ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - suchin_tum
หน้า: 1 [2]
41  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "จิตล้วนๆ"ที่มา...รวมรูป-นาม(สมถะ+วิปัสสนา) ล๊อคเสป็ค ยิง. เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:28:15 am
    (จิต-ในที่นี้แปลว่าการปรุงแต่งในอารมณ์ที่มนุษย์มีทั้งหมดเกิดจากรูป-นามผสมกันแล้ว) การปรุงแต่งของมนุษย์ ในอารมณ์ทั้งหลายใช้พื้นฐานมีทั้งรูป-นาม ใช้ทั้งขันธ์5ใช้เป็นอยู่แล้วในชีวีตประจําวัน ในขันธ์ทั้ง5นั้น มีทั้งธาตุ สมถะ-วิปัสสนาคือรูปเละนาม ก็คือ ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ ธาตุตั้งมั่นคือรูปคือสมถะด้วย (ธาตุดิน) ส่วนที่เหลือเป็นนามทั้งหมดได้แก่ธาตุสุข-ทุกข์(ตั้งแต่ ไฟ นํ้า ลม อากาศ เป็นธาตุวิปัสสนาด้วย) เมื่อรูป-นาม มีผัสสะก็รวมกันเป็นตัวเรา จึงเกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ เกิดทุกข์ เกิดสุข พระจึงบอกว่า กรรมฐานมีอยู่ที่ตัว ไม่ต้องไปหาที่ไหน อย่าส่งจิตออกไปนอกตัวเดี๋ยวจะเห็นได้ช้า
  นิมิต 3 ประการ คือวิธีตั้งธาตุ สมถะธาตุดิน ส่วนวิธีการนําจิต เดินจิต พูดกับจิต คุยกับจิต เพื่อทําให้จิตเกิดความพอใจเหล่านั้น เพื่อต้องการยกอารมณ์ เข้าสู่ ธาตุสุข และธาตุทุกข์ ยกธาตุทั้ง 5ก็คือยกทั้งขันธ์5 (ต้องการยกทั้งธาตุสมถะ-และ ธาตุวิปัสสนาคือธาตรูปและนามในขันธ์5 ยกกรรมฐานทั้งสองส่วน คือส่วน สมถะ ส่วนวิปัสสนา ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ อยู่ในกายมนุษย์นี่แหละ ยังไม่ได้ออกจากรูปกายนามกายนี้เลย) ในทางกรรมฐาน ชั้นเชิงลีลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ออกแบบ(modle)ไว้นั้น ช่างแสนหวานแยบคาย สุดที่จะพรรณนา
  วิธีการนําจิต ในไฟล์เสียงของพระอาจารย์ ก็คือจุดประสงค์ทั้งหมดที่มีข้างบน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ นั้นมีทั้ง สมถะ-วิปัสสนา ในกรรมฐานทุกห้อง ผู้ที่พูดถึงตรงนี้บ่อยก็กลัวไม่ได้พระ จงอยู่ที่นี่ท่านจะได้ทั้งหมดที่มีในพระพุทธศาสนา...ผมมั่นใจว่าพระอาจารย์ของเราสอนได้
  "คําว่าจิตล้วนๆ"เป็นการยกวิปัสสนา เพื่อทําให้จิต ยกธาตุสุข-ทุกข์ทั้ง4ขึ้นมาตอบรับ ก่อนยกวิปัสสนานั้นต้องใช้นิมิตทั้ง 3 ประการตั้งธาตุดินให้แข็งแรงก่อน เพื่อมีกําลังเห็นได้ เข้าสู่ปีติทั้ง 5(คือรูปกาย) สู่ยุคลทั้ง6(นามกาย)......ส่วนธาตุสุขต่างๆที่เจตนายกขึ้นมานั้น ธาตุสุขมีหน้าที่ผสาน รูปกาย และ นามกาย เข้าด้วยกัน จนเป็น 1 เดียว เข้าสู่กายสุข-จิตสุข(เป็นจิตล้วนๆจริงแล้วคราวนี้คือห้อง 3)
   ถึงตอนนี้ ใครสั่งสมภูมิธรรมมาอย่างอ่อน.......ก็บรรลุพระอรหันต์(แบบสุขวิปัสสก) ท่านเหล่านี้ได้แต่ลักษณะ ไม่ได้รัศมี ก็เลยไม่ได้ตาทิพย์ บรรลุแค่ธาตดิน ขึ้นไม่ถึงธาตุไฟ
   ผู้ที่ได้ลมร้อนลมลุกขึ้นของธาตุไฟ หมุนลมดับได้พักเดียว มีวิตก-วิจาร บรรลุเลย พระธาตุไฟ ปฐมฌาน เตวิชโช ได้วิปัสสนาญาณที่ปฐมฌาน(ปราศจากปีติ5-ยุคล6)
      ผู้ที่ยังไม่บรรลุต้องหมุนอานาปานสติ กันต่อ บางองค์อาจบรรลุที่ฌานลม(ฌาน4)ได้วิปัสสนาญาณที่นั่นก็ ได้อภิญญา6
      ส่วนผู้ที่ยังไม่บรรลุ ก็ออกธาตุ อากาศ(ฌาน5)อากาสานัญจายตนะ ไปธาตุวิญญาณ วิญญานัญจาญตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวะนาสัญญายตนะ.........หากจิตยังไม่ด่วนเอากสิน ครูบาอาจารย์บอกว่า เก็บได้ทั้งวิชชา 8 หลังสมาบัติแปด มีวิชชานวหรคุณด้วย แล้วจึงขึ้น ปฐมฌานโลกกุตระได้พระโสดาบัน แต่มีปฏิสัมภิทา4 ติดไปด้วย
     ในห้องสมาบัติ 8.....ถ้าใครใจร้อน ไปเอาสีแสงเลย ก็ได้วิปัสสนาญาณในห้องที่คาอยู่...บางองค์อาจได้ 5-6-7-8 นั้นได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ โลภ ไม่โลภ พวกกลัวไม่ได้เห็นเอาเลยก็ได้น้อย ได้แค่นั้น
  บางคนมีคุณธรรมมีธาตุมาแล้วก็ควรเอาไปด้วย ให้หมด ......เพราะนั่นคือ อิทธิเจโต1000- อิทธิคุณ108-อิทธิฤทธิ์10....อย่าใจร้อนในการศึกษาพระกรรมฐาน เพราะบางคนก็ไม่รู้ว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ควรเอาไปให้หมด ในการศึกษา ครูบาอาจารย์ท่านสอนหมด ไม่เก็บเอาไว้หรอก
  ขอเพียงอย่าใจร้อน ว่าเป็นขั้นๆไป ....อยู่ที่นี่ 3ปีไม่หนี....ได้ทุกคน ศรัทธา พุทธานุสสติ ระลึกอยู่ในคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ผู้สอน สูิ่งเหล่านี้ กําลังใจและบารมีของจริง บารมีคือ กําลังใจสามารถสร้างเองได้เหมือนเรากินกาแฟ ทําไมกินทุกวันได้ แสดงว่าการปรุงแต่งสร้างได้ อยู่ที่การปรับลม ปรับความคิดของเรานั่นเองครับ ว่าเรา จะเอา จะทํา ไม่เอา ไม่ทํา แล้วแต่ความได้ลม การปรับลมปรับความคิด ธรรมเหล่านี้อาศัยกันเกิด ถ้าศึกษาจริง ต้องรู้สําเร็จทุกคน...อยู่ที่เรานั่งลง และเปิดไฟล์เสียงครูบาอาจารย์ขึ้นมาหรือยัง  วันที่ 1พฤษภา มาให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุตั้งธรรม ว่าเป็นขั้นๆไป โอกาสมีเท่ากันทุกคน.....คําสอนครูบาอาจารย์ :043: :043: :043:   
42  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ผู้เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ที่ว่ายาก ควรปักเวกอารมณ์ก่อนตามนี้ เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 10:19:45 am
ให้ดูเรื่องเหล่านี้ก่อน เอาเป็นตอนๆ อย่าเอาทุกอย่างมารวมกัน พระพุทธเจ้า สอนให้แยก เหลือใบไม้กําเดียว ที่จะทําในขณะเดี๋ยวนั้น(ปัจจุบัน)คืองานที่จะทําจริงๆ  อย่าไปเอาป่าไม้มาทั้งหมดทั้งป่าเอามาแล้วไม่ได้ใช้ทุกอย่าง ทําให้ฟุ้งซ่าน เอาแบบนี้นะ ว่าเป็นตอนๆ
     1.วันที่ 1 พฤษภา มาให้พระอาจารย์ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ก่อน
     2.รับวิธีการ ตอนฝึกเอง เปิดเสียงเฉพาะเสียงไฟน์ที่ใช้ เช่น พระขุททกาปีติธาตุดิน เป็นต้น ใช้เสียงนําฝึกตาม ยังท่องไม่ได้เดียวจะเครียด ถ้าคล่องควรใช้ปากเปล่า ท่องห้องแรกได้ ก็ได้หมด มีเปลี่ยนบ้างก็ไม่มาก
    3.ความอยาก(เอาออกก่อน)อยากรู้ อยากสําเร็จ ทิ้งไปก่อน อยู่แต่งานที่จะฟัง ที่จะเริ่มท่อง
    4.อารมณ์เปรียบเทียบ กรรมฐานยากง่าย ยกเลิกไปก่อน
    5.จงตั้งใจเฉพาะหน้ากรรมฐานที่จะปฏิบัติ เรื่องกรรมฐานอื่นคือ สัญญา ต้องไม่มี
    6.ความท้อถอย ต้องมีทุกคน อย่าไปมอง (ผมเองก็มี อาจจะมีมากกว่าคุณด้วย)
    7.ปฏิบัติ อยากมาก ทุกข์มากเป็นเงาตามตัว ถ้าวางใจลงในเรื่องอยาก ทุกข์เห็นน้อย แล้วปฏิบัติได้
    8.การปฏิบัติไม่มีอะไร นั่งลง แล้วเปิดเสียง ทําใจตาม ก็เสร็จสิ้น
    9.ยากวันเริ่ม วันหลัง เบาๆๆๆๆๆๆๆๆ-ต่อไป ชํานาญ เสียงระฆังตอนตีดัง แล้วเสียงก็ค่อยเบาๆๆๆๆ
    10.ผู้ที่คิดว่าทําไม่ได้คือยังไม่เริ่มนั่งลงก็มี แต่คิดก่อน
    11.เสียงของครูบาอาจารย์ในไฟน์นั้น ประมาณ 30 นาที ฝึกวันละแค่นี้
    12.อย่าลืมมาตั้งธาตุ ตั้งธรรม.
            ........จากผู้ฝึกเช่นเดียวกัน อย่าไปเชื่อความคิดกิเลส
     
43  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การฝึกทรงสมาธิ-สําหรับกรรมฐานสองส่วน-ควรสร้างนิมิตนอกในให้เกิดขึ้น เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 09:28:13 am
ขอยกคําพูดของครูบาอาจารย์มาให้อ่านนะ
 "ผมจะลําดับให้ท่านฟังตามหัวข้อธรรมดังนี้ ช่วงที่1 เป็นช่วงตั้งแต่พบท่าน ช่วงนี้ท่านได้สอน กรรมฐานให้ 1 กอง ว่าด้วยเรื่อง อานาปานสติ โดยให้สติกําหนดลมหายใจ ทั้ง 3 ฐาน แบ่งการนับเป็น 2 ชุด คือเริ่มใหม่ให้นับ 1-5 และชุด 2 เมื่อเริ่มชํานาญ ให้นับ 1-10 (3 ฐานที่ท่านสอนมีดังนี้ ) 1.ฐานจมูก 2.ฐานหน้าอก 3.ฐานเหนือสะดือ 2 นิ้ว โดยการฝึกไม่ใช่แค่เฉพาะตอนนั่ง สามารถฝึกได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยมีหลักง่ายๆว่า นึกได้เมื่อไหร่ ให้ทําทันที ลืมไปก็ช่างมัน ช่วงแรกที่ฝึกยากมาก เพราะเราเคยทํางาน มันก็ทํางานอยู่ จะมัวมานั่งนึกถึงลมหายใจ ระหว่างที่ทํางานอยู่มันก็เป็นเรื่องยาก ช่วงที่ฝึกช่วงนี้นอนละเมอเลย นอนละเมอเป็นลมหายใจเข้า-และลมหายใจออก 3 ฐานเลยครับ" นั่นเป็นคําพูดของพระอาจารย์ในหนังสือ
   (ควรสร้างนิมิตภายนอก)สําหรับผู้ที่เข้าสะกดพระลักษณะ พระรัศมีแล้ว ควรเริ่มสร้างนิมิต เป็นลมขึ้นลง เพราะทําลมได้แล้ว 1.ฐานที่มหาศูนย์หน้าผาก 2.ฐานที่ใต้สะดือ 2นิ้ว. คําบริกรรมใช้"พุทโธ 1 สถิตย์ในฐานจิตที่1"นั่นก็ 10 พยางค์แล้ว ถ้าเลขนับมากเป็นสองหลัก ก็จะเป็น 11 พยางค์(ของอานาปานสติมีกี่พยางค์บอกใบ้แล้วนะ) เมื่อเริ่มบริกรรมลมก็วิ่ง ขึ้นลงแล้ว จับนิมิตนอกไม่ต้องหลับตา จับลมขึ้นลมที่กายก่อนฐานให้ถูก หรือคล้ายถูกก็โอเค ถ้าเก่งแล้ว ก็ย้ายนิมิตออกไป เป็นที่ ปลั๊กไฟบนผนัง หนังสือ ปากกา เป็นต้น
 ขณะหลับตาเราทําวิปัสสนาวิชาโลกอุดร 7ฐาน ตอนลืมตาถ้าเก่งแล้วก็ให้ลองทั้งสมถะ-วิปัสสนา จับนิมิตปลั๊กไฟที่ว่าไว้ด้วย เรียกว่าการฝึกทรง ไม่ให้มันว่างมาก ว่างก็จับทําเลย
  ต้องฝึกท่องปากเปล่า"คําบริกรรมปัจเวกทั้งหมด"ไม่ควรใช้เสียงเทป หรือโทรศัพท์ ควรเลี่ยงนิสัยติดสุขจะทําให้เรา ไม่มีความกระตือรือล้น ลงทุนเหนื่อยกันอีกชาติหนึ่ง ครูบาอาจารย์บอกแล้ว ต้องทําพระอนาคามีให้ได้เป็นอย่างตํ่า เกิดบําเพ็ญต่อที่ชั้นพรหมพระอนาคามีมี 5 ชั้น ไม่ต้องมามนุษย์เทวโลกอีก
     .......คําสอนครูบาอาจารย์ และธรรม....
  ผู้เริ่มต้น ควรมาให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ก่อน เมื่อกลับไปทําจะทําได้ มาวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ แผนที่อยู่ที่เรื่องการพบกลุ่มกรรมฐาน...โชคดีทุกท่าน
44  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภัยภายนอก สิ่งที่ผู้แสวงหาที่ฝึกควรใช้วิจารณญาณ. เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 02:14:46 pm
ต้องดูเอาเอง หากต้องการผลแห่งความสําเร็จจริง(แบบหวังผล)
 1.สํานักนั้นๆไม่มีแบบแผน วีธีการ คํายืนยัน หรือแนวทางที่ชัดเจน.
 2.ให้แต่นั่งหลับตากําหนด ไม่ได้มีอะไรรับรองเรา วิธีที่ให้ฝึกก็จําๆมา บางทีให้ทําเองแบบตามใจ
 3.สอนกรรมฐานไม่เป็นแต่อยากสอน อิงไว้เพื่อตักลาภสักการะ
 4.ฆาราวาสก็เปิดสํานักมาก ที่ต้องเสียค่าเเรกเข้าทั้งหลาย บางทีก็มีการขายของด้วยขายโน่นขายนี่
 5.ผู้ปฏิบัติพึงแยกเอา เพื่อไม่เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายมาก
 6.แต่ละที่อย่าให้เกิน 7 ปี ถ้ารู้ตัวว่าไม่บรรลุควรเปลี่ยนกรรมฐาน.
 7.จงอธิฐานขอพบพระพุทธศาสนาไว้ เผื่อ เสียท่า ต้องตายซะก่อน
       .....ก็สุดแล้วแต่ความเห็นแยกแยะกันเอาเองตามปัญญาพื้นฐานที่เรามี.
45  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มูลเหตุแห่งความสําเร็จทั้งปวง เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 07:28:04 am
      องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามจริง"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตผลด้วยการไปครั้งแรกนั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตผลนั้นย่อมมีได้ (ด้วยการศึกษาโดยลําดับ) ด้วยการทําโดยลําดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลําดับ"
46  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ผู้ที่ชอบสติปัฏฐานควรมาเรียนธาตุวิตกก่อน..แล้วค่อยไปกําหนดรู้แบบสุขวิปัสสกจะมีผล เมื่อ: เมษายน 16, 2011, 07:46:16 am
  มาเรียนธาตุวิตก คือธาตุดิน ให้พุทโธ เกิดที่หน้าผาก-หรือพุทโธเกิดที่ท้อง.....ทําให้ได้ทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ครูบาอาจารย์ นับ 1-10 เข้าสมาธิ...นับ1-10 ออกสมาธิ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องเข้าสมาธิและออกสมาธิได้ทุกขณะจิต(ตั้งจิต-ปล่อยจิตได้ทุกตอน)นั่นเรียกว่า ทรงอุปจารสมาธิ หรือผู้ที่ได้ฌานก็ทรงฌาน.....นี่คือฝึกสําเร็จ ไม่เว้น แม้ขณะพูด-คุย เรียกง่ายว่าทุกอิริยาบทที่มนุษย์มี จะต้องมีวสีนับ1-10 ต้องการเข้านับ1-10 ต้องการออก.........แล้วถึงตอนนั้นถ้าใครจะเอาไปเจริญ สติปัฏฐาน4 อิริยาบท หรือเจริญกายานุปัสสนา เจริญอสุภะ ก็สามารถทําได้ ในทุกอิริยาบท เช่นกัน ถ้าฝึกแนวนี้ก่อน ผลที่อยากได้พระน่าจะมีได้ เป็นได้ เพราะจิตมีกําลัง ตัดกิเลสแล้วทําแบบนี้หมดทุกข์แน่.........แต่ผู้ที่เริ่มฝึกสติปัฏฐาน4เลยแบบไม่ได้ทรงสมถะ ในอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน จิตไม่มีกําลังแตกไตรลักษณ์ได้ คงหมดทุกข์ยาก.....สมาธิขั้นฝึกแต่ตอนต้นนั่นขั้นฝึก(ต้องนั่งหลับตาก่อน) ฝึกได้แล้ว จะไปเดิน เหิน เหยียดแขน เหวี่ยงขา ต้องเข้า-ออกได้ทุกขณะจิต แบบนี้ไม่จําต้องไปนั่งหลับตา.....พระอาจารย์สอนมาใครอยากทราบเพิ่ม.หรืออยากรู้เรื่องการทรงฌาน หรือปล่อยฌานในอิริยาบท ก็ต้องถามเอา .....ครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์เดินฌานกี่เที่ยว เข้าฌาน4 ออกสมาบัติ8 ถอยจาก ฌาน8-กลับมาฌาน1...เดินจากฌาน1 ขึ้นไปฌาน4 ออกจากฌาน4...ยังไม่ทันจะขึ้นฌาน5 ท่านเสด็จดับขันธ์ในระหว่าง ความว่าง ตรงกลางระหว่างฌาน4 จะขึ้นฌาน5นั่นเป็นลีลาที่พระตถาคตของเราได้แสดงไว้...การฝึกไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่างตั้งแต่เริ่มต้น คงไม่มีผลดี ก็คือ หากนั่งฝึก แล้วเจริญทั้งสติและอิริยาบทด้วยนั้นคงทําได้ยาก  ถ้าทิ้งคําบริกรรมแล้วไปเจริญอย่างอื่น จิตลอย จิตสลาย พาให้จิตฟุ้งซ่าน เพราะปล่อยปัคคาหนิมิต และไม่เกิดผลอะไร เพราะสภาวะนั้นๆ คงไม่มีแรงพอไป สัมปยุตธาตุ สัมปยุตธรรม อะไรได้ เรียกง่ายๆว่า ไม่เกิดผลเลย  ...ยังไงก็ต้องตั้งสมาธิก่อนถ้าจะเอาผลด้วย ก็ต้องให้ได้ลักษณะ รัศมีก่อน อย่างนี้มีผล เพราะจิตที่จะทําวิปัสสนาได้ให้มีผลต้องเป็นจิตระดับไหน ก็คือที่บอกนี้แหละ ...
47  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรื่อง"หมากัดเต่า" เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 03:21:24 pm
       ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จบิณฑบาตร กับเหล่าพระสาวกนั้น พระองค์ทรงให้พระสาวกทั้งหลาย ลองพิจราณาดู สุนัขตัวหนึ่งกําลังกัดเต่า...แล้วพระตถาคตจึงกล่าววาจาถามเหล่าพระสาวก ว่าทําอะไรเต่าได้ใหม แล้วเพราะเหตุใดจึงทําอะไรมิได้ เหล่าพระสาวกจึงตอบพระพุทธองค์ว่า "เพราะเต่า หดหัว หดหาง หดขาทั้ง4 ดึงเข้าไปซุกแอบ ไว้ในรูกระดอง ปิดหมดทั้ง 6 รูกระดองพระเจ้าข้า" พระตถาคตจึงแสดงธรรม แก่เหล่าพระสาวกทั้งหลาย...ย่อสรุปลงว่า
"รูกระดองของเต่า เปรียบเหมือน อายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเราปิดรูทวาร ทั้ง 6 รูแล้ว บรรดากิเลส อาสวะทั้งหลายก็หมด หนทางที่จะหามีช่อง พระสาวกทั้งหลายจงอย่าให้ กิเลสได้ช่อง"เรื่องเล่าพระเทศน์ได้สดับรับฟังมาตามทีวีจ้า.
48  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อธิฐานเข้าสาวกภูมิ กับรอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธฉาย เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 08:30:36 am
    สถานที่ที่เกี่ยวพันกับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(องค์ที่4) สําหรับผู้ที่อยาก อธิฐานบารมี เพื่อขอเข้าสาวกภูมิ ตามคําบอกเล่าของครูบาอาจารย์
      รอยพระพุทธบาท มี 5 รอยดังนี้
   1.รอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี
   2.รอยพระพุทธบาท เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี(ท่านมาโปรดฤาษี)
   3.พระพุทธบาทสี่รอย วัดพระพุทธบาทสี่ี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
   4.รอยพระพุทธบาท(คู่) รอยยืนอยู่ในนํ้าทะเล เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต
   5.รอยที่5(อยู่ในประเทศศรีลังกา)
       (อนึ่งรอยพระพุทธของพระพุทธองค์ ทั้ง5 รอยที่ว่านี้ มีบันทึกในหนังสือมนต์พิธีบาลี)
             รอยพระพุทธฉาย มี 2 รอยดังนี้
   1.รอยพระพุทธฉาย วัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
   2.รอยพระพุทธฉาย วัดเขาชะโงก จ.นครนายก(วัดตั้งอยู่ภายใน โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)
       ลงรูปไม่เป็น ลงแผนที่ไม่เป็น ได้แค่นี้ อยากทราบเพิ่มถามที่พระอาจารย์ครับ
.
       
49  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ลําดับพระกรรมฐาน เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 01:42:34 am
        ลําดับขั้นตอนในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ.
  เริ่มต้นสมถะ
 1.ห้องพระปีติห้า   2.ห้องพระยุคลหก  3.ห้องพระสุขสมาธิ
 ...พระกรรมฐาน สามห้องแรกนี้ ใช้ฝึกตั้งสมาธิ จนถึงสําเร็จอุปจารสมาธิเต็มขั้น 
    ขึ้น(รูปกรรมฐาน)
 4.ห้องอานาปานสติ ๙ จุด
 5.ห้องกายคตาสติกรรมฐาน
 6.ห้องกสิณ ๑๐
 7.ห้องอสุภะ ๑๐
 8.ห้องปัญจมฌาน
...จากข้อที่ 4-8 นั้นเป็น (รูปกรรมฐาน)
  ขึ้น(อรูปกรรมฐาน)
 9.ห้องอนุสสติ ๗
 10.ห้องอัปปมัญญา(พรหมวิหาร)
 11.ห้องอาหาเรปฏิกูลสัญญา
 12.ห้องจตุธาตุววัฏฐาน
 13.ห้องอรูปฌาน
...จากข้อที่ 9-13 นั้นเป็น (อรูปกรรมฐาน)
            (จบส่วนสมถะ)
 ส่วนวิปัสสนา...ในกรรมฐาน มัชฌิมานั้นมีทั้งหมด 9 ห้อง.
 1.ห้องวิสุทธิ ๗
 2.ห้องพระไตรลักษณาญาณ ๓
 3.ห้องพระอนุวิปัสสนา ๓
 4.ห้องพระวิโมกข์ ๓
 5.ห้องพระอนุวิปัสสนาวิโมกข์ ๓
 6.ห้องพระวิปัสสนาญาณ ๑๐
 7.ห้องพระโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
 8.ห้องสังโยชน์ ๑๐
 9.ห้องออกบัวบานพรหมวิหาร.
            (จบ...สมถะ-วิปัสสนา-จบกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ)....จากคําสอน-ตําราบูรพาจารย์.
50  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชักชวนผู้ที่เคยสวดมนต์เป็นประจํา มาเริ่มทําสมาธิในปีใหม่ไทย(เริ่มที่วันดีที่สุด) เมื่อ: เมษายน 13, 2011, 03:50:34 pm
              การสวดมนต์  คือการบริกรรมวิตก วิตกในมนต์ กลัวผิด ตอนเริ่มสวดมีจิตตั้งมั่น เมื่อรู้ว่าสวดไม่ผิด จิตพอใจ จิตปล่อย (เพราะเคยฝึก ตั้งจิต ปล่อยจิตมาแล้ว)  เมื่อจิตปล่อย แต่ก็ยังให้จิตบริกรรมวิตกอยู่ เมื่อมนต์ยังสวดไม่จบ บางท่านหลับตาสวดด้วย เพราะสวดนาน หลายบท แต่จํามนต์ได้หมด (และอาจเคยสัมผัส ลักษณะธาตุปีติ พื้นฐานมาแล้วหลายธาตุ)......เช่น ความมึนตึงเวียนหัว ความร้อน ความเย็น ...ขณะสวดมนต์ หัวนิ้วโป้ ชนกัน ธาตุเดินคือหมุนเวียน-คนที่นั่งสมาธิมือก็ต้องทับกัน หัวนิ้วโป้ชนเช่นเดียวกัน ท่านอาจจะเข้าสู่ปีติแบบไม่รู้ตัวมาบ้างแล้ว เมื่อมาฝึกสมาธิ  จึงทําได้ไว สิ่งที่มาจัดแต่งบ้าง...1บริกรรมเป็นจังหวะจะโคน(อาจใช้ พุทโธ1 พุทโธ2แบบนับ ปรับจังหวะเสียงการบริกรรมให้ห่างกําลังดี)......2.ตั้งจุดที่ใต้สะดือ 2นิ้วขึ้นมา.....3.อุเบกขา การปล่อยอารมณ์ได้มาจากที่เคยสวดมนต์มีแล้ว เอามาใช้ได้เลย ส่วนการหลับตา เคยทําแล้วตอนสวดมนต์ อย่างท่านที่จํามนต์ได้แต่ต้องสวดยาว เพราะมีหลายบท พวกนี้จะไปไวมาก เพราะงานตอนที่หันมาฝึกสมาธินั้น มีน้อยกว่าเดิม แค่มาปรับ และ เปลี่ยนงานวิธีนิดหน่อย :character0029: :character0029: :character0029: :035: :035: :035:.
51  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขณะบรรจงเก็บดอกไม้ถวายพระสังฆราช(สุก)มีธรรมบทหนึ่ง พรึ่บขึ้นมา เมื่อ: เมษายน 11, 2011, 12:13:57 pm
ความร้อนในใจคือธาตุขวางใจมิให้ไปดี ....ต้นเหตุเลยมันเกิดมาจากความวิตก(ธาตุดิน)วิตกโน่นกังวลนี่ ไฟ (ธาตุไฟ)ก็ตามตูดมาเลยมีสุข มีทุกข์ร้อนๆ ให้ครุ่นคิด วิจารย์ ความรู้มาเต็มเลย แต่หัก คือหาที่ลงหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะใจยังหาธาตุนํ้า คือความยินดี ความยอมรับความจริงไม่เจอ (ธาตุนํ้า)เป็นธาตุเย็น ความเย็น ใครมีธาตุนี้มาก ยอมรับฟังคนอื่นได้มาก ไม่ขวาง แต่จะเชื่อไม่เชื่ออีกเรื่อง อยู่ที่ญาณของใครของมัน เป็นธาตุยอมรับฟังครูอาจารย์ด้วย ธาตุวิเศษ ส่วนธาตุลมก็กําลัง เล่าอยู่ พัดลมอยู่นี่ (ธาตุลม)ความคิด ถ้าไม่มีลมพัด เล่าไม่ได้ ถ้าลมหยุดพัด ความคิดหยุดลมก็หยุด ก็ถึง(ธาตุอากาศ) เพราะอากาศมันต้องนิ่ง ว่างอย่างเดียว .....ปีติ5มี5ธาตุ...วันหนึ่งคิดกี่เรื่อง คิดกี่รอบ มัวมันในดิน นํ้า ลม ไฟ ว่ายในภพ 3...นรก สวรรค์ ทั้งวัน...เกี่ยวกับกรรมฐานโดยตรง เพราะเดินจิต กันทั้งวัน เก่งด้วย..แต่ไม่รู้ตัว.....พระชอบพูดว่า...กรรมฐานมันอยู่ที่ตัว.....แต่เป็นแบบโลก โลกียะ กรรมฐานที่มีภพปน จึงต้องมาเรียนรู้เป็นขั้นๆ ขอเรียงไว้แบบของครูอาจารย์ ในกรรมฐาน ธาตุไฟดับธาตุดิน ธาตุนํ้าดับธาตุไฟ ธาตุลมดับธาตุนํ้า ธาตุอากาศดับธาตุลม...ที่กล่าวมาคือจุดประสงค์ของการทําสมาธิ-ส่วนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ คือเครื่องคืออุบายที่จะทําให้เราออกจากทุกข์ตรงนั้นได้....เสร็จแล้วครูจะสอนทําความเข้าใจให้ รู้ เป็นสมถะ เมื่อครูสอนให้รู้แล้ว เราปล่อย ก็เป็น วิปัสสนา เมื่อเวลาที่จิตมันเข้าใจแล้วมันไม่เอาไว้หรอก ปล่อยหมด อันนั้นเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ที่มาเกิดบนโลกนี้ มีทุนอยู่ เป็นของเดิม เกิดมาก็นําติดตัวมา พูดถึงเรื่อง อารมณ์รู้ กับอารมณ์ไม่อยากรู้ มีทุกคน แต่ที่ต้องทํากรรมฐานก็เพราะ อยากหมดทุก ปรุงแต่มากหาทางออกไม่ได้มันก็ทุก ก็มาเรียนวิธีปล่อยกัน ที่นี่แหละ ครูอาจารย์ท่านสอนได้หมด แต่ถ้าจะเอา ต้องจัดสันตัวเอง และอยู่ หรือปฏิบัติไปตามอุบาย วิธีของครู .....ผู้ที่ลังเลสงสัย คือลมยังแรง ดินยังแรง ไฟยังแรง หาความยอมรับที่ธาตุนํ้า ยังไม่เจอ....ผู้ที่อยากฝึกธาตุนํ้า ทําได้โดย ไปสละ ทําทาน ทานมีตั้งหลายวิธี แล้วเมื่อมาฝึกกรรมฐาน มันง่าย เพราะได้การยอมรับความจริงมาบ้าง เมื่อ วิตก ทุกข์ สุข เบาลง เพราะถูก การยอมรับความจริงทําลาย นํ้าทําลายดินไฟได้ จิตเริ่มเย็น และพร้อม ที่จะประกอบ กุศลกรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น ศิล สมาธิ ปัญญา นั่นคือจิตที่เคยอยู่ฟากกุศล และสามารถ น้อมพาตนเข้ามาสู่เส้นทาง ที่จะออกไปกัน เพราะที่นี่ไม่เหงา ที่นี่มิสับสน ที่นี่มี ครูบาอาจารย์นําหน้าเรา เดินตามครูไม่ผิดหรอก.....ออกหน้าครูเดินแซงครูไม่เอา หลงทางมันเสียเวลาต้องมาเกิด..ไม่ช้าไม่ไว ไปตามลําดับ.
52  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ชาวเมืองนี้เค้าเก่งเรื่องฐานจิต"กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เกิดแต่คราวพุทธกาล เมื่อ: เมษายน 11, 2011, 09:52:43 am
ผมจําชือจริง ของเมืองนี้ไม่ได้นะ ใครรู้เอามาเสริมหน่อย เป็นเมืองที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลือกแสดง สติปัฏฐาน4 เทศนาสูตรนี้ให้ชาวเมืองนี้ได้ฟัง เพราะท่านเล็งเห็นโดย...ว่าเหตุพร้อม ชาวเมือง เต็มด้วย ศิลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์.......เมื่อพบหน้ากัน...เค้าถามกันว่า...ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน...แสดงว่า..เค้ารู้เรื่องฐานจิต...ขนาดพบกันเค้าไม่มีเรื่องสัพเพเหระ...เข้าเรื่องจิตเลย ฐานจิตเลย สมัยที่ผมเป็นเด็กนักเรียนประถม ครูใหญ่ เล่าพุทธประวัติทุกเช้า "ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน"ผมจําคํานี้ได้ ประติบประต่อ แล้ว รู้สึกเคยอ่านพบตามหนังสืออีกครั้งหนึ่งว่ามันเหมือนคําของครูใหญ่"ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน" เพราะเรื่องการเดินจิต เรื่องการสลับฐานจิต เลื่อนฐาน ขยับฐาน เข้าวัด-ออกวัด อนุโลม-ปฏิโลม นั้น.....ต้องมีเฉพาะ..กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เท่านั้น พุทธกาล-อยุธยา(รุ่งเรืองเรืองมากเรื่องกรรมฐานนี้)แล้วก็มาถึง สมเด็จพระสังฆราช(สุก)ไก่เถื่อนบรมครูแห่งยุค รัตนโกสินทร์ มาหย่อนตอนแบ่งสงฆ์ 2ฝ่าย ช่วงรัชกาลที่4 เอาพระพม่าเข้ามาสอน ตั้งเป็นธรรมยุท...ช่วงรัชกาลที่1-2-3 พระจับตังค์ได้ทั้งหมด มีพระบรรลุธรรมมาก เนื่องด้วยสมัยนั้นได้เรียนของแท้กัน และมีกรรมฐานเดียว เจ้าแผ่นดินท่านตั้งพระบอกกรรมฐาน ใครไม่มีใบตราตั้งห้ามสอน..ผลดีเรื่องการปฏิบัติ จึงบรรลุคุณธรรมกันมาก เพราะได้เรียนของแท้กัน ก็สุดแล้วแต่บุญแล้วแต่วาสนา...จงตั้งอธิฐานเอาเอง.
[/i]
53  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผลการปฏิบัติ วัดที่ความตั้งตรง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อตัวไม่เชื่อใคร เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 07:39:45 pm
ความตั้งใจที่มี ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมให้มีเกิดขึ้นที่ใจเจ้าของ เป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือบารมี....บารมีคือ ความตั้งใจ กําลังใจ ที่จะทํา ที่จะปฏิบัติ นั่นคือบารมี ของจริงที่จะทําให้เราสําเร็จได้
    และอีกอย่างคือความตั้งมั่น ตามอุบาย คําสอน ของครูบาอาจารย์ ความเห็นทั้งหลายของเรา ยังไม่ใช่ของแท้ หยุดสําเร็จทุกอย่าง  ถึงมันจะเห็นเราก็ไม่เอากับมัน พูดถึงการปรุงแต่ง ที่เป็นความเห็น หรือสังขารทั้งหลายแหร่ เป็นการฝึกแบบไม่มีความเห็นไปตั้งแต่เริ่มแรก ความเห็น ก็คือ ความหงุดหงิดรําคาญใจ ทั้งหลายทั้งปวง เป็นสังโยชน์ด้วย ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องมีปฏิเวธ สามารถเช็ค ความหงุดหงิดได้ ในความเห็นที่เป็นทุกข์ เป็นสุขทั้งหมดที่มีในโลก ว่ายังเห็นมากเท่าใด ผลปฎิบัติตรงนี้เป็นตัววัด สิ่งที่ได้ของใจเจ้าของ คงไม่ต้องเอามาถามกัน เพราะเป็นปัจจัตตัง ....หากการฝึกของแต่ละคนดับข้างในมาดิบดี ในโลกก็ต้องเบา ไม่ต้องพูด คือดูจิตตัวเองรู้ ว่าหงุดหงิด ไม่หงุดหงิด อย่างไร
  ในภาษาของครูบาอาจารย์ ท่านว่าไว้ ว่า ใครนั่งทุกข์ ใครนอนทุกข์ ใครเดินทุกข์ มีน้อย มีมากแค่ไหนรู้เอง เห็นเอง ว่า ภาวนาจริง ภาวนาไม่จริง สรุปลงให้ไปดับมาจากข้างใน  ข้างในยึดถือมาก ในโลกก็ยังไม่เบา ข้างในอยู่กับงาน 3 อย่างได้ดี ข้างนอกก็ดี เบาไปด้วยตามกัน ว่าไปตามปีติ .....ใครภาวนาดี สติดี อุเบกขาดี ก็ได้อุเบกขาออกมาใช้ในโลกด้วย เบาด้วย
54  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การเดินทางของคําบริกรรม"พุทโธ"เหมาะสมกระทัดรัด เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 08:14:07 am
"พุทโธ"ไม่มีคําใดเข้ากับเสียงหัวใจเท่ากับคํานี้ "พุทโธ"คือพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามี พระพุธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ไปกับเราตลอดที่มี คําว่า พุทโธ อยู่ "พุทโธ เหมาะสมกระทัดรัด
     1.พูด"พุทโธ"ที่ตาในลงใส่ ปัคคาห(จุด)สมาธินิมิตฐานจิตเครื่องหมาย เคลื่อนลงใส่ ให้แม่นยํา...เราก็ประคองคําพุทโธ1 วิ่งใส่ลงไป...พนอคําว่าพุทโธ1 วาดใส่ลงไป ใส่แล้ววิ่งกลับขึ้นมา หยุด ตรงตาในหรือหว่างคิ้ว เพื่อรอลงไปพร้อมกับการบริกรรมพุทโธ2....พุทโธ3..พุทโธ4..พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    2.ได้สร้างจิต(ความคิด) ที่ใส่ลงไปที่ฐาน ที่ใต้สะดือ 2 นิ้ว(ธาตุดินพุทธคุณ)....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    3.จิตสร้างพุทโธ วิ่งลงไปที่ฐานจิต แล้ววิ่งกลับขึ้นมา ที่ตาในหว่างคิ้ว เพื่อพร้อมวิ่งลงไปรอบใหม่....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    4.สร้างพุทโธ 1 ครั้ง วิ่งลงไปได้-วิ่งขึ้นมาได้ เกิดความพอใจ....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย.
    5.ใส่พุทโธ เพลินขึ้น-เพลินลง เป็นเส้นตรง ได้ไม่หลง การขึ้นลง.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย.
    6.กายหนักเป็นหินบ้าง-กายร้อนเกิดเวทนาบ้าง-กายเย็น-กายขยาย-กายด้บเงียบ-กายสงบช่วงหนึ่ง เราก็ยังวิ่ง ขึ้นลงอยู่กับคําบริกรรม ฐานจิต อุเบกขา ก็ดํารงค์อยู่ใน.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    7.หูดับไม่ได้ยิน ได้ยินหัวใจเต้นเป็นเสียงพุทโธ ปากก็ต้องท่องพุทโธวิ่งขึ้น-วิ่งลงอยู่อย่าขาดบริกรรมพุทโธ......พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    8.บริกรรมพุทโธ อัดจนตัวพองลูกโป่ง ลมอั้น ก็ไม่เป็นไร วิ่งขึ้นลง ด้วยพุทโธ .....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    9.บางครั้งลมวิ่งมีนํ้าหนักมาก ก็ยังวิ่งลงวิ่งขึ้นอยู่กับงาน พุทโธยังเป็นเหมือนครู.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
     10บางครั้งมีสีวิ่งขึ้นมาด้วย วิ่งลงไปด้วยในคราวหนึ่ง เราก็ยังจับพุทโธอยู่ ......พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    11.บางคราวพุทโธเข้ากับเสียงหัวใจ พอดี เรายังพอใจที่จะพูดพุทโธ และวิ่งขึ้น-วิ่งลงอยู่....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    12.บางคราวนั่งเฉย เสียงหัวใจ บริกรรมพุทโธให้ พุทโธปากเราลืมบริกรรม ก็คว้าใหม่ เพราะพุทโธเหมาะสมกระทัดรัดไม่มีที่สิ้นสุด เห็นลมวิ่ง ขึ้นลงอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นฐานจิตอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นอุเบกขาอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นความได้แรงลมขึ้นลงอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด พลังมี แรงกายแรงใจมี และมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คู่ไปตลอดสายการงานที่ใจ เจ้าของคือเรา ไม่ทิ้งงาน ไม่หนีงาน จิตควรแก่การงานพร้อมหมุนลม หมุนนิมิต จิตตั้งมั่นทํางาน พร้อมเจริญทุกกรรมฐานที่ครูบาอาจารย์มอบให้เราทํา
       อย่าลืมส่งอารมณ์ แจ้งอารมณ์ ครูบาอาจารย์ กันด้วย นะอย่าลืม ความก้าวหน้าจะมีได้ เป็นได้ ต้องแจ้งอารมณ์ :08:
55  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย 16 ประการ เมื่อ: เมษายน 06, 2011, 10:34:17 am
ลองอ่านดูทั้งสามกาล
  ความสงสัยในอดีต 5
     1.ในอดีตกาลเราเคยเกิดมาแล้วหรือ
     2.ในอดีตกาลเรามิเคยเกิดมาเลยหรือ
     3.ในอดีตกาลเราเคยเกิดเป็นอะไรหนอ
     4.ในอดีตกาลเราเคยเกิดเป็นอย่างไร
     5.ในอดีตกาลเราเกิดเป็นอะไร
   ความสงสัยไปในอนาคต 5
     1.ในอนาคตเราจะเกิดอีกใหม
     2.ในอนาคตเราจะไม่เกิดอีก
     3.ในอนาคตเราจะเกิดเป็นอะไรหรือ
     4.ในอนาคตเราจักเกิดเป็นอย่างไร
     5.ในอนาคตเราจักเกิดเป็นอะไร
ความสงสัยในปัจจุบัน 6
     1.บัดนี้เรากําลังเป็นหรือ
     2.บัดนี้เรามิได้เป็นหรือ
     3.บัดนี้เราเป็นอะไรหนอ
     4.บัดนี้เราเป็นอย่างไรหนอ
     5.เรามาจากไหนหนอ
     6.เรา(ตายแล้ว)จะไปไหนหนอ
           ลองไปฝึก
   -ตรงหน้าพระพุทธ องใหญ่ๆ
   -ตรงหน้ารูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       มนต์เสน่ห์ในพระพุทธศาสนา ศรัทธาจะเพิ่มทวีคูณ ความสงสัยจะเบา ความเลื่อมใสจะมาก ทิ้งรูปแบบ ไปแบบวิเวก(ผู้เดียว)น่าจะสัมผัสไออนูแห่งพระพุทธองค์ได้บ้าง สุดแล้วแต่ ว่าใครทําอุบายไว้ในใจแยบคายเท่าใด
56  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผู้ที่ไม่รู้อะไร เรื่องภาวนา อาจไปได้ไวกว่าผู้ที่รู้ เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 04:05:30 pm
เพราะ
  1.ความฟุ้งซ่านน้อย
  2.เมื่อจิตเอาเพียงแค่งานที่ฝึก ก็เหมือนถือของที่หนักไว้น้อยกว่า
  3.เพราะไม่รู้อะไรจิต จึงไม่มีสัญญาที่รู้ๆมารบกวน
  4.แค่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพียงพอ
  5.เข้าสู่สมาธิ ได้ไวโดยไม่รู้ตัว
  6.ความรู้มากๆเป็นของหนัก
  7.แค่จับงานในสมาธิ (งาน3อย่าง)ให้ถูกก็เพียงต่อการเข้าถึง
  8.ปล่อยอุเบกขาเป็น
  9.บริกรรมเป็น
  10.วางจุด(ปัคคะหะ)เป็น
  11.มีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร
 
 
57  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติธรรม ในพระพุธศาสนา ย่อมมีเป้าหมาย. เมื่อ: เมษายน 04, 2011, 06:03:19 pm
แตกต่างกันตามระดับ ดังนี้
   1.การปฏิบัติเพื่อความเป็นเทวดา เพื่อเป็น หรือไปเกิด เป็นเทวดา นางฟ้า เป็นเป้าหมายขั้นต้น อันนี้เกิดจากการรักษาศิล  และ ให้ทาน เรียกว่า "ทานศิลภาวนา"ในความเข้าใจนั้น ศัพท์ทางธรรม เรียกว่า ทานมัย และ สีลมัย
   2.การปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ หรือเป็นพระพุทธเจ้า คือผู้บําเพ็ญบารมี 30 ทัศ อย่างเหนียวแน่น ซึ่ผู้ปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมเป็นผู้ต้องการอยู่ในพุทธภูมิ หัวข้อนี้จะไม่ขอกล่าว เพราะเป็นเรื่องของบุคคลที่ความปรารถนาสูง เพราะต้องมีการบําเพ็ญบารมี 3 ระดับ คือ 1.สามัญญะบารมี 2.อุปะบารมี และ ปรมัตถะบารมี จึงจะสมบูรณ์
  3.การปกิบัติธรรมเพื่อความเป็นพรหม คือปฏิบัติ เพื่อเป็น หรือ ไปเกิดเป็นพรหม เป็นเป้าหมายขั้นกลาง อันนี้เกิดจากการบําเพ็ญจิต ให้ตั้งมั่น "สมาธิภาวนา" ในความเข้าใจศัพท์ทางธรรมเรียกว่า ภาวนามัยชั้นต้น
  4.การปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือปฏิบัติเพื่อละสิ้นจาก ภพ จาก ชาติ จากการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ เป็นเป้าหมายขั้นสูง ของพระสาวก หรือเรียกง่ายๆว่า สาวกภูมิ คือผู้ที่ต้องการเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าสู่นิพพาน อันนี้เป็นเกิดจากการบําเพ็ญ จิตให้สูงให้สิ้นจาก กิเลส ตัณหา อุปปาทาน  เรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา"ในความเข้าใจศัพท์ทางธรรมเรียกว่า ภาวนามัยชั้นสูง เพราะประกอบด้วยการทําไว้ในใจโดยแยบคาย และ ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ทุกอิริยาบท ทุกลมหายใจ เข้า และ ออก ด้วยความเพียรที่สมํ่าเสมอ...ตําราครูบาอาจารย์
     
   
58  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การเห็นสภาวะแบบนี้ ไม่ใช่สติ เป็นกิเลส เมื่อ: มีนาคม 29, 2011, 02:28:32 pm
               ให้แยกสติออกมาอย่าหลงมัวเมา สิ่งเหล่านั้นคือ"เวทนานุปัสสนา"เรากําลังหลงนาม นั่งเป็นรูป รู้ว่านั่งเป็นนาม รู้ว่าพอใจ ในสิ่งไหนอยู่...10อย่างนี้ คือหลงนาม แยกสติ ออกมา อย่าหลงเพลิดเพลินชื่นชม เรากําลังหลงนาม
          อุปกิเลส10
        1.โอภาโส  เห็นแสงสว่างแจ่มใสงดงาม
        2ญาณ      ให้บังเกิดญาณรู้เกินกว่าปกติ
        3ปีติ          ให้เกิดความยินดียิ่งกว่าปกติ.                               
        4.ปัสสัทธิ   ให้สงบกายและระงับจิต เกินกว่าปกติ
        5.สุข     ให้เป็นสุขมากกว่าปกติ
        6.อธิโมกโข    ให้มีอินทรีย์อันกล้ากว่าปกติ
        7ปัคคาหะ(ปัคคาโห) ให้มีความเพียรมากกว่าปกติ
        8.อุปัฏฐานัง     ให้มีสติมากกว่าปกติ
        9.อุเปกขา      ให้มีจิตเป็นอุเบกขา มัธยัสถ์มากกว่าปกติ.
        10.นิกันติ     ให้มีตัณหารักใคร่ชอบใจในธรรมอันมิสมควรนั้นมากเกินไป
                ใครกําลังหลงนามกาย ว่าเป็นสมาธิ ให้แยกสติออกมา
        (ต่อ) เมื่อความสงสารมันเกิดขึ้น..ว่าจะหยุดซักระยะ....คงต้องทําต่อ
                               วิธีออกจาก อุปกิเลส 10
   มาถึงตรงนี้ ถ้าใครส่ง อารมณ์ กับพระอาจารย์บ่อยๆคงพอเข้าใจคงไม่ต้องกังวน เพราะ พระอาจารย์จะบอกโป้งๆเลย ท่องศัพท์ ปริยัติ 10ข้อนี้ไว้ให้ดีๆจําให้แม่น หรือ จดไว้
      ออกได้ เมื่อรู้เมื่อเห็น ที่จิต..ไปเกาะกับสิ่งเหล่านี้ได้ (จิต ในที่นี้คือ การปรุงแต่ง) ในอารมณ์ขณะนั้น .........เป็นเพราะ (งาน 3อย่างหาย) เหลือไม่ครบ ลองสอดส่องตรวจตราดู ต้องมีอย่างใด อย่างหนึ่งอย่างใด หลุดไป จิตมันเลยว่าง ไปหาที่พอใจเหล่านั้นได้ หรือบางทีก็ทิ้งหมด นั่งเฉยๆ ไปเลย...นั่งเฉยเป็นกิเลสเต็มๆเลย พระอาจารย์บอกเสมอว่า อย่านั่งเฉยๆ เรายังไม่ใช่ พระอรหันต์ ต้องเอาจิตทํางานๆ นั่งเฉยนั้น นั้นไม่ได้อะไร ใครอยากเป็นพระอริยะต้องเอาจิตทํางาน 3 อย่าง นี้ตลอดกาลตามกาล เพราะงานจะพาเพิกสันตะติ...งานพาหนี การสืบต่อของ รูป นาม ไปตลอดระยะเวลาที่เราฝึก  พาเราออกจากกิเลสไปตลอดเส้นทาง ก็ให้ถือว่ามันเป็นธรรมดาไม่ต้องซีเรียส เพราะเป็นกันทุกคน คว้าธรรมบ้าง คว้ากิเลสบ้าง...รู้แล้วปล่อย...กลับเข้างาน 3 อย่าง นี้คือ มรรค มรรคแปลว่าทาง
 ทวนอีกรอบ 1.บริกรรมนิมิต บริกรรมพุทโธ ลงไปใส่ฐานจิต สภาวะเฉพาะตรงหน้ามีพุทโธ อยู่ที่รูหูได้ยินตลอด ไม่ต้องดูลมหายใจ ไม่ตายหลอก อย่างนักร้องที่ร้องเพลง เมดเล่ย์ เร็วๆก็ไม่ตาย ลมมันต้องรอดหาทางออกของมันได้ ท่านจะเข้าปีติได้ไว เรากําลังฝึกโพชฌงค์เพื่อเข้าให้ถึงลมดับ คือสมาธิขั้นสูงขึ้นไป ไม่ต้องไปกังวนเรื่องลมหายใจ
      2.ปัคคะหะนิมิต จุดที่ใต้สะดือ 2 นิ้วต้องอยู่ ดึงพุทโธลงมาใส่ไว้ บางทีอาจยังไม่เห็นสีจุด ก็ไม่ต้องคิดมาก ใส่ให้ตรงจุดไว้ก่อน เดี๋ยวห้องต่อๆไปก็เห็นเอง อย่าเพ่งไปอยากเห็น ห้องแรกยังไม่ได้ให้ดูสี ให้รู้ว่ามี ให้รู้ว่าถูกจุดเป็นใช้ได้
     3.อุเบกขานิมิต ความปล่อยวางจิต ปล่อยยังไง สุขใดมารู้แล้ววาง ทุกข์ใดมารู้วาง ไม่ต้องถึงกับไปเฝ้าดูนะ ถ้าไปเฝ้าดูมาก เดี๋ยวงานจะหาย งานสําคัญยิ่งกว่าอะไร
      เมื่อเจอเวทนา...เจ็บปวด(เรียกว่าการสับคืบปีติ)แสดงว่าเราทรงไว้ซึ่งงาน ทําได้ดี ก็อย่าทิ้งงาน3อย่าง อย่าไปเฝ้าดูความปวด ถ้าอยู่ที่งานจะหายไว ไม่ต้องไปมองดูบ่อยว่ามันจะหายเมื่อไร ดูจะเจ็บกว่าเดิม เดี๋ยวงานหาย ค่อยๆทําไป ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ(ปีติ5)ค่อยสับคืบ เข้าคืบไป ทีละ1ธาตุ ให้แจ้งอารมณ์ที่พระอาจารย์สนธยา ใครแจ้งบ่อยก็ได้เลื่อนธาตุบ่อย ห้ามจํามาตอบท่าน อย่างนั้น เท่ากับไม่เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอาจารย์ท่านเห็นหมด การโกหก เพราะอยากก้าวหน้า ไม่เอา ศิลเป็นสิกขาแรก สมาธิเป็นสิกขาที่2 เราอยากได้ปัญญานั่นสิกขาที่3
    ห้องปีติ 5 ห้องยุคล 6 ห้องกายสุข-จิตสุข(3ห้องแรกนี้เรียกว่าห้องพุทธคุณ-หรือห้องพุทธานุสสติ)เน้นความเคารพครูบาพระอาจารย์เป็นที่ตั้ง ใครอยากสําเร็จ ก้าวหน้า ต้องแจ้งอารมณ์ที่พระอาจารย์ อย่างห้องปีติถ้าแจ้งอารมณ์ หรือ พบครูบาอาจารย์ตลอดเป็นระยะ 1ปีน่าจะผ่านได้ จะให้ผ่านไม่ผ่านอยู่ที่พระอาจารย์ อย่างพวกเราให้ได้แค่กําลังใจ รับปรึกษาได้เท่านั้น แต่ผลสมาธิต่างๆของตัวท่าน หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เรามีพระอาจารย์ ควบคุมให้ เราเป็นผู้ฝึกและปฏิบัติ ผล อยู่ที่คํายืนยัน ว่าเราได้อะไรๆ ฝึกกับครูบาอาจารย์ที่เห็น ก็ดีกว่าฝึกกับสํานักที่ปล่อยให้เราทําเอง .....และไม่ได้รับรองอะไรให้เรา อย่างไหนดีกว่า
   อย่างตัวเราเอง เป้าหมายสูงสุดของการฝึกตน....คือ ไม่เกิด (ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น)อะไรจะใหญ่กว่านี้.....เราว่าไม่มี
         :043: :043: :043:คําสอนพระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า... :043: :043: :043:
               
     
59  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระนวหรคุณ เกิดภายหลัง พระสมาบัติแปด(ขยายความเรื่องพลังปราณ..พลังจิต..นั้นๆ) เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 11:02:32 am
:smiley_confused1: :043:ครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟังไว้ดังนี้ ขอเล่าพอสังเขปพอนะ....ไม่อยากให้ติดฤทธิ์ ติดเดชมาก ปรุงแต่งมาก ปีติมันกระพือ มันจะเข้าไปนอนอยู่ในอนุสัย..อภิญญาใช้ได้แค่ชาตินี้ ชาติเดียว ชาติหน้าแค่เทวดาท่านก็มี เจโต กันทุกองค์ อวดใครไม่ได้ เพราะเค้ามีกันหมด....พระองค์ใดใช้ฤทธิ์เยอะ ก็ทอนอายุตัวเองให้สั้นไป สั้นไป ใช้ฤทธิ์เยอะ อายุสั้น ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้เลย...ฤทธิ์ของพระอริยะ สามารถทอนอายุ ให้ ผู้เป็นบิดา มารดาได้แค่ 2 คน คนอื่นไม่ได้.........เรียงไว้ให้ดู..เริ่มจากลําดับต้น...ผู้ที่ได้แต่ลักษณะ ไม่ได้พระรัศมิ คือ พระสุกขวิปัสสก...ส่วนผู้ที่ได้ ทั้งพระลักษณะ พระรัศมี ก็จะเข้า...พระวิชชา 3....พระอภิญญา 6....พระสมาบัติ 8(ได้ทั้งวิชชา3+ได้ทั้งอภิญญา6)....ต่อไปคือพระ...พระนวหรคุณ(สูงกว่าสมาบัติ 8 )......
            ผู้ที่ได้พระนวหรคุณ....ได้แล้ว จึงเข้า พระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัตผล...แล้วแต่ว่าทําได้แค่ไหน(เรียกง่ายๆว่าได้พระช้ากว่าเค้าเลย ) ส่วนใหญ่...จะมีวิชาเดินจิต...เดินธาตุ  ท่านเหล่านี้ จะไม่ชอบปลุกเสกวัตถุมงคลใดๆ จะมุ่งเสก..เสกแต่สาวกภูมิถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว ชอบอยู่เฉยๆไม่แสดงฤทธิ์ เพราะท่านรักพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรมวินัย...ใครที่เข้ามาปฏิบัติ ต้องศรัทธาที่พุทธานุสสติ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ส่วนพระนวหรคุณที่ไม่ได้สอนกรรมฐานก็มี.....เช่นพระที่ช่วยแก้ทุกข์ให้มนุษย์โลกท่านมีหน้าที่ของท่านทุกองค์.... เป็นเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมา....เพราะในธาตุของผู้ปฏิบัติ .........ความบังอิญ ไม่มีในพระพุธศาสนา..ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้กําหนดไว้หมดแล้ว...อย่าดันทุลัง..สังขาร.เพราะดันทุรังไป..ก็ไม่ได้อะไรหรอก.....ได้แค่ลู่อยู่กับลม...ลมน่ะมันเป็นเรา...ไอ้เรามันก็ไม่จริง..ถ้าจริง..มันต้องไม่ตาย...
       อารมณ์อนัตตาไม่มีของคู่ ไม่มีมิตร ไม่มีศัตรู-ขาวไม่มี ดําไม่มี ...เอาแค่กลางๆทางสายกลาง..คือ มัชฌิมา แบบลําดับ(เรียนตามขั้นตามตอน)....ต้องขึ้นกรรมฐานก่อน..มีสิ่งที่ต้องสงวนไว้อีกมากเล่าไม่ได้...คงไว้แค่ศิษย์.........ที่ยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐานก็ฟังได้เท่านี้ก่อน..เราต้องเคารพครูบาอาจารย์ของเรา.....ถ้าใครอยากทําได้ก็ต้องฝึกโพชฌงค์ 7...ให้เสร็จ..เสร็จโพชฌงค์แล้วจะได้ไม่หลง....เพราะโพชฌงค์มีทั้ง 2 ส่วน ทั้งสมถะ-วิปัสสนา.....และโพชฌงค์7คือรากฐานของ....อานาปานสติ........และอานาปานสติ ก็ไม่เคยทิ้งโพชฌงค์7..............คําสอนตําราครูบาอาจารย์ . :043: :043: :043:.
60  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เพิกสันตะติ หรือสันตะติ เป็นไฉน. เมื่อ: มีนาคม 25, 2011, 08:47:01 pm
สันตะติ แปลว่า ความสืบต่อของรูป นาม เมื่อ(สันตะติขาด)จึงจะเห็นพระไตรลักษณ์ขั้นที่3นี้ได้ ผู้ที่จะเห็นพระไตรลักษณ์ ขั้นนี้ได้ ต้องเพิกถอน สันตะติ เสียก่อน เพราะ สันตะติ บังมิให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเพิกสันตะติได้แล้ว อนิจจะลักษณะ ย่อมปรากฏ...ตามความเป็นจริง....คําสอนตําราครูบาอาจารย์.
61  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สติปัฏฐาน..สําหรับมนุษย์ยุคชอบสุข..หลงตัว..หลงตน..อย่างเราๆ. เมื่อ: มีนาคม 25, 2011, 08:15:07 pm
"พระพุทธองค์ตรัสว่า "หลังกึ่งพุทธกาล อภิญญา6 จะเกิดมาก".....เหตุเพราะเป็นยุคของเทคโนโลยี ความสะดวก สบายหันหาอะไร ก็ครบหมดไม่ขาดอะไร ความพอใจมีมาก จิตมนุษย์ เราท่าน จึงติดสุขกันโดยส่วนใหญ่ การปฏิบัติธรรม บรรลุยาก กว่าครั้งพุทธกาล...
           ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า...สอนว่า.....กายานุปัสสนา ไม่ต้องทํา ให้ดูเวทนานุปัสสนา (กองเดียว)ถ้าปล่อย เวทนาได้ ก็จะเข้าสู่ จิตตานุปัสสนา เข้าธัมมานุปัสสนา ของเค้าเอง
          พวกโมหะจริต ใช้ชีวิต ด้วยธาตุลม ธาตุอากาศ...เพลินในลมเพลินอยู่ในความคิด และเพลินในอากาศ เพลินในความนิ่งๆอยู่...พวกนี้กายไม่ได้ทุกข์ จิตทุกข์ กายานุปัสสนา ไม่ต้องทําเพราะทุกข์ทางกายไม่มี  มีแต่ทุกข์ที่ใจ เป็นพวกที่จิตเอาสุข และติดรู้....
            เวทนานุปัสสนา ดูยังไง....ดูว่ามันมีแต่...ความชอบ...ความไม่ชอบ.....และควมเฉยๆ...ความเฉยๆนี่เป็นกิเลสนะ เพราะมันเตรียมพร้อมที่จะเป็น...ชอบ กับ ไม่ชอบ อีก กลับไป กลับมา อยู่ตลอดแบบนี้ ทั้งวัน และ ทั้งคืน ตลอดจนกว่าเราจะ........นั่นคือภพ3
            จะแก้อย่างไร.....ฝึกกรรมฐานวันละ 30 นาที ด้วยอารมณ์อย่างนี้ว่า.....ตั้งใจมากไป ก็ไม่ได้(ความอยากมี อยากเป็น มันโด่งไป)...ไม่ตั้งใจเลย ก็ไม่ได้(พาเกียจคร้าน) ต้องกลางๆ วัดลิมิต ด้วยตัวเอง คือหาขนาด หาปริมาณ ที่มีผลของตัวเอง และจําอารมณ์(วสี)นั้นๆเอาไว้...อย่าใส่ความคิดอื่นลงไป....นอกจากงานกรรมฐาน 3 อย่าง(หาอ่านได้ในเว็บไซด์แห่งนี้สําหรับผู้มาใหม่ที่ไม่เข้าใจ).....การที่คนเราจะเปลี่ยนนิสัยได้....ต้องใช้กรรมฐานช่วยแก้ให้......แก้จากในกรรมฐานเท่านั้น...ผลวัดกันที่อะไร....ที่อุเบกขา...อันเนื่องมาจากการ...ถอดถอนมิจฉาสมาธิ...มาเป็นสัมมาสมาธิ....ตามลําดับ ตามขั้น ตามตอน ตามห้องกรรมฐาน ตรงนั้นไม่น่าซีเรียส....เรามีครูบาอาจารย์อยู่ อย่าข้ามขั้นตอนก็แล้วกัน...อย่าหลงลม(ความคิด) หลงอากาศ ก็แล้วกัน หลงเมื่อไร มันก็ "เป็นเรา" ทุกทีไป..........คําสอนตําราครูบาอาจารย์. :043: :043: :043:
62  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ปิดทอง หลังพระ" เมื่อ: มีนาคม 24, 2011, 06:51:26 pm
:043:ปิด สร้างสี ในส่วน ที่รักษา
         ทอง ลํ้าค่า มีราคา มีศักดิ์ศรี
                   หลัง ในส่วน อันชน ไม่เห็นดี
                   พระ เป็นศรี ประเสริฐ เลิศลํ้าใจ.
 "การทํางานด้วยใจรัก ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสําคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสําเร็จนั้น จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจําเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะเห็นว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองกันแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองข้างหลังเลย พระจะเป็นพระ ที่ดูบริบูรณ์ไปไม่ได้"............แม้การปฏิบัติเพื่อให้ได้สาวกภูมินั้นก็ตาม.....เมื่อได้แล้วอย่าคุยตัว...ให้สรรเสริญพระกรรมฐาน....ให้สรรเสริญครูบาอาจารย์....ไม่เช่นนั้นคือ....ไม่หมดจริง....ให้สั่งสอนรุ่นต่อรุ่นๆ....เป็นดาวกระจายกันสืบต่อไป.....เอาแค่หมดลมเรา นั่นคือเราได้ตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ.......คําสอนตําราครูบาอาจารย์. :043: :043: :043: :043: :043:
63  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มหาราหุโลวาทสูตร ที่2 เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 08:23:32 pm
             มหาราหุโลวาทสูตร นี้จัดได้ว่าเป็นต้นแบบกรรมฐาน เพราะเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพระราหุลพุทธชิโนรส เป็นแบบแผนเริ่มจากทรงตรัสให้ ฝึกกรรมฐานเกี่ยวกับธาตุ โดยการกําหนดธาตุในกาย เป็นกายคตาสติและทําจิตให้เหมือนธาตุรวมเป็นเช่นเดียวกับธาตุ โดยที่ธาตุต่างๆ นั้นล้วนยังทําหน้าที่ของธาตุอย่างสมบูรณ์ โดยไม่สนว่าใครจะคิดดี หรือคิดร้ายกับธาตุๆ ก็ยังคงความเป็นธาตุไว้ และลําดับต่อไปพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสอนกรรมฐานคือพรหมวิหาร 4 และ อสุภกรรมฐาน กับวิปัสสนาโดยตรงคือ อนิจจสัญญา และปิดท้ายด้วยการสอนกรรมฐาน ต่อเนื่องคือ อานาปานสติ ดังนั้นพระสูตรนี้จัดเป็นลําดับ พระกรรมฐาน ที่ชัดเจนซึ่งบรรดาศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ยังคงได้ยึดถือไว้เป็นต้นแบบกรรมฐานต่อเนื่อง....ที่มา คู่มือ กรรมฐาน เล่ม2 อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค....เรียบเรียงโดย พระสนธยา ธัมมะวังโส(พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า)
มหาราหุโลวาทสูตร ที่2 :043: :043: :043:[/shadow][/i] [/color][/size][/font][/i]
64  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เน้นไว้เพราะเกี่ยวกับ พระพุทธคุณ และพุทธานุสสติ. เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 07:32:37 pm
             คําว่า พุทโธ ความว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดเป็นสยัมภูไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายเองในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้สดับมาแต่กาลก่อน ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้นและทรงถึงความเป็นผู้มี ความเป็นผู้มีความชํานาญในพลธรรมทั้งหลาย
                  คําว่า พุทโธ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าพุทธะเพราะอรรถว่ากระไร.
                    พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าพุทธะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายเพราะอรรถว่า ทรงสอนให้หมู่สัตว์ตรัสรู้ เพราะความเป็นพระสัพพัญญู เพราะความที่พระองค์ทรงเห็นธรรมทั้งปวง เพราะความที่พระองค์มีเนยยบทไม่เป็นอย่างอื่น เพราะความเป็นผู้มีพระสติไพบูลย์เพราะนัยว่าพระองค์สิ้นอาสวะ เพราะนับว่าพระองค์ไม่มีอุปกิเลส เพราะอรรถว่าทรงปราศจากราคะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่าทรงปราศจากโทสะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่าทรงปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่าพระองค์ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่าพระองค์เสด็จไปแล้วสู่หนทางที่ไปแห่งบุคคลผู้เดียว เพราะอรรถว่าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณพระองค์เดียว เพราะทรงกําจัดเสียซึ่งความไม่มีปัญญา เพราะทรงได้ซึ่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้
                   พระนาม พุทโธ นี้ พระมารดา พระบิดา พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง มิตร อํามาตย์ ญาติสาโลหิต สมณะ พราหมณ์ เทวดา มิได้แต่งตั้งให้เลย พระนามว่า พุทโธ นี้ (เป็นวิโมกขันติกนาม พระนามที่เกิดใน ที่สุดแห่งอรหัตผล) แห่งพระผู้มีพระภาคตรัสรู้แล้วพระนามว่า พุทโธ นี้เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เกิดขึ้นพร้อมกับการทรงได้สัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์.
    ที่มาจาก...คู่มือกรรมฐาน เล่ม2 อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค หน้า 33-34.....เรียบเรียงโดย...พระสนธยา ธัมมะวังโส(พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า)
           
พุทโธ พุทโธ พุทโธ :035: :035: :035:[/i][/color][/size][/font][/i][/color][/size][/font][/i][/color][/size][/font][/color][/size][/font][/color][/size][/font]
65  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กรรมฐานต้องตามจริต(อุปนิสัยของมนุษย์)แต่ละคนนั้นต่างกัน เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 09:18:18 pm
ถือว่าเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง ซึ่งพระอาจารย์กรรมฐานท่านเป็นผู้ดูแล เรื่องจริตสําหรับศิษย์ทุกคนโดยตรง เหตุจากจริตนิสัย ของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางคนขี้โกรธก็คือโทสะจริต บางคนหลงตัวเองก็โมหะจริต แต่พระอาจารย์กรรมฐาน ที่สําเร็จเจโตวิมุติ ท่านล้วนมีวิธี ดูธาตุ ดูสี ตามอุบายของครูบาอาจารย์ คือ เห็นหมด เพื่อให้ศิษย์ถึงจุดมุ่งหมาย ตามความปรารถนา.................เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดํารงค์พระชนม์ชีพ พระสาวกรูปหนึ่ง รับลูกชายนายช่างทองเป็นศิษย์ และมอบกรรมฐาน อสุภะให้ พิจราณาความเอน็จอนาจ ไม่บรรลุ....จึงนํามาทูลเพื่อส่งต่อให้แด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรวจด้วยญาณจึงทราบว่า บุคคลผู้นี้ เกิดในตระกูลมั่งคั่ง ชอบแต่ความสุข เพราะสมบูรณ์พร้อมพรั่ง จึงเปลี่ยนกรรมฐานให้ใหม่ ....ให้นั่งเพ่งดอกกุหลาบสีแดง ปักไว้ที่กองทราย ปฏิบัติไม่นานท่านก็ได้ฌาณ4 พระพุทธองค์ทรงแสดงฤทธิ์ ทําให้ดอกกุหลาบแห้งเหี่ยว และหักลง ไม่นานลูกชายนายช่างทอง ก็บรรลุ.....นี้เป็นเรื่องจริตที่ต่างกันของแต่ละคน และกรรมฐานก็มีผลต่อจริต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงหยิบยก และนําเรื่องจริตขึ้นมาแสดงเป็นเรื่องต้นๆ...........คําสอน-ตําราครูบาอาจารย์ :043: :035:
66  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / คําว่า" ปล่อยกาย ปล่อยจิต " ก่อนทําสมาธิ นั้นสําคัญไฉน เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 08:31:49 pm
ควรเริ่มจากการปล่อยวางจิต วางเรื่องที่เป็นอดีด อนาคต วางเรื่องฤทธิ์ สิ่งเหล่านี้คือ ความคิด ความอยากได้ ปล่อยสิ่งที่เป็นมิจฉาทิ้งวางลง เพราะถ้าเข้าสมาธิ แบบไม่ริกิ่ง ริก้าน ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ และอย่าเข้าสมาธิด้วยอารมณ์แข่ง หรือ ทําเพื่อโอ้อวดคนอื่น แบบนั้นให้เลิกก่อน หรือเปลี่ยนอิริยาบท ไปเดินจงกรม เพื่อจะตัดอารมณ์ก่อนหน้า ปล่อยวางร่างกาย และจิตใจ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการงาน และเรื่องทุกข์ๆ ในชีวิตประจําวัน.....เรียกง่ายๆว่า ผู้เริ่มตั้งสมาธิ แบบฉลาด ก็จะเป็นสัมมาสมาธิ ผู้ที่ไม่เคลียร์เรื่องเหล่านี้ออกจากกาย และใจก่อนเริ่มสมาธิ ก็เจือด้วยความไม่บริสุทธิ์ ก็จะได้มิจฉาสมาธิ(คือเข้าทั้งกิเลส)....ก่อนนั่งสมาธิควรปล่อยกาย ปล่อยใจ ซัก2-3นาทีเพื่อชําระล้างจิตให้เป็นสัมมา และให้ใจกายสบาย....ก่อนที่จะกําหนดงานต่างๆ เข้ามาให้จิตทํา....คําสอน-ตําราครูบาอาจารย์ :035: :smiley_confused1: 
67  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การเข้าสู่วิปัสสนา ครูบาอาจารย์เล่าไว้ เมื่อ: มีนาคม 20, 2011, 08:18:52 pm
การเข้าสู่วิปัสสนา จริงๆ แล้วไม่มีกระบวนท่าอะไร แต่อย่างไร แต่เบื้องต้น บุคคลต้องฝึกสติและ วิริยะ ให้สมบูรณ์ จึงจะเข้าสู่วิปัสสนาได้ โดยที่จิตต้องมีสมาธิ ถึงขั้นมีอุปจารสมาธิ ต้องได้รับปิติ5 และ ยุคล6 ประการ และสุขสมาธิ 2 ประการจึงจะเข้าสู่วิปัสสนาได้......ดังนั้นถ้าจะวิสัชนากันให้ดีแล้ว สัมปยุต นั้นก็คึอสติ + ธรรมวิจยะ + วิริยะ ในสัมโพชฌงค์ 7 นั่นเอง ชึ่งเป็นการยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาโดยสมบูรณ์ ...... ส่วนผลสมาบัติ นั้นเป็นฌานที่ 1 โดยสมบูรณ์ ชึ่ง พระอริยะโสดาบัน จะเข้าผลสมาบัติได้ 1 วัน 1 คึน เช่นกัน แต่ปัจจุบันท่านที่เข้าใจ อุปจารสมาธิผิด เพราะตรึกนึกกันไปว่า อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่จิตสงบเพียงชั่วระยะหนึ่ง โดยไม่มีองค์ ปีติ 5 หรือ ยุคล 6 ประการ จึงทําให้สมาธิ ในการเจริญวิปัสสนา อ่อน(ไม่มีกําลัง) ที่จะแตก พระไตรลักษณาการณ์ จึงทําให้การเจริญวิปัสสนา ไม่เกิดผล เหตุเพราะธรรม คือสมาธิ ยังไม่สมบูรณ์ ถึงขั้น อุปจารสมาธิ จริงๆ นั่นเอง......ดังนั้น การเข้าสู่ ธรรมธาตุ นั้นต้องเป็น การเข้าถึง ด้วยศิลที่สมบูรณ์ สมาธิที่สมบูรณ์ และ ปัญญาที่สมบูรณ์ อย่างนี้ จึงจะเข้าสู่ธรรมธาตุ ทั้งหลาย เหล่านั้นได้...................คําสอนตําราครูบาอาจารย์.
68  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กลอนสรรเสริญคุณบูรพาจารย์ เมื่อ: มีนาคม 19, 2011, 08:41:15 pm

    ช่วงพอศอรัตนโกสินทร์ต้น
  พระกรรมฐาน มัชฌิมา แผ่ไพศาล
    มี พระสังฆราช(สุก) เผยแผ่งาน
    มีกรรมฐาน มัชฌิมา ทั่วถิ่นไทย
    ภิกษุสงฆ์ ต่างหลั่งไหล จากทุกภาค
    มุ่งศึกษา หาของแท้ ที่วัดใหญ่
    นามวัดพลับ อยู่ฝั่งธน กลางป่าไพร
     เผยแผ่ไกล ลาว เขมร พม่า มอญ
    ญวนตอนใต้ และลังกา ก็เข้ามา
  มุ่งศึกษา ด้วยครูบา ตั้งใจสอน
     เจ้าแผ่นดิน อุปถัมภ์ไว้ มิให้คลอน
    สังคายนาก่อน ตั้งปฐมเหตุ เป็นหนึ่งเดียว
     ผู้ไม่มี ใบตราตั้ง ห้ามเผยแพร่
      พระกรรมฐาน อาจคลาดเคลื่อน และผิดเพี้ยน
      สอนตามลําดับ ห้องกรรมฐาน ตั้งใจเรียน
      ภิกษุเพียร เพื่อให้ได้ ถึงแก่นธรรม
     มีสมถะ และวิปัสสนา อยู่ในหมวด
      มีครูตรวจ สอบสีจิต ได้แค่ไหน
    สอบอารมณ์ สอบกรรมฐาน ทุกห้องไป
     ถ้าผ่านได้ เรียนห้องใหม่ ได้ทุกองค์
    ความเคร่งครัด ของครูบา น่าเลื่อมใส
   ไม่ตามใจ ผู้ศึกษา ต้องตามนั้น
   พระที่เรียน จึงได้ดี ทั่วหน้ากัน
      สว่างไสว ทั้งสีสัน พร้อมกันไป
     จบสมถะ วิปัสสนา มุ่งหน้ากลับ
   เพราะได้รับ การแต่งตั้ง ให้สอนได้
   แต่สอนไป สอนมา ชื่อวัดหาย
   วัดพลับไง ในหัวใจ ของทุกองค์
    ได้เรียนกัน มาจากไหน ก็ไม่พูด
    ไม่เผยแผ่ สํานักแม่ ครูบาไหน
                             

   ชื่อครูบา อาจารย์ จึงหายไป
   ชื่อสํานัก จึงสูญหาย ไม่โด่งดัง
  (จึงอยากเน้น เพื่อนรุ่นนี้ ให้ตระหนัก)
  ชื่อสํานัก ชื่ออาจารย์ ต้องอยู่ไว้                                    ชื่อกรรมฐาน มัชฌิมา ชูขึ้นไป
  เรียนที่ใด เรียนกับใคร ให้ระบือ
  ชื่อพระสังฆราช(สุก) ต้องกลับมา
 ชื่อกรรมฐาน มัชฌิมา ต้องยังอยู่
  ชื่อพระอาจารย์ สนธยา ผู้เป็นครู
 และที่รู้ ชื่อวัดราชสิทธาราม
 และอีกทั้ง ครูอาจารย์ ผู้ลับไป
 มีมากมาย ที่ไม่เอ่ย ชื่อกรรมฐาน
  มาแก้ตัว กับครั้งนี้ มาช่วยกัน
 ขออาราธนา นิมนต์ท่าน ทุกๆองค์
 ขออาราธนา คุณพระพุทธ พระราหุล
  ต้นกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ
  พระโสนะ เถราจารย์ ผู้ลาลับ
   แบบลําดับ กรรมฐาน โบราณไทย..
   ......ชีวิตนี้....เพื่อพุทธะ............คําสอนตําราครูบาอาจารย์
:035:
69  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การฝึกพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ เป็นการฝึกส่วนสมถะ หรือ วิปัสสนา เมื่อ: มีนาคม 19, 2011, 11:41:37 am
การฝึก พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ และ สังฆานุสติ เป็นการฝึกส่วนสมถะ หรือ วิปัสสนา
  พระพุทธเจ้า ทรงแสดงกรรมฐานของพระพุทธศาสนาจริงแล้ว มี 3 ประการ คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ ส่วนกรรมฐานใน 40 กองนั้นเป็นกรรมฐานที่มีมาก่อนมีพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงต่อยอดให้กรรมฐานอื่นๆให้สมบูรณ์เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติ กรรมฐานในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ นั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสผลไว้ปรากฎข้อความในส่วนอภิธรรม และพระสูตรว่า ผู้ปฎิบัติในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ จะสําเร็จเป็นพระโสดาบัน ประการ 1 สําเร็จอุคคหนิมิต ประการ 1 สําเร็จอุปจาระสมาธิ อีกประการ 1 ดังนั้น พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ เป็นทั้ง (สมถะ และ วิปัสสนา) กรรมฐาน เพราะให้ผลสําเร็จเป็นพระอริยะบุคคลขั้นต้น ดังนั้นเราท่าน พุทธศานิกชน ผู้ที่ปฏิบัติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ นั้นควรจะยินดีปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
   ที่มาจากหนังสือประกอบการขึ้นกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เล่มที่ 1 โดยครูบาอาจารย์ :035: :smiley_confused1:
70  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / โพธิปักขิยธรรรม 37 ประการ เมื่อ: มีนาคม 19, 2011, 10:34:59 am
:035: :smiley_confused1: บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน 4 ย่อมตั้งอยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ มีดังนี้......
ข้อ1.เป็นผู้มีสติดํารงอยู่ในสติปัฏฐาน( 4 )........
ข้อ2.เป็นผู้ใช้ชีวิตด้วยความระวังใน สัมมัปธาน(4).........
ข้อ3. เป็นผู้มีความเพียรไม่ประมาทด้วยอิทธิบาท(4)........
ข้อ4.เป็นผู้มีความแก่กล้าใน อินทรีย์(5)..........
ข้อ.5 เป็นผู้มีกําลังแห่งธรรมในธรรมคือแก่กล้าด้วย พละ(5) .........
ข้อ.6 เป็นผู้มีความเห็นพร้อมด้วยองค์วิปัสสนา โพชฌงค์(7)........
ข้อ.7 เป็นผู้ดําเนินชีวิตและดํารงชีวิตในธรรมทั้งปวงด้วย อริยมรรค(8)......วิธีทํา..นําจํานวนที่อยู่ใน( )ปีกกามารวมกัน=4+4+4+5+5+7+8=37 พอดี....โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เอาทั้งหมดรวมกันก็เป็นดังนี้แล........คําสอน-วิชชา ที่บูรพาจารย์ ได้มาสืบทอดไว้ให้แด่ พระอาจารย์ ของข้าพเจ้าอีกที.....
Aeva Debug: 0.0004 seconds.Aeva Debug: 0.0004 seconds.
71  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ผู้ที่อยากเริ่มฝึกตั้งสมาธิ(ตอนยังไม่มีครู)ฟังทางนี้ เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 06:17:20 pm
:smiley_confused1:ตอนที่เราท่านยังไม่รู้อะไรเลยก็เป็นเรื่องยาก....แต่อยากทําเลย อะไรทํานองนี้ บางทีก็ไปคว้าสื่อเล่มใดมา ก็อยากเอามาทําตาม หรือยังลังเลอยู่รออยู่ ผลัดอยู่ เลยไม่ได้ฝึกตั้งสมาธิกันซักที.....จะขอบอกคร่าวๆเป็นตอนเรียงไป.......1.เตรียมตัวพร้อมกราบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 3ครั้ง(ตั้งจิตจํานงค์ อธิฐานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าขอปฏิบัติบูชาต่อท่าน ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์)จัดท่าทางให้เข้าที ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย แล้วปล่อยใจปล่อยกาย ก็คือปล่อยอารมณ์
2.ค่อยๆหลับตาลง ปล่อยกาย ปล่อยจิตให้สบาย ยังไม่ต้องรีบซัก 2-3 นาที 3.เมื่อปล่อยอารมณ์ได้ที่แล้ว ให้ตั้ง จุด...ตั้งสมาธิต้องมี...จุด หรือเรียกว่า (ปัคคะหะนิมิต)ตั้งให้อยู่บริเวณ ใต้สะดือ ตํ่าจากสะดือลงไป 2 นิ้ว ให้ประมาณเอา ไม่ต้องลืมตา(ให้ใช้ปลายนิ้วจิ้มได้ ตอนแรกๆเท่านั้นนะ เดี๋ยวจะเคยถ้าทําบ่อยๆคล่องแล้ว ก็ไม่ต้องจิ้ม)...4.เริ่มบริกรรม"พุทโธ" ส่วนตาด้านใน มองอยู่ที่จุด(ปัคคะหะ)สร้างเป็นจุด สีดํา สีขาว สร้างขึ้นมา หรือจะเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆได้แบบนั้นยิ่งดีมาก ปล่อยอารมณ์ไม่ต้องคิดอะไร....5. ให้อยู่กับ (งาน 3 อย่าง) ก็คือ.....หนึ่งบริกรรมพุทโธ(พระนามของพระพุธเจ้า)เรียกว่าบริกรรมนิมิต.....สอง(จุด)อย่าให้หาย ถ้าจุดหายจะง่วงนอน หายได้ก็สร้างใหม่ ให้มีอยู่ตลอด ถ้าจุดมันลอยขึ้นมา ก็ลากมันลงไป ใต้สะดือ 2 นิ้วที่เดิม...สิ่งที่สามคือ อุเบกขานิมิต คือการปล่อยวางจิต ให้เหลือแค่งาน 3 อย่างนี้เท่านั้น.....สมาธิฝึกวันละ 30นาที เป็นอย่างตํ่า.....แล้วถ้ามีโอกาสก็ควรมาขึ้นพระกรรมฐาน ตอนที่ครูบาอาจารย์ท่านเปิดรับขึ้น ดูข่าวในนี้ไว้ดีๆ(เพราะความสําเร็จจะมีได้ ต้องมีครูบาอาจารย์)............ที่มาจาก คําสอนตําราครูบาอาจารย์
72  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญร่วมหล่อรูปเหมือน หลวงพ่อแดง(ร่างเป็นหิน) วัดท่าแห จ.นครนายก เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 11:22:01 am
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุน"หล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริง" และบูชา หลวงพ่อแดง อภิโชโต(ร่างเป็นหิน) ทอดณ.วัดใหม่บําเพ็ญผล(ท่าแห)ต.ดงละคร อ.เมื่อง จ. นครนายก วัตถุประสงค์เพื่อสมทบทุนสร้าง " หล่อรูปเหมื่อนเท่าองค์จริงและบูชา" หลวงพ่อแดง อภิโชโต(ร่างเป็นหิน) ขนาดบูชาและนําปัจจัยสร้าง "มณฑปเก็บร่างเป็นหิน" ที่กําลังดัาเนินการก่อสร้างอยู่กัาหนดการ วันที่ 5-6 เมษายน 2554 เบอร์โทรศัพท์ทางวัด 085-5380877
73  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สิ่งรบกวนให้...จิตเศร้าหมอง และ เป็นบาปอกุศล. เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 07:18:36 pm
 :d030:มีความทุกข์...แต่หาทุกข์ไม่เจอ

                อุปกิเลส 16 เรื่องควรรู้
      1.อภิชฌาวิสมโลโภ   ความโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา
      2.พยาปาโท      ความคิดประทุษร้ายผู้อื่น
      3.โกโธ        ความโกรธเคืองผู้อื่น
      4.อุปะนาโห      ความจองเวรมั่นหมายแก้แค้น
      5.มักโข        ความลบหลู่ดูถูก ผู้ที่เคยมีคุณกับเรา ปิดบังความดีของผู้อื่น
      6.ปะสาโส       ความยกตัวเทียมขึ้นเทียมคนอื่น ตีเสมอ
      7อิสสา         ความริษยาอิจฉา
      8.มัจฉะริยัง      ความตระหนี่ถี่เหนียว
      9.มายา        การปิดบังความชั่วที่ตัวทํา
     10.สาเถยยัง      ความอวดตัวให้ยิ่ง กว่าสิ่งที่มี       
     11.ถัมโภ       ความไม่ฟัง แข็งกระด้างเมื่อถูกสั่สอน
     12.สารัมโภ      ความมุ่งเอาชนะไม่ยอมตามชักแม่นั้าทั้งห้า
     13.มาโน       ความถือตัวว่าเราดีกว่าเขา ทะนง
     14.อะติมาโน     การดูถูกผู้อื่น
     15.มะโท       ความมัวเมาในร่างกาย หลงว่ายังหนุ่มยังสาว
     16.ปะมาโท      ความประมาทหลงไปในความไม่ชอบบ้าง ความพอใจบ้าง               
 
16 ข้อนี้คือบาปอกุศลทั้งสิ้น
ที่มา....คําสอนพระพุทธองค์ :035:
[/glow][/i]
74  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิปัสสนาญาน16..ตามตําราครูบาอาจารย์. เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 04:50:57 pm
...เป็นอารมณ์ที่กําหนด สติ รู้รูปนาม รู้พระไตรลักษณ์ รู้มรรค รู้ผล รุ้พระนิพพาน จําแนก ได้ดังนี้.......ญาณ1.นามะรูปปะริจเฉทะญาณ-รู้แจ้งการกําหนด รูป และ นาม รู้ว่าอะไร เป็นรูป รู้ว่าอะไร เป็นนาม........ญาณ2.ปัจจยะปะริคคะหะญาณ-สามารถกําหนดรู้ แยกรูป และนาม ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย มาถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นว่ามีศัพท์ทางธรรมมาก ซึ่งผู้ทํา วิปปัสสนา ก็ย่อมจําเป็นต้องรู้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเข้าใจง่าย ยิ่งรู้น้อยก็ติดอยู่ในอรรถมาก จึงทําให้ผู้ทําวิปัสสนา เบื่อเอาดื้อ ๆ แต่ถึงเบื่ออย่างไร สาวกภูมก็ไม่ท้อ กับการจดจํา และเรียนตรงนี้........ญาณ3สัมมะสะนะญาณ-ความรู้แจ้งโดยกําหนดพิจราณา นามรูป ตามกฏ อนิจจัง(ความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน) ทุกขัง(ความผสมกลมกลืนกับความไม่คงทน ไม่คงสภาพ อันนี้ไม่ใช่กล่าวถึงทุกข์ทางจิตนะ เป็นทุกข์ตามกฏแห่งธรรมชาตฺิ) อนัตตา(ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน)........"ต่อจากนี้ มี วิปัสสนาญาณ9 แทรก/อยู่ด้วย...ดูให้ดีนะ".........ญาณ4/1.อุทยัพพะยานุปัสสนาญาณ-ญาณอันรู้แจ้งซึ่งความเกิดขึ้น และดับไป แห่งขันธ์5 นาม รูป............ญาณ5/2.ภังคานุปัสสนาญาณ-ญาณอันรู้แจ้งเห็นความสลาย แห่งสังขาร และเข้าใจถึงความจบสิ้นไปแห่งสังขาร ที่วนเวียนอยู่ด้วย ความเกิด และ ความดับ ปนเป อยู่ ใน อุปัตติ ทุกข์ ชาติ ชรา พยาธิ และ มรณะ............ญาณ6/3.ภะยะตูปัฏฐานะญาณ-ญาณอันรู้แจ้งถึงความน่ากลัว ของความแตกสลายไป แล้ว ย่อมเวียนว่ายตายเกิด และมองเห็นภัยในวัฏฏะเป็นสิ่งน่ากลัว...............ญาณ7/4.-อาทีนะวะนุปัสสนาญาณ-ญาณอันรู้แจ้งซึ่งโทษแห่ง การเวียนว่าย ตาย เกิด ในนวัฏฏะสงสาร............ญาณ8/5.นิพพิทานุปัสสนาญาณ-ญาณอันรู้แจ้ง ถึงความเบื่อหน่าย ต่อการเวียนว่าย ตาย เกิด ต่อไป ซึ่งมีผลให้เกิดความไม่เพลิดเพลิน หรือ ยินดี ต่อการเวียนว่าย ตาย เกิด ต่อไป..............ญาณ9/6.มุญจิตุกัมมะยะตาญาณ-ญาณอันรู้แจ้ง ซึ่งความต้องการ จากไป หรือ ออกไป จาก วัฏฏะสงสาร............ญาณ10/7.-ปะฏิสังขานุปัสสนาญาณ-ญาณอันรู้แจ้ง ต่อการ เข้าไปกําหนด เฉพาะสังขาร คือ ขันธ์5 มากําหนดพิจราณา ตามหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...............ญาณ11/8.สังขารุเปกขาญาณ-ญาณอันรู้แจ้ง วางอารมณ์ เป็นการวางเฉย ต่อสังขาร โดยมองเห็น ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา...............ญาณ12/9.-สัจจานุโลมิกะญาณ-ญาณอันรู้แจ้งความเป็นจริง ต่อการละ ดับทุกข์ เข้าถึง นิพพาน3 ลักษณะ..............(จบวิปัสสนาญาณ9แค่นี้ ท่เหลือเป็นของ วิปัสสนาญาณ16).........ญาณ13.โคตะระภูญาณ-ญาณที่ทําให้มองเห็นความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องที่ต้อง ตัด ต้องหนี และต้องทําลายให้สิ้น  ผู้ที่ได้ญาณชื่อว่า พระโยคาวจร คือผู้ที่มองเห็นโทษแห่ง วัฏฏะสงสาร และพยายามทําลายทิ้ง ซึ่งตัณหา และ อุปาทาน...............ญาณ14.มัคคามัคคะญาณ-ญาณที่เป็นเหตุให้เป็น พระอริยะบุคคล ลําดับต่างๆ ในที่นี้ก็คือ วิธีการละสังโยชน์นั่นเอง................ญาณ15.ผลญาณ-ญาณที่เป็นผล จากการละสังโยชน์ ในระดับต่าง..............ญาณ16(สุดท้าย)..ปัจจเวกขะณะญาณ-ญาณที่ทําให้เกิด มีการ ทบทวน พิจราณา กิเลสที่ละได้แล้ว กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และนิพพาน.........----การกล่าวถึงวิปัสสนาญาณ ท่านจัดเป็น โลกุตตระ เพียง 2 ข้อ คือ ข้อที่14 และ ข้อที่15....นอกนั้นเป็น..โลกียะญาณ....(((ที่มา...จาก....คําสอน-ตํารา..บูรพาจารย์))) :035:
75  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความแตกต่างของพระอรหันต์ เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 02:44:35 pm
 :smiley_confused1:จําเเนกได้ย่อย เพียง 2 แบบ........แบบที่1...พระอรหันต์ที่ไม่มี (ฌานสมาบัติ).....แบบนี้ไปด้วยกําลังของวิปัสสนา แบบนี้ มีสมาธิแค่ อุปจารสมาธิ ก็เพียงพอ แบบนี้ส่วนใหญ่จะแตกฉานธรรม มีน้อยที่ไม่แตกฉานธรรม เพราะวิปัสสนา นั้น ใช้กําลังแห่งปัญญา เป็นเครื่องแจ้ง และภาวนาโดยสติ เป็นเครื่องกําหนด รูป และ นาม.........แบบที่2...พระอรหันต์ที่มี (ฌานสมาบัติ)...แบบนี้ไปด้วยกําลังของ สมถะ และ วิปัสสนา (สองส่วน) แบบนี้ มีสมาธิ ถึง อัปปนาสมาธิ  แบบนี้ แล้วแต่ กรรมฐานที่ทําหรือปฏิบัติ มีความสามารถทางฤทธิ์ แตกต่างตามกรรมฐาน ที่ได้ปฏิบัติ....การทรงอารมณ์ โสดาปัตติผล ใช้เวลาเสวยอารมณ์ 2-3 วัน จึงรู้ว่าเป็นสมุจเฉทในระดับนี้....การทรงอารมณ์ สกิทาคามิผล ใช้เวลาเสวยอารมณ์ 7-8 วัน จึงรู้ว่าเป็นสมุจเฉทในระดับนี้....การทรงอารมณ์ อนาคามีผล ใช้เวลาเสวยอารมณ์ 20-22 วัน จึงรู้ว่าเป็นสมุจเฉทในระดับนี้...คัดมาลงเพื่อเพิ่ม เติมสัทธาธิกะ เพราะความมีอุบาย ในจิตนั้น แต่ละคนล้วน สร้างได้ต่างกัน แล้วแต่ความฉลาด ในสถานการณ์ ตรงหน้า ในขณะฝึกจริง......ที่มาของเนื้อหา........คําสอน-ตํารา(บูรพาจารย์)
76  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ห้อง1-2-3(ห้องพุทธคุณ)เสื้อกันผีเกราะคุ้มครองภัย เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 09:19:18 am
               หากมิได้ พิจราณาศึกษาก็มืดมา มืดไป "ไม่ได้ความสิ้น ความสิ้นอาสวะ"เรียกว่า มืดแปดด้าน เหตุมิได้พิจราณาศึกษา อวิชชา 8 ที่แทรกอยู่กับ มหาภูตรูปทั้ง4 ดิน นํ้า ลมไฟ (แยกรูป4-นาม4) ออกจากความถือ อยู่ในขันธ์5  ธรรมคําสอนครูบาอาจารย์ >:(                                                                             
77  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ภาพเก็บตก งานทำบุญวันเกิดบ้านคุณจิตตรี / และอบรมพระกรรมฐานประจำเดือน มี.ค. เมื่อ: มีนาคม 05, 2011, 08:09:44 pm
 :happybirthday3:   


ต้องขออภัยเพราะผู้จัดทำยังลงภาพไม่เป็น จึงได้แค่ภาพเดี่ยว คือภาพที่พระจะกลับ

             :25:   ใครที่ไปงานถ้ามีภาพอีกก็ช่วยลงต่อให้ด้วย  ต้องขออภัย  :'( :03:



78  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "สติสัมปชัญญะ....คําสอนครูบาอาจารย์" เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 09:20:46 pm
ขึ้นชื่อว่า สติ เป็นธรรมอันสําคัญ อันผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสแสดงไว้เป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่งยวด ในหัวข้อศึกษาธรรม ในนวโกวาทหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีก็ได้จัดไว้เป็นธรรม 2 หัวข้อ(เป็นธรรมที่มีอุปการะ มาก 2 อย่าง) คือ 1.สติ แปลว่า ความระลึกได้ 2.สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัว แบ่งเป็นสติขั้นต้นคือความไม่หลงไม่ลืม. สติขั้นกลางคือความตามระลึกได้ในบุญกุศล. สติขั้นสูงสุดคือสติที่เป็นไปในสติปัฏฐานทั้ง4 คือ มีสติในกาย ในเวทนา ในจิต และ ในธรรม.อานิสงค์คือความสิ้นไปแห่งสังสารวัฏ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงอานิสงค์ไว้ ขั้นตํ่าก็เป็นพระอนาคามี และ ขั้นสูงสุด ก็จะได้เป็นพระอรหัตผล "สติทั้ง3"หาแยกจากกันไม่ เพราะผู้มีสติก็ต้องมีสติ ตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงขั้นสูงสุด และสติย่อมเกิดขึ้นและทําให้ผู้มีสติ(ย่อมถึงสิ่งที่ปรารถนาไว้นั่น ก็คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ตามลําดับ กําลังของผู้มีสติ).....วันนี้พอก่อน...จากคําสอนตําราครูบาอาจารย์...
79  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / กราบนมัสการพระอาจารย์ เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 04:57:32 pm
กราบนมัสการพระอาจารย์ วันที่ 23 มค 54 การพบกันประจำเดื่อนมีการเปลี่ยนแปลงไหมครับ
หน้า: 1 [2]