ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ค้นหาพระในใจ ( ก. เขาสวนหลวง )  (อ่าน 1669 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ค้นหาพระในใจ ( ก. เขาสวนหลวง )
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 02:47:24 pm »
0


เราจะต้องรู้จักพระข้างในกันเสียที
ที่ไปหลงบูชาพระข้างนอกมาแขวนคอนั่นยังเป็นเด็กอยู่
ก็ต้องอาศัยเครื่องเล่นไปอย่างนั้น ที่รู้จักพระในใจนี่ต้องปฏิบัติกันจริงๆ
รู้จักดับทุกข์ดับกิเลสของตัวเองได้ แล้วนั่นแหละจะได้เดินตามรอยของพระ
กวาดกิเลสให้เกลี้ยงหมดจดบริสุทธิ์ แล้วก็เป็นพระเสียเอง
การเป็นพระหรือมีธรรมะขึ้นมาภายในจิตในใจมันคุ้มครองอันตรายได้รอบด้านหมด
แม้ว่าชีวิตนี้จะแตกดับแต่ว่าสิ่งนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่น มันเป็นความคงที่
ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดอีก
ไม่มีตัณหามาปรุงจิตให้ไปเกิดอีก นั่นแหละจึงจะพบเข้ากับพระนิพาน
เป็นการดับกิเลสตัณหาอุปาทานเด็ดขาดสิ้นเชิง แต่นี่มันยังอยู่กับกองทุกข์กองกิเลส

จึงต้องปฏิบัติอยู่ทุกเวลานาทีของชีวิตทีเดียว
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องสำคัญของตัวเองด้วยกันทุกคน
การถูกกิเลสเผาจิตร้อนเร่าเศร้าหมองไปอย่างไร ก็ต้องสอบได้ ถ้าเป็นฝ่ายเผากิเลสได้
ดับกิเลสได้ จิตใจก็สงบได้ สะอาดได้ ว่างได้ แล้วอย่างนี้จะไม่น่าปฏิบัติกันอย่างไรได้
จะไปทอดธุระ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มันก็ทุกข์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้นต้องพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปทีเดียว
ถอยหลังไม่ได้เป็นอันขาด เพราะทุกข์มันจะเกิดใหญ่ กิเลสจะเผาใหญ่ ต้องก้าวหน้าเรื่อยไป
ทวนกระแสของกิเลสเรื่อยไป แม้จะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะก็ต้องพยายามไป
การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่ของง่าย ที่จะไม่ให้มีการพ่ายแพ้นั่นก็ไม่ได้
เพราะกิเลสในสันดานมันยังเสนอหน้าเข้ามาอยู่เรื่อย
ฉะนั้นต้องพยายามมองเข้าด้านในตะพึดไปจึงจะได้มีเครื่องมือที่คมเฉียบขึ้นมา
เพื่อฝ่าฟันกิเลสตัณหาซึ่งมันก็อยู่ภายในนั่นแหละ มันเป็นข้าศึกลึกลับ
ต้องพยายามดับทำลายมันให้ว่างเปล่าไปจากจิตใจให้ได้
ที่เราได้มีโอกาสมาประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสอย่างนี้เป็นของดีที่สุดแล้ว
ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้ถูกทางแล้วมันจะหลง มันหลงไปชักใยพันตัวเองให้วุ่นวายไปต่างๆ นานา
ซึ่งก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว เราเองก็หลงมาแย่แล้ว ทีนี้จะต้องออกจากดงหลงเสียที
ทีนี้เราได้รู้สึกตัวทั่วถึงกันแล้วว่า ต้องอดทนต่อสู้ศัตรูหมู่มารข้างใน ให้มันพ่ายแพ้ยับเยินไปให้ได้
เราเคยพ่ายแพ้มันมามากแล้ว ต่อไปนี้ต้องพยายามแล้วพยายามอีก
ตั้งหน้าฝ่าฟันป่ากิเลสให้เตียนโล่งไปให้ได้ แล้วทุกข์โทษทั้งปวงมันจะลดน้อยลงไป
เราขุดมันมาเผาเสียเรื่อยๆ การเผาก็หมายถึงการพิจารณานั่นเอง
ให้เห็นว่ามันเป็นความว่างจากตัวตนเอาไว้ เพราะว่าจะเผาอย่างอื่นมันก็ไม่ตรง
มันยังงอกได้ ตัวกูของกูมันยังงอกได้
เพราะฉะนั้นต้องตรงเข้าขุดรากแก้วตัวตนนี่ให้มันดับทำลายไปเรื่อยๆ
มันงอกขึ้นมาทีไรเราต้องสับมันลงไปทันที หรือขุดมันขึ้นมาเผาเสีย พิจารณาแล้วพิจารณาอีก
จนเห็นความเป็นธาตุได้นั่นแหละจึงเป็นการเผาได้ ถ้าเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ มันจะงอกขึ้นมา
ทุกข์โทษมากมายนักหนาทีเดียว
เราเพียรพิจารณาอยู่เรื่อย เผามันเรื่อยทีเดียว มันก็ตายไปเตียนไป
อย่างนี้ข้อปฏิบัติก็ใกล้มรรคผลนิพพานแล้ว หรือว่าเป็นมรรคผลนิพพานน้อยๆ เรื่อยไปก็ได้
เพราะเราไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอก แต่เราจะปฏิบัติให้ถูกตรงตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
ที่ให้เราปฏิบัติด้วยการพิจารณาให้เห็นรูปนามขันธ์ 5 ว่างจากตัวตน เท่านี้
เราต้องพยายามอย่างนี้อย่างเดียว
กิเลสตัณหาอุปาทานภายในสันดานมันมีหลายชั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด
สำหรับขั้นหยาบที่พอจะรู้ได้ จับได้ ละได้ ก็เห็นผลกันอยู่แล้ว
ส่วนขั้นกลางหรือขั้นละเอียดมันเป็นของลึกซึ้งมาก มันหลอกให้รวนเรเถลไถลไป
เพราะมันเห็นว่าเป็นสุขแล้ว การปฏิบัตินี่จะต้องไม่หลงความสุข
จะต้องพิจารณาให้เห็นความทุกข์โดยส่วนเดียว และทุกข์นี่มันก็เป็นทุกข์ของธรรมชาติ
ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ข้อนี้เป็นข้อที่จะต้องพิจารณาซ้ำซาก
ให้เห็นชัดๆ ลงไปให้ได้ มันเป็นธรรมชาติจริงๆ
ไม่มีตัวเรา ไม่ใช่ของของเราจริงๆ แล้วจิตนี่จะได้ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
มันจะได้ปล่อยได้วางออกไป แล้วมันจะได้ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนให้มากเป็นพิเศษทีเดียว
การปฏิบัติเป็นเรื่องกวาดทิ้ง ถ้าพื้นความรู้มีแนวของการพิจารณาประกอบอยู่ด้วยแล้ว
การกวาดทิ้งจะเป็นไปได้ง่ายๆ คือจิตจะว่างจากตัวตนได้ง่ายเหมือนกัน
แต่ถ้าไม่รู้แล้วมันจะยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา มันจะวุ่น มันจะวิ่ง
ต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษทั้งหลายที่มันวุ่นวายอยู่กับอะไร มันยึดมั่น
ถือมั่นอยู่กับอะไร ต้องเพียรเพ่งพิจารณาให้เห็นประจักษ์ชัดให้จงได้ ให้มันรู้จริงขึ้นมาว่า
มันเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั่น ไม่ใช่เป็นตัวเรา
ไม่ใช่เป็นของเราแน่นอนลงไปให้ชัดใจให้ได้
เราต้องย้ำแล้วย้ำอีก เพราะเรื่องการพิจารณาที่จะให้เห็นแจ้ง
ไม่ใช่เป็นของง่าย ต้องเพียรพิจารณาอยู่ซ้ำซากจนรู้เห็นขึ้นมาจริงๆ
ถ้าว่ายังไม่รู้จริงก็ต้องพยายามพิจารณาให้มันรู้จริงขึ้นมาให้ได้
มันจึงจะปล่อยวางว่างเปล่าจากตัวตนไปได้
แล้วมันจะได้โล่งอกโล่งใจขึ้นมา

http://www.watphramahajanaka.org/web/?page_id=1721
บันทึกการเข้า