แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
11601
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: พระปิดตามหาอุตม์ กับ พระฐานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน)
|
เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:26:10 am
|
โดยคุณ komol พระเครื่อง ยังพอ ระลึกถึงพระพุทธคุณได้ มองเห็น เป็นที่นิยม ตุ๊กตาเทพ มันเป็นผลิตภัณฑ์ จากต่างประเทศ ( นำเข้าจากจีน ) ถ้าจะไว้ระลึกถึง คุณเทวดา มันก็พอได้ แต่ คนที่ใช้จริง ๆ ตอนนี้ มันออกไปทาง งมงาย เสียมากกว่า และ คนที่จัดว่าเป็น บัณฑิต ( พวกพระสงฆ์ ) กลับมาทำเรื่องงมงาย เพิ่มเข้าไปอีก
จริงอยู่มองแล้ว ว่า เป็นให้กำลังใจ แต่ เมืองไทย ขณะนี้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา สิ่งที่ปรากฏออกไปต่อสื่อทั่วโลก มันเป็นทางลบ ไม่ใช่ทางบวก
สถานการณ์ พุทธ เมืองไทย นั้น อยู่ในภาวะ วิกฤติหลายเรืื่อง ทางด้านศรัทธา และ ก็เป็นเหตุให้สื่อต่าง ๆ พยายามเข้ามาบิดเบือน สร้างภาพให้มันเป็นทางลบเพิ่มขึ้นผล กระทบก็จะได้ฝั่งตรงข้าม
ถามว่า ดี หรือ ไม่ดี ถ้าศาสนาพุทธ ขณะนี้สอนให้คน งมงาย เด็ก เล็ก ลูก หลาย เหลน โหลน ภายหน้า ที่เห็นว่า พุทธศาสนาไม่มีความจำเป็นกับเขาแล้ว คุณจะรักษา ประเทศชาติ ได้กันจริง หรือ ไม่ ?
ถามเล่นๆนะ.... จตุคามรามเทพ กับ ลูกเทพ ต่างกันอย่างไร.? ความจริงผมยังโพสต์ไม่จบ จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ จะนำประวัติหลวงปู่สุก(ฐานานุกรมของท่าน) มาเปรียบเทียบกับ บทความจากคอลัมน์ชักธงรบ จาก นสพ.ไทยรัฐ ซึ่งพบว่า มีความแตกต่างกันอยู่ โปรดติดตาม...
|
|
|
11602
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: พระปิดตามหาอุตม์ กับ พระฐานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน)
|
เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:19:23 am
|
พระถานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร มี ๕ รูป ทรงแต่งตั้งให้ ๑. พระอาจารย์ด้วง พระอาจารย์วิปัสสนาเป็น พระครูปลัดด้วง ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ทำหน้าที่บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ พระครูปลัดด้วง ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน เป็นรุ่นต่อมา ส่วนพระญาณวิสุทธิ์เถร (ชิต) พระปลัดขาว พระอาจารย์สุก พระอาจารย์สี พระใบฎีกากัน พระอาจารย์เจ้า พระอาจารย์มาก พระอาจารย์สน พระอาจารย์ด้วง (มีอีกองค์หนึ่ง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน รุ่นแรกของสมเด็จพระญาณสังวรเนื่องจาก พระมหาเถรเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีชนมายุเลย ๗๐ บ้าง บางท่านมีชนมายุเกือบถึง ๘๐ พรรษาแล้ว ต้องการพักผ่อน หาความสงบวิเวก ในกุฎิอันเป็นผาสุกวิหารของแต่ละท่าน
ต่อมาสมเด็จพระญาณสังวร ทรงอนุญาติให้ พระครูปลัดด้วง เลือกสรรแต่งตั้งพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน โดยเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยของ พระครูปลัดด้วง ซึ่งมีรายนามดังนี้ คือ พระอาจารย์รุ่ง (พระญาณโกศลเถร) ๑ พระอาจารย์บุญ (พระญาณสังวรเถร) ๑ พระอาจารย์มี (พระญาณโยคาภิรัติ) ๑ พระอาจารย์เมฆ (พระสังวรานุวงศ์เถร) ๑ เลือกสรรได้แล้ว ท่านจึงนำรายชื่อถวาย สมเด็จพระญาณสังวร ทรงแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้น พระครูปลัดด้วง ท่านจึงเป็นกำลังสำคัญ ของสมเด็จพระญาณสังวร ในฝ่ายวิปัสสนาธุระ และเป็นกำลังของวัดราชสิทธาราม กาลต่อมาท่านพระครูปลัดด้วง มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนทั้งหลายเคารพนับถือ ยำเกรงมาก เรียกขานนามพระครูปลัดด้วงว่า หลวงปู่ใหญ่ หลังจากสิ้นอายุสังขาร ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก) เจ้าคุณหอไตร และพระมหาเถรรุ่นแรกแล้ว พระครูปลัดด้วง จึงเป็นผู้นำพระอาจารย์วิปัสสนาทั้งปวง
๒. พระอาจารย์แก้ว เปรียญพระอาจารย์บอกหนังสือพระบาลีมูลกัจจายน์ หนังสือจินดามณีเป็น พระครูวินัยธร (แก้ว) ถานานุกรมชั้นที่ ๒ ทำหน้าที่บอกหนังสือพระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์ ท่านมีอาวุโสกว่า พระอาจารย์ด้วง ท่านชำนาญทางด้านพระวินัยพระบาลี เป็นอาจารย์ผู้ช่วยของ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) พระรัตนมุนี(กลิ่น) พระครูวินัยธรแก้ว
ท่านมีอาจารย์ผู้ช่วยบอกหนังสือ คือ พระมหาทัด (พระอมรเมธาจารย์) พระมหาเกิด (สุธรรมธีรคุณ) พระมหาเกด (พระอมรเมธาจารย์)ฯ ฉะนั้นพระครูวินัยธรแก้ว จึงเป็นกำลังสำคัญ ในฝ่ายคันถะธุระ ของพระศาสนา และของวัดราชสิทธาราม ในกาลต่อมา
๓. พระใบฏีกากัน เป็น พระครูวินัยธรรมกัน ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานของ สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน มาแต่เดิมเป็นรุ่นแรก ท่านเป็นพระมหาเถรที่มีอาวุโสกว่า พระครูปลัดด้วง พระครูวินัยธร (แก้ว) เหตุที่ พระครูวินัยธรรมกัน เป็นถานานุกรมอยู่เพียงแค่นี้ ไม่เลื่อนสูงขึ้นไปอีก เพราะท่านไม่มีความประสงค์เป็นถานานุกรม สูงขึ้นไปกว่านี้ เนื่องจากท่านมีปรกตินิสัย ไปในทางรักสันโดด มักน้อย ไม่ชอบวุ่นวายเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ด้วยความจริงใจ
และท่านมีความเห็นอีกว่า พระเถรองค์อื่นที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าท่านก็มี และจะได้เป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาต่อไปในภายหน้า อีกประการหนึ่งท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า จะขออยู่แค่นี้จะไม่ขึ้นต่อไปอีก
ภายหลังถึงต้นรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จะทรงแต่งตั้งท่านขึ้นเป็น พระราชาคณะ พระครูธรรมธรกัน ไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ท่านให้เหตุผลต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ว่า ตั้งใจตั้งสัจจะให้แก่ตัวเองไว้แล้ว จะไม่ยอมขาดจากสัจจะอย่างเด็ดขาด จะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ภิกษุผู้เกิดในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ก็ทรงจนพระทัย
๔. พระอาจารย์สี พระอาจารย์วิปัสสนาเป็น พระครูสมุห์สี ถานานุกรมชั้นที่ ๔ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อนท่านเป็นพระมหาเถรมีอาวุโสสูง รุ่นเดียวกับ พระครูวินัยธรรมกัน ท่านมีความดำริเช่นเดียวกับ พระครูวินัยธรรมกัน
๕. พระอาจารย์กลิ่น พระอาจารย์วิปัสสนา เป็นคนละองค์ กับพระมหากลิ่น กวีเอก พระอาจารย์กลิ่น เป็น พระครูใบฎีกากลิ่น ถานานุกรมชั้นที่ ๕ ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ท่านมีความดำริเช่นเดียวกันกับ พระครูวินัยธรรมกัน และพระครูสมุห์สีปีที่สถาปนาพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็นสมเด็จราชาคณะนั้น พระภิกษุมหาเถรในวัดพลับได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ๒ รูป พระครู ๑ รูป คือ
๑. พระปลัดขาว ท่านเป็นพระปลัด ถานานุกรมของพระญาณสังวรเถร ท่านเป็นพระปลัดต่อจาก พระปลัดชิต พระปลัดขาวได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณโพธิ์เถร รับพระราชทานพัดงาสาน พระคณาจารย์เอก ทางวิปัสสนาธุระ พระปลัดขาว เป็นพระญาณโพธิ์ ต่อจาก พระญาณโพธิ์ วัดสังข์กระจาย แต่ราชทินนามของ พระปลัดขาว เติ่มคำว่า เถร ต่อท้ายราชทินนาม เพราะเป็นราชาคณะ พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
๒. พระมหากลิ่น เปรียญเอก เป็นพระราชาคณะฝ่ายคันถธุระที่ พระรัตนมุนีพระมหากลิ่น เป็นพระรัตนมุนี ต่อจากพระรัตนมุนี (ขุน) วัดโมลีโลก ที่เลื่อนขึ้นเป็นพระเทพโมลี
๓. พระสมุห์ศุก พระอาจารย์วิปัสสนา ท่านเป็นพระสมุห์ ของพระญาณสังวรเถร(สุก) ต่อจากพระสมุห์ฮั้น ที่ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่ พระวินัยรักขิต ครั้งนี้พระสมุห์ศุก ได้รับพระราชทานเป็นพระครูวิปัสสนาที่ พระครูธรรมสถิต
ต่อมา พ.ศ. ๒๓๖๕ ในรัชกาลที่ ๒ ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระปัญญาภิสารเถร พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากวัดพลับไปครองวัดอรัญวาสีหัวเมืองคือ วัดโปรดเกษเชฎฐาราม เมืองนครเขื่อนขันธ์ ท่านไปพร้อมด้วยถานานุกรมสามรูปมี พระปลัดขาวติดตามไปด้วยต่อมา พระปลัดขาว เป็นพระครูวินยานุบุรณาจารย์ (ขาว)
ในต้นรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณวิษารเถร (ขาว) เป็นเจ้าอาวาสวัดโปรดเกษเชษฐาราม พระญาณวิษารเถร(ขาว)เป็นสัทธิวิหาริก ของพระญาณสังวรเถร (สุก ไก่เถื่อน) พระปัญญาภิสารเถร (ศุก) ท่านเป็นอันเตวาสิกรุ่นใหญ่ ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
เมื่อท่านไปสถิต ณ. วัดโปรดเกษเชฎฐารามแล้ว คนทั้งหลายในเมืองนครเขื่อนขันธ์ เรียกขานนามท่านว่า ท่านท่าหอย เนื่องจากท่านมีนามว่า ศุกเหมือนสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน อีกทั้งท่านยังมาจากวัดท่าหอย กับทั้งยังมีเมตตาพรหมวิหาร ทำให้ไก่ป่า ที่เขตป่าวัดโปรดเกษเชฎฐาราม เชื่องได้ คล้ายกับสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อนอ้างอิง :- พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) หน้าที่ ๓๒๙-๓๓๒ พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง http://www.somdechsuk.com
|
|
|
11609
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พศ.ปัดไม่ยุ่งหญิงแต่งกายคล้ายภิกษุณีแต่ไม่โกนผม แจงมีหน้าที่ดูแลแค่พระ-เณร
|
เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:17:00 pm
|
แชร์ว่อนเน็ต ภาพกลุ่มหญิงสาวคล้ายภิกษุณี-ออกบิณฑบาตเหมือนพระ เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเฟซบุ๊กของ “สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-สปพช.” ได้โพสต์ข้อความและภาพของชายสูงอายุคนหนึ่งกำลังใส่บาตรให้กลับกลุ่มผู้หญิงประมาณ 6-7 คน ห่มผ้าคล้ายจีวรสีเข้ม สะพายบาตรภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด โดยมีการโพสต์ข้อความระบุว่า มีลูกเพจส่งมาถามว่า “แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ภิกษุณี”
อย่างไรก็ดีได้มีการแสดงความเห็นในภาพดังกล่าวส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย เช่น ถ้าตราบใดเขาไม่บอกว่าตัวเองเป็นภิกษุณี เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขา เพราะประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเชื่อ ลัทธิ ประเพณี แต่ถ้าบอกเป็นภิกษุณีก็ต้องชนกันหน่อย เพราะทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน, คนเราน่าจะมองที่จิตใจเขานะ ,ผู้ที่รักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และงดงาม ส่วนใครจะเรียกว่าอะไรก็สุดแต่จิตใจผู้นั้นเถอะครับ เป็นต้น ทั้งนี้ยังได้มีผู้มาโพสต์แสดงความเห็นว่าภาพดังกล่าวน่าจะเป็นกลุ่มภิกษุณี ที่เกาะยอ จ.สงขลาภาพที่แชร์เพจเฟซบุ๊ก”สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-สปพช.” ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news/18762
|
|
|
11611
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จับสึก-ดำเนินคดีแล้ว!อดีต รษก.เจ้าอาวาสวัดที่แจ้ห่ม ถ่ายคลิปอนาจารเด็ก 10 ขวบ
|
เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:10:07 pm
|
จับสึก-ดำเนินคดีแล้ว!อดีต รษก.เจ้าอาวาสวัดที่แจ้ห่ม ถ่ายคลิปอนาจารเด็ก 10 ขวบ ลำปาง - ตำรวจแจ้ห่ม ตามรวบอดีตรักษาการเจ้าอาวาสวัด พร้อมหิ้วตัวให้เจ้าคณะอำเภอสึก-ดำเนินคดีแล้ว หลังเค้นสอบจนรับสารภาพทำอนาจารเด็กชาย 10 ขวบ พร้อมถ่ายคลิปจริง เผยเคยโดนพระผู้ใหญ่-ชาวบ้าน ตั้งวงเค้นสอบเมื่อปี 58 มาแล้วแต่ปฏิเสธเสียงแข็ง วันนี้(30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฉาวข้ามปีของวงการพระสงฆ์เมืองลำปาง หลังจากปรากฎคลิปพระสงฆ์รูปหนึ่ง กระทำอนาจารเด็กชาย อายุ 10 ปี และมีการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพขณะกระทำอนาจารใช้ปากกับอวัยวะเพศของเด็กไว้ด้วย พระครูวินิตวรการ เจ้าคณะอำเภอแจ้ห่ม พร้อมด้วยคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ของอำเภอแจ้ห่ม และชาวบ้านในพื้นที่กว่า 200 คน เคยหารือ และร่วมตรวจสอบคลิปภาพวิดีโอดังกล่าวเมื่อ 18 ก.ย.58 ที่ผ่านมา ตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า พระสงฆ์ที่ปรากฏในคลิป คือ พระรุด ซึ่งเคยทำหน้าที่ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสามัคคีธรรม เขตบ้านสา ม.3 ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง และพบพระสงฆ์รูปดังกล่าวมีรอยสักรูปการ์ตูนอยู่ข้างหลังด้านขวาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม พระรูปดังกล่าวได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำพฤติกรรมดังกล่าว แต่ชาวบ้านในพื้นที่ ก็ได้ร่วมกันขับไล่ ออกจากวัดไปเมื่อเดือนกันยายน2558 ที่ผ่านมาแล้ว ล่าสุดจากการสอบสวน และพยานต่างๆ ทั้งยังมีผู้เสียหายเป็นเด็กที่ถูกกระทำอนาจาร เข้ามาแจ้งความไว้ที่ สภ.แจ้ห่ม ยืนยันว่า ผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าว ก็คือ อดีตรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดรูปดังกล่าวจริง ซึ่งหลังจากถูกขับไล่ออกจากวัดสามัคคีธรรม แล้ว พระรูปดังกล่าวได้ ไปขอบวชจำวัดแห่งหนึ่งใน อ.นาหมื่น จ.น่าน ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แจ้ห่ม ลำปาง จึงได้ติดตามควบคุมตัวมาสอบปากคำ จนสุดท้ายพระรุด ได้ให้การรับสารภาพแล้ว ว่า เป็นบุคคลที่ปรากฎในคลิปจริง ทางเจ้าหน้าที่ จึงได้นำตัวไปลาสิกขากับเจ้าคณะอำเภอแจ้ห่มลำปาง และคุมตัวดำเนินคดี ในข้อกระทำอนาจารกับเด็กชาย อายุไม่เกิน 15 ปีขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010699
|
|
|
11613
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.สรุปรายงาน "สังฆราช" เสนอรัฐสัปดาห์หน้า
|
เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:03:49 pm
|
พศ.สรุปรายงาน "สังฆราช" เสนอรัฐสัปดาห์หน้า พศ.เผยสรุปรายงานแจงข้อครหา "สังฆราช" เสนอรัฐบาลสัปดาห์หน้า วันนี้ (30 ม.ค. ) นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้ส่งข้อสอบถามถึงกรณีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 รวมถึงข้อครหาต่างๆ ตามข่าวที่สื่อมวลชน เสนอมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาฯนั้น ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อต้องการที่จะทำรายงานสรุปให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วนที่สุด
ที่สำคัญเพื่อชี้แจงให้รัฐบาลรับทราบด้วยว่า ข้อครหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอรายชื่อของสมเด็จพระราชาคณะ มติมหาเถรสมาคม(มส.) เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้าจะสรุปรายงานดังกล่าวเสนอไปยังนายสุวพันธุ์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปขอบคุณข่าวจาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010743
|
|
|
11616
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม
|
เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 07:51:47 am
|
รักษ์วัดรักษ์ไทย : วัดหงส์รัตนาราม พระอารามประจำพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ตามประวัติกล่าวว่า เดิมชื่อ “วัดเจ้าขรัวหง” เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเศรษฐีชาวจีนชื่อนายหง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ได้กำหนดเขตพระราชฐานขึ้น วัดหงส์ฯจึงเป็นวัดที่ติดกับพระบรมราชวัง ใน พ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาขยายพระอารามให้ใหญ่โตขึ้น ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ ศาลาการเปรียญ และกุฏิเสนาสนะทั้งวัด และทรงยกย่องให้เป็นพระอารามหลวงสำคัญ พร้อมถวายสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า “วัดหงษ์อาวาสวิหาร” พระอารามแห่งนี้อยู่ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถเสมอ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงชักชวนสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ร่วมบูรณปฏิสังขรณ์วัดหงส์ เนื่องจากอยู่ใกล้พระราชวังของพระองค์ แต่การยังไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีก็สิ้นพระชนม์ก่อน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงรับพระราชภาระในการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อ จนกระทั่งการเสร็จแต่ยังไม่บริบูรณ์นัก ก็เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนแล้วเสร็จสวยงาม และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดหงส์รัตนาราม” สิ่งสำคัญในวัดหงส์รัตนารามมีมากมาย อาทิ พระอุโบสถ • พระอุโบสถ กว้าง 19.50 เมตร ยาว 42 เมตร หลังคาเป็นมุขลด 2 ชั้น ประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทำเป็น 2 ชั้น ชั้นบนประดับลายรูปหงส์ ชั้นล่างทำเป็นพื้นเรียบเจาะเป็นช่อง 4 เหลี่ยม 2 ช่อง ภายในช่องประดับด้วยลายปูนปั้นปิดทองรูปหงส์ ภายในพระอุโบสถมีเสาอยู่ด้านข้าง 2 ข้าง ประดับลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งเป็นรูปพันธุ์พฤกษา ฐานเสาเป็นลายเชิง ผนังพระอุโบสถด้านในเหนือระดับหน้าต่าง เป็นจิตรกรรมรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งลายดอกไม้ ภาพเขียนระหว่างช่องหน้าต่างเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนบนกรอบประตูและหน้าต่างมีกรอบไม้จำหลักมีภาพจิตรกรรมเรื่องรัตนพิมพวงศ์ (ประวัติพระแก้วมรกต) ตั้งแต่แรกสร้าง • พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอู่ทอง หน้าตักกว้าง 2.60 เมตร สูง 3.50 เมตร ไม่มีพระนามและไม่ทราบประวัติว่าสร้างขึ้นในสมัยใด หลวงพ่อแสน • หลวงพ่อแสน เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นวโลหะ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 ศอกเศษ โลหะเนื้อสัมฤทธิ์สีทองต่างกันเป็น 4 ชนิด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระแสน มาประดิษฐานเบื้องหน้าพระประธานในพระอุโบสถ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ประวัติไว้ว่า “พระแสน (เมืองเชียงแตง) พระพุทธรูปองค์นี้ เชิญมาแต่เมืองเชียงแตง เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401 ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม” หลวงพ่อแสนเป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก เพราะถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พระทองโบราณ • พระพุทธรูปทองโบราณ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ มีวรรณะสีทองอ่อนดุจทองคำแท้ แต่เดิมนั้นหุ้มปูนพอกไว้ให้มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อ ปี 2499 พระสุขุมธรรมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามในขณะนั้น ได้พบรอยกะเทาะของปูนหุ้มที่พระอุระหลุดออก เห็นเนื้อในเป็นทองสีสุกปลั่ง เป็นทองโบราณสมัยสุโขทัย รุ่นเดียวกับหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม ภายในวิหาร • พระวิหาร ตั้งหันหน้าขวางเข้าหาพระอุโบสถ มีประตูเข้าออกได้ด้านเดียวทางพระอุโบสถ วิหารหลังนี้ได้สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารเดิมที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสร้างไว้ โดยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปทองโบราณ ทอดพระเนตรเห็นพระวิหารชำรุดทรุดโทรมมาก จึงมีพระราชดำรัสแก่พระสุขุมธรรมาจารย์ เจ้าอาวาส ว่า “พระวิหารนี้ ถ้ามีผู้มีจิตศรัทธาจะสร้างใหม่ ต้องสร้างให้เหมือนแบบเดิมทุกกระเบียด ตลอดจนลวดลาย ตามสมัยแบบเดิมทั้งสิ้น เพื่อรักษาแบบเดิม ดำรงไว้ซึ่งแบบโบราณสมัยของวัดหงส์รัตนารามนี้ มีอายุนับเป็นร้อยปี ใกล้พระราชนิเวศน์โดยแท้จริง” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม และได้ทรงยกช่อฟ้าพระวิหารหลังนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปเรียงกัน 5 องค์ โดยมีพระพุทธรูปทองโบราณประดิษฐานอยู่ตรงกลาง ศาลพระเจ้าตาก • ศาลพระเจ้าตาก ตั้งอยู่ที่ริมคลองคูวัด เชิงสะพานข้ามคลองหน้าวัด ด้านทิศตะวันตก ประชาชนในละแวกใกล้เคียง พร้อมใจกันสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์ เดิมเป็นศาลไม้ แต่ปัจจุบันสร้างใหม่เป็นศาลก่ออิฐถือปูน ภายในประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนเป็นอย่างมาก สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ • สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ กว้าง 6 วา ยาว 26 วา ลึก 1.50 เมตร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะเสด็จมาสรงน้ำที่นี่เมื่อมีพิธีสำคัญของแผ่นดิน ที่กลางสระน้ำจะมีหินอาคมอยู่ เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้อาบดื่มกิน จะได้ผลสัมฤทธิ์ดังที่อธิษฐานไว้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา วัดหงส์รัตนารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ล่าสุด ปี 2557 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ามาสนับสนุนงานบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ พระวิหาร ภูมิทัศน์เขตพุทธาวาส และงานปรับปรุงท่าน้ำ โดยในปี 2558 จะเริ่มดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถเป็นเบื้องต้น ที่สำคัญ ในหนังสือประวัติวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ระบุว่า วัดหงส์รัตนารามนี้ ถือว่าเป็นวัดประจำพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุที่ในการพระราชพิธีสงกรานต์นั้น เจ้าอาวาสวัดหงส์จะต้องเข้าไปในการสดับปกรณ์พระบวรอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่หอพระนาคในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำทุกปี จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 172 เมษายน 2558 โดย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ http://manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9580000037082
|
|
|
11619
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 10:53:41 pm
|
ทางเข้าสระน้ำมนต์อยู่ภายในวัดหงสรัตนาราม นิมนต์สมเด็จพระญาณสังวร แผ่เมตตาทำบ่อน้ำพระพุทธมนต์ ที่วัดหงส์ ครั้งเกิดโรคห่าลงเมืองคราวนั้น ผู้คนได้พึ่งพาน้ำพระพุทธมนต์ นำไปต้มยากินรักษาโรค และเมื่อคราวกระทำน้ำพระพุทธมนต์ ไล่โรคร้าย ณ.วัดพระศรีรัตนศาสดารามของ สมเด็จพระญาณสังวร และคณะพระราชาคณะทั้งปวง เป็นเรื่องเล่าลือกล่าวขานกันมาก เวลานั้นพระพิมลธรรม(ด่อน) วัดหงส์ ต้องการที่จะให้ประชาชน ได้มีที่พึ่งทางจิตใจ จึงอาราธนานิมนต์ สมเด็จพระญาณสังวร พร้อมด้วยพระปัญญาวิสารเถร(ศรี) วัดสมอราย พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร วัดพลับฯ ไปแผ่เมตตาจิตทำน้ำพระพุทธมนต์ ที่สระน้ำวัดหงส์ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับบรรดาญาติโยม
จากหนังสือประวัติวัดสำคัญทางพระพุทธสาสนา เล่ม ๒ กล่าวว่าภายในบริเวณวัดหงส์ มีสระน้ำพระพุทธมนต์ กว้าง ๖ วา ยาว ๒๖ วา เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนกล่าวกันว่า ก่อนอาบกินต้องอธิษฐาน ขอความสำเร็จแล้วจึงอาบกิน แต่ละมุมอำนวยผลต่างกัน ๑. มุมด้านทิศตะวันออก ดีทางเมตตามหานิยม กล่าวกันว่า สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) วัดพลับ ทรงแผ่เมตตาจิต ๒. มุมด้านทิศใต้ ดีทางมหาลาภและการค้า กล่าวว่า พระปัญญาวิสารเถร(ศรี) วัดสมอราย อธิษฐานจิต ๓. มุมด้านทิศเหนือ ดีทางบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ กล่าวว่า พระพรหมมุนี(ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร วัดพลับ อธิษฐานจิต ๔. มุมด้านทิศตะวันตก ดีทางแคล้วคลาด กล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ครั้งเป็นพระพิมลธรรม(ด่อน) วัดหงส์ ทรงอธิษฐานจิตป้ายประวัติสระน้ำมนต์ภายในวัดหงส์ฯ จากตำนานพระทองวัดหงส์ กล่าวว่า ผู้เป็นศิษย์วัดหงส์ ได้อาบกินน้ำพระพุทธมนต์ในสระนี้ มีความเจริญรุ่งเรื่องตลอดชีวิต เช่น ท่านเจ้าพระยายมราชได้อาบกิน ก็รุ่งเรืองตลอดวัย ท่านพระยาธรรมปรีชาอาบกิน ก็ได้พ้นราชภัย
คัมภีร์พระเวทย์ของอาจารย์เทพ สาริกบุตร กล่าวว่า ต่อมาได้ค้นพบ พระคาถาที่จารึกในแผ่นศิลาชื่อ "พระคาถาแก้วเรือนฟ้าส่องโลก" บรรจุในสระน้ำพระพุทธมนต์ วัดหงส์ ว่าเป็นพระคาถามหาวิเศษของพระอาจารย์ทั้ง ๔ ท่าน ได้ช่วยกันอธิษฐานจิต ใจความของพระคาถามีดังนี้
ปัญญาพะลัง ปัญญาเสฏฐัง ปัญญาปาสาทิโก ปัญญาโอภาโส ปัญญาปะโชโต ปัญญารัตตะนัง อะโมสิงหลภาษา พะหูสุขัง พะหูสิเนหัง สาอุปัชชะติ ภูริปัญโญมะหาญาณัง ปะฐะวีจักขะณาสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์วัดหงส์ฯ อ้างอิง :- หนังสือพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) หน้าที่ ๓๔๔-๓๔๕ พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง http://www.somdechsuk.com
|
|
|
11620
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:16:23 pm
|
ว่อนโซเชียล “พระ”ฟรุ้งฟริ้งอุ้มตุ๊กตาลูกเทพ เดินตลาด สวดยับไม่เหมาะสม จี้จัดการ เมื่อวันที่ 28 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกระแสความนิยมตุ๊กตาลูกเทพของประชาชนบางกลุ่มจนมีการเผยแพร่ภาพต่างๆ ของกลุ่มที่นิยมตุ๊กตาลูกเทพในสื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดเว็บเพจ “Killing Ghost สมาคมล้มล้างสิ่งงมงาย” ได้มีการโพสต์ภาพของชายที่ใส่จีวรลักษณะคล้ายพระ หรือเณรเดินอุ้มตุ๊กตาลูกเทพในตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่ง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมกับสมณเพศเป็นอย่างมาก รวมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาตรวจสอบว่าเป็นพระหรือเณรจริงหรือไม่เพื่อเข้ามาดำเนินการ อย่างไรก็ตามในเว็บเพจดังกล่าวไม่ได้มีการระบุว่าภาพดังกล่าวอยู่ในจังหวัดใดขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news/16604
|
|
|
11621
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:13:56 pm
|
โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จ.นครปฐม นายสมชาย สุรชาตรี โฆษก พศ. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ว่า กรณีพระสงฆ์ปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ ที่เป็นกระแสโด่งดังในขณะนี้ หากทาง พศ.ตรวจพบว่าพระสงฆ์ ได้นำสิ่งปลุกเสกที่เป็นไสยศาสตร์มนตร์ดำ เช่น นำกระดูกบรรพบุรุษของบุคคลอื่น หรือดิน 7 ป่าช้ามาประกอบพธีปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาต ถือเป็นการลักทรัพย์ ผิดพระธรรมวินัย ขัดคำสั่งมส. และต้องอาบัติร้ายแรง เพราะนำมาซึ่งความเสื่อมในพระพุทธศาสนา สำหรับประชาชนที่บูชาตุ๊กตาลูกเทพ ควรละโลภ โกรธ หลงด้วย ขณะนี้สังคมแตกแขนงไปกันใหญ่ กลายเป็นว่าคนเริ่มงมงาย กระทำในเรื่องที่พระพุทธศาสนาไม่ได้สอน
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พระสงฆ์วัดดังย่านนนทบุรี ปลุกเสกลูกเทพนั้น ท่านกล่าวว่าที่รับลงเมตตาเบิกเนตรให้ตุ๊กตาลูกเทพเพราะโยมขอให้ทำ ส่วนวัดอื่นๆ ขณะนี้ไม่รับเจิมหรือปลุกเสกลูกเทพแล้ว
ส่วนกรณีที่มีผู้แชร์ภาพพระสงฆ์อุ้มตุ๊กตาลูกเทพในโซเชียลมีเดียนั้น พศ.ได้ตรวจสอบแล้วพบเป็นพระสงฆ์ที่สังกัดวัดในภาคอีสาน สาเหตุที่อุ้มตุ๊กตาลูกเทพ เพราะท่านเดินอยู่ในตลาดแล้วมีประชาชนยื่นลูกเทพให้เป่ามนต์ลงคาถาให้ เมื่อท่านเป่ามนต์เสร็จ ก็คืนเจ้าของ ดังนั้นตุ๊กตาลูกเทพที่ท่านอุ้ม ไม่ใช่ของท่านแต่อย่างใดขอบคุณภาพข่าวจาก http://news.sanook.com/1940250/
|
|
|
11625
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้ำทริปผ้าเหลืองดำน้ำอาบัติ 'พศ.' ทำหนังสือกำชับ 'ผู้ว่าฯ'
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 07:58:12 pm
|
ย้ำทริปผ้าเหลืองดำน้ำอาบัติ 'พศ.'ทำหนังสือกำชับ'ผู้ว่าฯ' ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ย้ำพระสงฆ์จัดทริปดำน้ำผิดวินัย ชี้ผิดอาบัติ เผยทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการฯ กำชับสถานที่ท่องเที่ยวอย่าให้เกิดขึ้นอีก หากพบ "พระ-เณร" จัดทริป รายงานให้ทราบทันที
จากกรณีสังคมออนไลน์ มีการแชร์ภาพของกลุ่มชายนุ่งห่มผ้าเหลืองคล้ายพระสงฆ์ ได้นั่งเรือสปีดโบ๊ทไปดำน้ำและดูปะการังในหมู่เกาะช้าง จ.ตราด จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และเรียกร้องให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เร่งตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องด้วยเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์กระทำไม่เหมาะสม ขัดกับระเบียบวินัยสงฆ์หรือไม่ ตามที่ปรากฏมาแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 29 ม.ค. นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยความคืบหน้ากับ “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า จากเบื้องต้นที่ทราบแล้วว่าพระภิกษุสงฆ์และสามเณรตามภาพปรากฏบนสังคมออนไลน์ เดินทางจาก กรุงเทพฯ มาลงที่ท่าเรือแหลมงอบ จ.ตราด ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบว่าพระสงฆ์บัณฑิต และสามเณร ที่ปรากฏในภาพมีทั้งหมดกี่รูป และบวชหรือศึกษาอยู่ที่ใดบ้าง แม้ไม่ขัดต่อพระวินัย แต่ก็ไม่ควรพึงปฏิบัติดังเช่นฆราวาส เพราะไม่เหมาะสม เนื่องด้วยพระเปรียบเสมือนพุทธบุตร หากเป็นเช่นนี้ศาสนาพุทธจะถูกมองอย่างไร
ขณะที่นายธรรมรัตน์ แย้มขจร นักวิชาการศาสนาปฎิบัติการ สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวผ่านว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา จาการตรวจสอบเป็นพระบัณฑิตและสามเณรที่มาจากหลายวัด เดินทางมาจากกรุงเทพฯได้จัดทริปดำน้ำชมปะการังจริง แต่ไม่ได้มาพักค้างแรม ซึ่งภาพที่ปรากฏไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรง ทั้งนี้นายสันติ ดินม่วง ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ได้ทำหนังสือส่งไปยังนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการ จ.ตราด กำชับและสั่งการให้สถานที่ท่องเที่ยงทุกแห่ง กวดขันหากมีพระสงฆ์หรือสามเณร จัดทริปเที่ยวชมดำน้ำดูปะการังอย่างเช่นกรณีดังกล่าว หรืออย่างอื่นใด ให้ชี้แจงกลับไปไม่เหมาะสมและไม่ควรพึงปฎิบัติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ต้องรายงานให้ทราบโดยทันที ทั้งนี้นายสันติ ดินม่วง ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ได้ให้สัมภาษณ์อีกด้วยว่า ตนได้ทำหนังสือชี้แจงเป็นรายลักษณ์อักษรถึงผู้ว่าราชการ จ.ตราด ให้กำชับเรื่องนี้อย่าให้เกิดขึ้นเป็นครั้งต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทางคนขับเรือเองแจ้งว่าได้พากลุ่มพระสงฆ์เลี่ยงไปยังสถานที่ที่น่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นดำน้ำดูปะการัง แต่ก็เห็นว่าไม่เหมาะสม จนทำให้มีประชาชนถ่ายภาพไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และแม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามพระสงฆ์มิให้เล่นดำน้ำ แต่ก็ยังถือว่าไม่เหมาะสม ผิดวินัยสงฆ์และผิดอาบัติอย่างชัดเจน ต้องไปทำพิธีปลงอาบัติกับเจ้าอาวาส ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/376225ขอบคุณรูปภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก : รุ่งศักดิ์ สุวรรณภาณุ,Chayathon Robrujane
|
|
|
11627
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบสีกามุดใต้เตียงกลางดึก
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 07:49:06 pm
|
ชาวบ้านรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบสีกามุดใต้เตียงกลางดึก ชาวบ้านขอนแก่นรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบมีสีกามุดใต้เตียงในห้องนอนพระกลางดึก ขณะสีกา ยืนยัน นำพุทรามาให้เจ้าอาวาสฉันและมายืมเงินเท่านั้น ไม่ได้ร่วมหลับนอน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยื่นคำขาดออกจากวัดภายใน 24 ชม.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ม.ค.2559 ภายในศาลาการเปรียญ วัดแห่งหนึ่ง ใน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ชาวบ้านส่งเสียงตะโกนโห่ไล่เจ้าอาวาส ออกนอกหมู่บ้าน โดยมีพระปกครองวินัย จากเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอบ้านไผ่ ผู้แทนจากวัฒนธรรมอำเภอบ้านไผ่ และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านไผ่ ร่วมรับฟังสังเกตการณ์ด้วย
ในขณะเดียวกัน สีกาที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ได้เดินเข้าไปในศาลาการเปรียญ เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ว่า ในคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้มาหาท่านเจ้าอาวาสจริง เอาพุทรามาถวาย และมายืมเงิน ไม่ได้มาร่วมหลับนอน หรือทำเรื่องไม่ดีงาม แต่มีเสียงชาวบ้านโห่ร้อง ตีกลอง ตกใจ จึงขอเข้าไปในห้องนอนเจ้าอาวาส พอมีเสียงชาวบ้านเข้ามาในศาลาการเปรียญ จึงรีบมุดเข้าไปหลบใต้เตียง เพราะความตกใจกลัวเท่านั้นชาวบ้านรวมตัวขับไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด ไม่พอใจ พบสีกาอยู่ภายในห้องนอนของพระ นางดวงจันทร์ ขุ่มด้วง อายุ 43 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่ หนึ่งในผู้ที่เห็นสีกาอยู่ในห้องเจ้าอาวาส เผยว่า ชาวบ้านทราบพฤติกรรมของเจ้าอาวาสกับสีกาน้อย (นามสมมติ) อายุ 25 ปี มานาน แต่จับไม่ได้ กระทั่งคืนวันที่ 15 ธันวาคม เวลา 21.00 น. ชาวบ้านเห็นว่า นางน้อย ขี่รถจักรยานยนต์นำพุทรามาให้เจ้าอาวาสที่วัด จึงตามมาดู พบนางน้อยจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บันไดทางขึ้นศาลาการเปรียญ นานกว่า 1 ชม. ชาวบ้านจึงล้อมศาลาการเปรียญไว้ เพราะเจ้าอาวาส มีห้องนอนอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเห็นนานผิดปกติ จึงเรียกเจ้าอาวาสวัดและนางน้อยออกมา แต่ไม่ยอมออกมา ชาวบ้านจึงไปตีฆ้อง ตีกลอง ส่งเสียงว่า เกิดเหตุในวัด เจ้าอาวาสจึงยอมเปิดประตูศาลาการเปรียญ ชาวบ้านจึงเข้าไปตรวจสอบในห้องนอนเจ้าอาวาส และตรวจสอบใต้เตียงนอน พบสีกาน้อยนอนหลบอยู่ จึงลากแขนออกมา ในสภาพกางเกงขาสั้น เสื้อยืดแขนสั้น
“ตนและชาวบ้าน 4 คน เข้าไปตรวจสอบในห้องนอนเจ้าอาวาส พบสีกาน้อย ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง จึงลากตัวออกมา และบันทึกภาพทั้งหมดเอาไว้ แจ้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และทางพระผู้ใหญ่ให้ทราบตามขั้นตอน ต่อมาคณะสงฆ์ในนามพระฝ่ายปกครองหรือพระฝ่ายวินัย ลงมาตรวจสอบแล้ว 2 ครั้ง ไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากการสอบสวนเจ้าอาวาสวัดแล้ว ยืนยันว่า รับพุทรา กินพุทรา และสีกาน้อยก็ขอยืมเงิน แล้วมีเสียงตีกลอง เสียงชาวบ้านโห่ร้อง ตกใจจึงให้สีกาน้อยไปหลบในห้องนอน
ส่วนสีกาน้อย ก็บอกว่า เอาพุทรามาให้เจ้าอาวาส และยืมเงิน ไม่ได้มีการร่วมหลับนอน หรือทำไม่ดีกับเจ้าอาวาส คณะพระวินัย สรุปว่า ความผิดไม่ถึงขั้นสึก ชาวบ้านไม่พอใจ จึงมารวมตัวกันอีกครั้งในวันนี้ เป็นครั้งที่ 3”จนท.พยายามชี้แจงเต็มที่ แต่ไม่เป็นผล ชาวบ้านยื่นคำขาด ต้องพ้นวัดไปภายใน 24 ชม. นายประกาศ โสมา อายุ 50 ปี กำนัน ต.บ้านลาน เผยว่า เจ้าอาวาส ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ที่แห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีการพัฒนาวัดร่วมกับชุมชนมาเป็นอย่างดีและอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2558 ชาวบ้านที่เป็นคนสนิทเจ้าอาวาสไปแจ้งให้ทราบว่า เจ้าอาวาสนัดสีกาไปหาที่วัดในยามวิกาล และให้เงินสีกา ชาวบ้านรายนี้รู้เห็นทุกอย่างก็ถูกข่มขู่อุ้มฆ่า ชาวบ้านจึงไปแจ้งว่า หากเขาตายไป มีเพียงเรื่องเดียวคือ เรื่องเจ้าอาวาสกับสีกา เมื่อทราบเรื่องจึงร่วมกับชาวบ้านติดตามพฤติกรรมทั้งสีกาและเจ้าอาวาส มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ชาวบ้านจับได้ว่า สีกามาหาเจ้าอาวาสในยามวิกาล ซึ่งไม่มีใครพูด หรือ บอกว่า สีกากับเจ้าอาวาสนอนด้วยกัน หรือมีอะไรกันในวัด เพียงแต่เป็นการไม่สมควรที่สีกากับเจ้าอาวาสไปมาหาสู่ หรือนำของกินมาให้ในยามวิกาล จึงเรียกร้องให้เจ้าอาวาสสึก หรือไม่ก็ออกไปอยู่ที่อื่น แต่การเจรจาพูดคุยของชาวบ้านกับพระสงฆ์ต้องมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับฟัง ซึ่งฝ่ายปกครองของคณะสงฆ์ได้ทำการพิจารณาร่วมกับชาวบ้านมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ได้มีคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่แล้ว แต่เจ้าอาวาสไม่ไป ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งมติเสียงของชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้เจ้าอาวาสออกจากวัดภายใน 24 ชั่วโมงขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/570065
|
|
|
11628
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งดงาม.! สื่อจีนเผยภาพถ่าย "อาทิตย์ทรงกลด หลังองค์เจ้าแม่กวนอิม" คนแห่ไหว้
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:51:12 pm
|
งดงาม.! สื่อจีนเผยภาพถ่าย "อาทิตย์ทรงกลด หลังองค์เจ้าแม่กวนอิม" คนแห่ไหว้ สื่อจีนเผยภาพปรากฏการณ์สุดงดงาม อาทิตย์ทรงกลดหลังองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ คนจีนแห่ไหว้ขอพร
สำนักข่าว 'พีเพิล เดลี่' ได้เผยแพร่ภาพถ่ายวินาทีภาพเหตุการณ์ธรรมชาติสุดแสนงดงามที่เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อในเย็นวันนั้นได้เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้น ช่างภาพหัวไวที่อยู่ในวัดจึงได้หามุมลั่นชัตเตอร์ได้อย่างลงตัว โดยให้พระอาทิตย์อยู่ด้านหลังเจ้าแม่กวนอิมประจำวัด ภาพที่ออกมาจึงเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมที่มีแสงออร่าเป็นฉากหลัง งานนี้พุทธศาสนิกชนที่พบเห็นก็เกิดศรัทธาจึงยกมือไหว้ขอพรกันขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.posttoday.com/world/news/412930
|
|
|
11633
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝึกสมาธิเอาอุจจาระราดตัว พุทธศาสนาไม่ได้สอน
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 11:20:55 am
|
ฝึกสมาธิเอาอุจจาระราดตัว พุทธศาสนาไม่ได้สอน เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล หลังจากสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อว่า เตชินท์ จอมคำ ได้แชร์ภาพจากแฟนเพจเฟซบุ๊กของ หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นภาพการฝึกวิชาขันธารของพระเณร ตอนบวชรุ่น 80 พรรษา ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โดยการเอาอุจจาระมาราดตัวพระเณรเพื่อฝึกสมาธิ ซึ่งหลังจากที่ภาพได้เผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตก็ได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมขณะที่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ไพรวัลย์ วรรณบุตร ถึงเรื่องดังกล่าวชี้แจงว่า ในพุทธศาสนาไม่มีเรื่องการฝึกสมาธิด้วยการเอาอุจจาระมาราดตัว เพราะการทำเช่นนี้ มันออกนอกทางสายกลาง เป็นความสุดโต่ง เป็นการทรมานตนให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ภาษาพระท่านเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคนอกจากนี้ สายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามความเห็นไปยัง นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ในทางพุทธศาสนาไม่มีการฝึกสมาธิโดยการเอาของสกปรกมาราดตัว น่าจะอวดอุตริ ถือว่าเป็นความประพฤติที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมที่ดี จิตต้องสงบ สว่าง และสะอาด การเอาของสกปรกมาราดตัวจะนำมาซึ่งเชื้อโรค ยิ่งทำให้กายเป็นอุปสรรค ขัดขวางการบรรลุธรรม ซึ่งผิดธรรมชาติ ผิดวิสัยของพระโดยทั่วไป ถ้าเป็นพระสายวัดป่า วัดธุดง ก็จะใช้วิธีฝึกสมาธิในการนั่ง ยืน เดิน นอน กำหนดจิตขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/569328
|
|
|
11634
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ให้ศึกษา "พระสูตร"
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:58:36 am
|
พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ให้ศึกษา "พระสูตร" ธรรมทินนสูตร : ธรรมทินนอุบาสกพยากรณ์โสดาปัตติผล [๑๖๒๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ครั้งนั้น อุบาสกชื่อว่า ธรรมทินนะ พร้อมด้วยอุบาสก ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อใดจะพึงมีประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงตรัสสอน โปรดทรงพร่ำสอนข้อนั้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า พระสูตรเหล่าใดที่พระตถาคตตรัสแล้ว อันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยความว่าง เราจักเข้าถึงพระสูตรเหล่านั้นตลอดกาลเป็นนิตย์อยู่ ดูกรธรรมทินนะ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
[๑๖๒๖] ธ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายยังครองเรือน นอนกกลูกอยู่ยังทาจันทน์แคว้นกาสี ยังใช้มาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีทองและเงินอยู่ จะเข้าถึงพระสูตรที่พระตถาคตตรัสแล้ว อันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก เป็นโลกุตตะ ประกอบด้วยความว่าง ตลอดนิตยกาลอยู่ มิใช่กระทำได้โดยง่าย ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมอันยิ่งแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่แล้วในสิกขาบท ๕ เถิด.
พ. ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ประกอบด้วย ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... จักเป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ ดูกรธรรมทินนะท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
ธ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่าใด ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในข้าพระองค์ทั้งหลาย และข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นชัดในธรรมเหล่านั้น เพราะว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย ประกอบด้วย ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ...ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ. พ. ดูกรธรรมทินนะ เป็นลาภของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ดีแล้ว โสดาปัตติผลอันท่านทั้งหลายพยากรณ์แล้ว.
จบ สูตรที่ ๓พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๙๗๑๒-๙๗๓๙. หน้าที่ ๔๐๔-๔๐๕. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=19&A=9712&Z=9722&pagebreak=0
|
|
|
11637
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกยังไม่เปลี่ยน! เหลือ 3 นาทีถึงเที่ยงคืน หายนะจ่อชาวโลก
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 08:17:06 am
|
เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกยังไม่เปลี่ยน! เหลือ 3 นาทีถึงเที่ยงคืน หายนะจ่อชาวโลก คณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกของปี 59 ยังคงไว้ที่ 3 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืน เหมือนปีที่แล้ว ชี้ ถือเป็นข่าวร้าย แสดงให้เห็นความเป็นห่วงที่จะเกิดการสูญส้ินเผ่าพันธุ์มนุษย์จากอาวุธนิวเคลียร์และภาวะโลกร้อน
เมื่อ 27 ม.ค. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน คณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Bullentin of The Atomic Scientists) เปิดแถลงข่าวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 59 (ตามเวลาท้องถิ่น) ระบุ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก โดยยังคงไว้ที่ 3 นาทีก่อนจะถึงเวลาเที่ยงคืนเหมือนกับปี 2558 เนื่องจากเวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นที่สุดแล้วสำหรับการประเมินหายนะของชาวโลกที่ใกล้จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ นับตั้งแต่ยุคเกิดสงครามเย็น
‘เวลา 3 นาที ก่อนเที่ยงคืน ถือเป็นเวลาที่สั้นมาก สั้นจริงๆ’ แถลงการณ์จากคณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ โดยพวกเรา ซึ่งเป็นสมาชิก ต้องการแสดงความชัดเจนถึงการตัดสินใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกในปี 2559 ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว ถือว่าไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อผู้นำโลกทั้งหลายยังคงล้มเหลวในความพยายามที่จะลดอาวุธอันตรายร้ายแรง อย่างเช่น อาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาโลกร้อนป้ายแสดงให้เห็นนาฬิกาวันสิ้นโลก ที่เข็มนาฬิกา ยังคงไว้อยู่ที่ 3 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืน ทั้งนี้ จากข้อมูลในวิกิพีเดีย ระบุว่า นาฬิกาวันสิ้นโลก เป็นหน้าปัดนาฬิกาเชิงสัญลักษณ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490 โดยคณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ของมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นการเปรียบเทียบถึงเผ่าพันธ์ุมนุษย์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงใกล้เที่ยงคืน ขณะที่เวลาเที่ยงคืนตรงนั้น หมายถึง การทำลายอันมีผลหายนะใหญ่หลวง แต่เดิมนั้น นาฬิกาวันสิ้นโลก ใช้เป็นตัวแสดงถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ในภายหลัง ได้มีการเพิ่มประเด็นในด้านเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และพัฒนาการในวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจกู้คืนได้ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/568941
|
|
|
11638
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กางตำรา 'หลักโหร' VS 'หลักวิทย์' ทำนายชะตาราศี ล่วงรู้จริงหรือ?
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 08:13:18 am
|
กางตำรา 'หลักโหร' VS 'หลักวิทย์' ทำนายชะตาราศี ล่วงรู้จริงหรือ? ลัคนาราศี ดวงชะตา ทายนิสัย...คุณเคยกดเข้าไปอ่านเรื่องราวเหล่านี้ตามเว็บไซต์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ที่มีการทำนายทายทักอนาคตในภายภาคหน้าของคุณหรือไม่? สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการล่วงรู้อนาคต คงไม่พลาดที่จะเสพคำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่คุณอาจจะผ่านตากับถ้อยคำที่ว่า มีปัญหาไม่สบายใจ การเงินติดขัด คนโสดจะได้เจอเนื้อคู่ หรือคำทำนายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การงาน ความรัก แต่สุดท้าย ความรู้สึกนึกคิดของคุณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้มากน้อยเพียงใด?
วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เปรียบเทียบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงดาวจากมุมโหราศาสตร์ ซึ่งนำมาใช้วิเคราะห์คำทำนาย จับชนข้อมูลความรู้ทางดาราศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ สุดท้าย คำทำนายที่คุณเชื่อถือมาโดยตลอดจะเป็น “เรื่องลวง” หรือ “ล่วงรู้” คุณเท่านั้นที่จะอ่านและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง!มนุษย์เห็นดาวอังคารสีแดง จึงตีความว่าเป็นดวงดาวสีเลือด ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วบนดาวอังคารมีออกไซด์บนพื้นผิว จึงทำให้มีสีแดงเรื่อ มาเยือนสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ถึงที่ ตำนานความสัมพันธ์ระหว่างโหราศาสตร์-ดาราศาสตร์
โหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของโหราศาสตร์ว่า โหราศาสตร์บังเกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 5,000 ปี ต่อมาหลักการดังกล่าวได้ถูกแพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย พม่า และมอญ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ภาษาที่ใช้ในโหราศาสตร์ บางส่วนเป็นภาษาบาลีสันสกฤต
ขณะที่ หลักโหราศาสตร์นั้น มีมากมายหลายแขนง อาทิ โหราศาสตร์ไทย, โหราศาสตร์สากล, ยูเรเนียน, ลายมือ, ฮวงจุ้ย, โหงวเฮ้ง, ไพ่ยิปซี, ไพ่ออราเคิล เป็นต้น โดยส่วนตัว ตนใช้วิชาโหราศาสตร์ไทย, ไพ่ยิปซี, เลข 7 ตัว, ลายเซ็น ซึ่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่ยอมรับของสากล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ศึกษาด้วยว่า ผู้ศึกษามีความชำนาญเพียงใด และผู้ศึกษาสามารถสร้างความเชื่อถือให้ผู้คนยอมรับถึงความแม่นยำได้หรือไม่
“สมัยโบราณ นักโหราศาสตร์มักจะมีความเชี่ยวชาญในหลักวิชาดาราศาสตร์ เนื่องจากหลักการทั้งสองประเภทจะต้องถูกนำมาใช้ควบคู่กัน โดยนักโหราศาสตร์จะไม่ได้เรียนหลักดาราศาสตร์โดยตรง แต่จะใช้วิธีนำข้อมูลดาราศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ผูกดวงชะตา” นายกสมาคมโหรฯ กล่าวถึงที่มาการดูดวงผ่านดวงดาวพระอาทิตย์เจ้าแห่งระบบสุริยะ ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ นักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ คือ บุคคลคนเดียวกัน เนื่องจากนักโหราศาสตร์จะศึกษาข้อมูลทางดาราศาสตร์อย่างจริงจัง เหตุเพราะมีความเชื่อที่ว่า ดวงดาวนั้น มีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์
“แต่เมื่อหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้บังเกิดขึ้น โดยมีหลักเหตุผลที่ว่า การจะเชื่อสิ่งใดต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน ซึ่งโหราศาสตร์กลับไม่สามารถพิสูจน์ได้ จากนั้นโหราศาสตร์กับดาราศาสตร์จึงแยกทางออกจากกันอย่างสิ้นเชิง” รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ในยุคโบราณราหู มิใช่ดวงดาว แต่ราหูคือเงา นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ การเคลื่อนที่ของดวงดาวมีผลต่อชะตาชีวิตจริงหรือ?
โหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ในการทำนายโชคชะตาว่า จากการสันนิษฐานการดำรงชีวิตของผู้คนในอดีต จะพบว่า มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในแต่ละวัน จนพบว่า โลกมีแสงสว่างและความดำมืด และนั่นก็คือ เวลากลางวัน และกลางคืน แต่มีมนุษย์ช่างสังเกตบางคน ได้สังเกตเห็นว่า ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ได้อยู่ในจุดๆ เดิมตลอดทุกวัน มิหนำซ้ำดวงดาวหลายต่อหลายดวงยังมีการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ทั่วท้องฟ้า
“มนุษย์ช่างสังเกตเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวตลอดมา จึงได้พบว่า เมื่อใดก็ตามที่ดวงดาวดวงหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่มันมักเคลื่อนที่ไปเสมอ การเคลื่อนที่ครั้งนั้น มักจะมีผลต่อโลกทุกครั้ง เช่น ส่งผลให้เกิดอากาศหนาว, อากาศร้อน, ฝนตก หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ดาวดวงหนึ่งเคลื่อนโคจรมาอยู่ใกล้ๆ โลก เช่น ดาวอังคารมักจะเกิดเภทภัยต่างๆ บนโลกมนุษย์เสมอ” นายกสมาคมโหรฯ ให้ความเห็นตามหลักโหราศาสตร์
ขณะที่ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า การเคลื่อนท่ีของดวงจันทร์นั้น มีผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง “ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาวในหลักโหราศาสตร์ มีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างไร?” ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหราศาสตร์ฯ ซึ่งได้รับคำตอบจากนายกฯ ว่า “อาจารย์เคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง ซึ่งมีนายแพทย์ท่านหนึ่งระบุถึงการผ่าตัดผู้ป่วยไว้อย่างน่าฉงนว่า ทำไมในช่วงเวลาข้างขึ้น การผ่าตัดผู้ป่วยถึงมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก และเหตุการณ์ของแพทย์ท่านนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ในร่างกายของมนุษย์มีเลือด ซึ่งเลือดก็คือน้ำ ดังนั้น พระจันทร์ย่อมมีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน”ดวงจันทร์กำลังบดบังดวงอาทิตย์ ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ กล่าวถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวในระบบสุริยะว่า สิ่งเดียวที่มีผลต่อโลกคือ แรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง แต่มีผลในที่นี้คือ มีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ชายเลน และไม่ได้มีผลต่อชะตาชีวิตมนุษย์
“ดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ดาวอังคารที่มีสีออกแดงๆ หรือดาวศุกร์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลก การเคลื่อนที่ของดวงดาวไม่ว่าดวงเล็ก ดวงใหญ่ สีไหน ดวงใดก็ตาม ต่างก็ไม่ได้มีผลต่อโลก” รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ยืนยัน
โดย ดร.ศรัณย์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ทำนายชะตาชีวิตว่า เรื่องราวจำพวกดูดวง การทำนายราศีลัคนา หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเชื่อเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างได้ แต่หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์และหักล้างความคิดนี้ได้ กล่าวขยายความให้เข้าใจได้โดยง่ายคือ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ผีมีจริง ซึ่งโหราศาสตร์ก็เช่นกันระบบสุริยะ มีวัตถุมากมายนอกเหนือจากดาวเคราะห์ ความจริง VS ความเชื่อ...ความหมายดวงดาวทางดาราศาสตร์
โหราศาสตร์ : นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ได้อธิบายถึงชื่อเรียก และความหมายของดวงดาวต่างๆ ไว้ว่า ดวงอาทิตย์เปรียบเป็นชื่อเสียงเงินทอง หรือหน้าตาทางสังคม เนื่องจากพระอาทิตย์เป็นเจ้าแห่งระบบสุริยะ, ดาวเสาร์ คือดวงดาวที่โคจรได้ไกลที่สุดในระบบสุริยะ โดยดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความทุกข์เศร้า เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่ดาวเสาร์โคจรทับลัคนาของใครคนหนึ่ง จะส่งผลให้บุคคลนั้นๆ มีแต่ความทุกข์, ดาวศุกร์ คือดวงดาวที่มีความสว่างสดใส จึงถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของความสวยงาม นั่นก็คือ เหล่าดารานักแสดง นางงาม หรืออาชีพที่ต้องใช้ความสวยความงาม
ส่วนดาวพฤหัส คือตัวแทนแห่งความซื่อตรง ความเท่ียงตรงยุติธรรม, ดาวพุธ เปรียบเป็นดาวที่ซอกแซก เฉลียวฉลาด ติดต่อธุรกิจเก่ง หรือเป็นนักสื่อสาร, ดาวอังคาร เป็นดวงดาวแห่งสงคราม หากดาวอังคารปรากฏในช่วงเดือนที่ชะตาชีวิตไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ, ดวงจันทร์ เคลื่อนที่เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้โลกที่สุด ดังนั้น ดวงจันทร์จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงง่าย และราหู ไม่ใช่ดวงดาว แต่ราหูคือเงา
ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหรฯ ถึงการเปรียบเทียบดวงดาวแต่ละดวงว่า “ผู้คิดค้นหลักการเปรียบเทียบดวงดาวข้างต้นใช้หลักการอันใด?” ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหร ตอบกลับว่า ผู้คนในสมัยโบราณมีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก และบันทึกไว้เป็นสถิติ ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาว จึงมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์มีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือเศร้า อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในทางโหราศาสตร์ ดวงอาทิตย์เปรียบเป็นชื่อเสียงเงินทอง หรือหน้าตาทางสังคม ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ กล่าวสวนทางกับการเปรียบเทียบดวงดาวในโหราศาสตร์อย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่า ความเชื่อที่ว่า ดวงดาวเปรียบเสมือนความกล้า สงคราม ทหาร ความรัก หรืออื่นๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณทั้งสิ้น
ดร.ศรัณย์ กล่าวตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เห็นดาวอังคารสีแดง จึงตีความว่าเป็นดวงดาวสีเลือด ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วบนดาวอังคารมีออกไซด์บนพื้นผิว จึงทำให้มีสีแดงเรื่อ ส่วนดาวศุกร์ที่มนุษย์บอกว่าสุกสว่าง เปรียบเสมือนดาวแห่งความรัก ซึ่งอันที่จริงแล้วดาวศุกร์มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ขณะที่ ดาวพฤหัส มนุษย์บอกว่า มีความสว่างคงที่ จึงเปรียบเป็นนักปราชญ์ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ดาวพฤหัสบดีเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า แม้กระทั่ง ดาวเสาร์ ที่มนุษย์ต่างเปรียบเทียบว่าเป็นความทุกข์ ความเชื่องช้า โดยให้เหตุผลว่า ใช้ระยะเวลาในการโคจรในทางโหราศาสตร์ประมาณ 2 ปีครึ่ง
“ในแต่ละศาสนาวัฒนธรรม ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อทางโหราศาสตร์แตกต่างกัน โดยเฉพาะในศาสนาอิสลาม ได้ระบุข้อห้ามไว้ชัดเจนว่า อิสลามไม่มีสิ่งสมมติ ดังนั้น ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง ห้ามถือโชคลางของขลัง โดยศาสนาอิสลามให้เหตุผลว่า เรื่องราวเหล่านี้ไร้สาระ เป็นวิชาของพวกผี และเป็นเรื่องไม่ควร” รอง ผอ. สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวดวงจันทร์กำลังเคลื่อนย้ายผ่านดาวพฤหัส เชื่อสุดโต่ง VS ไม่เชื่อสุดใจ...
โหราศาสตร์ : “เราจะรู้ได้อย่างไรว่า โหราศาสตร์ คือ ความถูกต้องแม่นยำและพิสูจน์ได้ มิใช่เป็นเพียงแค่ความเชื่อ?” ผู้สื่อข่าวยิงคำถามไปที่นายกสมาคมฯ เขาตอบกลับมาในทันทีว่า โหราศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ กล่าวคือ เมื่อนาย ก.มาดูดวง สิ่งที่นักโหราศาสตร์ทำนายให้นาย ก. มีความแม่นยำตรงกันกับชีวิตนาย ก. หรือไม่ หากตรงก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แก่หลักโหราศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
“หากไม่ตรง ถือว่าเป็นความเชื่อ และไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้นหรือ?” ผู้สื่อข่าวถามต่อ โดยนายกสมาคมฯ ตอบมาในทันทีอีกว่า หากไม่ตรง ไม่ได้หมายความว่า โหราศาสตร์นั้น พิสูจน์ไม่ได้ แต่แปลว่า องค์ความรู้ของนักโหราศาสตร์ท่านนั้นๆ ยังขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ และขาดความเข้าใจโดยแท้
“ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น นักโหราศาสตร์ จะต้องมอบความจริง มอบคุณธรรมให้แก่ผู้ฟังคำทำนาย ส่วนผู้ฟังคำนายก็ควรฟังอย่างมีสติ และเมื่อรู้ผลการทำนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากผู้ฟังพบว่า ชะตาชีวิตเป็นไปในทางร้าย ก็ควรคิดวิเคราะห์หาทางแก้ไช และในทางตรงกันข้าม หากพบว่า ชะตาชีวิตในอนาคตนั้นดี ก็ไม่ควรประมาท เพราะหลักโหราศาสตร์คือทำให้รู้ความเป็นไปแห่งชีวิต และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” อ.ศิวนาถ นายกสมาคมโหรฯ เตือนคอดูดวงทั้งหลายกลุ่มดาวดวงเด่น ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ที่มีระบบวงแหวนดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มากกว่าดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะ ดาราศาสตร์ : “ในฐานะประชาชน คุณมีความเชื่อในเรื่องดวงชะตา โหราศาสตร์หรือไม่?” ทีมข่าวถามความเห็นจาก ดร.ศรัณย์ ซึ่งได้รับคำตอบว่า “ผมไม่เคยกดเข้าไปอ่านคำทำนายเหล่านี้ เหตุผลของผมก็คือ ผมไม่เชื่อ ซึ่งเรื่องราวที่ทำนายทายทักออกมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการตีความทางจิตวิทยา หากถามว่าทำไมผมไม่เชื่อ คงจะตอบได้ว่า ผมเคยเรียนวิชาดูดวง สุดท้ายก็ได้รู้ว่า เรื่องราวจำพวกนี้ มั่วไปมั่วมา”
รองผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงนักโหราศาสตร์ว่า บุคคลเหล่านี้มี 2 ประเภท ดังนี้ ประเภทที่ 1 บุคคลกลุ่มนี้ไม่ได้หลอกลวงประชาชน แต่เขาเชื่อเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องจริงของเขาเอง แต่ไม่จริงสำหรับคนอื่น และประเภทที่ 2 บุคคลกลุ่มนี้ยกตนเป็นผู้วิเศษ เรียกตนเองว่า หมอดู และหากินกับความเชื่อของประชาชน
“โดยธรรมชาติของคนไทย เป็นพวกสรรหาความงมงายอยู่เป็นนิจ หากเราเลือกสละความงมงาย แล้วเปลี่ยนมาใช้เหตุผลกับบ้านเมือง ผมเชื่อว่า สังคมจะดีขึ้นมาก” ดร.ศรัณย์ ทิ้งท้ายคมคายกาแล็กซี่ จิตแพทย์ เตือนใช้วิจารณญาณในการรับฟังคำทำนาย
จิตแพทย์ : ทีมข่าวสอบถามมุมมองความเห็นจาก นพ.ชิโนรส ลี้สุวรรณ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตถึงเรื่องราวความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งได้รับคำตอบว่า โหราศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ ประเทศ แต่สำหรับผู้คนในบางประเทศ ทันทีที่พวกเขาเกิดความไม่สบายใจ หรือความทุกข์ บุคคลเหล่านี้จะเลือกไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสวนทางกับประเทศไทย เพราะเมื่อคนไทยเกิดความเครียด คนไทยมักเลือกไปพบพระ หรือหมอดู ดังนั้น ทุกคนในสังคมไทยควรใช้วิจารณญาณ และคิดวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อจากค่านิยมที่ผิดเพี้ยน
“โดยส่วนตัวผมไม่อ่านเรื่องการทำนายดวงชะตา ราศี เนื่องจากไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจกับเนื้อหาที่ผ่านตาอยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก” รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวจากความรู้สึก
สุดท้าย โหราศาสตร์จะเป็น “เรื่องลวง” หรือ “ล่วงรู้” ไม่ได้อยู่ที่ “หมอดู” แต่ขึ้นอยู่กับ “สติ” ของคุณเท่านั้นเอง สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่ reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าว เฉพาะกิจขอบคุณภาพและบทความจาก https://www.thairath.co.th/content/568508
|
|
|
11639
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สังคมส่ายหน้า คณะพระสงฆ์จัดทริป ทัวร์ดำน้ำดูปะการัง
|
เมื่อ: มกราคม 27, 2016, 08:34:46 pm
|
หลายปีก่อนผมเคยคุยกับพระรูปหนึ่ง ท่านบวชมาตั้งแต่เด็กไม่เคยสึกเลย พ่อแม่บอกให้สึกออกมามีครอบครัว เตรียมเจ้าสาวไว้ให้แล้ว ท่านก็ไม่ยอมสึก ตอนนั้นจำได้ว่า ท่านบวชพระมาได้ประมาณ ๒๑ พรรษา ตอนนี้ก็ร่วม ๓๐ พรรษา ท่านปรารภว่า "เค้าว่าดำน้ำจะทำให้สมาธิดี ว่าจะไปดำน้ำบ้าง" (มีสหธรรมิกของท่านเคยไปดำน้ำ) เท่าที่สัมผัสท่านได้ ท่านมีสมาธิดี ท่านมีตาทิพย์สามารถเห็นโอปาติกกะและสัพเวสีได้ คุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ อย่าซีเรียส
|
|
|
|