข็ดขยาด ไม่ประทับใจในครั้งแรก และไม่อยากนั่งสมาธิอีกต่อไปเลย

๗ วันแรก ให้นั่งสมาธิแบบลืมตา แล้วออกเสียงตามพ่อ ...พุธ พร้อมลมหายใจเข้า โธ...พร้อมลมหายใจออก พวกเราออกเสียงพร้อมกัน ทำอยู่ประมาณ ๕ นาที ก็บอกว่าพอแค่นี้ สำหรับวันนี้ พวกเราก็ทำเช่นนี้ทุกวัน
สัปดาห์ที่ ๒ พวกเราต้องหลับตาแล้วก็ออกเสียงพุธ...โธ เช่นเดิม เราออกเสียงพร้อมกัน


ทำอยู่ประมาณ ๕ นาที ก็ให้พวกเขาพอ พวกเราก็ทำพร้อมกันเช่นนี้ อีก ๗ วัน มันดูเหมือนว่าพวกเขาสนุก และบอกว่าง่ายจัง อยากทำต่ออีก หลับตาแล้วสบายดี แต่ผมอยากให้พวกเขาหยุดทำทั้งที่อยากทำต่อ ซึ่งเป็นอุบายอย่างหนึ่ง

สัปดาห์ที่ ๓ คราวนี้ให้นั่งสมาธิแบบหลับตา กำหนดลมหายใจเข้า...ออก พร้อมเสียง พุธ ...โธ แต่ห้ามออกเสียง ให้กำหนดพุธ ...โธ ไว้ในใจ ผู้เขียนจับเวลา ประมาณ ๑๐ นาที (ไม่ได้นั่งหลับตากับเด็กๆ แต่คอยมองพวกเขาอยู่เงียบๆ)

สัปดาห์ที่ ๔ ในวันนี้เริ่มพูดอธิบายวิธีการให้พวกเขาเข้าใจก่อนนั่งสมาธิ คือได้อธิบายว่า วันนี้พวกเราจะนั่งสมาธิโดยหลับตา กำหนด พุธ...โธ ไว้ในใจไม่ให้มีเสียงออกมา แต่ให้พวกเขาคอยระวังดูว่า คำบริกรรม พุธ..โธ เริ่มหายไปตอนไหน เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่าคำบริกรรมหายไป ให้ยกมือขึ้น และก็นั่งต่อไป (ผู้เขียนไม่ได้นั่งสมาธิพร้อมกับพวกเขา แต่นั่งคอยดูว่าลูกจะยกมือเมื่อใด นั่งจับเวลาที่นาฬิกาตามเดิม) ประมาณ ๑๒ นาที ลูกคนโตยกมือขึ้นก่อนและนั่งสมาธิต่อไป

หลังจากนั้นอีก ๓ นาที คนเล็กก็ยกมือขึ้น ผู้เขียนจึงบอกให้พอแค่นั้นสำหรับวันนี้ การฝึกนั่งเช่นนี้ ใน ๗ วันนั้น บางวันเด็กก็ยกมือเร็วขึ้นกว่าเวลาเดิม บางวันก็ช้ากว่าเวลาเดิมบ้างเล็กน้อยไม่เกิน ๕ นาที แต่พอจะครบ ๗ วัน พวกเขาสามารถยกมือได้ไม่ถึง ๑๐ นาที ซึ่งนับว่าเร็วมากสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ (ดังนั้นการสอนเด็กนั่งสมาธิจะง่ายกว่าผู้ใหญ่มากหลายเท่าตัว)


เริ่มสัปดาห์แรกของเดือนต่อมา
วันแรกในเดือนต่อมา ผมได้นำการอสุภะสติกัมมัฏฐาน มาให้พวกเขาได้ทดลองปฏิบัติดู เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่เล่าเรื่องนางปฏาจารา ให้พวกเขาฟังในวันนั้นแล้ว รู้ได้เลยว่านี้แหล่ะคือยาขนานที่ถูกโรคของพวกเขาแน่ หากได้กินยานี้รับรองว่าจะต้องหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เร็วกว่ายาขนานอื่น

ด้วยการที่ผมไม่สามารถรู้ถึงจิตพวกเขา จึงได้ใช้วิธีถามพวกเขาว่า ลูกๆ รักใครมากที่สุดในบ้านนี้ รักแม่ รักพ่อ รักย่า รักยาย รักพี่ใจ(พี่เลี้ยง) หรือรักป้าเนาว์(แม่ครัว) หรือรักไอ้จ๊อด(สุนัข) ไอ้เหมียวเล็ก....
คำตอบที่ได้จากลุกคนโต ...รักพ่อมากที่สุด มิ้นล่ะรักใครมากที่สุด...รักพ่อเหมือนพี่เม...มิ้นตอบ


หลังจากได้รู้คำตอบแล้วว่าพวกเขารักและผูกพันใครมากที่สุด จึงได้เล่าถึงวิธีที่จะปฏิบัติในคืนนั้นให้พวกเขาได้ฟังว่า “หลังจากคำบริกรรมหายไป....ขอให้ลูกทั้งสองคนนึกภาพพ่อเป็นศพนอนตายต่อหน้าลูกและให้น้อมใจคิดว่า พ่อตายแล้ว พ่อจะมาสอนการบ้านลูกไม่ได้อีกแล้ว จะไม่ได้กินข้าวเย็นร่วมกันอีก จะไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน จะไม่ได้เล่านิทานให้ฟังอีกแล้ว

พวกลูกจะต้องอยู่กันตามลำพัง ชาตินี้ไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ…” เอาล่ะเข้าใจแล้วนะ ลงมือนั่งสมาธิและน้อมใจนึกตามที่บอกหลังจากคำบริกรรมหายไป หลับตานั่งสมาธิได้ เมื่อนึกภาพเสร็จก็ให้ลืมตาได้


ผมนั่งเงียบคอยดูผลจากการให้อารมณ์กัมมัฏฐานครั้งแรกนี้ เวลาผ่านไปเกือบ ๒๐ นาที ลูกคนโตลืมตาขึ้นก่อน ผู้เขียนยกนิ้วขึ้นจุ๊ๆ...ปาก บอกห้ามออกเสียง รอน้องเดี๋ยว อีกไม่นานเกิน ๕ นาที คนเล็กก็ลืมตา ....

คราวนี้แหล่ะลูกคนโตเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาได้เห็นในสมาธิของเขาเป็นชุดไม่หยุดเลย....พ่อ...ศพพ่อบวมอืดมีน้ำสีดำๆ ไหลออกมาที่พื้นใต้ตัวพ่อ หน้าตาศพพ่อน่าเกลียด ไม่เหมือนตอนนี้ เมจำไม่ได้เลย พอดูต่อไปแล้วศพมันก็แฟบลง จนกระทั่งศพพ่อผอมเป็นหนังติดกระดูก และก็เป็นผงไปเลย เมก็เลยออกมา ….

ลูกคนเล็กเล่าบ้าง พ่อ...ศพพ่อท้องขาดเห็นกระดูกในท้องพ่อเลย มีหนอนเต็มตัวในท้องพ่อเลย ในตาและแก้มของพ่อก็มีหนอนเต็มไปหมด มันกินเนื้อของศพพ่อใหญ่เลย พอกินไปได้สักพักหนึ่งก็มีไฟลุกขึ้นบนศพพ่อ เผาศพพ่อจนหมดเลย... แค่นี้แหล่ะพ่อ...

ผมรู้สึกตกใจและดีใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่นึกว่าการพิจารณาอสุภะที่ให้พวกเขาครั้งแรกจะได้ผลออกมาเช่นนี้ และสิ่งที่พวกเขาเล่าให้ฟังเหมือนกับที่พระอาจารย์ต่างๆ ได้เขียนไว้ในหนังสือเลย จึงรู้ว่าพวกเขาปฏิบัติไม่ผิดแน่ ถึงแม้มันจะไม่เหมือนกับนิมิตที่ผู้เขียนเคยเห็นก็ตาม

และในสัปดาห์นั้นการพิจารณาก็เห็นนิมิตคล้ายๆ ที่พวกเขาเห็นทุกครั้งแต่พวกเขาเล่าว่าไม่เหมือนเดิม ไม่ซ้ำเลยสักวัน เช่น บางครั้งเห็นศพพ่อตอนปัจจุบันบ้าง บางครั้งก็เห็นศพพ่อตอนพ่อหัวล้านไม่มีผมมากเหมือนตอนนี้ และก็ผมสีขาวทั้งหัวด้วย

ทุกวันนี้เด็กๆ จะ CHARGE BATTERY (พวกเรามักจะใช้ศัพท์ฝรั่งคำนี้ในการเรียกการนั่งสมาธิก่อนพิจารณา) โดยการเจริญ พุท…พร้อมลมเข้า โธ…ลมออก แล้วจึงเริ่มจินตมยปัญญา น้อมใจมาคิดพิจารณาขันธ์ ๕ ของผู้อันเป็นที่รัก..คือ ศพพ่อของพวกเขา เมื่อกำลังของสมาธิดี ตั้งมั่นดี จิตรวมเป็นหนึ่ง


ผลที่ออกมาก็ดีมาก พวกเขาสามารถพิจารณาศพพ่อที่เป็นนิมิตเปลี่ยนสภาพให้เด็กๆ ได้ดู จนกระทั่งจบ (แต่ละคนจบไม่เหมือนกัน) และก็ได้พยายามบอกให้พวกเขาดูให้ละเอียด อย่ารีบออกมาจากการพิจารณา จนกว่าจะจบด้วยปัญญาที่รู้ว่าสิ่งที่พิจารณาอยู่นั้น เป็น อนิจจัง หรือทุกขัง หรืออนัตตา ส่วนมากเด็กๆ มักจะได้รับรู้ว่า มันเป็นทุกข์ แปรปรวน ต้องแตกสลายไป (ศพพ่อ) …เช่นนี้



พระอาจารย์ของพวกเรา คือ พระอาจารย์สาคร ธมฺมาวุโธ

พระอาจารย์ของพวกเรา คือ พระอาจารย์สาคร ธมฺมาวุโธ แห่งวัดเวฬุวัน ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และประธานสงฆ์วัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ซึ่งพวกเรามากราบท่านที่วัดป่ามณีกาญจน์ เมื่อเกือบ ๓ ปีมาแล้ว จากคำชักชวนของน้ามอญ(รุ่นน้องที่ทำงาน) ซึ่งโดยปกติท่านจะอยู่ที่วัดเวฬุวัน จ.กาญจนบุรี แต่ในช่วงหลังๆนี้พระอาจารย์จะมาที่วัดป่าวัดป่ามณีกาญจน์บ่อยครั้ง

เนื่องจากท่านกำลังสร้างศาลาเอนกประสงค์เพื่อให้ได้ใช้ปฏิบัติธรรม เป็นที่พักของผู้มาปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมากๆได้ จะได้ช่วยเด็กๆ เยาวชนที่กำลังจะเติบโตเป็นกำลังของชาติที่สำคัญต่อไป

ท่านได้พูดเสมอว่าเป็นห่วงเด็กๆ เหล่านี้มาก ท่านอยากจะจับมาฝึกอบรมให้มากๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่ออนาคตของชาติจะได้มีผู้นำที่ดี มีศีลนำ ต่อไป ท่านกำลังทำโครงการ ๑ บวก ๑ ได้ ๓ คือชวนเด็กเข้าวัดได้คนหนึ่ง ก็จะได้ทั้ง พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา ย่า ยาย ตามมาวัดอีกมากมาย


พวกเราเองก็ชอบไปวัดป่ามณีกาญจน์ กันเสมอ

พวกเราเองก็ชอบไปวัดป่ามณีกาญจน์ กันเสมอ เมื่อว่างลูกสาวทั้งสองคนชอบไปวัด พวกเขาบอกว่ามีความสุข และสนุกมากเมื่อได้ไปคุยกับพระอาจารย์สาคร พวกเรามีเวลาไปสวดมนต์วันเสาร์เย็นบ้างไปใส่บาตรเช้าวันอาทิตย์บ้างหากมีการบ้านเด็กไม่มาก และไม่ติดงานไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด

หลังจากพระอาจารย์ท่านฉันเช้าแล้ว พวกเด็กๆ ก็ได้พูดคุยกับท่านอย่างสนุกสนาน ท่านเข้ากับเด็กๆ ได้ดีมากๆ พระอาจารย์ได้สอนให้พวกเขาได้ปฏิบัติธรรมที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากพระอาจารย์สาครแล้วก็ยังมีพระสงฆ์ที่ท่านสามารถสอนเด็กๆ ได้อีกหลายรูป เช่น พระอาจารย์อำนวย ครูบาโต ฯลฯ และผู้อ่านก็คงจะได้เจอพวกเราได้ที่วัดนี้...


สรุปผลของการที่เด็กๆ ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม

ผลที่ได้ออกมาจากการเจริญสตินี้ นอกจากการเตรียมใจสังวรระวังไม่ให้ผิด ศีล ๕ แล้ว ได้ส่งผลไป
ถึงการเรียนที่ออกมาดีเยี่ยม การประกวด การแข่งขันก็มักจะได้ผลชนะเลิศ พวกเขามักจะได้รับเลือกจากคุณครูให้เป็นตัวแทนแม้ในการต้อนรับคุณครูชาวต่างประเทศที่มาเยี่ยมชมโรงเรียน และมักจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มกิจกรรมในชั้นเรียนเสมอ


แต่พวกเขาก็ยังคงความเป็นเด็กๆ ตามธรรมชาติในสายตาของคนทั่วๆ ไป (แต่อาจจะดูสุขุม และจริงจัง กว่าเด็กธรรมดานิดหน่อย คือ อาจจะดูคล้ายที่ว่ามีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในท่าที) ภรรยาของผู้เขียนยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้เห็นผลการเรียน หรือเวลาได้อ่านคำชมของคุณครูในสมุดพกตอนสิ้นเทอม เพราะลูกๆ (ที่ปฏิบัติธรรม) นั้นนำแต่ความสุขมาให้ตลอด บางครั้งหลังกลับจากบินก็มานั่งชื่นชมลูกๆ ให้ผู้เขียนฟังอยู่เสมอ ๆ ว่ามีความสุขมากจากที่ลูกทั้งสองคนนำมาให้


การที่เป็นเช่นนี้จะมาหาว่าผู้ปฏิบัติธรรม คร่ำครึ ล้าสมัย เห็นจะไม่ได้เป็นดังนั้นเสียแล้ว

แต่กลับกลายไปว่าเด็กๆ ที่ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ที่มีความตื่นตัวอยู่เสมอต่างหาก และยังได้เป็นผู้นำเพื่อนๆ เข้าวัดอีกด้วยเพราะพวกพ่อแม่ของเพื่อนๆ ลูก ต่างก็พากันมาถามวิธีการเรียน การวางแผนทำงาน ทำการบ้าน กิจวัตรประจำวันของเด็กๆ จากผม และลูกๆ เอง ก็จะให้คำแนะนำกลับไปว่าเป็นเพราะการมีสมาธิเวลาเรียน

การสวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอน มีพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนให้ผู้เขียนพาลูกเขาไปวัดบ้าง ซึ่งถ้าหากศาลาปฏิบัติธรรมเอนกประสงค์หลังนี้ได้สร้างเสร็จ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะค่อนข้างใกล้อยู่ชานเมืองขับ
รถแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าก็ถึง พระอาจารย์ก็มีเมตตามากได้อบรมสั่งสอนเด็กๆ เพื่อนของลูก สอนนั่งสมาธิ และเจริญสติ สอนให้มีคุณธรรมและศีลธรรม นำไปใช้ในชีวิตได้จริงๆ

และได้ข่าวว่าปิดเทอมใหญ่ที่ถึงปี ๒๕๕๐ นี้ ก็มีเด็กๆ หลายคนที่จะไปเข้าร่วมปฏิบัติธรรม แต่คงจะต้องไปถึงเมืองกาญจนบุรี เพราะสถานที่ในวัดป่ามณีกาญจน์ยังไม่เสร็จ และผลพลอยได้จากโครงการ ๑ + ๑ = ๓ ก็จะทำให้ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ต่างพากันเข้าวัดตามลูกๆ หลานๆ ไปด้วย



ขอขอบคุณข้อมูล จาก : คุณพ่อดิสพงษ์ - คุณแม่ คริษฐา และคุณลูก... น้องเม(เมริษา) และน้องมิ้น(มินธิรา)ยอดมณฑป

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1474
http://farm5.static.flickr.com/
http://www.dhammajak.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 07, 2012, 12:51:39 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

พรทิพย์

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 76
  • มีธรรมนำจิต ชีวิตสุขสบาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชวนลูกปฏิบัติธรรม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2012, 07:24:56 am »
0
อนุโมทนา คะ มีสาระมากคะ สานความสุขครอบครัวให้มีความอบอุ่น นะคะ

   :25:
บันทึกการเข้า