ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 289 290 [291] 292 293 ... 708
11601  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: พระปิดตามหาอุตม์ กับ พระฐานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:26:10 am
อ้างถึง
ask1 ask1 ask1 โดยคุณ komol
พระเครื่อง ยังพอ ระลึกถึงพระพุทธคุณได้ มองเห็น เป็นที่นิยม
ตุ๊กตาเทพ มันเป็นผลิตภัณฑ์ จากต่างประเทศ ( นำเข้าจากจีน ) ถ้าจะไว้ระลึกถึง คุณเทวดา มันก็พอได้ แต่ คนที่ใช้จริง ๆ ตอนนี้ มันออกไปทาง งมงาย เสียมากกว่า และ คนที่จัดว่าเป็น บัณฑิต ( พวกพระสงฆ์ ) กลับมาทำเรื่องงมงาย เพิ่มเข้าไปอีก

    จริงอยู่มองแล้ว ว่า เป็นให้กำลังใจ แต่ เมืองไทย ขณะนี้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา สิ่งที่ปรากฏออกไปต่อสื่อทั่วโลก มันเป็นทางลบ ไม่ใช่ทางบวก

   สถานการณ์ พุทธ เมืองไทย นั้น อยู่ในภาวะ วิกฤติหลายเรืื่อง ทางด้านศรัทธา และ ก็เป็นเหตุให้สื่อต่าง ๆ พยายามเข้ามาบิดเบือน สร้างภาพให้มันเป็นทางลบเพิ่มขึ้นผล กระทบก็จะได้ฝั่งตรงข้าม

   ถามว่า ดี หรือ ไม่ดี ถ้าศาสนาพุทธ ขณะนี้สอนให้คน งมงาย เด็ก เล็ก ลูก หลาย เหลน โหลน ภายหน้า ที่เห็นว่า พุทธศาสนาไม่มีความจำเป็นกับเขาแล้ว คุณจะรักษา ประเทศชาติ ได้กันจริง หรือ ไม่ ?

  :96: :smiley_confused1: :34: :bedtime2:


 ans1 ans1 ans1 ans1

ถามเล่นๆนะ.... จตุคามรามเทพ กับ ลูกเทพ ต่างกันอย่างไร.?
ความจริงผมยังโพสต์ไม่จบ จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ
จะนำประวัติหลวงปู่สุก(ฐานานุกรมของท่าน) มาเปรียบเทียบกับ
บทความจากคอลัมน์ชักธงรบ จาก นสพ.ไทยรัฐ
ซึ่งพบว่า มีความแตกต่างกันอยู่ โปรดติดตาม...


 :25:
11602  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: พระปิดตามหาอุตม์ กับ พระฐานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:19:23 am


พระถานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร มี ๕ รูป ทรงแต่งตั้งให้

๑. พระอาจารย์ด้วง พระอาจารย์วิปัสสนาเป็น พระครูปลัดด้วง ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ทำหน้าที่บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ พระครูปลัดด้วง ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน เป็นรุ่นต่อมา ส่วนพระญาณวิสุทธิ์เถร (ชิต) พระปลัดขาว พระอาจารย์สุก พระอาจารย์สี พระใบฎีกากัน พระอาจารย์เจ้า พระอาจารย์มาก พระอาจารย์สน พระอาจารย์ด้วง (มีอีกองค์หนึ่ง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน รุ่นแรกของสมเด็จพระญาณสังวรเนื่องจาก พระมหาเถรเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีชนมายุเลย ๗๐ บ้าง บางท่านมีชนมายุเกือบถึง ๘๐ พรรษาแล้ว ต้องการพักผ่อน หาความสงบวิเวก ในกุฎิอันเป็นผาสุกวิหารของแต่ละท่าน

ต่อมาสมเด็จพระญาณสังวร ทรงอนุญาติให้ พระครูปลัดด้วง เลือกสรรแต่งตั้งพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน โดยเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยของ พระครูปลัดด้วง ซึ่งมีรายนามดังนี้ คือ
    พระอาจารย์รุ่ง (พระญาณโกศลเถร) ๑
    พระอาจารย์บุญ (พระญาณสังวรเถร) ๑
    พระอาจารย์มี (พระญาณโยคาภิรัติ) ๑
    พระอาจารย์เมฆ (พระสังวรานุวงศ์เถร) ๑
เลือกสรรได้แล้ว ท่านจึงนำรายชื่อถวาย สมเด็จพระญาณสังวร ทรงแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนั้น พระครูปลัดด้วง ท่านจึงเป็นกำลังสำคัญ ของสมเด็จพระญาณสังวร ในฝ่ายวิปัสสนาธุระ และเป็นกำลังของวัดราชสิทธาราม กาลต่อมาท่านพระครูปลัดด้วง มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนทั้งหลายเคารพนับถือ ยำเกรงมาก เรียกขานนามพระครูปลัดด้วงว่า หลวงปู่ใหญ่ หลังจากสิ้นอายุสังขาร ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก) เจ้าคุณหอไตร และพระมหาเถรรุ่นแรกแล้ว พระครูปลัดด้วง จึงเป็นผู้นำพระอาจารย์วิปัสสนาทั้งปวง


๒. พระอาจารย์แก้ว เปรียญพระอาจารย์บอกหนังสือพระบาลีมูลกัจจายน์ หนังสือจินดามณีเป็น พระครูวินัยธร (แก้ว) ถานานุกรมชั้นที่ ๒ ทำหน้าที่บอกหนังสือพระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์ ท่านมีอาวุโสกว่า พระอาจารย์ด้วง ท่านชำนาญทางด้านพระวินัยพระบาลี เป็นอาจารย์ผู้ช่วยของ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) พระรัตนมุนี(กลิ่น)  พระครูวินัยธรแก้ว

ท่านมีอาจารย์ผู้ช่วยบอกหนังสือ คือ พระมหาทัด (พระอมรเมธาจารย์) พระมหาเกิด (สุธรรมธีรคุณ) พระมหาเกด (พระอมรเมธาจารย์)ฯ ฉะนั้นพระครูวินัยธรแก้ว จึงเป็นกำลังสำคัญ ในฝ่ายคันถะธุระ ของพระศาสนา และของวัดราชสิทธาราม ในกาลต่อมา


๓. พระใบฏีกากัน เป็น พระครูวินัยธรรมกัน ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานของ สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน มาแต่เดิมเป็นรุ่นแรก ท่านเป็นพระมหาเถรที่มีอาวุโสกว่า พระครูปลัดด้วง พระครูวินัยธร (แก้ว) เหตุที่ พระครูวินัยธรรมกัน เป็นถานานุกรมอยู่เพียงแค่นี้ ไม่เลื่อนสูงขึ้นไปอีก เพราะท่านไม่มีความประสงค์เป็นถานานุกรม สูงขึ้นไปกว่านี้ เนื่องจากท่านมีปรกตินิสัย ไปในทางรักสันโดด มักน้อย ไม่ชอบวุ่นวายเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ด้วยความจริงใจ

และท่านมีความเห็นอีกว่า พระเถรองค์อื่นที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าท่านก็มี และจะได้เป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาต่อไปในภายหน้า อีกประการหนึ่งท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า จะขออยู่แค่นี้จะไม่ขึ้นต่อไปอีก

ภายหลังถึงต้นรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จะทรงแต่งตั้งท่านขึ้นเป็น พระราชาคณะ พระครูธรรมธรกัน ไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ท่านให้เหตุผลต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ว่า ตั้งใจตั้งสัจจะให้แก่ตัวเองไว้แล้ว จะไม่ยอมขาดจากสัจจะอย่างเด็ดขาด จะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ภิกษุผู้เกิดในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ก็ทรงจนพระทัย


๔. พระอาจารย์สี พระอาจารย์วิปัสสนาเป็น พระครูสมุห์สี ถานานุกรมชั้นที่ ๔ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อนท่านเป็นพระมหาเถรมีอาวุโสสูง รุ่นเดียวกับ พระครูวินัยธรรมกัน ท่านมีความดำริเช่นเดียวกับ พระครูวินัยธรรมกัน

๕. พระอาจารย์กลิ่น พระอาจารย์วิปัสสนา เป็นคนละองค์ กับพระมหากลิ่น กวีเอก พระอาจารย์กลิ่น เป็น พระครูใบฎีกากลิ่น ถานานุกรมชั้นที่ ๕ ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ท่านมีความดำริเช่นเดียวกันกับ พระครูวินัยธรรมกัน และพระครูสมุห์สี




ปีที่สถาปนาพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็นสมเด็จราชาคณะนั้น พระภิกษุมหาเถรในวัดพลับได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ๒ รูป พระครู ๑ รูป คือ

   ๑. พระปลัดขาว ท่านเป็นพระปลัด ถานานุกรมของพระญาณสังวรเถร ท่านเป็นพระปลัดต่อจาก พระปลัดชิต พระปลัดขาวได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณโพธิ์เถร รับพระราชทานพัดงาสาน พระคณาจารย์เอก ทางวิปัสสนาธุระ พระปลัดขาว เป็นพระญาณโพธิ์ ต่อจาก พระญาณโพธิ์ วัดสังข์กระจาย แต่ราชทินนามของ พระปลัดขาว เติ่มคำว่า เถร ต่อท้ายราชทินนาม เพราะเป็นราชาคณะ พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

    ๒. พระมหากลิ่น เปรียญเอก เป็นพระราชาคณะฝ่ายคันถธุระที่ พระรัตนมุนีพระมหากลิ่น เป็นพระรัตนมุนี ต่อจากพระรัตนมุนี (ขุน) วัดโมลีโลก ที่เลื่อนขึ้นเป็นพระเทพโมลี

    ๓. พระสมุห์ศุก พระอาจารย์วิปัสสนา ท่านเป็นพระสมุห์ ของพระญาณสังวรเถร(สุก)  ต่อจากพระสมุห์ฮั้น ที่ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่ พระวินัยรักขิต ครั้งนี้พระสมุห์ศุก ได้รับพระราชทานเป็นพระครูวิปัสสนาที่ พระครูธรรมสถิต

    ต่อมา พ.ศ. ๒๓๖๕ ในรัชกาลที่ ๒ ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระปัญญาภิสารเถร พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากวัดพลับไปครองวัดอรัญวาสีหัวเมืองคือ วัดโปรดเกษเชฎฐาราม เมืองนครเขื่อนขันธ์ ท่านไปพร้อมด้วยถานานุกรมสามรูปมี พระปลัดขาวติดตามไปด้วยต่อมา พระปลัดขาว เป็นพระครูวินยานุบุรณาจารย์ (ขาว)

    ในต้นรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณวิษารเถร (ขาว) เป็นเจ้าอาวาสวัดโปรดเกษเชษฐาราม พระญาณวิษารเถร(ขาว)เป็นสัทธิวิหาริก ของพระญาณสังวรเถร (สุก ไก่เถื่อน) พระปัญญาภิสารเถร (ศุก) ท่านเป็นอันเตวาสิกรุ่นใหญ่ ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)

    เมื่อท่านไปสถิต ณ. วัดโปรดเกษเชฎฐารามแล้ว คนทั้งหลายในเมืองนครเขื่อนขันธ์ เรียกขานนามท่านว่า ท่านท่าหอย เนื่องจากท่านมีนามว่า ศุกเหมือนสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน อีกทั้งท่านยังมาจากวัดท่าหอย กับทั้งยังมีเมตตาพรหมวิหาร ทำให้ไก่ป่า ที่เขตป่าวัดโปรดเกษเชฎฐาราม เชื่องได้ คล้ายกับสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน


อ้างอิง :-
พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) หน้าที่ ๓๒๙-๓๓๒
พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง
http://www.somdechsuk.com
11603  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระปิดตามหาอุตม์ กับ พระฐานานุกรมสมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:00:15 am
พระครูเทพสิทธิเทพาธิบดี (หลวงพ่อทับ อินทโชติ) วัดสุวรรณาราม(วัดทอง) กรุงเทพฯ
ภาพจากhttp://www.web-pra.com/


ตุ๊กตาหลวงพ่อทับ
คอลัมน์ ชักธงรบ โดย กิเลน ประลองเชิง

ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งเดียว หลายปีเต็มที มีคนชักชวนให้ผมไปฟังปุจฉา วิสัชนา ของหลวงปู่พุทธอิสระ ที่หอประชุม มหาวิทยาลัยเกษตรฯ บางเขน

ข้อวิสัชนา...ทุกสิ่งในโลกนี้เป็นของสมมติ จงรู้จักค่าของสมมติ ให้เกียรติสมมติ และรู้จักใช้ประโยชน์จากสมมติ...ฟังแล้วคาใจ สมมติ ผมแปลความเอง ก็...อนัตตา คือความไม่มีตัวตน คือความว่าง...นั่นเอง

กลางกระแสบ้า ของตุ๊กตาลูกเทพ มีใคร? หนุ่มไฮโซฯ สักคนบ่นว่า ไม่ได้แตกต่างจากการสมมติค่า นาฬิกายี่ห้อดัง...บนข้อมือของเขา นาฬิกายี่ห้อดัง กระเป๋าถือยี่ห้อดัง ฯลฯ ไปถึงขั้น ทองคำ เพชร พลอย คนพวกหนึ่ง ในเวลาหนึ่งสมมติว่า “มีราคาแพง” แต่ถ้าเปลี่ยนเวลา...ไปอยู่ในเรือลำเล็กกลางทะเลลึก นาฬิกา เพชรพลอยแพงแค่ไหน ในยามหิวไม่มีค่าเลย เทียบกับขนมปังก้อนเดียว

ผมอ่านเรื่องสั้น เศรษฐศาสตร์ กลางทะเลลึก ของพี่ อาจินต์ ปัญจพรรค์ แล้ว นึกถึงประโยคอมตะ ของ ม.จ.สิทธิพร กฤตดากร “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาต่างหาก...ของจริง”


ภาพจาก http://www.aj-ram.com/


ในจำนวนพระปิดตามหาอุตม์ พระเครื่องยอดนิยม...พระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก หรือเนื้อผงจุ่มรัก หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี นิยมเป็นที่ 1 พิมพ์ใหญ่หลังแบบ องค์สวยสมบูรณ์ ราคาประมูลครั้งล่า 34 ล้าน

อีกชุด พระมหาอุตม์เนื้อสำริด...วงการยกของ หลวงพ่อทับ (พระครูเทพสิทธิเทพาธิบดี พระฐานานุกรม สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร (ไก่เถื่อน) วัดมหาธาตุ) เป็นที่หนึ่ง ของแท้ มีใบรับประกัน ราคาสมมติจากสถาบันในวงการ ขึ้นล้านไปแล้ว


 :96: :96: :96: :96:

ครูดุก พัทยา เล่าไว้ในหนังสือ พระปิดตามหาอุตม์ว่า พระกัจจายนะ เป็นพระอรหันตสาวกองค์เดียว ที่มีรูปร่างงามสง่าคล้ายพระพุทธองค์ มีคนทักผิดบ่อยๆ ท่านก็เลยอธิษฐานแปลงร่างให้อ้วนพุงพลุ้ย แต่ความตั้งใจจะไม่ให้คนสนใจ กลับส่งผลตรงข้าม คนกลับนิยมชมชอบท่านยิ่งขึ้น จากสภาพพระอ้วนลงพุง คนก็แปลงท่านให้เป็นพระปิดตา...ปิดแค่สองตา เป็นที่มาของการสร้างพระปิดตา...ยังไม่พอ

คนก็ยังสมมติให้ท่านเข้านิโรธสมาบัติ แสดงสัญลักษณ์ด้วยการปิดหู ปิดจมูก ปากและปิดกระทั่งก้น สมัยก่อนชาวบ้านเรียกกันว่า พระปิดทวารทั้งเก้า ต่อมา ก็เรียกมหาอุด แต่คำอุดบอกนัยไม่ค่อยดี...นักเลงภาษาจึงลาก “อุด” เข้าบาลีเป็น “อุตม์” หรืออุตมะ ที่แปลว่า สูงสุด พูดง่ายๆ ลากคำอุด ที่ไม่เป็นมงคล ให้เป็นคำมงคล


พระปิดตาหลวงปู่ทับ วัดทอง ธนบุรี ภาพจาก http://www.aj-ram.com/


ในประวัติหลวงพ่อทับ ที่อาจารย์ชื้น วัดมหรรณพ์ เขียนในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอก พระยาชลปทาน–ธนารักษ์ พ.ศ.2515...ตอนหนึ่งว่า

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อทับ ธุดงค์ไปในป่าใกล้วัดบ่อหลวง เชียงใหม่ เจอชาวบ้านชาย 9 หญิง 4 หลวงพ่อก็ควักพระมหาอุตม์จากก้นย่าม แจกให้ เขาก็รับกันไว้ ไม่ได้แสดงเชื่อถือ ไม่สนใจ เอามาโยนเล่น
   แล้วก็ถาม “ที่ให้มาเป็นตุ๊กตาหรือ.?”
   “เป็นพระ...มีเอาไว้รักษาหู รักษาตา รักษาปาก”
   หลวงพ่อทับว่า “ถ้าปากไม่ดี ไปที่ไหน ก็มีแต่เรื่อง”

มีชาวบ้านกลุ่มใหม่เป็นชาย 4 คน เห็นอาการหมิ่นแคลนพระของคนพวกนั้น ก็ทะเลาะกันมีเรื่องตะลุมบอนกัน พวกเข้ารีตที่มีพระมหาอุตม์ หนังเหนียวไม่มีใครเลือดตกยางออก จะมีก็แต่ผู้หญิงปากจัด ที่ออก ชวนหลวงพ่อทับ สึกไปรับจ้างเลี้ยงหมูถูกกระสุนเข้าปาก ฟันหักหมดปาก...อยู่คนเดียว


 ans1 ans1 ans1 ans1

เขียนมาถึงตอนนี้ ผมก็ย้อนไปนึกถึงคำสอนหลวงปู่พุทธอิสระ ทุกอย่างเป็นของสมมติ...คนพวกหนึ่งมีความเชื่อ ก็สมมติ เป็นพระปิดตาพระมหาอุตม์...คนอีกพวกไม่เชื่อ เห็นเป็นแค่ “ตุ๊กตา”

ความเชื่อ เป็นเสรีภาพเฉพาะตัว...เป็นเรื่องสมมติเฉพาะตัว ต้องให้เกียรติคนด้วยกัน ไม่ควรเอามาเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน หากความเชื่อนั้นไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร

ลูกผมตอนยังเล็กติด “น้องโฉ่ย” ตุ๊กตาตัวใหญ่ จะไปไหน ไปเที่ยว เจ็บไข้เข้าโรงพยาบาล ก็เอาติดตัวไปด้วย พูดคุย หยอกเย้า ป้อนข้าวป้อนน้ำไปตามประสา

ปัญหาของตุ๊กตาลูกเทพ น่าจะอยู่ที่ คนที่ติดตุ๊กตาเป็นผู้ใหญ่...เด็กยังไร้เดียงสาได้ ผู้ใหญ่จะไร้เดียงสาบ้าง...ผมเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารแต่ประการใดเลย.


ขอบคุณบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/569851
11604  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สะท้อนสังคมโซเชี่ยล.!! ลูกสาวถึงกับร้องไห้ ตัดพ้อโทรศัพท์ทำให้คนไม่มีเวลาส่วนตัว เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:33:47 pm


สะท้อนสังคมโซเชี่ยล.!! ลูกสาวถึงกับร้องไห้ ตัดพ้อโทรศัพท์ทำให้คนไม่มีเวลาส่วนตัว

ดราม่าหนักมาก ชาวโซเชี่ยลได้แชร์คลิปแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่สะท้อนถึงสังคมยุคปัจจุบันได้อย่างดี โดยในคลิปดังกล่าวเด็กหญิงร้องไห้อย่างหนักด้วยความโมโห และถึงกับกล่าวว่า "ไม่รักแม่แล้ว" ยังมีบทสนทนาสะท้อนไปยังอีกหลายๆครอบครัวได้ ตามคลิปว่า "ไม่ใช่เวลาและไลน์ ถ้าอยากให้หยุดร้องไห้ให้คุณแม่เอาโทรศัพท์ไปทิ้ง เพราะโทรศัพท์ทำให้คนบนโลกนี้ไม่มีเวลาส่วนตัว ไม่มีกับครอบครัวด้วยซ้ำ เพราะเล่นแต่โทรศัพท์" ตอนจบเด็กหญิงยังปัดโทรศัพท์คุณแม่และไม่อยากให้ถ่ายคลิปด้วย

จากการเผยแพร่คลิปดังกล่าว ทำให้ชาวเน็ตวิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการใช้โทรศัพท์ระหว่างอยู่กับครอบครัวโดยเฉพาะเมื่อมีเด็กๆอยู่ด้วย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะสะท้อนให้หลายๆครอบครัวกลับมาปรับปรุงและหาวิธีการใช้โทรศัพท์อย่างพอดีได้


ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/nM8HBEFDpLg
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1454067497
11605  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ประชาชน" แตกตื่นแห่เข้าวัด ชมพระร่วงพิมพ์โบราณเนื้อชิน เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:31:24 pm


"ประชาชน" แตกตื่นแห่เข้าวัด ชมพระร่วงพิมพ์โบราณเนื้อชิน

ตะลึง!พบบรรจุอยู่ในไห อายุกว่า 800 ปี ภายในมีผอบลงยา และพระร่วงพิมพ์โบราณ เนื้อชิน กระจัดกระจายเต็มไห ประมาณค่ามิได้ ประชาชนรู้ข่าวแห่ไปดูแน่นวัด ขณะที่ ผบ.กรมทหารปืนใหญ่ที่ 72 จ.ลพบุรี ส่งกำลังทหารมาดูแลความปลอดภัยตลอดทั้งวัน
 
วันนี้ (30 ม.ค.59) พ.อ.นิคม อุดมเลิศวนสิน ผบ.กรมทหารปืนใหญ่ที่ 72 จ.ลพบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เดินทางไปอำนวยความสะดวก ที่วัดโคกโพธิกุญชร หมู่ 8 ต.ตะลุง อ.เมือง จ.ลพบุรี หลังมีประชาชนจำนวนมากมาดูพระร่วงพิมพ์โบราณ เนื้อชินอายุไม่ต่ำกว่า 800 ปีโดยพระครูวินัยธรวิเชียร เตชฺวโร  อายุ 77 ปีเศษ  เจ้าอาวาสวัด ได้กล่าวว่าอาตมาภาพเป็นเจ้าอาวาสรุ่นที่ 10 ของวัดนี้ที่มีอายุกว่า 200 ปี เดิมเป็นวัดร้าง ในตำบลตะลุงนี้มีด้วยกัน 3 วัด

 
 :96: :96: :96: :96:

คือ วัดดงตาล วัดโคกโพธิกุญชร และวัดกลาง วัดนี้ไม่ปรากฏใครเป็นผู้ก่อสร้าง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ คือเจดีย์ และโบสถ์มหาอุด ภายในมีภาพเขียนฝาผนัง ระบุ รศ. ปัจจุบันลบเลือนไปตามกาลเวลา รอการบูรณะขึ้นใหม่ เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติ เจ้าอาวาสกล่าวต่อไปอีกว่า
 
ก่อนพบพระร่วงพิมพ์โบราณเนื้อชิน ได้มอบให้คนงานนำรถไปเกรดปรับพื้นที่ดินข้างต้นโพธิ์ใหญ่ ระหว่างการปรับพื้นดินอยู่นั้น ปรากฏว่าไปกระทบวัตถุที่ฝังอยู่ในดิน จนปากแตก คนงานตกใจคิดว่าเป็นไหเก็บกระดูกของคนโบราณ จึงมาตามอาตมา ไปตรวจสอบพบว่าเป็นไหโบราณแตกละเอียด ภายในพบผอบลงยาแตก และพระร่วงพิมพ์โบราณเนื้อชิน จำนวนหนึ่ง จึงนำขึ้นมาตรวจสอบ พบมีคราบดินติดแน่นทุกองค์ เป็นพิมพ์ที่งดงาม ไม่มีในยุคนี้ คิดว่าเป็นบุญของวัดที่กำลังพัฒนา ท่ามกลางกระแสสังคมโลกปัจจุบัน ที่คนห่างไกลวัดมากขึ้น

 


ในขณะเดียวกัน มีประชาชนเดินทางมาจำนวนมากขึ้น เพื่อขอเข้าชมพระดังกล่าว บางคนเสนอปัจจัยจำนวนสูง ขอทำบุญ เช่าบูชาในราคาสูงสุด เพื่อนำไปบูชาติดตัว เป็นสิริมงคล ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านพระเครื่อง ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เปิดเผยว่าพระร่วงพิมพ์โบราณเนื้อชิน ที่พบนั้น มีคราบสนิมแดงจับตามขอบ คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 800 ปีหรือศตวรรษที่17 ลพบุรีตอนปลาย พระร่วงพิมพ์โบราณ ปลุกเสกจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิทยาคมในยุคนั้น มอบให้แก่ทหารและชาวบ้าน ในยามรบทัพ จับศึก มีพุทธคุณ ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า แคล้วคลาด เมตตามหานิยมอย่างสูง ใครมีไว้บูชาก็จะเกิดสิริมงคลอย่างยิ่ง

ในระหว่างนั้น มีผู้เสนอขอเช่าในราคาที่สูง ตามความเชื่อถือศรัทธา อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเจ้าอาวาส ยังไม่เปิดให้เช่าบูชา แม้ปัจจุบันต้องการปัจจัยจำนวนมากมาบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ที่กำลังทรุดโทรมไปตามกาลเวลา รอการตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่า พระร่วงพิมพ์โบราณ สร้างขึ้นในยุคใดกันแน่ จากนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้เข้ามาดูแลความเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงกันขุดหาพระเครื่องดังกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/38767
11606  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตรวจร้านค้า "วิหารมงคลบพิตร" พบมีบุกรุก เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:25:26 pm


ตรวจร้านค้า "วิหารมงคลบพิตร" พบมีบุกรุก

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ม.ค. พ.อ.รณวุฒิ เรืองสวัสดิ์ รอง ผอ.กอ.รมน.พระนครศรีอยุธยาน.ส.สยุมพร กุลสุ หน.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปรีชา ขันธไพศรี รองนายกเทศมนตรีนครพระนครศรีอยุธยา นายสุธีร์ สุขพัฒน์ ส.ท. นายสุริยะ รื่นเวช ปลัดเทศบาล ดร.เสริมสุข ประกฤติภูมิ ตัวแทนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา นายลือชา นิสัยกล้า ธนารักษ์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ พ.ต.ท.ชนินทร์ วีนิน รอง ผกก.จร.สภ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกำลังทหาร ได้เข้าตรวจสอบบริเวณที่ตั้งร้านค้าด้านข้างและหลังวิหารพระมงคลบพิตร ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่เคยมีการร้องเรียนเรื่องการบุกรุกและการจัดระเบียบมาหลายครั้ง

 :96: :96: :96: :96:

เบื้องต้นพบว่ามีร้านค้าที่ตั้งอยู่ขณะนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ร้านค้าทรงไทยประมาณ 148ร้าน ซึ่งพบว่ามีการหยุดขายไปหลายร้าน และร้านค้าส่วนใหญ่มีการต่อเติมดัดแปลงอาคารร้านค้าเกือบทุกร้าน ส่วนที่สองเป็นร้านค้าแผงลอยที่อยู่ในเต็นท์ข้างวิหารพระมงคลบพิตร และส่วนที่สามเป็นจุดที่มีการก่อสร้างเป็นเพิงถัดไป ซึ่งทั้งสองจุดเป็นจุดที่มีการร้องเรียนถึงเรื่องการบุกรุก และความไม่เป็นระเบียบ เจ้าของร้านรายหนึ่งในร้านค้าทรงไทยกล่าวว่า ได้มีการร้องเรียนไปหลายครั้งเกี่ยวกับการจัดระเบียบร้านค้าที่ปลูกสร้างขาดความเป็นระเบียบ แต่ไม่ได้รับความสนใจ จึงอยากให้ทางราชการมาจัดระเบียบด้วย

 :25: :25: :25: :25:

พ.อ.รณวุฒิกล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อดูความเป็นไปได้ในการจัดระเบียบ และจากการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้แนวทางเดียวกับแผนแม่บท คือให้ร้านค้าที่มีการบุกรุกหรืออยู่นอกเรือนไทยไปตั้งขายของที่หลังศาลากลางเก่าที่จัดเตรียมร้านค้าไว้ให้ แล้วอนาคตก็จะมีรถรางรับนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมบริเวณวัดก็สามารถซื้อหาสินค้าได้ นอกจากนี้ก็ยังจะต้องจัดระเบียบของร้านค้าทรงไทยด้วยเนื่องจากทุกวันนี้ขาดความเป็นระเบียบอย่างมาก.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/570298
11607  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 2 แม่ลูกโดนหาว่าเป็นปอบ ชาวบ้านขับไล่หลบนอนหลังเมรุเผาศพวัด! เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:22:41 pm



2 แม่ลูกโดนหาว่าเป็นปอบ ชาวบ้านขับไล่หลบนอนหลังเมรุเผาศพวัด!

ผกก.สภ.ด่านซ้าย นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามอบผ้าห่มให้สองแม่ลูกชาวเลย หลังถูกชาวบ้านกล่าวหาเป็นปอบ ต้องอาศัยข้างเมรุวัดหลับนอน เจ้าตัวบอก ดีใจมาก ไม่ต้องทนหนาวแล้ว

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ม.ค. 59 จากสภาพอากาศที่ยังหนาวเย็นในช่วงเช้าและค่ำ อุณหภูมิอยู่ที่ 15-18 องศาเซลเซียส มีหมอกหนาใน อ.ด่านซ้าย จ.เลย พ.ต.อ.ยุทธวัฒน์ โชคชัย ผกก.สภ.ด่านซ้าย จ.เลย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง เดินทางไปมอบผ้าห่มให้กับ นางดา(นามสมมุติ) อายุ 64 ปี และนายชาย(นามสมมุติ) อายุ 38 ปี สองแม่ลูกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ จนโดนขับไล่ ต้องไปอาศัยอยู่ใต้เมรุเผาศพ วัดเนรมิตวิปัสสนา บ้านหัวนายูง อ.ด่านซ้าย


 :25: :25: :25: :25:

พ.ต.อ.ยุทธวัฒน์ กล่าวว่า ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นมาหลายวัน มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนและเจ็บป่วย ทาง สภ.ด่านซ้าย ตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ดูแล จึงให้เจ้าหน้าที่สอดส่องผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาว พร้อมกับมอบผ้าห่มให้ชาวบ้านไปแล้วจำนวนหนึ่ง โดยวันนี้เดินทางมามอบผ้าห่มและเงินจำนวนหนึ่งให้กับ นางดา และลูกชาย ที่เคยอาศัยอยู่ใต้เมรุเผาศพ แต่ปัจจุบันเข้าอยู่บ้านพักชั่วคราวสร้างจากไม้ หลังคามุงด้วยสังกะสี ที่ตั้งอยู่หลังเมรุ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากสภาพอากาศหนาวเย็น

ด้าน นางดา กล่าวว่า หลายวันที่ผ่านมาอากาศหนาวมากและมีฝนตกด้วย ก่อนหน้ามีผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ต.ด่านซ้าย มามอบผ้าห่มให้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอที่จะให้ร่างกายอบอุ่น ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมามอบให้อีก รู้สึกดีใจมากจนพูดไม่ถูก.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/570381
11608  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สงฆ์ไทยเสี่ยงโรคเรื้อรังอื้อ “ไขมัน-อ้วน-ไต-โลหิตจาง” เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:19:52 pm


สงฆ์ไทยเสี่ยงโรคเรื้อรังอื้อ “ไขมัน-อ้วน-ไต-โลหิตจาง”

สำรวจพบพระสงฆ์ กทม.เสี่ยงโรคอ้วน พระสงฆ์ภาคใต้ ไตทำงานผิดปกติ ด้านอีสาน พบโลหิตจางสูง กรมแพทย์นำร่องโครงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์-สามเณร วัดไตรมิตรฯ ตรวจสุขภาพ ถวายคำแนะนำการดูแลสุขภาพ และโภชนาการ หวังพระสงฆ์ดีสุขภาพดีขึ้น ปฏิบัติศาสนกิจได้
       
       นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ และสามเณรทั่วประเทศ พบปัญหาด้านสุขภาพแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยพระสงฆ์สามเณรในเขตกรุงเทพมหานคร มีไขมันผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนมากที่สุด เขตภาคใต้ มีภาวะกรดยูริกสูง และการทำงานของไตผิดปกติ เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีภาวะโลหิตจาง นอกจากนั้น ยังพบว่าพระสงฆ์ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงต่อการทำงานของไตผิดปกติถึง 8 เท่า หากมีภาวะอ้วนก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะระดับไขมันในเลือดผิดปกติถึง 2 เท่า และหากมีภาวะอ้วนลงพุง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานถึง 2 เท่า แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ในประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดังกล่าว


        :96: :96: :96: :96:

       นพ.สุพรรณ กล่าวว่า จากสถิติข้อมูลพระสงฆ์ที่เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ ในปี พุทธศักราช 2558 พบว่า โรคที่เป็นอันดับต้นๆ คือ ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และยังมีโรคของผู้สูงอายุอื่นๆ ได้แก่ โรคต้อกระจก ข้อเข่าเสื่อม ต่อมลูกหมากโต ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ติดต่อ และบางโรคสามารถป้องกันได้ กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลสงฆ์มีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศ เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริม ป้องกัน และบำบัดรักษาเพื่อให้พระสงฆ์สามเณร มีสุขภาพดี จึงได้จัดโครงการพัฒนาการดูแลสุขภาพพระสงฆ์-สามเณรขึ้น เป็นโครงการของขวัญจากกรมการแพทย์ ในโอกาสปีใหม่ 2559 ซึ่งจะมีการคัดกรองประเมินสถานะสุขภาพพระสงฆ์สามเณร เพื่อกำหนดแนวทาง และรูปแบบในการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้

        :91: :91: :91: :91:

       “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ได้อนุญาตให้โอกาสเปิดโครงการฯ เป็นวัดนำร่องที่โรงพยาบาลสงฆ์ลงพื้นที่ตรวจคัดกรองสุขภาพ และมีพระสงฆ์สามเณรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 70 รูป มีกิจกรรมต่างๆ คือ การลงทะเบียนซักประวัติ ประเมินสุขภาพเบื้องต้นโดยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดดัชนีมวลกาย วัดรอบเอว วัดความดันโลหิต/ชีพจร ตรวจเลือด ตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจวัดสายตา ตรวจสุขภาพช่องปาก ถวายคำแนะนำเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ลด หวาน มัน เค็ม รวมทั้งถวายคำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพตนเอง และโรคต่างๆ นอกจากนี้ ยังจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องโรคที่เป็นปัญหาสำคัญในพระสงฆ์สามเณรอีกด้วย” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
       
       นพ.สุพรรณ กล่าวว่า โครงการพัฒนาการดูแลสุขภาพพระสงฆ์-สามเณรจะดำเนินการในเขตกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 50 เขต และทุกภาคทั่วประเทศ ซึ่งการคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นจะเป็นสัญญาณเตือน เรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค ซึ่งข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพดังกล่าวจะทำให้เห็นแนวโน้มสถานะสุขภาพของพระสงฆ์-สามเณรทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปวางแผนในการจัดการบริการสุขภาพที่เหมาะสมต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010639
11609  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พศ.ปัดไม่ยุ่งหญิงแต่งกายคล้ายภิกษุณีแต่ไม่โกนผม แจงมีหน้าที่ดูแลแค่พระ-เณร เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:17:00 pm


แชร์ว่อนเน็ต ภาพกลุ่มหญิงสาวคล้ายภิกษุณี-ออกบิณฑบาตเหมือนพระ

เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเฟซบุ๊กของ “สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-สปพช.” ได้โพสต์ข้อความและภาพของชายสูงอายุคนหนึ่งกำลังใส่บาตรให้กลับกลุ่มผู้หญิงประมาณ 6-7 คน ห่มผ้าคล้ายจีวรสีเข้ม สะพายบาตรภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด โดยมีการโพสต์ข้อความระบุว่า มีลูกเพจส่งมาถามว่า “แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ภิกษุณี”

อย่างไรก็ดีได้มีการแสดงความเห็นในภาพดังกล่าวส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย เช่น ถ้าตราบใดเขาไม่บอกว่าตัวเองเป็นภิกษุณี เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขา เพราะประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเชื่อ ลัทธิ ประเพณี แต่ถ้าบอกเป็นภิกษุณีก็ต้องชนกันหน่อย เพราะทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน, คนเราน่าจะมองที่จิตใจเขานะ ,ผู้ที่รักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และงดงาม ส่วนใครจะเรียกว่าอะไรก็สุดแต่จิตใจผู้นั้นเถอะครับ เป็นต้น ทั้งนี้ยังได้มีผู้มาโพสต์แสดงความเห็นว่าภาพดังกล่าวน่าจะเป็นกลุ่มภิกษุณี ที่เกาะยอ จ.สงขลา


ภาพที่แชร์เพจเฟซบุ๊ก”สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-สปพช.”


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/18762
11610  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.ปัดไม่ยุ่งหญิงแต่งกายคล้ายภิกษุณีแต่ไม่โกนผม แจงมีหน้าที่ดูแลแค่พระ-เณร เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:13:58 pm


พศ.ปัดไม่ยุ่งหญิงแต่งกายคล้ายภิกษุณีแต่ไม่โกนผม แจงมีหน้าที่ดูแลแค่พระ-เณร

เมื่อวันที่ 30 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเพจชื่อ “สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-สปพช.” โพสต์ภาพผู้แต่งกายคล้ายภิกษุณี แต่ไม่โกนศีรษะเดินบิณฑบาต จำนวน 9 คน ในเขต จ.สงขลา โดยตั้งหัวข้อว่า “มีลูกเพจส่งมาถามว่า แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ภิกษุณี”

โดยมีผู้เข้ามาวิจารณ์ต่างๆ อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อกฤตเมธ กวินทรา แสดงความเห็นว่า “แม้ว่าเป็นความเชื่อ หรือเกิดลัทธิใหม่ๆ ขึ้นมา แต่การใช้บาตร อันเป็นสัญลักษณ์ของพระภิกษุสงฆ์ก็ไม่เหมาะสม” ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ ชายเล็ก ลูกนเรศวร แสดงความคิดเห็นว่า “น่าจะเป็นชี นะครับ แต่ไม่ควรจะมาบิณฑบาตรแบบนี้นะครับ ไม่ถูก” เป็นต้น


 :96: :96: :96: :96:

นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า พศ.ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีผู้แต่งกายคล้ายภิกษุณีแต่ไม่โกนศีรษะเดินบิณฑบาตในเขต จ.สงขลา ส่วนกรณีที่มีผู้สงสัยว่าผู้แต่งกายลักษณะนี้ใช่ภิกษุณีหรือไม่ ตนไม่สามารถระบุได้ และไม่สามารถสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) สงขลา ลงพื้นที่ตรวจสอบได้เนื่องจาก พศ.มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุสามเณรเท่านั้น

ส่วนทางกฎหมายบ้านเมือง ผู้แต่งกายลักษณะดังกล่าวจะมีความผิดในข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์หรือไม่นั้น ต้องดูที่เจตนาว่าผู้ที่แต่งกายเช่นนี้ ต้องการให้คนมองว่าเป็นพระสงฆ์หรือไม่ คงต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิจารณา และในส่วนที่มีผู้ใส่บาตรถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลในความเชื่อความศรัทธา

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/19487
11611  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จับสึก-ดำเนินคดีแล้ว!อดีต รษก.เจ้าอาวาสวัดที่แจ้ห่ม ถ่ายคลิปอนาจารเด็ก 10 ขวบ เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:10:07 pm


จับสึก-ดำเนินคดีแล้ว!อดีต รษก.เจ้าอาวาสวัดที่แจ้ห่ม ถ่ายคลิปอนาจารเด็ก 10 ขวบ

ลำปาง - ตำรวจแจ้ห่ม ตามรวบอดีตรักษาการเจ้าอาวาสวัด พร้อมหิ้วตัวให้เจ้าคณะอำเภอสึก-ดำเนินคดีแล้ว หลังเค้นสอบจนรับสารภาพทำอนาจารเด็กชาย 10 ขวบ พร้อมถ่ายคลิปจริง เผยเคยโดนพระผู้ใหญ่-ชาวบ้าน ตั้งวงเค้นสอบเมื่อปี 58 มาแล้วแต่ปฏิเสธเสียงแข็ง
       
       วันนี้(30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฉาวข้ามปีของวงการพระสงฆ์เมืองลำปาง หลังจากปรากฎคลิปพระสงฆ์รูปหนึ่ง กระทำอนาจารเด็กชาย อายุ 10 ปี และมีการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพขณะกระทำอนาจารใช้ปากกับอวัยวะเพศของเด็กไว้ด้วย
       
       พระครูวินิตวรการ เจ้าคณะอำเภอแจ้ห่ม พร้อมด้วยคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ของอำเภอแจ้ห่ม และชาวบ้านในพื้นที่กว่า 200 คน เคยหารือ และร่วมตรวจสอบคลิปภาพวิดีโอดังกล่าวเมื่อ 18 ก.ย.58 ที่ผ่านมา ตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า พระสงฆ์ที่ปรากฏในคลิป คือ พระรุด ซึ่งเคยทำหน้าที่ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสามัคคีธรรม เขตบ้านสา ม.3 ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง และพบพระสงฆ์รูปดังกล่าวมีรอยสักรูปการ์ตูนอยู่ข้างหลังด้านขวาอีกด้วย

       

       อย่างไรก็ตาม พระรูปดังกล่าวได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำพฤติกรรมดังกล่าว แต่ชาวบ้านในพื้นที่ ก็ได้ร่วมกันขับไล่ ออกจากวัดไปเมื่อเดือนกันยายน2558 ที่ผ่านมาแล้ว
       
       ล่าสุดจากการสอบสวน และพยานต่างๆ ทั้งยังมีผู้เสียหายเป็นเด็กที่ถูกกระทำอนาจาร เข้ามาแจ้งความไว้ที่ สภ.แจ้ห่ม ยืนยันว่า ผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าว ก็คือ อดีตรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดรูปดังกล่าวจริง ซึ่งหลังจากถูกขับไล่ออกจากวัดสามัคคีธรรม แล้ว พระรูปดังกล่าวได้ ไปขอบวชจำวัดแห่งหนึ่งใน อ.นาหมื่น จ.น่าน
       
       ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แจ้ห่ม ลำปาง จึงได้ติดตามควบคุมตัวมาสอบปากคำ จนสุดท้ายพระรุด ได้ให้การรับสารภาพแล้ว ว่า เป็นบุคคลที่ปรากฎในคลิปจริง ทางเจ้าหน้าที่ จึงได้นำตัวไปลาสิกขากับเจ้าคณะอำเภอแจ้ห่มลำปาง และคุมตัวดำเนินคดี ในข้อกระทำอนาจารกับเด็กชาย อายุไม่เกิน 15 ปี




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010699
       

11612  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดีเอสไอชี้มูล ธัมมชโยผิด คดีที่ดิน-เงินวัด อ้างต้องปาราชิก เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:06:22 pm


ดีเอสไอชี้มูล ธัมมชโยผิด คดีที่ดิน-เงินวัด อ้างต้องปาราชิก

คำร้องของพุทธะอิสระเล่นงานธัมมชโยได้ผล ดีเอสไอแจ้ง ผลสอบสวนคดีที่ดิน-เงินวัด พระธัมมชโยส่งเรื่องให้สำนักพุทธฯจัดการ ชี้มีความผิดสำเร็จคดีเบียดบังทรัพย์สินของวัดไปใส่ชื่อตัวเอง ระบุเข้าข่ายละเมิดมาตรา 147 และ 157 แม้จะคืนให้วัดภายหลังก็แค่บรรเทาความผิด นอกจากนี้ ยังชี้ด้วยว่าพระลิขิตที่สมเด็จ พระสังฆราชวินิจฉัยให้ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกก็ชอบด้วยกฎหมาย แต่มหาเถรสมาคมมิได้ดำเนินการให้ครบถ้วน พร้อมให้ดำเนินคดีกับเจ้าคณะผู้ปกครองชั้นต้นด้วย

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า จากกรณีพระสุวิทย์ ธีรธัมโมหรือพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย อ.กำ แพงแสน จ.นครปฐม ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติการณ์ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญาของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายคณะสงฆ์ และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยดีเอสไอ ได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏข้อเท็จจริงทาง การสืบสวนสรุปได้


 :96: :96: :96: :96:

กรณีพระธัมมชโยถูกกองปราบ ปรามแจ้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องต่อศาลอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งเมื่อผ่านการต่อสู้ในชั้นศาลเป็นระยะเวลาเกือบ 7 ปี พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอถอนคดีต่อศาลอาญา ให้เหตุผลสรุปได้ว่า จำเลยกับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ที่มีทั้งที่ดิน และเงินอีก 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยครบถ้วนทุกประการ

อย่างไรก็ตาม การกระทำของพระธัมมชโยถือเป็นการกระทำผิดที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ทุกประการแล้ว แม้จำเลยจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายในภายหลัง ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป ที่สำคัญที่ดินที่มีข้อพิพาทในแทบทุกรายการเกิดจากการใช้ตัวแทนไปติดต่อขอ ซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของที่ดินยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัด หรือบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อให้ไปซื้อที่ดิน ให้พระธัมมชโยเป็นการส่วนตัว

 :91: :91: :91: :91:

เมื่อ ซื้อแล้วพระธัมมชโยได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อ ที่ดินดังกล่าว และกลับใส่ชื่อของตัวเอง แทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การที่จำเลยไม่ยอมมอบที่ดินคืนให้แก่วัดทันทีตามลิขิตของพระสังฆราช ที่ว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันทีไม่คิดให้โทษ เพราะคิด ในแง่ยกประโยชน์ให้ว่าในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่าง เด็ดขาด"

แต่พระธัมมชโยไม่ยอมคืนที่ดินให้วัด แต่กลับต่อสู้คดีทางศาล ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่า 7 ปี เมื่อจำเลยรู้ว่าไม่มีทางที่จะทำให้ชนะคดีจึงยอมมอบทรัพย์สินที่มีข้อพิพาท คืนให้กับทางวัด การกระทำเช่นนี้ของพระธัมชโยกับพวกเป็นการกระทำที่มีเจตนาในการกระทำ ความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้


 :41: :41: :41: :41:

ใน ส่วนกรณีอาบัติปาราชิกนั้น เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2542 กรมการศาสนาได้นำพระดำริสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระดำริเพิ่มเติม กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณา และที่ประชุมมีมติมอบเอกสารให้เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา โดยตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 8 บัญญัติว่า สมเด็จพระสังฆราชดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชา การคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระวินิจฉัยในกรณีพระธัมมชโยแล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทาน มาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมมีมติที่ 193/2542 ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายเถรสมาคม

แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการ ติดตามผลเพียงเรื่องเดียว คือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินของวัดพระธรรมกายเท่านั้น ในส่วนประเด็นวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่าพระธัมมชโยต้องปาราชิกนั้นยัง ไม่ได้มีการดำเนินการ ทั้งที่ผลการดำเนินการคดีทางโลกเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากพยานหลักฐานทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ต่างมีพยานระบุยืนยันเจตนาการกระทำผิดของพระธัมมชโยอย่างชัดเจน จึงชี้ชัดได้ว่าพระธัมมชโยได้กระทำผิดโดยเจตนาแล้ว แต่ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมยังไม่สนองงานตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้ ครบถ้วนทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินการในเรื่องการลงนิคหกรรมแก่พระธัมมชโย ที่ต้องอาบัติปาราชิก จึงถือเป็นหน้าที่ตามระเบียบและกฎหมายที่มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมโดยเร็วต่อไป หากปล่อยปละละเลยไม่ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่อาจมีส่วนในการถูกพิจารณาความ ผิดทางอาญาฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

 :29: :29: :29: :29:

โดยดีเอสไอเห็น ว่ายังมีประเด็นที่สำนัก งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องพิจารณาใน 2 กรณี คือ
    1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและต้องปฏิบัติตามให้ครบ ถ้วน และ
    2.ให้พิจารณาดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการตามข้อ 1


ขอบคุณข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1454126674
11613  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.สรุปรายงาน "สังฆราช" เสนอรัฐสัปดาห์หน้า เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:03:49 pm



พศ.สรุปรายงาน "สังฆราช" เสนอรัฐสัปดาห์หน้า

พศ.เผยสรุปรายงานแจงข้อครหา "สังฆราช" เสนอรัฐบาลสัปดาห์หน้า
       
       วันนี้ (30 ม.ค. ) นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้ส่งข้อสอบถามถึงกรณีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 รวมถึงข้อครหาต่างๆ ตามข่าวที่สื่อมวลชน เสนอมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาฯนั้น ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อต้องการที่จะทำรายงานสรุปให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วนที่สุด

       ที่สำคัญเพื่อชี้แจงให้รัฐบาลรับทราบด้วยว่า ข้อครหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอรายชื่อของสมเด็จพระราชาคณะ มติมหาเถรสมาคม(มส.) เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้าจะสรุปรายงานดังกล่าวเสนอไปยังนายสุวพันธุ์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป


ขอบคุณข่าวจาก
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010743
11614  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 09:13:30 am
อ้างถึง
ask1 โดยคุณ รักหนอ

น้ำนี้ดี อย่างไร บ้างคะ แก้อาถรรพ์ ได้หรือไม่ คะ

  :s_hi: :25:


 ans1 ans1 ans1 ans1

คุณรักหนอครับ ลองอ่านให้ละเอียด ลองไปอาบไปดื่มดู
ผมนำปฏิทินอาบน้ำมนต์มาโพสต์ให้แล้ว
ขอให้โชคดี ค้าขายร่ำรวย เฮงเฮงเฮง


  :25:
11615  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 08:48:42 am
สระนำมนต์วัดหงส์ฯ ภาพจากเฟซบุ้ควัดหงส์รัตนาราม‎

สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
(ภายในวัดหงส์รัตนาราม)

สระน้ำมนต์รูปสระเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๖ วา ยาวประมาณ ๒๖ วา ลึกประมาณ ๑.๕๐ เมตร ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกส่วนท้ายของวัด แต่ตามพื้นที่เดิมของวัดทั้งหมดแล้วอยู่ตรงกลางติดไปทางตะวันตก สมัยเมื่อผู้เขียนยังเด็กเคยมาอาบเสมอๆ ผู้คนหนาแน่นยิ่งเสาร์ห้าด้วยแล้วต้องรอกันเป็นชั่วโมงจึงจะได้อาบ ผู้เฒ่าผู้ใหญ่เคยเล่าว่าศักดิ์สิทธิ์นัก และประสิทธิ์ประสาทความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ตามเจตน์จำนงทีเดียว

จางหลวงพรหมาธิบดี(จัน) ผู้เชี่ยวชาญทางประพันธ์และมหาชาติ จนมีชื่อปรากฏอยู่ในมหาชาติฉบับแบบศึกษาเล่มปัจจุบันนี้ ในฐานะผู้ตรวจความ ซึ่งอยู่ ณ บ้านใกล้วัดนี้ และพระครูพิสิษฐ์ธรรมานุรักษ์(อุย) ผู้เป็นพระสงฆ์ในวัดนี้ ซึ่งท่านทั้งสองมีอายุยืนถึง ๘๐ เศษทั้งสองท่าน ได้เล่าอานิสงส์และคุณความดีของน้ำมนต์สระนี้นานาประการและส่งผู้พบปะให้อาบเสมอ

 :25: :25: :25: :25:

ในสมัยก่อนนี้บริเวณสระนี้มีศาลาพักด้านเหนือและใต้ มีที่อาบน้ำทำเป็นที่ตักลงรางไหลลงสู่ที่ขังไหลเป็นก๊อกมายังผู้อาบ แต่ต้องระวังลื่นตะไคร่จับหนาแน่นเพราะมีคนอาบไม่ขาด เรียกกันสมัยนั้นว่า “บ่อโพง” ด้านใต้ทางทิศตะวันตกมีศาลาเป็นเรือนไม้กั้น ฝาสามด้านตั้งเครื่องสักการะเต็มกว้างประมาณ ๓ วา หันหน้าเข้าสู่สระธูปเทียนดอกไม้ไม่มีขาด เฉพาะก้านธูปเผาคนไหม้และเป็นที่ประดิษฐานพระรูปสมเด็จพระสังฆราชชื่น ซึ่งที่ฐานพระรูปของสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้มีอักษรจารึกว่า
    "รูปสมเด็จพระสังฆราชวัดหงส์ฯ หม่อมเจ้าหญิงกระจ่าง หม่อมเจ้าหญิงชม หม่อมเจ้าสฤษดิ์ ได้พร้อมใจกันหล่อพระรูปเจ้าของสระ"

    จารึกนี้ก็แสดงว่า ความสำคัญของสระนี้เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้อยู่เหมือนกัน สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้เป็นองค์ที่ ๓ , องค์ที่ ๒ คือ สมเด็จพระสังฆราชศรี , องค์ที่ ๑ สมเด็จพระสังฆราชดี ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนพระประวัติองค์ที่ ๓ มีกล่าวแล้วในหนังสือนี้แล้ว แต่จารึกและพระรูปนี้สร้างราวในรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ นี้เอง


สระนำมนต์วัดหงส์ฯ ภาพจากเฟซบุ้ควัดหงส์รัตนาราม‎

     ส่วนเหตุผลข้อเท็จจริงในเรื่องของสระก็น่าจะเป็นได้เหมือนกัน เพราะสมเด็จเจ้าประคุณองค์นี้เป็นเจ้าอาวาสวัดหงส์ฯนี้ และทรงคุณธรรมเป็นพระโพธิวงศาจารย์ แสดงถึงพระเกียรติคุณในทางศักดิ์สิทธิ์และขลัง
     ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช แม้จะถูกราชภัยรุนแรงประการใดก็ไม่ถึงล่มจม ประคองพระองค์อยู่ได้จนสิ้นพระชนม์ ทั้งยังทรงเชี่ยวชาญทางพระปริยัติและความรู้พระพุทธศาสนาถึงขั้นปรมัตถ์และวิปัสสนา สามารถชำระพระอภิธรรมปิฎก เมื่อสังคายนาในรัชกาลที่ ๑

     สระน้ำมนต์นี้ในระยะหลังต่อมามีผู้ศรัทธาทำการลอกกันครั้งหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าจัดการ คือ พันตำรวจเอกพระยาธุรการกำจัด ได้ขุดลอกทั่วถึงลึกพอหยั่งถูกก้อนหินที่ลงอาคมกลางสระ ก็พอดีฝนตกใหญ่ ฟ้าคะนองกันปนาท น้ำเต็มล้นสระ ผู้ขุดลอกต้องพักและรอโอกาสใหม่
     เมื่อฝนหายหยั่งไม่พบหินก่อนนั้นเสียแล้ว ไม่ทราบว่าเคลื่อนที่ไปไหน

     ดูเป็นการเท่ากับรับรองว่า หินอาคมนั้นเชื่อเถอะยังอยู่มีและยังศักดิ์สิทธิ์อาบกินเถิด แต่อย่าเอาขึ้นไปเลยต้องการอยู่อย่างนี้ จึงมีอาการปรากฏดังกล่าวมานั้น


      :96: :96: :96: :96: :96:

สระน้ำมนต์นี้ประวัติไม่ปรากฏแน่ เห็นจะมีมานานคู่กับวัดนี้ จึงไม่มีผู้ใดจะทรงจำได้เพราะหมดคนรุ่นนั้นไปนานแล้ว ข้าพเจ้าเคยเรียนถามท่านผู้ใหญ่แต่ก่อน ๆ ที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐–๙๐ ท่านก็ตอบให้แน่ใจไม่ได้คงก่อนอายุท่านนานนัก แต่ตามสันนิษฐานนั้นพอเล่าได้ดังนี้ คือ

ตามหลักฐานของท่านเจ้าคุณรัตนมุนีเล่าว่า มีพระวัดหงส์ฯนี้รูปหนึ่งไปธุดงค์ ไปพักที่วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดอยุธยา พบกับพระเถรอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง ถามถึงสระน้ำมนต์นี้แล้วฝากหินกายสิทธิ์ลงอาคมมาแผ่นหนึ่งให้มาใส่ในสระนี้ เมื่อพระวัดหงส์ฯนี้กลับถึงวัดก็เล่าให้เพื่อนพระเณรฟังและต่างขอดู พอเอาออกจากย่ามมาถึงข้างนอกกลายเป็นก้อนมหึมายกคนเดียวไม่ได้เป็นอัศจรรย์ พระเณรจึงช่วยกันยกไปใส่ไว้ในสระนี้ นี่ประการหนึ่ง

อีกหลักฐานหนึ่งว่าดังนี้ สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้เสาะสืบหาพระสงฆ์จัดการพระศาสนา พระศรีภูมิปรีชาได้อาราธนาพระอาจารย์ดี วัดประดู่ซึ่งท่านรู้คุณธรรมมากและมีพรรษาอายุเป็นผู้เฒ่ามายังกรุงธนบุรีและได้สถาปนาท่านเป็นพระสังฆราช ตามเรื่องว่า ท่านลงแผ่นหินประกอบพิธีสระน้ำมนต์นี้

อีกหลักฐานหนึ่งว่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง แผ่นดินที่หนึ่งเมื่อได้อาราธนาพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย คลองตะเคียน แขวงกรุงเก่า มาอยู่วัดพลับ ท่านได้ลงเวทมนต์ฝังอาคมด้วยพุทธมนต์หลายประการเป็นสี่ทิศ เพื่ออาบแก้ทุกข์โศกโรคภัยและอำนวยโชคลาภยศศักดิ์อัครฐานนานาชนิดเข้าไว้
    พระอาจารย์สุกองค์นี้ ต่อมาได้เป็นพระสังฆราชทรงความรู้สูงและมีคุณธรรมเยี่ยมในเวลานั้น สามารถเรียกไก่ป่ามาให้เชื่องได้ด้วยอำนาจเมตตา เขาว่า เมื่อท่านย้ายวัดข้ามฟากจากวัดพลับไปอยู่ฝั่งพระนครท่านเดินข้ามน้ำไปได้ ทั้งนี้เพราะมีผู้นับถือบูชาท่านต่างนำเรือมาจอดแน่นขนัดยาวยืดแต่วัดพลับถึงฝั่งพระนคร ท่านจึงเดินไปบนเรือนั้นแต่วัดถึงฝั่งพระนครได้เป็นอัศจรรย์
    แต่เรื่องปลุกเสกเวทมนต์สระน้ำนี้นั้น เขาเล่าว่า ท่านทำร่วมกับพระอาจารย์ศรี วัดสมอราย ผู้วิเศษขลังอีกองค์หนึ่ง ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าคุณปัญญาวิลาลเถร


ภาพจากเฟซบุ้ควัดหงส์รัตนาราม โดยศุภพิชญ์ เลนุกูล‎

เรื่องนี้จะยุติประการใดสุดแต่ท่านผู้อ่านจะเชื่อ แต่ความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง จะพิสูจน์ได้ก็เชิญทดลองดูจะอัศจรรย์ทีเดียว เขาว่ากันว่า ผู้ที่ดีได้ความเจริญรุ่งเรืองที่ออกจากวัดนี้ไปนั้น
    แม้แต่เจ้าพระยายมราชที่รุ่งเรืองตลอดวัย และ
    พระยาธรรมปรีชา(แก้ว) ที่พ้นราชภัยและมียศศักดิ์ขึ้นในสมัยแผ่นดินที่ ๑ นี้
    ก็เพราะอาบกินน้ำมนต์สระนี้เป็นแรงส่งด้วย

ในขณะเขียนเรื่องสระน้ำมนต์นี้อยู่ หมื่นราชพัตถ์ผดุงได้บันทึกหนังสือส่งมาให้เป็นใจความว่า ท่านผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าให้ท่านฟังว่า จะอาบจะกินต้องคารวะและอธิษฐานขอความสำเร็จแล้วจึงอาบกิน แต่สระน้ำมนต์นี้อำนวยผลให้สัมฤทธิ์ ต่างกันแต่ละมุมสระ คือ
         มุมทางทิศตะวันออก ดีทางเมตตามหานิยม
         มุมทางทิศใต้ ดีทางหาลาภและค้าขาย
         มุมทางทิศเหนือ ดีทางบำบัดทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บ
         มุมทางทิศตะวันตก ดีทางแคล้วคลาดและอยู่คงกะพันชาตรี
     เรื่องที่กล่าวมานี้มีผู้กล่าวเคยได้ยินนานมาแล้วและหลายรอบ



Posted on August 21, 2013April 26, 2015 by mitsumasa   
ที่มา www.wathong.com/sanctuary/สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์/



      ยังมีต่อ โปรดติดตาม......
11616  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 07:51:47 am




รักษ์วัดรักษ์ไทย : วัดหงส์รัตนาราม พระอารามประจำพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ

วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
       
       ตามประวัติกล่าวว่า เดิมชื่อ “วัดเจ้าขรัวหง” เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเศรษฐีชาวจีนชื่อนายหง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ได้กำหนดเขตพระราชฐานขึ้น วัดหงส์ฯจึงเป็นวัดที่ติดกับพระบรมราชวัง ใน พ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาขยายพระอารามให้ใหญ่โตขึ้น ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ ศาลาการเปรียญ และกุฏิเสนาสนะทั้งวัด และทรงยกย่องให้เป็นพระอารามหลวงสำคัญ พร้อมถวายสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า “วัดหงษ์อาวาสวิหาร”
       
       พระอารามแห่งนี้อยู่ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถเสมอ
       
       ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงชักชวนสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ร่วมบูรณปฏิสังขรณ์วัดหงส์ เนื่องจากอยู่ใกล้พระราชวังของพระองค์ แต่การยังไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีก็สิ้นพระชนม์ก่อน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงรับพระราชภาระในการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อ จนกระทั่งการเสร็จแต่ยังไม่บริบูรณ์นัก ก็เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนแล้วเสร็จสวยงาม และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดหงส์รัตนาราม”
       
       สิ่งสำคัญในวัดหงส์รัตนารามมีมากมาย อาทิ

       
พระอุโบสถ

       • พระอุโบสถ กว้าง 19.50 เมตร ยาว 42 เมตร หลังคาเป็นมุขลด 2 ชั้น ประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทำเป็น 2 ชั้น ชั้นบนประดับลายรูปหงส์ ชั้นล่างทำเป็นพื้นเรียบเจาะเป็นช่อง 4 เหลี่ยม 2 ช่อง ภายในช่องประดับด้วยลายปูนปั้นปิดทองรูปหงส์
       
       ภายในพระอุโบสถมีเสาอยู่ด้านข้าง 2 ข้าง ประดับลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งเป็นรูปพันธุ์พฤกษา ฐานเสาเป็นลายเชิง ผนังพระอุโบสถด้านในเหนือระดับหน้าต่าง เป็นจิตรกรรมรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งลายดอกไม้ ภาพเขียนระหว่างช่องหน้าต่างเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนบนกรอบประตูและหน้าต่างมีกรอบไม้จำหลักมีภาพจิตรกรรมเรื่องรัตนพิมพวงศ์ (ประวัติพระแก้วมรกต) ตั้งแต่แรกสร้าง

       

       • พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอู่ทอง หน้าตักกว้าง 2.60 เมตร สูง 3.50 เมตร ไม่มีพระนามและไม่ทราบประวัติว่าสร้างขึ้นในสมัยใด
       
หลวงพ่อแสน

       • หลวงพ่อแสน เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นวโลหะ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 ศอกเศษ โลหะเนื้อสัมฤทธิ์สีทองต่างกันเป็น 4 ชนิด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระแสน มาประดิษฐานเบื้องหน้าพระประธานในพระอุโบสถ
       
       สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ประวัติไว้ว่า “พระแสน (เมืองเชียงแตง) พระพุทธรูปองค์นี้ เชิญมาแต่เมืองเชียงแตง เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401 ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม”
       
       หลวงพ่อแสนเป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก เพราะถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

       
พระทองโบราณ

       • พระพุทธรูปทองโบราณ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ มีวรรณะสีทองอ่อนดุจทองคำแท้ แต่เดิมนั้นหุ้มปูนพอกไว้ให้มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อ ปี 2499 พระสุขุมธรรมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามในขณะนั้น ได้พบรอยกะเทาะของปูนหุ้มที่พระอุระหลุดออก เห็นเนื้อในเป็นทองสีสุกปลั่ง เป็นทองโบราณสมัยสุโขทัย รุ่นเดียวกับหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม
       

ภายในวิหาร

       • พระวิหาร ตั้งหันหน้าขวางเข้าหาพระอุโบสถ มีประตูเข้าออกได้ด้านเดียวทางพระอุโบสถ วิหารหลังนี้ได้สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารเดิมที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสร้างไว้
       
       โดยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปทองโบราณ ทอดพระเนตรเห็นพระวิหารชำรุดทรุดโทรมมาก จึงมีพระราชดำรัสแก่พระสุขุมธรรมาจารย์ เจ้าอาวาส ว่า
       
       “พระวิหารนี้ ถ้ามีผู้มีจิตศรัทธาจะสร้างใหม่ ต้องสร้างให้เหมือนแบบเดิมทุกกระเบียด ตลอดจนลวดลาย ตามสมัยแบบเดิมทั้งสิ้น เพื่อรักษาแบบเดิม ดำรงไว้ซึ่งแบบโบราณสมัยของวัดหงส์รัตนารามนี้ มีอายุนับเป็นร้อยปี ใกล้พระราชนิเวศน์โดยแท้จริง”
       
       สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม และได้ทรงยกช่อฟ้าพระวิหารหลังนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526
       
       ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปเรียงกัน 5 องค์ โดยมีพระพุทธรูปทองโบราณประดิษฐานอยู่ตรงกลาง

       
ศาลพระเจ้าตาก

       • ศาลพระเจ้าตาก ตั้งอยู่ที่ริมคลองคูวัด เชิงสะพานข้ามคลองหน้าวัด ด้านทิศตะวันตก ประชาชนในละแวกใกล้เคียง พร้อมใจกันสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์ เดิมเป็นศาลไม้ แต่ปัจจุบันสร้างใหม่เป็นศาลก่ออิฐถือปูน ภายในประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนเป็นอย่างมาก
       
สระน้ำศักดิ์สิทธิ์

       • สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ กว้าง 6 วา ยาว 26 วา ลึก 1.50 เมตร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะเสด็จมาสรงน้ำที่นี่เมื่อมีพิธีสำคัญของแผ่นดิน ที่กลางสระน้ำจะมีหินอาคมอยู่ เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้อาบดื่มกิน จะได้ผลสัมฤทธิ์ดังที่อธิษฐานไว้
       
       ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา วัดหงส์รัตนารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ล่าสุด ปี 2557 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ามาสนับสนุนงานบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ พระวิหาร ภูมิทัศน์เขตพุทธาวาส และงานปรับปรุงท่าน้ำ โดยในปี 2558 จะเริ่มดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถเป็นเบื้องต้น
       
       ที่สำคัญ ในหนังสือประวัติวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ระบุว่า วัดหงส์รัตนารามนี้ ถือว่าเป็นวัดประจำพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุที่ในการพระราชพิธีสงกรานต์นั้น เจ้าอาวาสวัดหงส์จะต้องเข้าไปในการสดับปกรณ์พระบวรอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่หอพระนาคในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำทุกปี

       
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 172 เมษายน 2558 โดย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
http://manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9580000037082
11617  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 30, 2016, 07:50:21 am



เทพทันใจ

พระพุทธมหาเทพฤทธิ์ศักดานุภาพ

พระพุทธมหาเทพฤทธิ์ศักดานุภาพ

เก็บภาพรอบๆสระน้ำมนต์ มาให้ชมครับ
:s_good: :welcome: :s_good:



ปฏิทินอาบน้ำมนต์ปี ๒๕๕๘ (ไม่ใช่ปีนี้) ขอสารภาพว่า ผมไปวัดหงส์ฯ เมื่อกลางปีที่แล้วขอรับ

ปฏิทินอาบน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ประจำปี 2559 สอบถาม โทร.091-716-4107 (ภาพจากเฟซบุ้ควัดหงส์ฯ)
11618  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 11:03:26 pm


ป้ายประวัติสระน้ำมนต์ภายในวัดหงส์ฯ


ประวัติสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์(จากป้ายด้านบน)

สระน้ำมนต์มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๖ วา ยาวประมาณ ๒๖ วา ลึกประมาณ ๑.๕๐ เมตร ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวัด หลักฐานการสร้างไม่ปรากฏ

สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดอาราธนาให้พระอาจารย์ดี วัดประดู่ กรุงศรีอยุธยา มาชำระพระพุทธศาสนาให้เป็นปึกแผ่น ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑ แห่งกรุงธนบุรี ตามเรื่องว่า ท่านได้จารึกพระพุทธมนต์ลงบนแผ่นหินประกอบพีธีสระน้ำมนต์แห่งนี้ พร้อมพระโพธิวงศ์(ชื่น) เจ้าอาวาสในสมัยนั้นได้ร่วมจารึกพุทธมนต์ลงบนแผ่นหินด้วย ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๓  เมื่อมีพระราชพีธีสำคัญ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จพระราชดำเนินมาสรงน้ำที่สระน้ำมนต์แห่งนี้ทุกครั้ง


 :25: :25: :25: :25:

ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดอาราธนาพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย คลองตะเคียน แขวงกรุงเก่า มาอยู่ ณ วัดพลับ(วัดราชสิทธาราม) ท่านได้ลงเวทย์มนต์ฝังอาคมพระพุทธมนต์หลายประการทั้ง ๔ ทิศของสระน้ำมนต์

ท่านผู้รู้กล่าวว่า หากท่านใดได้อาบได้ดื่มน้ำมนต์ในสระของแต่ละทิศ จะอำนวยให้สัมฤทธิ์ผลต่างกัน คือ
    ทิศเหนือ  ดีทางด้านบำบัดทุกข์โศก โรคภัยไข้เจ็บ
    ทิศใต้  ดีทางด้านมหาลาภและค้าขาย
    ทิศตะวันออก  ดีทางด้านเมตตามหานิยม
    ทิศตะวันตก  ดีทางด้านแคล้วคลาดปลอดภัยและอยู่คงกระพันขาตรี


    (จบเท่านี้)





พลับพลามาลาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

นำภาพสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์วัดหงส์ฯ มาให้ชมครับ


              ยังมีต่อ โปรดติดตาม......
11619  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สมเด็จพระญาณสังวร(สุก ไก่เถื่อน) ปลุกเสก "สระน้ำมนต์" ที่วัดหงส์รัตนาราม เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 10:53:41 pm
ทางเข้าสระน้ำมนต์อยู่ภายในวัดหงสรัตนาราม

นิมนต์สมเด็จพระญาณสังวร แผ่เมตตาทำบ่อน้ำพระพุทธมนต์ ที่วัดหงส์

ครั้งเกิดโรคห่าลงเมืองคราวนั้น ผู้คนได้พึ่งพาน้ำพระพุทธมนต์ นำไปต้มยากินรักษาโรค และเมื่อคราวกระทำน้ำพระพุทธมนต์ ไล่โรคร้าย ณ.วัดพระศรีรัตนศาสดารามของ สมเด็จพระญาณสังวร และคณะพระราชาคณะทั้งปวง เป็นเรื่องเล่าลือกล่าวขานกันมาก เวลานั้นพระพิมลธรรม(ด่อน) วัดหงส์ ต้องการที่จะให้ประชาชน ได้มีที่พึ่งทางจิตใจ จึงอาราธนานิมนต์ สมเด็จพระญาณสังวร พร้อมด้วยพระปัญญาวิสารเถร(ศรี) วัดสมอราย พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร วัดพลับฯ ไปแผ่เมตตาจิตทำน้ำพระพุทธมนต์ ที่สระน้ำวัดหงส์ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับบรรดาญาติโยม

จากหนังสือประวัติวัดสำคัญทางพระพุทธสาสนา เล่ม ๒ กล่าวว่าภายในบริเวณวัดหงส์ มีสระน้ำพระพุทธมนต์ กว้าง ๖ วา ยาว ๒๖ วา เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนกล่าวกันว่า ก่อนอาบกินต้องอธิษฐาน ขอความสำเร็จแล้วจึงอาบกิน แต่ละมุมอำนวยผลต่างกัน
    ๑. มุมด้านทิศตะวันออก ดีทางเมตตามหานิยม กล่าวกันว่า สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) วัดพลับ ทรงแผ่เมตตาจิต
    ๒. มุมด้านทิศใต้ ดีทางมหาลาภและการค้า กล่าวว่า พระปัญญาวิสารเถร(ศรี) วัดสมอราย อธิษฐานจิต
    ๓. มุมด้านทิศเหนือ ดีทางบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ กล่าวว่า พระพรหมมุนี(ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร วัดพลับ อธิษฐานจิต
    ๔. มุมด้านทิศตะวันตก ดีทางแคล้วคลาด กล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ครั้งเป็นพระพิมลธรรม(ด่อน) วัดหงส์ ทรงอธิษฐานจิต


ป้ายประวัติสระน้ำมนต์ภายในวัดหงส์ฯ

จากตำนานพระทองวัดหงส์ กล่าวว่า ผู้เป็นศิษย์วัดหงส์ ได้อาบกินน้ำพระพุทธมนต์ในสระนี้ มีความเจริญรุ่งเรื่องตลอดชีวิต เช่น ท่านเจ้าพระยายมราชได้อาบกิน ก็รุ่งเรืองตลอดวัย ท่านพระยาธรรมปรีชาอาบกิน ก็ได้พ้นราชภัย

คัมภีร์พระเวทย์ของอาจารย์เทพ สาริกบุตร กล่าวว่า ต่อมาได้ค้นพบ พระคาถาที่จารึกในแผ่นศิลาชื่อ "พระคาถาแก้วเรือนฟ้าส่องโลก" บรรจุในสระน้ำพระพุทธมนต์ วัดหงส์ ว่าเป็นพระคาถามหาวิเศษของพระอาจารย์ทั้ง ๔ ท่าน ได้ช่วยกันอธิษฐานจิต ใจความของพระคาถามีดังนี้


        ปัญญาพะลัง ปัญญาเสฏฐัง ปัญญาปาสาทิโก ปัญญาโอภาโส
        ปัญญาปะโชโต ปัญญารัตตะนัง อะโมสิงหลภาษา พะหูสุขัง
        พะหูสิเนหัง สาอุปัชชะติ ภูริปัญโญมะหาญาณัง ปะฐะวีจักขะณา



สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์วัดหงส์ฯ

อ้างอิง :-
หนังสือพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) หน้าที่ ๓๔๔-๓๔๕
พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง http://www.somdechsuk.com
11620  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:16:23 pm

ว่อนโซเชียล “พระ”ฟรุ้งฟริ้งอุ้มตุ๊กตาลูกเทพ เดินตลาด สวดยับไม่เหมาะสม จี้จัดการ

เมื่อวันที่ 28 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกระแสความนิยมตุ๊กตาลูกเทพของประชาชนบางกลุ่มจนมีการเผยแพร่ภาพต่างๆ ของกลุ่มที่นิยมตุ๊กตาลูกเทพในสื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดเว็บเพจ “Killing Ghost สมาคมล้มล้างสิ่งงมงาย” ได้มีการโพสต์ภาพของชายที่ใส่จีวรลักษณะคล้ายพระ หรือเณรเดินอุ้มตุ๊กตาลูกเทพในตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่ง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมกับสมณเพศเป็นอย่างมาก รวมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาตรวจสอบว่าเป็นพระหรือเณรจริงหรือไม่เพื่อเข้ามาดำเนินการ อย่างไรก็ตามในเว็บเพจดังกล่าวไม่ได้มีการระบุว่าภาพดังกล่าวอยู่ในจังหวัดใด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/16604
11621  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:13:56 pm



โฆษก พศ.แจง “พระอุ้มลูกเทพ” เหตุเดินในตลาด ปชช.เอาลูกเทพมาให้ปลุกเสก

เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จ.นครปฐม นายสมชาย สุรชาตรี โฆษก พศ. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ว่า กรณีพระสงฆ์ปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ ที่เป็นกระแสโด่งดังในขณะนี้ หากทาง พศ.ตรวจพบว่าพระสงฆ์ ได้นำสิ่งปลุกเสกที่เป็นไสยศาสตร์มนตร์ดำ เช่น นำกระดูกบรรพบุรุษของบุคคลอื่น หรือดิน 7 ป่าช้ามาประกอบพธีปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาต ถือเป็นการลักทรัพย์ ผิดพระธรรมวินัย ขัดคำสั่งมส. และต้องอาบัติร้ายแรง เพราะนำมาซึ่งความเสื่อมในพระพุทธศาสนา สำหรับประชาชนที่บูชาตุ๊กตาลูกเทพ ควรละโลภ โกรธ หลงด้วย ขณะนี้สังคมแตกแขนงไปกันใหญ่ กลายเป็นว่าคนเริ่มงมงาย กระทำในเรื่องที่พระพุทธศาสนาไม่ได้สอน

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พระสงฆ์วัดดังย่านนนทบุรี ปลุกเสกลูกเทพนั้น ท่านกล่าวว่าที่รับลงเมตตาเบิกเนตรให้ตุ๊กตาลูกเทพเพราะโยมขอให้ทำ ส่วนวัดอื่นๆ ขณะนี้ไม่รับเจิมหรือปลุกเสกลูกเทพแล้ว

ส่วนกรณีที่มีผู้แชร์ภาพพระสงฆ์อุ้มตุ๊กตาลูกเทพในโซเชียลมีเดียนั้น พศ.ได้ตรวจสอบแล้วพบเป็นพระสงฆ์ที่สังกัดวัดในภาคอีสาน สาเหตุที่อุ้มตุ๊กตาลูกเทพ เพราะท่านเดินอยู่ในตลาดแล้วมีประชาชนยื่นลูกเทพให้เป่ามนต์ลงคาถาให้ เมื่อท่านเป่ามนต์เสร็จ ก็คืนเจ้าของ ดังนั้นตุ๊กตาลูกเทพที่ท่านอุ้ม ไม่ใช่ของท่านแต่อย่างใด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/1940250/
11622  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดบัวขวัญขึ้นป้ายหยุดปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:09:50 pm





วัดบัวขวัญขึ้นป้ายหยุดปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ

วัดบัวขวัญขึ้นป้ายหยุดปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ เจ้าอาวาสเตือนพระลูกวัดผิดวินัยสงฆ์ พระว.ติงไม่ใช่พุทธ-เปิดแนวคิดสร้างพระทีมชาติ

วันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2559 จากกระแสข่าวตุ๊กตาลูกเทพที่กำลังสร้างความฮือฮาจนกลายเป็นประเด็นร้อนหลังบรรดาธุรกิจต่างๆ อาทิ บางสายการบิน รถทัวร์ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านทำผม ออกโปรโมชั่นขายตั๋วดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ ก่อนที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศแนวทางปฏิบัติต่อตุ๊กตาลูกเทพให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หวั่นกระทบกับการแก้ไขปัญหาธงแดงของไอเคโอ ขณะเดียวกันการปลุกเสกตุ๊กตาดังกล่าวเพื่อให้มีชื่อต่อท้ายว่าลูกเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมโดยพระสงฆ์นั้น กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมในโลกโซเชียลเช่นกัน

ส่งผลให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมาท้วงติงโดยอ้างคำสั่งมหาเถรสมาคม (มส.) เรื่องห้ามภิกษุ สามเณร เรียกเงินค่าเวทมนตร์ และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ.2495 นั้น พระราชนันทมุนี เจ้าอาวาสวัดบัวขวัญ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี  ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ที่มีพระลูกวัดดำเนินการปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ ได้สั่งให้พระลูกวัด นำป้ายประกาศหยุดการเจิม การปลุกเสก ลงเลข ลงยันต์ ตุ๊กตาลูกเทพ ปิดไว้ที่หน้าทางเข้ากุฏิ พระอาจารย์ วินัย ฐิตปัญโญ

พร้อมกันนี้พระราชนันทมุนีได้เรียกพระอาจารย์วินัยเข้าไปพูดคุยถึงการปลุกเสกว่าถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์

 :96: :96: :96: :96:

ขณะที่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย กล่าวเตือนสติว่า การถือตุ๊กตาลูกเทพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นถือว่าไม่เป็นไปตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่สอนให้ชาวพุทธช่วยเหลือตนเองมากกว่าจะหวังพึ่งบุคคลหรือสิ่งอื่น ซึ่งการนับถือเรื่องเทพนี้เป็นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ประเทศอินเดียที่มีเทพจำนวนมาก หากเทพศักดิ์สิทธิ์จริงก็คงจะไม่มีคนจนในประเทศอินเดียเป็นจำนวนมาก

พระนักเทศน์ชื่อดังกล่าวด้วยว่า การที่จะพัฒนาตัวเองได้นั้นจะต้องอาศัยการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเนื่องในวันที่ 29 ม.ค.นี้เป็นวันเกิดอาตมาจึงจัดงานโดยเน้นการให้เป็นสำคัญ โดยมีการมอบทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับปริญญาเอก ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุสามเณรในพื้นที่บ้านเกิดและจังหวัดเชียงราย พร้อมกันนี้ยังประกอบด้วยนิสิตระดับปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจำนวน 10 ทุนๆละ 2 หมื่นบาท เพราะอาตมาจบการศึกษาระดับปริญญาโทและเคยเป็นอาจารย์ที่สถานการศึกษาสงฆ์แห่งนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรของชาติ

"อาตมายังมีความคิดว่าจะสร้างพระทีมชาติที่มีความเก่งในหลายๆด้านเพื่อเป็นช่วยพระพุทธศาสนา เพราะข้างนอกยังมีนักกีฬาทีมชาติเลย  และต่อไปนี้อาตมาจะไม่เป็นพระนักวิชาการแล้วแต่จะเป็นพระครูบาแทนมุ่งส่งเสริมบุคคลอื่นเป็นสำคัญ" พระว. วชิรเมธี กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20160129/221466.html
11623  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้ำ.! ปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพเชิงพาณิชย์ โทษหนักถึงสึก เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:06:12 pm



ย้ำ.! ปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพเชิงพาณิชย์ โทษหนักถึงสึก

สำนักพุทธฯประชุมผู้บริหารเตรียมเวียนประกาศ 2 ฉบับกำชับภิกษุทั่วประเทศ ถ้าปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพในเชิงพุทธพาณิชย์ เตือน 2 ครั้งยังดื้อมีโทษหนักถึงสึก ขณะที่พระนำกระดูกผี ดิน 7 ป่าช้าใส่ตุ๊กตาลูกเทพ หากญาติโวยว่าลักขโมยก็ต้องอาบัติปาราชิก

วันนี้( 29 ม.ค.)ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ดร.สมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)และการประชุมผู้บริหารพศ.ว่า ที่ประชุมมส.ไม่ได้มีการกล่าวถึงกรณีตุ๊กตาลูกเทพแต่อย่างใด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นในการจัดการปัญหาดังกล่าว

โดยขณะนี้พศ.ได้รับรายงานว่าเจ้าคณะปกครองในพื้นที่ได้สั่งการ กำชับพระสงฆ์ ให้ยุติการเจิม หรือปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพแล้ว ส่วนที่ประชุมผู้บริหารพศ.ได้มีการหารือถึงกรณีดังกล่าวโดยที่ประชุมผู้บริหารพศ.ให้นำมติมส. และประกาศคณะสงฆ์ 2 ฉบับ ประกอบด้วย
    1. ประกาศเรื่องห้ามภิกษุสามเณรเรียกเงินค่าเวทมนตร์และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ.2495 และ
    2. ประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุเป็นหมอเสน่ห์ยาแฝดอาถรรพณ์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พ.ศ.2476
แจ้งเวียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)ทั่วประเทศในการแจ้งไปยังพระสังฆาธิการทุกระดับชั้น เพื่อแจ้งพระสงฆ์ในปกครองให้รับทราบและปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวอย่างเคร่งครัด


 :96: :96: :96: :96:

ดร.สมชาย กล่าวต่อไปว่า หากยังมีพระสงฆ์ละเมิดประกาศของคณะสงฆ์ทั้ง 2 ฉบับ ให้เจ้าคณะผู้ปกครองพิจารณาจากเจตนาของพระสงฆ์ หากเป็นการเจิมหรือปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพในเชิงพุทธพาณิชย์ ขั้นต้นให้ตักเตือนก่อน แต่ถ้าเจ้าคณะปกครองตักเตือนถึง 2 ครั้งแล้ว พระสงฆ์รูปนั้นยังฝ่าฝืนคำสั่งอีกก็สามารถพิจารณาลงโทษถึงขั้นให้สึกได้ ซึ่งเชื่อว่าพระสงฆ์ ที่ถูกลงโทษให้สึก จะกลับมาบวชใหม่อีกครั้งก็คงเป็นไปได้ยากเพราะพระอุปัชฌาย์ต้องพิจารณาว่าผู้ที่จะบวชเคยฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าคณะผู้ปกครองและถูกลงโทษจนถึงขั้นสึกจากการเป็นผู้ที่มีความดื้อรั้นสอนได้ยากหรือไม่ด้วย

"กรณีที่พระสงฆ์ทำพิธีไสยศาสตร์มนต์ดำโดยเฉพาะการใช้กระดูกผี และดิน 7 ป่าช้า มาปลุกเสกเครื่องรางของขลัง รวมถึงการนำไปใส่ไว้ในตัวตุ๊กตาลูกเทพถือว่าส่อผิดอาบัติร้ายแรง หากญาติหรือลูกหลานของเจ้าของกระดูกมาร้องเรียนจะถือว่าเป็นการลักขโมย และหากมีการสอบสวนว่ามีเจตนาดังกล่าวจริงจะถึงขั้นอาบัติปาราชิกตามหลักพระธรรมวินัย ส่วนที่มีการแชร์ภาพพระสงฆ์อุ้มตุ๊กตาลูกเทพในตลาดนั้น ทางสำนักพุทธฯได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น คาดว่าเป็นพระในจังหวัดขอนแก่น แต่ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้งโดยพบว่ามีสีกาอุ้มตุ๊กตาลูกเทพมาและส่งให้พระเจิมตุ๊กตาลูกเทพ จากนั้นก็ส่งตุ๊กตาคืนให้แก่สีกาเท่านั้น"โฆษกพศ. กล่าว

 :91: :91: :91: :91:

ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีมีการโพสต์ภาพพระสงฆ์สามเณรดำน้ำดูปะการัง ในทะเล จังหวัดตราดว่า นั้น ได้รับรายงานเบื้องต้นว่าภาพดังกล่าวเป็นสามเณร 50 รูปและพระสงฆ์ที่เป็นพี่เลี้ยง 5 รูปเดินทางไปทัศนศึกษาหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลในจังหวัดตราดและเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าอยู่สังกัดวัดใดพศ.อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากทราบสังกัดของพระสงฆ์และสามเณรดังกล่าวแล้วก็จะแจ้งไปยังเจ้าคณะปกครองให้ตักเตือน ซึ่งยังไม่ได้ถึงขั้นผิดพระธรรมวินัย ถือเป็นโลกวัชชะหรือสังคมติเตียน ไม่อยู่ในสมณวิสัย

อย่างไรก็ตามกรณีนี้เป็นการไปทัศนศึกษาเพื่อหาความรู้ทางทะเล ถือเป็นเรื่องดีที่พระจะได้มีความรู้ทางโลกติดตัวหากสึกไปแล้วก็จะได้รู้ทันโลก แต่ระหว่างอยู่ในสมณเพศก็ต้องยึดหลักธรรมวินัยและศีลาจารวัตรอย่างเคร่งครัดเหมาะสมมิเช่นนั้น สังคมจะติเตียนได้


ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/376339
11624  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญสารีริกธาตุ-อัฐิธาตุเกจิดัง ให้สักการะ วันมาฆบูชา เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 08:01:53 pm



อัญเชิญสารีริกธาตุ-อัฐิธาตุเกจิดัง ให้สักการะ วันมาฆบูชา

อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและอัฐิธาตุพระเกจิดัง 50 รูป ประดิษฐานสนามหลวง ให้พุทธศาสนิกชนร่วมสักการะตั้งแต่ 16-22 ก.พ.เนื่องในวันมาฆบูชา

วันนี้(29 ม.ค. )ที่กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ สมาคมสภาองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กรมการศาสนา กรุงเทพมหานครมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย(มมร.) และสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2559 ระหว่างวันที่ 16-22 ก.พ. ที่ท้องสนามหลวง

โดยพล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ประธานสมาคมสภาองค์กรพระพุทธศาสนาฯ กล่าวว่า ในวันเปิดงานวันที่ 16 ก.พ. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จะเสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดงาน และในวันที่ 22 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นประธานในการเวียนเทียนด้วย


 :25: :25: :25: :25:

พล.อ.จรัล กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจในปีนี้ประกอบด้วย การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกมาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ อีกทั้งจะมีการอัญเชิญอัฐิธาตุของพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง50 รูป เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชา หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่เหรียญ หลวงตามหาบัว มาประดิษฐานยังท้องสนามหลวง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะด้วย นอกจากนี้จะมีการบริการตรวจวัดสายตาฟรี จากร.พ.เมตตาประชารักษ์ที่มาให้บริการประชาชนที่มาร่วมงาน ทั้งจะมีการตั้งโรงทานในบริเวณจัดงานด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/376343
11625  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้ำทริปผ้าเหลืองดำน้ำอาบัติ 'พศ.' ทำหนังสือกำชับ 'ผู้ว่าฯ' เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 07:58:12 pm



ย้ำทริปผ้าเหลืองดำน้ำอาบัติ 'พศ.'ทำหนังสือกำชับ'ผู้ว่าฯ'

ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ย้ำพระสงฆ์จัดทริปดำน้ำผิดวินัย ชี้ผิดอาบัติ เผยทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการฯ กำชับสถานที่ท่องเที่ยวอย่าให้เกิดขึ้นอีก หากพบ "พระ-เณร" จัดทริป รายงานให้ทราบทันที

จากกรณีสังคมออนไลน์ มีการแชร์ภาพของกลุ่มชายนุ่งห่มผ้าเหลืองคล้ายพระสงฆ์ ได้นั่งเรือสปีดโบ๊ทไปดำน้ำและดูปะการังในหมู่เกาะช้าง จ.ตราด จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และเรียกร้องให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เร่งตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องด้วยเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์กระทำไม่เหมาะสม ขัดกับระเบียบวินัยสงฆ์หรือไม่ ตามที่ปรากฏมาแล้วนั้น



เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 29 ม.ค. นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยความคืบหน้ากับ “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า จากเบื้องต้นที่ทราบแล้วว่าพระภิกษุสงฆ์และสามเณรตามภาพปรากฏบนสังคมออนไลน์ เดินทางจาก กรุงเทพฯ มาลงที่ท่าเรือแหลมงอบ จ.ตราด ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบว่าพระสงฆ์บัณฑิต และสามเณร ที่ปรากฏในภาพมีทั้งหมดกี่รูป และบวชหรือศึกษาอยู่ที่ใดบ้าง แม้ไม่ขัดต่อพระวินัย แต่ก็ไม่ควรพึงปฏิบัติดังเช่นฆราวาส เพราะไม่เหมาะสม เนื่องด้วยพระเปรียบเสมือนพุทธบุตร หากเป็นเช่นนี้ศาสนาพุทธจะถูกมองอย่างไร

ขณะที่นายธรรมรัตน์ แย้มขจร นักวิชาการศาสนาปฎิบัติการ สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวผ่านว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา จาการตรวจสอบเป็นพระบัณฑิตและสามเณรที่มาจากหลายวัด เดินทางมาจากกรุงเทพฯได้จัดทริปดำน้ำชมปะการังจริง แต่ไม่ได้มาพักค้างแรม ซึ่งภาพที่ปรากฏไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรง ทั้งนี้นายสันติ ดินม่วง ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ได้ทำหนังสือส่งไปยังนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการ จ.ตราด กำชับและสั่งการให้สถานที่ท่องเที่ยงทุกแห่ง กวดขันหากมีพระสงฆ์หรือสามเณร จัดทริปเที่ยวชมดำน้ำดูปะการังอย่างเช่นกรณีดังกล่าว หรืออย่างอื่นใด ให้ชี้แจงกลับไปไม่เหมาะสมและไม่ควรพึงปฎิบัติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ต้องรายงานให้ทราบโดยทันที



ทั้งนี้นายสันติ ดินม่วง ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ตราด ได้ให้สัมภาษณ์อีกด้วยว่า ตนได้ทำหนังสือชี้แจงเป็นรายลักษณ์อักษรถึงผู้ว่าราชการ จ.ตราด ให้กำชับเรื่องนี้อย่าให้เกิดขึ้นเป็นครั้งต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทางคนขับเรือเองแจ้งว่าได้พากลุ่มพระสงฆ์เลี่ยงไปยังสถานที่ที่น่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นดำน้ำดูปะการัง แต่ก็เห็นว่าไม่เหมาะสม จนทำให้มีประชาชนถ่ายภาพไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และแม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามพระสงฆ์มิให้เล่นดำน้ำ แต่ก็ยังถือว่าไม่เหมาะสม ผิดวินัยสงฆ์และผิดอาบัติอย่างชัดเจน ต้องไปทำพิธีปลงอาบัติกับเจ้าอาวาส





ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/376225
ขอบคุณรูปภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก : รุ่งศักดิ์ สุวรรณภาณุ,Chayathon Robrujane
11626  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จม. 2 ฉบับขัดแย้งกันเอง ยังไม่สรุป 'เจ้าคุณเสนาะ' ฆ่าตัวหรือฆาตกรรม เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 07:51:11 pm



จม. 2 ฉบับขัดแย้งกันเอง ยังไม่สรุป 'เจ้าคุณเสนาะ' ฆ่าตัวหรือฆาตกรรม

รองโฆษก ตร. เผยคืบคดี "เจ้าคุณเสนาะ" รอผลตรวจสอบ 1 เดือน ยังสรุปไม่ได้ ฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม พบ เนื้อหาจดหมาย 2 ฉบับ ขัดแย้งกันเองเรื่องจัดการทรัพย์สิน

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 59 พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุถึงความคืบหน้า ภายหลัง พระพรหมสุธี หรือ เจ้าคุณเสนาะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ผูกคอมรณภาพในกุฏิ ว่า ขณะนี้ต้องรอผลการตรวจพิษวิทยา การฉันยานอนหลับก่อนเสียชีวิต การตรวจรอยเท้าที่โต๊ะว่าเป็นการปีนโต๊ะเพื่อผูกคอด้วยตัวเองหรือไม่ และการตรวจลายนิ้วมือเพื่อพิสูจน์ทราบจดหมายลาตาย 2 ฉบับ ของพระพรหมสุธี ที่เนื้อหาขัดแย้งกันเองในเรื่องการจัดการทรัพย์สิน


 :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้ ต้องรอผลการตรวจสอบประมาณ 1 เดือน จึงทำให้ตำรวจยังไม่สรุปว่าฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรม โดยชุดสอบสวนอยู่ระหว่างการสอบปากคำแพทย์ที่จ่ายยารักษาอาการเครียดของ พระพรหมสุธี ที่พบว่า พระพรหมสุธี ต้องฉันยาคลายเครียดวันละ 3 มื้อ และยานอนหลับก่อนนอน มาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปีเศษ เพื่อตรวจสอบปริมาณยานอนหลับในกระแสเลือด ว่ามีปริมาณสอดคล้องกับปริมาณยาที่ฉันหรือไม่ และระยะเวลาการฉันยานอนหลับกับเวลาที่ผูกคอว่าอยู่ในอาการง่วงซึมหรือไม่

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา ตำรวจได้รับแจ้งเหตุ เจ้าคุณเสนาะ ผูกคอมรณภาพภายในกุฏิ ซึ่งก่อนหน้านี้ พระพรหมสุธี ถูกปลดจากเจ้าอาวาส เนื่องจากถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบพบว่ามีพฤติกรรมส่อทุจริตต่องบประมาณแผ่นดิน จำนวน 67 ล้านบาท ที่รัฐบาลอนุมัติเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/569945
11627  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบสีกามุดใต้เตียงกลางดึก เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 07:49:06 pm


ชาวบ้านรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบสีกามุดใต้เตียงกลางดึก

ชาวบ้านขอนแก่นรวมตัว ไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด หลังพบมีสีกามุดใต้เตียงในห้องนอนพระกลางดึก ขณะสีกา ยืนยัน นำพุทรามาให้เจ้าอาวาสฉันและมายืมเงินเท่านั้น ไม่ได้ร่วมหลับนอน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยื่นคำขาดออกจากวัดภายใน 24 ชม.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ม.ค.2559 ภายในศาลาการเปรียญ วัดแห่งหนึ่ง ใน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ชาวบ้านส่งเสียงตะโกนโห่ไล่เจ้าอาวาส ออกนอกหมู่บ้าน โดยมีพระปกครองวินัย จากเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอบ้านไผ่ ผู้แทนจากวัฒนธรรมอำเภอบ้านไผ่ และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านไผ่ ร่วมรับฟังสังเกตการณ์ด้วย

ในขณะเดียวกัน สีกาที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ได้เดินเข้าไปในศาลาการเปรียญ เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ว่า ในคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้มาหาท่านเจ้าอาวาสจริง เอาพุทรามาถวาย และมายืมเงิน ไม่ได้มาร่วมหลับนอน หรือทำเรื่องไม่ดีงาม แต่มีเสียงชาวบ้านโห่ร้อง ตีกลอง ตกใจ จึงขอเข้าไปในห้องนอนเจ้าอาวาส พอมีเสียงชาวบ้านเข้ามาในศาลาการเปรียญ จึงรีบมุดเข้าไปหลบใต้เตียง เพราะความตกใจกลัวเท่านั้น


ชาวบ้านรวมตัวขับไล่เจ้าอาวาสพ้นวัด ไม่พอใจ พบสีกาอยู่ภายในห้องนอนของพระ

นางดวงจันทร์ ขุ่มด้วง อายุ 43 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่ หนึ่งในผู้ที่เห็นสีกาอยู่ในห้องเจ้าอาวาส เผยว่า ชาวบ้านทราบพฤติกรรมของเจ้าอาวาสกับสีกาน้อย (นามสมมติ) อายุ 25 ปี มานาน แต่จับไม่ได้ กระทั่งคืนวันที่ 15 ธันวาคม เวลา 21.00 น. ชาวบ้านเห็นว่า นางน้อย ขี่รถจักรยานยนต์นำพุทรามาให้เจ้าอาวาสที่วัด จึงตามมาดู พบนางน้อยจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บันไดทางขึ้นศาลาการเปรียญ นานกว่า 1 ชม. ชาวบ้านจึงล้อมศาลาการเปรียญไว้ เพราะเจ้าอาวาส มีห้องนอนอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเห็นนานผิดปกติ จึงเรียกเจ้าอาวาสวัดและนางน้อยออกมา แต่ไม่ยอมออกมา ชาวบ้านจึงไปตีฆ้อง ตีกลอง ส่งเสียงว่า เกิดเหตุในวัด เจ้าอาวาสจึงยอมเปิดประตูศาลาการเปรียญ ชาวบ้านจึงเข้าไปตรวจสอบในห้องนอนเจ้าอาวาส และตรวจสอบใต้เตียงนอน พบสีกาน้อยนอนหลบอยู่ จึงลากแขนออกมา ในสภาพกางเกงขาสั้น เสื้อยืดแขนสั้น

“ตนและชาวบ้าน 4 คน เข้าไปตรวจสอบในห้องนอนเจ้าอาวาส พบสีกาน้อย ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง จึงลากตัวออกมา และบันทึกภาพทั้งหมดเอาไว้ แจ้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และทางพระผู้ใหญ่ให้ทราบตามขั้นตอน ต่อมาคณะสงฆ์ในนามพระฝ่ายปกครองหรือพระฝ่ายวินัย ลงมาตรวจสอบแล้ว 2 ครั้ง ไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากการสอบสวนเจ้าอาวาสวัดแล้ว ยืนยันว่า รับพุทรา กินพุทรา และสีกาน้อยก็ขอยืมเงิน แล้วมีเสียงตีกลอง เสียงชาวบ้านโห่ร้อง ตกใจจึงให้สีกาน้อยไปหลบในห้องนอน

ส่วนสีกาน้อย ก็บอกว่า เอาพุทรามาให้เจ้าอาวาส และยืมเงิน ไม่ได้มีการร่วมหลับนอน หรือทำไม่ดีกับเจ้าอาวาส คณะพระวินัย สรุปว่า ความผิดไม่ถึงขั้นสึก ชาวบ้านไม่พอใจ จึงมารวมตัวกันอีกครั้งในวันนี้ เป็นครั้งที่ 3”


จนท.พยายามชี้แจงเต็มที่ แต่ไม่เป็นผล ชาวบ้านยื่นคำขาด ต้องพ้นวัดไปภายใน 24 ชม.

นายประกาศ โสมา อายุ 50 ปี กำนัน ต.บ้านลาน เผยว่า เจ้าอาวาส ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ที่แห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีการพัฒนาวัดร่วมกับชุมชนมาเป็นอย่างดีและอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2558 ชาวบ้านที่เป็นคนสนิทเจ้าอาวาสไปแจ้งให้ทราบว่า เจ้าอาวาสนัดสีกาไปหาที่วัดในยามวิกาล และให้เงินสีกา ชาวบ้านรายนี้รู้เห็นทุกอย่างก็ถูกข่มขู่อุ้มฆ่า ชาวบ้านจึงไปแจ้งว่า หากเขาตายไป มีเพียงเรื่องเดียวคือ เรื่องเจ้าอาวาสกับสีกา เมื่อทราบเรื่องจึงร่วมกับชาวบ้านติดตามพฤติกรรมทั้งสีกาและเจ้าอาวาส มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ชาวบ้านจับได้ว่า สีกามาหาเจ้าอาวาสในยามวิกาล ซึ่งไม่มีใครพูด หรือ บอกว่า สีกากับเจ้าอาวาสนอนด้วยกัน หรือมีอะไรกันในวัด เพียงแต่เป็นการไม่สมควรที่สีกากับเจ้าอาวาสไปมาหาสู่ หรือนำของกินมาให้ในยามวิกาล จึงเรียกร้องให้เจ้าอาวาสสึก หรือไม่ก็ออกไปอยู่ที่อื่น แต่การเจรจาพูดคุยของชาวบ้านกับพระสงฆ์ต้องมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับฟัง ซึ่งฝ่ายปกครองของคณะสงฆ์ได้ทำการพิจารณาร่วมกับชาวบ้านมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ได้มีคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่แล้ว แต่เจ้าอาวาสไม่ไป ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งมติเสียงของชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้เจ้าอาวาสออกจากวัดภายใน 24 ชั่วโมง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/570065
11628  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งดงาม.! สื่อจีนเผยภาพถ่าย "อาทิตย์ทรงกลด หลังองค์เจ้าแม่กวนอิม" คนแห่ไหว้ เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:51:12 pm


งดงาม.! สื่อจีนเผยภาพถ่าย "อาทิตย์ทรงกลด หลังองค์เจ้าแม่กวนอิม" คนแห่ไหว้

สื่อจีนเผยภาพปรากฏการณ์สุดงดงาม อาทิตย์ทรงกลดหลังองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ คนจีนแห่ไหว้ขอพร

สำนักข่าว 'พีเพิล เดลี่' ได้เผยแพร่ภาพถ่ายวินาทีภาพเหตุการณ์ธรรมชาติสุดแสนงดงามที่เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อในเย็นวันนั้นได้เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้น ช่างภาพหัวไวที่อยู่ในวัดจึงได้หามุมลั่นชัตเตอร์ได้อย่างลงตัว โดยให้พระอาทิตย์อยู่ด้านหลังเจ้าแม่กวนอิมประจำวัด ภาพที่ออกมาจึงเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมที่มีแสงออร่าเป็นฉากหลัง งานนี้พุทธศาสนิกชนที่พบเห็นก็เกิดศรัทธาจึงยกมือไหว้ขอพรกัน






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/world/news/412930
11629  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาบัติ.! พระดำน้ำดูปะการัง ว่อนเน็ต เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:45:11 pm


อาบัติ.! พระดำน้ำดูปะการัง ว่อนเน็ต

พระสงฆ์จัดทริปดำน้ำดูปะการัง ชาวเน็ตถามขัดระเบียบวินัยสงฆ์หรือไม่ ด้าน ผอ.สำนักพุทธ จ.ตราด ยอมรับคณะสงฆ์ท่องทะเลจริง ชี้ผิดวินัย ถือว่าอาบัติ
 
28 ม.ค. 59  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้แชร์ภาพกลุ่มพระสงฆ์ไปเที่ยวกิจกรรมดำน้ำที่ทะเลแห่งหนึ่ง และภาพยังแสดงให้เห็นกลุ่มพระดังกล่าวได้นำจีวรไปตากบนราวระเบียงของเรือจนดูเหลืองไสวไปหมด จนกลายเป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วโลกออนไลน์ และบางส่วนก็รู้สึกประหลาดใจว่าการกระทำเช่นนี้พระภิกษุสงฆ์สามารถกระทำได้หรือไม่ ขัดกับระเบียบวินัยสงฆ์หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะเป็นเพศบรรพชิต
 
 :96: :96: :96: :96:

มีรายงานระบุว่า ภาพดังกล่าวและข้อความถูกโพสต์จากเฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อว่า Chayathon Robrujane ซึ่งหลังจากโพสต์ลงเมื่อเวลา 13.46 น.วันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา ได้ถูกแชร์ภาพและข้อความไปเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ซึ่งภาพกิจกรรมดำน้ำของกลุ่มพระสงฆ์ โดยบนเรือพบผ้าจีวรพาดตากเอาไว้จำนวนมากนั้น มีข้อความไว้ว่า “วันนี้มาเกาะเหลายา (จ.ตราด) มาเจอคณะทัวร์พระไทยกำลังจะดำน้ำ ส่วนใดไหนเดี๋ยวสอบถามให้ทีหลัง”

 

ทั้งนี้หลังภาพแพร่กระจายออกไป ชาวเน็ตจำนวนมากได้ท้วงติงถึงความเหมาะสม และเห็นได้ชัดเจนว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ได้เข้าข่ายเป็นกิจของสงฆ์ และนอกจากวิพากษ์วิจารณ์แล้วยังมีการโพสต์แชร์พฤติกรรมอื่นๆ ที่คล้ายกันของพระสงฆ์ มีกิจกรรมท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ชาวเน็ตเห็นว่าควรมีการควบคุมความประพฤติของกลุ่มพระสงฆ์ที่สร้างความเสื่อมศรัทธาต่อศาสนาพุทธ
 
นอกจากนี้ มีข้อมูลว่า พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวเป็นคณะพระลูกวัดที่รวมตัวมาจากวัดหลายแห่งในกรุงเทพฯ
 
 :25: :25: :25: :25:

ด้านนายสันติ ดินม่วง ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนา จ.ตราด กล่าวถึงกรณีแชร์ภาพพระภิกษุลงเล่นน้ำและดำน้ำดูปะการังในหมู่เกาะช้างบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่า จากการตรวจสอบพบว่า พระภิกษุที่เห็นในภาพเป็นกลุ่มสามเณรและพระภิกษุเป็นพระบัณฑิตศึกษาที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ โดยทั้งหมดได้มาขึ้นเรือที่ท่าเรือแหลมงอบและเหมาเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการัง

ซึ่งคนขับเรือเองก็มองแล้วว่าอาจไม่เหมาะสม จึงได้พาไปในสถานที่ที่น่าจะไม่มีคนมาดำน้ำดูปะการังกันพลุกพล่าน จึงพาไปบริเวณใกล้ๆ กับเกาะเหลายา ที่ห่างไกลออกมา แต่ก็มีประชาชนที่เดินทางด้วยเรือเร็วผ่านมาจึงถ่ายภาพไปเผยแพร่เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม การกระทำของพระสงฆ์กลุ่มนี้ถือว่าไม่เหมาะสมผิดวินัยสงฆ์แน่นอน เพราะว่า พระสงฆ์มีข้อห้ามมิให้ลงเล่นน้ำ ถ้าทำผิดก็ถือว่าอาบัติ ต้องไปทำพิธีปลงอาบัติกับเจ้าอาวาส

 
 st12 st12 st12 st12

นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า พศ.กำลังตรวจสอบภาพพระภิกษุดำน้ำที่กำลังแชร์กันอยู่ในโลกโซเชียลอยู่ว่าเป็นพระจากวัดไหน อย่างไรก็ตาม แม้วินัยสงฆ์จะไม่มีบัญญัติห้ามพระดำน้ำไว้ เพราะในสมัยพุทธกาลคงยังไม่มีเรื่องการเที่ยวทะเล ดำน้ำ แต่ถึงไม่ขัดพระวินัยแต่ก็ไม่ถูกต้องตามอาจริยวัตรของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติ
 
"พศ.กำลังตรวจสอบว่าเป็นพระจากวัดไหน หรือจากจังหวัดใด เมื่อทราบแล้วก็จะแจ้งไปทางเจ้าคณะผู้ปกครองทั้งในระดับจังหวัดและตำบล เพราะถือว่าการที่พระไปดำน้ำ แม้ไม่ขัดต่อพระวินัยแต่ขัดต่ออาจริยวัตรที่สงฆ์พึงปฏิบัติ พระเปรียบเสมือนพุทธบุตร ซึ่งไม่ควรประพฤติเยี่ยงฆราวาส เพราะจะเป็นการกระทำที่ทำให้ขาดการเลื่อมใสและทำให้ถูกชาวพุทธติเตียนได้"
 
 ans1 ans1 ans1 ans1

นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ตราด เจ้าของเกาะเหลายาไอซ์แลนด์ อ.เกาะช้าง จ.ตราด เปิดเผยกรณีที่มีภาพพระลงเล่นน้ำและดำน้ำดูปะการังที่บริเวณเกาะเหลายาในโลกโซเชียล และเข้าใจผิดว่าเป็นกรุ๊ปทัวร์ของทางโรงแรมของตนนั้น ไม่เป็นความจริง จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบันเกาะเหลายาไอซ์แลนด์ไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวมานานกว่า 4 ปีแล้ว หลังจากไปทำทีมฟุตบอลสโมสรตราด เอฟซี และไม่ได้เข้ามาดูแลจนสภาพโรงแรมและห้องพักทรุดโทรมไปมากแล้ว ในปีนี้จึงได้เข้าไปปรับปรุงเพื่อรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวหรือกรุ๊ปทัวร์ที่ไหนทั้งสิ้น
 
ส่วนภาพที่ปรากฏมีนักท่องเที่ยวและพระไปลงเล่นน้ำบริเวณเกาะนั้น ทั้งหมดเป็นกรุ๊ปทัวร์นำนักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำและดำน้ำดูปะการัง ซึ่งสภาพทะเลชายหาดและปะการังมีความสวยงาม จึงเป็นแหล่งดึงดูดให้เที่ยวมาชม จากนั้นเดินทางกลับโดยไม่มีการเข้าพักที่เกาะเหลายาแต่อย่างใด

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20160128/221434.html
11630  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประกาศคณะสงฆ์ห้ามปลุกเสก ทดลองของขลังมีโทษสึก เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:37:08 pm


ประกาศคณะสงฆ์ห้ามปลุกเสก ทดลองของขลังมีโทษสึก

พศ.เตรียมประชุมเวียนประกาศคณะสงฆ์ ห้ามภิกษุปลุกเสกทดลองของขลังมีโทษถึงให้สึก ด้านเจ้าคณะจว.นนทบุรี ปรามพระวัดบัวขวัญเจิมตุ๊กตาลูกเทพ จับตาดูใกล้ชิดหากทำอะไรมากเกินไปสั่งยุติทันที

วันที่ 28 ม.ค. ดร.สมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีมีพระสงฆ์บางรูป บางจังหวัด ปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพว่าพศ.ได้รับแจ้งจากพระราชนันทมุนีเจ้าอาวาสวัดบัวขวัญ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี เกี่ยวกับกรณีที่พระลูกวัดดำเนินการปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพว่าท่านได้เข้าไปตรวจสอบ และตักเตือนพระวินัย ฐิตปัญโญ แล้ว ซึ่งพระวินัยชี้แจงมาว่าเรื่องดังกล่าวพูดยากเหมือนกับญาติโยมนำรถมาให้พระเจิม เพื่อเป็นที่พึ่งพาพอได้ตุ๊กตามาอยากให้พระเจิม ซึ่งพระวินัย ไม่อยากขัดศรัทธาญาติโยมก็เจิมให้ โดยไม่ได้มุ่งพุทธพาณิชย์ รวมทั้งพระวินัยก็ได้สอดแทรกหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไม่ให้หลงงมงายเข้าไปด้วย


 :49: :49: :49: :49:

นอกจากนี้ พศ.สอบถามเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรีไปว่าพระได้มีการเรียกค่าทำพิธีหรือไม่ ท่านก็แจ้งมาว่าไม่มี มีเพียงญาติโยมถวายตามกำลังศรัทธาเท่านั้น ขณะเดียวกันทางเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรีท่านเน้นย้ำว่า จะดูแลเรื่องนี้ให้ รวมทั้งจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดหากมีการทำอะไรที่มากเกินไปก็จะสั่งให้ยุติการกระทำดังกล่าวทันที ขณะนี้ที่พระวินัยทำยังเป็นเพียงให้กำลังใจญาติโยมเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีคำสั่งมหาเถรสมาคม (มส.) เกี่ยวกับการห้ามปลุกเสกเครื่องลางของขลังที่ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ดร.สมชาย กล่าวว่า มีประกาศคณะสงฆ์ เรื่องห้ามภิกษุ สามเณร เรียกเงินค่าเวทมนตร์ และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ.2495 โดยประกาศดังกล่าวระบุว่าด้วยปรากฎว่า มีภิกษุบางรูปเห็นแก่อามิสมุ่งลาภสักการะ ตั้งตนเป็นอาจารย์ปลุกเสกลงเลขยันต์ที่ศรีษะบ้าง หน้าผากบ้าง สอนเวทมนตร์เพื่อแคล้วคลาดศัตราวุธบ้าง โดยเรียกเงินจากผู้มาขอให้ปลุกเสกบ้าง เป็นการผิดสมณวิสัยจัดเข้าในอาชีววิบัตมีโทษทางพระวินัย เสื่อมความเชื่อ ความเลื่อมใสของพระพุทธศาสนิกชน ไม่ใช่ข้อปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ตรงข้ามกลับเป็นที่ตำหนิของสาธุชน เพราะไม่ทนต่อการพิสูจน์ เป็นช่องทางให้พาลชนช่วยโฆษณาชวนให้คนหลงเชื่อ เพื่อทำทุจริตโดยแอบอ้างยึดเอาเป็นอาชีพอันมิชอบ เป็นความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์และพระศาสนา

 :91: :91: :91: :91:

“นอกจากนี้ยังมีประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุเป็นหมอเสน่ห์ยาแฝดอาถรรพณ์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พ.ศ.2476 ถ้าภิกษุรูปใดประพฤติล่วงละเมิดเมื่อพิจารณาได้ความจริงให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะในท้องที่ที่เกิดอธิกรณ์ลงโทษให้สึกเสียแล้วรายงานตามลำดับ ซึ่ง พศ.ได้มีการเวียนประกาศข้อกฎหมายให้แก่พระสังฆาธิการทั่วประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับทราบระเบียบปฏิบัติของคณะสงฆ์

อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในการประชุมผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในวันที่ 29 มกราคมนี้ ผมจะหารือผู้บริหารให้มีการเวียนประกาศดังกล่าว รวมถึงคำสั่งมหาเถรสมาคม(มส.)ให้พระสังฆาธิการและแจ้งไปยังพระสงฆ์ในปกครองได้รับทราบอีกครั้ง เพื่อไม่ให้กระทำอะไรที่ล่อแหลม ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา” โฆษก พศ.กล่าว


 :96: :96: :96: :96:

ด้าน ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการคณะสงฆ์มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวว่า กระแสตุ๊กตาลูกเทพ เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ขัดต่อหลักของชาวพุทธคำว่า ความเชื่อและศรัทธาต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ทำให้คนห่างออกจากพระพุทธศาสนา วันหนึ่งคนไม่สนใจปฏิบัติในหลักคำสอนก็จะทำให้พระพุทธศาสนาไขว้เขวเสียหายได้ ทั้งนี้ พระสงฆ์ หรือ วัดที่ไปสนับสนุนในเรื่องนี้ก็จะถูกมอง ว่า เป็นพุทธพาณิชย์ผิดหลักการปฏิบัติของสงฆ์

ส่วนกรณีที่มีพระสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบออกมาท้าดีเบต หรือ โต้วาที กับพระสงฆ์อีกรูปที่ให้ความคิดเห็นแก่สังคมนั้น อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยและอยากให้เจ้าอาวาสตักเตือน เพราะแค่นี้ก็เกิดผลกระทบทางพระพุทธศาสนามากแล้ว รวมทั้งขอให้พระสงฆ์เป็นผู้ชี้นำปัญญาเนื่องจากทุกวันนี้สังคมไทยเปราะบาง เกิดวิกฤติทางศีลธรรม และวิกฤติทางจิตเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/376035
11631  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สภา มจร.อนุมัติ หลักสูตร ป.เอก สันติศึกษา เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:31:16 pm

สภา มจร. อนุมัติหลักสูตร ป.เอก สันติศึกษา

ผู้ช่วยอธิการบดี มจร.เผย สภามหาวิทยาลัยอนุมัติเปิดหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสันติศึกษา หลังพบว่าศาลให้ความสนใจบุคลากรที่ผ่านหลักสูตรนี้ เปิดรับรุ่นแรก 30 รูป/คน

วันนี้ (28 ม.ค.) พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า ตามที่ทาง มจร.ได้เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโท สาขาวิชาสันติศึกษา เพื่อให้ผู้ที่เข้ารับการศึกษาได้เรียนรู้การประนีประนอม การแก้ไขความขัดแย้ง และที่ผ่านมาเป็นที่น่ายินดีว่ามีศาลจังหวัดกาญจนบุรี และศาลจังหวัดธัญบุรี สนใจติดต่อพระสงฆ์ที่จบหลักสูตรนี้ไปเป็นผู้ประนีประนอมในศาล ซึ่งจะทำให้เป็นพระสงฆ์กลุ่มแรกๆที่ได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้ประนีประนอมในศาลด้วย


 :25: :25: :25: :25:

นอกจากนี้ยังมีผู้เข้าศึกษาในโครงการดังกล่าวระดับปริญญาโทแล้ว 3 รุ่น และล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2558 ที่ผ่านมา สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้อนุมัติหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต(ปริญญาเอก) สาขาวิชาสันติศึกษา แล้ว

“ขณะนี้ทางหลักสูตรกำลังดำเนินการรับสมัครผู้เข้าศึกษาในรุ่นแรก ในระดับปริญญาเอก โดยจะรับนิสิตที่ เน้นทำวิจัยและลงพื้นที่จริง จำนวน 5รูป/คน และเน้นศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติโดยการลงพื้นจริง จำนวน 25รูป/คน รวมเป็น 30รูป/คน ผู้สนใจสามารถสมัครเพื่อเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.08-1875-9154, 0-2623-5393” ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มจร. กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/376112
11632  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดจม. "เจ้าคุณเสนาะ" ร้อง 4 ข้อ จัดการเรื่องศพ.! เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:27:06 pm



เปิดจม. "เจ้าคุณเสนาะ" ร้อง 4 ข้อ จัดการเรื่องศพ.!

เปิดจดหมายลาตายของเจ้าคุณเสนาะ หลังญาตินำมาส่งให้ตำรวจเร่งตรวจพิสูจน์ ระบุ ให้พระมหากฤษณะ ช่วยดำเนินการจัดงานศพเรียบง่าย เผาพร้อมศพโยมแม่ แจ้งเจ้าอาวาสดำเนินการ ขัดข้องให้แจ้งเจ้าอาวาสวัดพลับพลาชัย

เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย ผบก.น.6 เปิดเผยถึงกรณีพระพรหมสุธี หรือ "เจ้าคุณเสนาะ" อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มรณภาพภายในกุฏิใช้การทำอัตวินิบาตกรรมว่า เบื้องต้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากทางญาติได้นำจดหมายลาตายเป็นรายมือของพระพรหมสุธีที่พึ่งตรวจสอบพบมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ทำการตรวจสอบ จึงได้ประสานทางพระลูกศิษย์ตรวจสอบข้อความดังกล่าว ทั้งนี้ ทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะเรียกประชุมกรณีดังกล่างอีกครั้งในวันที่ 29 ม.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แล้วจะแถลงผลสรุปการตรวจสอบอีกครั้งช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ต่อไป


 :25: :25: :25: :25:

ขณะที่ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น. เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน โดยตนได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ไล่เก็บกล้องวงจรปิด และสอบพยานภายในวัดทั้งหมด ทั้งนี้สั่งการให้พนักงานสอบสวนร้องขอให้แพทย์และพิสูจน์หลักฐานตรวจหาสารพิษภายในร่างกายของเจ้าคุณเสนาะซึ่งต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจดหมายลาตายจะส่งให้พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบลายมือว่าเป็นของเจ้าคุณเสนาะหรือไม่ อย่างไรก็ตามผลชันสูตรการเสียชีวิตที่ออกมาแล้ว เบื้องต้นยืนยันว่าเป็นการเป็นการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ

 :96: :96: :96: :96:

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจดหมายลาตายของเจ้าคุณเสนาะ มีจำนวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มีใจความว่า "ท่านพระมหากฤษณะ ช่วยดำเนินการศพของผมด้วย จัดแบบเรียบง่าย มีอะไรก็ปรึกษานายเอกวัฒน์ ฝังมุข น้องชายของผม ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจัดเผาศพ โยมมารดาของผมไปในวันเดียวกันก็จะเป็นการดี ข้อสำคัญ
    1. ต้องแจ้งตำรวจเพื่อพิสูจน์ศพ เพื่อออกใบมรณะบัตร
    2. แจ้งทางเขาด้วยหรือเปล่า หรือแจ้งหมอให้มาพิสูจน์
    3. แจ้งเจ้าอาวาส เพื่อทราบว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร
    4. ถ้าวัดสระเกศขัดข้องก็ข้อให้มหากฤษณะเรียนเจ้าอาวาสวัดพลับพลาชัยเพื่อดำเนินการ
    ลงชื่อพระพรหมสุธี"

ฉบับที่ 2 "เงินที่อยู่ในกระเป๋านี้ ถ้าจัดการงานศพผมแล้ว มีเงินเหลืออยู่ขอให้มหากฤษณะมอบให้ทางนายเอกวัฒน์ ส่วนสิ่งของอื่น ๆ มอบให้มหากฤษณะ ส่วนเงินตราต่างประเทศถ้ามีถวายพระกฤษณะ"


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/crime/376079
11633  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝึกสมาธิเอาอุจจาระราดตัว พุทธศาสนาไม่ได้สอน เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 11:20:55 am



ฝึกสมาธิเอาอุจจาระราดตัว พุทธศาสนาไม่ได้สอน

เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล หลังจากสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อว่า เตชินท์ จอมคำ ได้แชร์ภาพจากแฟนเพจเฟซบุ๊กของ หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นภาพการฝึกวิชาขันธารของพระเณร ตอนบวชรุ่น 80 พรรษา ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โดยการเอาอุจจาระมาราดตัวพระเณรเพื่อฝึกสมาธิ ซึ่งหลังจากที่ภาพได้เผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตก็ได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม


ขณะที่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ไพรวัลย์ วรรณบุตร ถึงเรื่องดังกล่าวชี้แจงว่า ในพุทธศาสนาไม่มีเรื่องการฝึกสมาธิด้วยการเอาอุจจาระมาราดตัว เพราะการทำเช่นนี้ มันออกนอกทางสายกลาง เป็นความสุดโต่ง เป็นการทรมานตนให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ภาษาพระท่านเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค


นอกจากนี้ สายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามความเห็นไปยัง นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ในทางพุทธศาสนาไม่มีการฝึกสมาธิโดยการเอาของสกปรกมาราดตัว น่าจะอวดอุตริ ถือว่าเป็นความประพฤติที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมที่ดี จิตต้องสงบ สว่าง และสะอาด การเอาของสกปรกมาราดตัวจะนำมาซึ่งเชื้อโรค ยิ่งทำให้กายเป็นอุปสรรค ขัดขวางการบรรลุธรรม ซึ่งผิดธรรมชาติ ผิดวิสัยของพระโดยทั่วไป ถ้าเป็นพระสายวัดป่า วัดธุดง ก็จะใช้วิธีฝึกสมาธิในการนั่ง ยืน เดิน นอน กำหนดจิต

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/569328
11634  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ให้ศึกษา "พระสูตร" เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 10:58:36 am



พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ให้ศึกษา "พระสูตร"
ธรรมทินนสูตร : ธรรมทินนอุบาสกพยากรณ์โสดาปัตติผล

[๑๖๒๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ครั้งนั้น อุบาสกชื่อว่า ธรรมทินนะ พร้อมด้วยอุบาสก ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อใดจะพึงมีประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงตรัสสอน โปรดทรงพร่ำสอนข้อนั้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า พระสูตรเหล่าใดที่พระตถาคตตรัสแล้ว อันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยความว่าง เราจักเข้าถึงพระสูตรเหล่านั้นตลอดกาลเป็นนิตย์อยู่
    ดูกรธรรมทินนะ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.


 ask1 ans1 ask1 ans1

[๑๖๒๖] ธ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายยังครองเรือน นอนกกลูกอยู่ยังทาจันทน์แคว้นกาสี ยังใช้มาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีทองและเงินอยู่ จะเข้าถึงพระสูตรที่พระตถาคตตรัสแล้ว อันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก เป็นโลกุตตะ ประกอบด้วยความว่าง ตลอดนิตยกาลอยู่ มิใช่กระทำได้โดยง่าย ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมอันยิ่งแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่แล้วในสิกขาบท ๕ เถิด.

พ. ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ประกอบด้วย
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    ... ในพระธรรม
    ... ในพระสงฆ์
    ... จักเป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ
    ดูกรธรรมทินนะท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.

ธ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่าใด ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในข้าพระองค์ทั้งหลาย และข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นชัดในธรรมเหล่านั้น เพราะว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย ประกอบด้วย
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    ...ในพระธรรม
    ... ในพระสงฆ์
    ... ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ.
   
พ. ดูกรธรรมทินนะ เป็นลาภของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ดีแล้ว โสดาปัตติผลอันท่านทั้งหลายพยากรณ์แล้ว.


     จบ สูตรที่ ๓


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  บรรทัดที่ ๙๗๑๒-๙๗๓๙. หน้าที่ ๔๐๔-๔๐๕.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=19&A=9712&Z=9722&pagebreak=0
11635  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาถรรพณ์ศักดิ์สิทธิ์ "บ้านพนอม" นครพนม เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 09:02:09 am


อาถรรพณ์ศักดิ์สิทธิ์ "บ้านพนอม" นครพนม

"ตำบลพนอม" ปัจจุบันขึ้นตรงกับ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นหมู่บ้านชุมชนโบราณ ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีเรื่องราวอาถรรพณ์ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าขานสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และสิ่งเหล่านั้นยังเป็นดำปริศนามาจนทุกวันนี้!!

ชัยภูมิของบ้านพนอมในอดีตกาล ตั้งอยู่บน"โนน(ภู)สามขา" เป็นบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึง ประกอบด้วย...
 
1."โนนกระแต" เริ่มจากสันโนนจาก"ต้นโพธิ์โบราณ"กลางทุ่งนาของบ้านพนอมหมู่ที่ 1 เหยียดลงใต้ไปจรด "โนนหินลาด" บ้านพนอมทุ่งหมู่ที่ 4 มีหลักฐานคือ "บ่อน้ำเก่าแก่" เป็นหลักเขต ชาวบ้านเรียกบ่อน้ำนี้ว่า "น้ำซ่างกระแตเลาะ" อยู่ใน "วัดป่าโนนสูง" ซึ่งต้นโพธิ์โบราณนี้ มีเรื่องเล่ากันว่า..เป็นสถานที่พักช้างศึก+ม้าศึก..และที่พักแรมทหารไทยของ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1" ครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศ "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก" ทหารเอก "พระเจ้ากรุงธนบุรีตากสินมหาราช" ครั้งกรีธาทัพไปตีกรุงเวียงจันท์สำเร็จ จึงเกณฑ์ไพร่พล+เชลยศึก พร้อมเครื่องบรรณาการต่างๆ นำทัพเลาะเลียบแม่น้ำโขง ก่อนจะหยุดทัพพักแรม ณ บริเวณต้นโพธิ์แห่งนี้!!
 
2."โนนหินลาด" ลักษณะเป็นลานหินกว้าง จากคำบอกเล่าอดีตเป็นป่ารกชัฏ มีถ้ำเป็นโขดหินใหญ่ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่ารุกขเทวดา ปัจจุบันคือที่ตั้ง"วัดป่าโนนสูง" มีลิงป่าจำนวนมากอาศัยอยู่
 
3."โนนหัวคน" สันนิษฐานเกิดในยุคขอมโบราณ ที่มีการรบพุ่งแย่งชิงพื้นที่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดพ่ายแพ้จะตกเป็นเชลย ถูกนำตัวมายัง "หลักประหาร" เพื่อตัดหัวเสียบประจาน อดีตมีนกแร้งจำนวนมาก บินวนว่อนเหนือท้องฟ้าเพื่อรอกินซากศพ มีหลักฐานเป็น"เสาไม้กันเกรา(มันปลา)" ทรงสี่เหลี่ยมสูง 5 เมตร ที่ใช้เป็นที่ประหารหลงเหลืออยู่ ใกล้ๆกันมีบ่อน้ำเก่า ที่พวกเพชฌฆาตใช้น้ำในบ่อลับคม ก็พอจะมีเค้าลางให้เยี่ยมชมอยู่ ยามค่ำคืนบริเวณนี้ไม่มีผู้ใดใช้คมนาคม เพราะเคยมีคนเห็นทหารโบราณเดินถือดาบแกว่งไป-มาบ่อยครั้ง!!

 
  :96: :96: :96: :96:

ประวัติความเป็นมา"บ้านพนอม" เพี้ยนมาจากคำว่า "พระนอน" ก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ.2327 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เล่าว่ามีชาวกรุงเวียงจันท์ อพยพล่องเรือมาตามลำแม่น้ำโขง ขึ้นฝั่งเทียบท่าที่"ปากห้วยหนองเทา(โรงเรียนบ้านพนอมปัจจุบัน)" ได้นำพระพุทธรูปสร้างด้วยปูน"ปางไสยาสน์" พุทธลักษณะนอนตะแคงขวา รูปทรงอยู่ในปางทรมาน มีร่างกายซูบผอมเหลือแต่โครงกระดูก ยาว 1.20 เมตร ติดเรือมาด้วย จึงเรียกชื่อพระองค์นี้ว่า "พระแจงแห้ง" คือผู้ที่มีร่างกายผอมแห้งนั่นเอง!!
 
ต่อมาพระแจงแห้งพลัดตกจากที่สูงจนเศียรหัก ร่ำลือว่าอาจจะเกิดอาเพศเหตุร้าย จึงตกลงนำพระแจงแห้งไปลอยแพในแม่น้ำโขง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ จากนั้นก็ตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ ตามรูปทรงของพระปางไสยาสน์ว่า "บ้านพระนอน" ภายหลังเพี้ยนมาเป็น"บ้านพนอม"!!
 


พ.ศ.2382 สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านพนอมได้ย้ายวัดและชุมชนจากปากห้วยหนองเทา(โรงเรียนบ้านพนอม) มาตั้งอยู่ที่ "ปากห้วยไผ่" บริเวณต้นโพธิ์ใหญ่ ตั้งชื่อว่า "วัดศรีชมชื่น" ภายหลังเกิดน้ำโขงกัดเซาะตลิ่งพัง จึงย้ายวัดไปสร้างแห่งใหม่ โดยมีพระพุทธรูปโบราณเป็นองค์ประธานอยู่ภายในอุโบสถ แต่ปี พ.ศ.2520 มีโจรใจบาปแอบขโมยพระพุทธรูปดังกล่าวไป..!!
 
พ.ศ.2455 ต้นรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หมู่บ้านพนอมยกฐานะเป็น"อำเภอพนอม" มี "ขุนชัยประชาบาล(แฉ่ง)" เป็นนายอำเภอคนแรก ในปีเดียวกันนายอำเภอแฉ่งย้ายสลับตำแหน่งไปอยู่ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร นายอำเภอพนอมคนที่สองชื่อ "พระบริบาลสุภากิจ(คำสาย ศิริขันธ์)" แต่เป็นอำเภอได้แค่ปีเดียว พ.ศ.2456 ก็ยุบไปรวมกับ"เมืองไชยบุรี" ก่อนจะขึ้นตรงกับ อ.ท่าอุเทน ในปัจจุบัน!!
 
 :29: :29: :29: :29:

"อาถรรพณ์ศักดิ์สิทธิ์" ที่ชาวบ้านพนอมสักการะบูชามาอย่างยาวนาน คือ "หอพระธัม" ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณวัดเก่าศรีชมชื่น เล่ากันว่า "พระธัม" เป็นผู้ทรงศีลมีตบะแก่กล้า บำเพ็ญเพียรภาวนาในถ้ำ เดินทางมาจากประเทศลาว มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ในช่วงเกิดโรคระบาดหรือโรคห่า มีผู้คนล้มตายไม่เว้นวัน ฝูงแร้งกาบินรอกินซากศพจำนวนมาก พระธัมได้ขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆจนหมดสิ้น ชาวบ้านจึงมีความเคารพศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผู้ทรงศีลท่านนี้!!
 
ภายหลังพระธัมได้หายไปจากหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอย มีคนพบท่านครั้งสุดท้าย บริเวณวัดศรีชมชื่นเก่า จึงพร้อมใจกันสร้าง "หอพระธัม" ณ จุดที่ท่านหายไป ทุกปีจะมีการ"เลี้ยงพระธัม" จะมี ขนมหวาน+น้ำ+และหมาก เท่านั้น!! ส่วนเนื้อสัตว์หรือสุรา ห้ามนำเข้ามาภายในพิธีเด็ดขาด ต่อมาลูกหลานชาวบ้านพนอม ร่วมจัดงาน"สรงน้ำพระธัม" มี นายอภิชาติ หรือคิงส์ ดีบุกคำ สจ.เขต 2 ท่าอุเทน เป็นผู้ริเริ่ม โดยนำ "หินโบราณ" แสดงเป็นสัญลักษณ์แทนท่านพระธัม กำหนดไว้ทุกวันสงกรานต์ที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันสรงน้ำท่านฯ
 

 :25: :25: :25: :25: :25:
 
ส่วนความศักดิ์สิทธิ์ของพระธัมมีอยู่มากมาย ครั้งหนึ่งอดีตตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ซึ่งมาจากภาคกลาง ไม่มีความเชื่อและศรัทธาต่อท่าน ทั้งกล่าวลบหลู่เหยียดหยามต่างๆนาๆ และต้องการอยากลองของ ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงขึ้นฟ้าไล่ดะจากบ้านพักยันหอพระธัม เสียงปืนแผดกัมปนาทบาดแก้วหูชาวบ้าน พบชายชรานุ่งโจงกระเบนมือถือไม้เท้า ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าหอ จึงใช้อาวุธปืนยิงใส่ แต่ยิงกี่ครั้งกระสุนปืนด้านทุกนัด ครั้นยิงขึ้นฟ้ากลับดังสนั่นคุ้งน้ำ ตชด.ผู้นั้นถึงกับเข่าอ่อนคลุกตัวก้มลงกราบขอขมาลาโทษ สันนิษฐานว่าท่านคงใช่"พระธัม" พอเงยหน้าขึ้นมาท่านก็หายไปแล้ว ปัจจุบันอดีต ตชด.ผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นผู้อุปถัมภ์ดูแลหอพระธัมด้วยความเคารพและศรัทธายิ่งนัก!!
 
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเหลือเชื่อเหนือฟ้าเหนือบาดาล กล่าวคือ "นางสมอน หรือหมอน ศรีสวัสดิ์" อายุ 67 ปี (เกิด 2478) อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 1 ต.พนอม อาชีพเกษตรกร ก็ดำรงชีวิตเหมือนผู้สูงอายุทั่วไป ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ เกิดขึ้นวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2541 หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ยายหมอนก็เข้านอนตามปกติ กระทั่งประมาณสามทุ่ม พยานเห็นยายหมอนเดินตรงไปริมแม่น้ำโขง แต่ไม่นึกเอะใจ จวบจนรุ่งเช้าลูกหลานพากันโวยวาย เพราะยายหมอนหายไป จึงระดมคนออกค้นหา ระหว่างนั้นเองมีคนขี่ จยย.มาจากนครพนม ส่งจดหมายให้ญาติไปรับยายหมอนที่โรงพยาบาลเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว ทุกคนต่างตกใจและไม่เชื่อ เพราะบ้านพนอมอยู่ห่างจากเมืองท่าแขกกว่า 60 กม. ยายหมอนไปได้อย่างไร? ผู้ถือสาส์นยืนยันเสียงแข็ง จึงพากันไป รพ.แขวงคำม่วน พบยายหมอนนอนอยู่บนเตียงคนไข้จริงๆ..!!
 


จากคำบอกเล่าของชายหาปลา ทราบว่าขณะที่กำลังยามปลากลางแม่น้ำโขง ใกล้กับ"พระธาตุเมืองเก่าศรีโคตบูตร" เห็นผู้หญิงลอยน้ำมา ครั้งแรกคิดว่าเป็นศพ ลองใช้ไม้พายตีตามลำตัวดู ปรากฎว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงรีบช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล สอบถามว่าชื่อ นางสมอน หรือหมอน ศรีสวัสดิ์ อยู่บ้านเลขที่ดังกล่าวข้างต้น จึงทำการประสานญาติให้ไปรับตัวกลับ สรุปยายหมอนหายออกจากบ้านไป 1 วัน 1 คืน
 
ยายหมอนเล่าว่า ตนเองฝันมีคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรรพรรณสวยงาม พากันมารับไปทำบุญยังเมืองพญานาคใต้บาดาล มีขบวนกลองฆ้องเป็นทิวยาวแห่ไปตามหมู่บ้านต่างๆ ก่อนที่ตนจะไปนครบาดาลได้นำผ้าถุง 2 ผืนติดตัวไป ผลัดเปลี่ยนทิ้งไว้ที่นั่น 1 ผืน หลังเสร็จงานก็นำตนมาส่งยังผิวน้ำ ก่อนร่ำลาได้บอกว่าอีก 5 ปี จะมารับไปอยู่เมืองพญานาคอย่างถาวร ลูกหลานต่างพากันระมัดระวังดูแลยายหมอนอย่างไม่คาดจากสายตา

 st11 st11 st11 st11
 
วันเวลาล่วงเลยมาถึง วันที่ 17 มีนาคม 2545 ครบ 5 ปีพอดี ยายหมอนได้หายออกจากบ้านไปอีกครั้ง ชาวบ้านระดมกันออกค้นหาตลอดทางน้ำ คราวนี้พบเป็นศพลอยติดแพชาวบ้าน ห่างจากบ้านประมาณ 500 เมตร ซึ่งเรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้ยังเป็นที่กล่าวขานร่ำลือเสมอมา ระยะทางกว่า 60 กม. ยายหมอนลอยน้ำไปได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่ยากต่อการพิสูจน์จริงๆทั้งหมดที่กล่าวมาถ้วนเป็น "อาถรรพณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์"ของบ้านพนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม!!
 

 
พงศ์สุคนธ์ คุณธรรมมงคล..รายงาน
ที่มา http://www.banmuang.co.th/news/region/36925
11636  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุผลของสันติวิธี เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 08:32:08 am
 


ศีลธรรมและสันติสุขจะกลับมาได้อย่างไร (๕) เหตุผลของสันติวิธี
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระไพศาล วิสาโล

มีเหตุการณ์หนึ่งน่าสนใจ มีสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในอเมริกา สมาชิกเป็นฆราวาสทั้งนั้น กรรมการสถานปฏิบัติธรรมนี้มีความเห็นว่าควรจัดให้มีการจัดอบรมสันติวิธีแก่สมาชิก เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการคลี่คลายความขัดแย้ง ไม่ว่าในครอบครัว ในที่ทำงาน ในสังคม จึงเชิญวิทยากรคนหนึ่งมาฝึกอบรมสันติวิธีเป็นเวลาสองวัน โดยใช้ห้องสวดมนต์เป็นสถานที่จัดอบรม

วันแรกผ่านไปด้วยดี วันที่สองวิทยากรอยากจะฝึกให้ยากขึ้น จึงสร้างเหตุการณ์สมมุติขึ้นมาว่า มีผู้ก่อการร้ายจับตัวประกันสองคน ให้สมาชิกสองคนรับบทเป็น “ตัวประกัน” คนที่เหลือสวมบทบาทเป็นผู้เจรจาเพื่อให้สองคนนั้นได้รับอิสรภาพ ส่วนวิทยากรรับบทเป็นผู้ก่อการร้าย เมื่อชี้แจงบทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ควักบุหรี่ออกมาสูบ


 :96: :96: :96: :96:

ผู้เข้าฝึกอบรมคนหนึ่งประท้วงขึ้นมาทันทีว่า “ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ เพราะนี่เป็นห้องสวดมนต์”
ผู้ก่อการร้ายตอบว่า “ผมไม่สนใจหรอก คุณอยากเจรจาเรื่องสูบบุหรี่ หรืออยากให้เพื่อนของคุณได้อิสรภาพ?”
ผู้เข้าอบรมก็บอกว่า “ถ้าคุณสูบบุหรี่ในนี้ เราก็ไม่เจรจากับคุณ”
ผู้ก่อการร้ายจึงพูดว่า “ก็ได้ หยุดสูบก็ได้” ว่าแล้วก็เดินไปที่แท่นบูชา แล้วขยี้ก้นบุหรี่บนตักพระพุทธรูป”

ทุกคนในห้องไม่พอใจมาก มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมว่าทำอะไรลงไป นี่พระพุทธรูปนะ”

ผู้ก่อการร้ายตอบว่า “ผมไม่สนใจ นี่ไม่ใช่พระพุทธรูปของผม และนี่ก็ไม่ใช่ห้องสวดมนต์ของผม ตอนนี้ผมหยุดสูบบุหรี่แล้ว พวกคุณอยากเจรจาเรื่องเพื่อนของคุณหรือเปล่า ไม่งั้นผมก็จะออกจากห้องนี้ไป”   

ตอนนี้ทุกคนโมโหจนลืมไปว่าตนกำลังสวมบทบาทสมมุติ มีคนหนึ่งบอกเขาว่า “เราเชิญคุณมาที่นี่เพื่อจัดอบรม เรารู้ว่าคุณไม่ใช่ชาวพุทธ แต่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา คุณควรเคารพสถานที่แห่งนี้ด้วย”

 :91: :91: :91: :91:

วิทยากรซึ่งยังสวมบทผู้ก่อการร้ายอยู่จึงพูดว่า “คุณอยากรู้ว่าผมเคารพสถานที่นี้แค่ไหนหรือ?” ว่าแล้วเขาก็เดินไปมุมห้องแล้วฉี่ใส่พื้น เท่านั้นแหละทุกคนอดใจไม่อยู่ ต่างวิ่งไปทำร้ายเขา เตะต่อยสารพัด จนเขาล้มลง แต่ก็หนีออกมาได้ พร้อมกับบอกให้ “ตัวประกัน” เป็นอิสระ แล้วเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย

   คำถามคือ ทำไมผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งตั้งใจฝึกสันติวิธี จึงลงเอยด้วยการเตะต่อยวิทยากร ทั้งที่หลายคนไม่เคยทำร้ายใคร ยุงก็ไม่ตบ บางคนกินมังสวิรัติด้วย
   คำตอบก็คือ เพราะคนเหล่านั้นเห็นว่า วิทยากรทำไม่ถูกต้อง แต่เขาลืมไปว่า นี่เป็นการแสดง ไม่ใช่ของจริง และเป็นความตั้งใจของวิทยากรที่อยากให้โจทย์ยากๆ ว่าจะใช้สันติวิธีได้อย่างไรหากถูกยั่วยุหรือเจอเรื่องกระทบใจ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมเหล่านั้นกลับลืมตัวเมื่อถูกยั่วยุ หันไปใช้ความรุนแรงกับวิทยากร

ทำไมเขาเหล่านั้นลืมตัว ก็เพราะเขาเห็นความไม่ถูกต้อง และเนื่องจากยึดมั่นในความถูกต้องมาก พอเห็นคนอื่นทำสิ่งไม่ถูกต้อง ก็เลยลืมตัว ลืมไปว่า นี่คือเรื่องสมมุติ เป็นแบบฝึกหัดเพื่อใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ผลก็คือ ทุกคนสอบตกหมดเลย ทั้งๆ ที่เป็นแค่การซ้อมหรือเป็นสถานการณ์จำลองเท่านั้น


 ans1 ans1 ans1 ans1

นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การมีสำนึกเรื่องความถูกต้อง แม้เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นมันมาก เราอาจจะลงเอยด้วยการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาได้

ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า "ความดี ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นมาก มันก็กัดเจ้าของได้" ผู้คนจำนวนไม่น้อยทุกข์เพราะความดี ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจทำให้คนอื่นทุกข์ เพราะยึดมั่นในความดีแบบของตนด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บินลาดิน หรือไอเอส คนเหล่านี้เชื่อมั่นว่าเขาทำความดี เขากำลังอุทิศตนเพื่อพระเจ้า เมื่อมีความไม่ดีหรือความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เขาก็ต้องจัดการโค่นล้มหรือทำลาย ซึ่งรวมถึงสังหารคนที่คิดหรือทำไม่เหมือนเขา

กลุ่มไอเอสเกลียดคนยุโรปมาก เพราะว่าเป็นพวกวัตถุนิยม บูชาเนื้อหนัง กระทำสิ่งที่เหยียดหยามพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงต้องทำลาย เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เข้าไปก่อการร้ายในปารีส ฆ่าผู้คนนับร้อย กลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก คนเหล่านี้ทำในนามของความถูกต้อง ในนามของสิ่งสูงส่ง คือพระเจ้า แต่ความยึดมั่นถือมั่นนั้น กลับทำให้เขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

นี้เป็นสิ่งที่เราต้องระวังมาก โดยเฉพาะผู้ใฝ่ธรรม เมื่อใดก็ตามที่เราคิดว่าเราเป็นคนดี มีความเชื่อที่ดีงาม หากยึดมั่นในความเชื่อของเรา เราก็อยากให้คนอื่นเป็นเหมือนเรา เชื่อเหมือนเรา แต่ถ้าเขาเชื่อไม่เหมือนเรา เห็นแย้งเรา เราก็เห็นเขาเป็นศัตรู แล้วความโกรธความเกลียดก็ตามมา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "คำสอนของพระองค์เหมือนกับแพ แพนั้นมีไว้ข้ามฝั่ง เมื่อข้ามฝั่งแล้วก็ทิ้งแพไว้ที่ฝั่ง ไม่ต้องแบกขึ้นฝั่งด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมของพระพุทธองค์ ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่ขนาดกุศลธรรมยังไม่ควรยึดติดถือมั่น ไม่ต้องพูดถึงอกุศลธรรม ยิ่งยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เลย"

ถ้าเรามีความใจกว้าง และตระหนักถึงโทษของความยึดติดถือมั่นในความคิด เห็นโทษของความยึดติดถือมั่นในความถูกต้องแล้ว เราต้องพยายามรู้เท่าทันตนเอง รู้จักทักท้วงตนเอง ขณะเดียวกันก็พยายามก้าวข้ามความคิดที่แบ่งเราและเขา แบ่งดีและชั่วให้ได้ อย่าไปมองว่า เราดี คนอื่นชั่ว พวกเราดี พวกนั้นชั่ว เพราะจริงๆ แล้ว คนดีกับคนชั่ว ไม่ได้แยกกัน ในทำนองเดียวกันความดีกับความชั่วนั้นแยกจากกันได้ยาก


 :25: :25: :25: :25:

อเล็กซานเดอร์ โซลเซนิตซิน เป็นนักเขียนชื่อดังชาวรัสเซีย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ใน พ.ศ.๒๕๑๓ (ค.ศ.๑๙๗๐) เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว เขากล่าวว่า “มันจะง่ายดายสักเพียงใด ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่งและคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย เราก็แค่แยกคนพวกนั้นออกจากพวกเรา แล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?”

การกำจัดคนชั่วที่อยู่ข้างนอกนั้นง่าย แต่การกำจัดความชั่วในใจเรานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะคนเรามักจะยอมรับไม่ได้ว่า เรามีความไม่ดี มีความชั่วอยู่ในตัวเอง ดังที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้เตือนเราไว้ เราทุกคนมีระเบิดอยู่ข้างใน และระเบิดก็พร้อมที่จะประทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเรามีสติ ไม่ประมาท ไม่หลงตน เราก็สามารถควบคุมไม่ให้ระเบิดทำงาน และยังสามารถทำให้มันเลือนหายไป ด้วยการกลับมาจัดการกับกิเลสในใจเรา

 ans1 ans1 ans1 ans1

มองในแง่พุทธ การกลับมาจัดการกับความชั่วหรือกิเสลในใจเรานั้นง่ายกว่า เป็นกุศลมากกว่า แต่คนส่วนใหญ่มองว่า การเล่นงานความชั่วในใจตนเป็นเรื่องยาก การกำจัดคนอื่นนั้นง่ายกว่า

เมื่อคิดอย่างนี้ ก็ยากที่ความรุนแรงจะหมดไปจากโลกใบนี้ เพราะนอกจากความโกรธเกลียดและตัณหา มานะ ทิฐิ ถูกปล่อยให้ลอยนวลแล้ว เมื่อกำจัดคนชั่ว หรือกำจัดคนที่เราคิดว่าชั่ว ความโกรธและความเกลียดก็จะเกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง ญาติมิตรของเขา แล้วความโกรธ ความเกลียดก็จะยิ่งแพร่ขยาย และนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น มีการตอบโต้ไม่รู้จบ


 ask1 ask1 ask1 ask1

ความรุนแรงนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ มิหนำซ้ำกลับซ้ำเติมปัญหาให้หนักยิ่งขึ้น อาตมาอยากย้ำว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นก็คือ ความยึดมั่นในความถูกต้องของตนยึดมั่นในความคิดว่า เราดี เขาชั่ว และความคิดที่ว่า เมื่อเป้าหมายถูกต้องจะใช้วิธีการใดก็ได้ หรือความคิดที่ว่า จะทำอะไรกับคนชั่วก็ได้ทั้งนั้น จะรุมกระทืบเขาเวลาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ วิสามัญฆาตกรรม หรือประหารชีวิตเขาก็ได้ทั้งนั้น เพราะถือว่า “คนชั่วหรือคนผิด มีสิทธิ์เป็นศูนย์” นี่เป็นทัศนคติที่แพร่หลายทั่วไปในเวลานี้

ความคิดแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะว่ามันยิ่งทำให้ความโกรธ ความเกลียด แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นชาวพุทธ ก็ยิ่งต้องยึดมั่นในสันติวิธี ความคิดว่า เขาแรงมาก็ต้องแรงไป หรือใช้การตอบโต้แบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟันนั้นไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธเลย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20160123/220873.html
11637  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกยังไม่เปลี่ยน! เหลือ 3 นาทีถึงเที่ยงคืน หายนะจ่อชาวโลก เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 08:17:06 am



เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกยังไม่เปลี่ยน! เหลือ 3 นาทีถึงเที่ยงคืน หายนะจ่อชาวโลก

คณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกของปี 59 ยังคงไว้ที่ 3 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืน เหมือนปีที่แล้ว ชี้ ถือเป็นข่าวร้าย แสดงให้เห็นความเป็นห่วงที่จะเกิดการสูญส้ินเผ่าพันธุ์มนุษย์จากอาวุธนิวเคลียร์และภาวะโลกร้อน

เมื่อ 27 ม.ค. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน คณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Bullentin of The Atomic Scientists) เปิดแถลงข่าวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 59 (ตามเวลาท้องถิ่น) ระบุ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก โดยยังคงไว้ที่ 3 นาทีก่อนจะถึงเวลาเที่ยงคืนเหมือนกับปี 2558 เนื่องจากเวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นที่สุดแล้วสำหรับการประเมินหายนะของชาวโลกที่ใกล้จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ นับตั้งแต่ยุคเกิดสงครามเย็น

‘เวลา 3 นาที ก่อนเที่ยงคืน ถือเป็นเวลาที่สั้นมาก สั้นจริงๆ’ แถลงการณ์จากคณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ โดยพวกเรา ซึ่งเป็นสมาชิก ต้องการแสดงความชัดเจนถึงการตัดสินใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกในปี 2559 ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว ถือว่าไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อผู้นำโลกทั้งหลายยังคงล้มเหลวในความพยายามที่จะลดอาวุธอันตรายร้ายแรง อย่างเช่น อาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาโลกร้อน


ป้ายแสดงให้เห็นนาฬิกาวันสิ้นโลก ที่เข็มนาฬิกา ยังคงไว้อยู่ที่ 3 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืน


ทั้งนี้ จากข้อมูลในวิกิพีเดีย ระบุว่า นาฬิกาวันสิ้นโลก เป็นหน้าปัดนาฬิกาเชิงสัญลักษณ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490 โดยคณะกรรมการจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ของมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นการเปรียบเทียบถึงเผ่าพันธ์ุมนุษย์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงใกล้เที่ยงคืน ขณะที่เวลาเที่ยงคืนตรงนั้น หมายถึง การทำลายอันมีผลหายนะใหญ่หลวง แต่เดิมนั้น นาฬิกาวันสิ้นโลก ใช้เป็นตัวแสดงถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ในภายหลัง ได้มีการเพิ่มประเด็นในด้านเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และพัฒนาการในวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจกู้คืนได้

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/568941
11638  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กางตำรา 'หลักโหร' VS 'หลักวิทย์' ทำนายชะตาราศี ล่วงรู้จริงหรือ? เมื่อ: มกราคม 28, 2016, 08:13:18 am



กางตำรา 'หลักโหร' VS 'หลักวิทย์' ทำนายชะตาราศี ล่วงรู้จริงหรือ?

ลัคนาราศี ดวงชะตา ทายนิสัย...คุณเคยกดเข้าไปอ่านเรื่องราวเหล่านี้ตามเว็บไซต์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ที่มีการทำนายทายทักอนาคตในภายภาคหน้าของคุณหรือไม่? สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการล่วงรู้อนาคต คงไม่พลาดที่จะเสพคำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่คุณอาจจะผ่านตากับถ้อยคำที่ว่า มีปัญหาไม่สบายใจ การเงินติดขัด คนโสดจะได้เจอเนื้อคู่ หรือคำทำนายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การงาน ความรัก แต่สุดท้าย ความรู้สึกนึกคิดของคุณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้มากน้อยเพียงใด?

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เปรียบเทียบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงดาวจากมุมโหราศาสตร์ ซึ่งนำมาใช้วิเคราะห์คำทำนาย จับชนข้อมูลความรู้ทางดาราศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ สุดท้าย คำทำนายที่คุณเชื่อถือมาโดยตลอดจะเป็น “เรื่องลวง” หรือ “ล่วงรู้” คุณเท่านั้นที่จะอ่านและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง!


มนุษย์เห็นดาวอังคารสีแดง จึงตีความว่าเป็นดวงดาวสีเลือด ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วบนดาวอังคารมีออกไซด์บนพื้นผิว จึงทำให้มีสีแดงเรื่อ

มาเยือนสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ถึงที่


ตำนานความสัมพันธ์ระหว่างโหราศาสตร์-ดาราศาสตร์

โหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของโหราศาสตร์ว่า โหราศาสตร์บังเกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 5,000 ปี ต่อมาหลักการดังกล่าวได้ถูกแพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย พม่า และมอญ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ภาษาที่ใช้ในโหราศาสตร์ บางส่วนเป็นภาษาบาลีสันสกฤต

ขณะที่ หลักโหราศาสตร์นั้น มีมากมายหลายแขนง อาทิ โหราศาสตร์ไทย, โหราศาสตร์สากล, ยูเรเนียน, ลายมือ, ฮวงจุ้ย, โหงวเฮ้ง, ไพ่ยิปซี, ไพ่ออราเคิล เป็นต้น โดยส่วนตัว ตนใช้วิชาโหราศาสตร์ไทย, ไพ่ยิปซี, เลข 7 ตัว, ลายเซ็น ซึ่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่ยอมรับของสากล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ศึกษาด้วยว่า ผู้ศึกษามีความชำนาญเพียงใด และผู้ศึกษาสามารถสร้างความเชื่อถือให้ผู้คนยอมรับถึงความแม่นยำได้หรือไม่

“สมัยโบราณ นักโหราศาสตร์มักจะมีความเชี่ยวชาญในหลักวิชาดาราศาสตร์ เนื่องจากหลักการทั้งสองประเภทจะต้องถูกนำมาใช้ควบคู่กัน โดยนักโหราศาสตร์จะไม่ได้เรียนหลักดาราศาสตร์โดยตรง แต่จะใช้วิธีนำข้อมูลดาราศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ผูกดวงชะตา” นายกสมาคมโหรฯ กล่าวถึงที่มาการดูดวงผ่านดวงดาว


พระอาทิตย์เจ้าแห่งระบบสุริยะ


ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ นักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ คือ บุคคลคนเดียวกัน เนื่องจากนักโหราศาสตร์จะศึกษาข้อมูลทางดาราศาสตร์อย่างจริงจัง เหตุเพราะมีความเชื่อที่ว่า ดวงดาวนั้น มีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์

“แต่เมื่อหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้บังเกิดขึ้น โดยมีหลักเหตุผลที่ว่า การจะเชื่อสิ่งใดต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน ซึ่งโหราศาสตร์กลับไม่สามารถพิสูจน์ได้ จากนั้นโหราศาสตร์กับดาราศาสตร์จึงแยกทางออกจากกันอย่างสิ้นเชิง” รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ในยุคโบราณ


ราหู มิใช่ดวงดาว แต่ราหูคือเงา

นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์


การเคลื่อนที่ของดวงดาวมีผลต่อชะตาชีวิตจริงหรือ?

โหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ในการทำนายโชคชะตาว่า จากการสันนิษฐานการดำรงชีวิตของผู้คนในอดีต จะพบว่า มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในแต่ละวัน จนพบว่า โลกมีแสงสว่างและความดำมืด และนั่นก็คือ เวลากลางวัน และกลางคืน แต่มีมนุษย์ช่างสังเกตบางคน ได้สังเกตเห็นว่า ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ได้อยู่ในจุดๆ เดิมตลอดทุกวัน มิหนำซ้ำดวงดาวหลายต่อหลายดวงยังมีการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ทั่วท้องฟ้า

“มนุษย์ช่างสังเกตเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวตลอดมา จึงได้พบว่า เมื่อใดก็ตามที่ดวงดาวดวงหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่มันมักเคลื่อนที่ไปเสมอ การเคลื่อนที่ครั้งนั้น มักจะมีผลต่อโลกทุกครั้ง เช่น ส่งผลให้เกิดอากาศหนาว, อากาศร้อน, ฝนตก หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ดาวดวงหนึ่งเคลื่อนโคจรมาอยู่ใกล้ๆ โลก เช่น ดาวอังคารมักจะเกิดเภทภัยต่างๆ บนโลกมนุษย์เสมอ” นายกสมาคมโหรฯ ให้ความเห็นตามหลักโหราศาสตร์

ขณะที่ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า การเคลื่อนท่ีของดวงจันทร์นั้น มีผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง “ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาวในหลักโหราศาสตร์ มีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างไร?” ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหราศาสตร์ฯ ซึ่งได้รับคำตอบจากนายกฯ ว่า “อาจารย์เคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง ซึ่งมีนายแพทย์ท่านหนึ่งระบุถึงการผ่าตัดผู้ป่วยไว้อย่างน่าฉงนว่า ทำไมในช่วงเวลาข้างขึ้น การผ่าตัดผู้ป่วยถึงมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก และเหตุการณ์ของแพทย์ท่านนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ในร่างกายของมนุษย์มีเลือด ซึ่งเลือดก็คือน้ำ ดังนั้น พระจันทร์ย่อมมีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน”


ดวงจันทร์กำลังบดบังดวงอาทิตย์


ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ กล่าวถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวในระบบสุริยะว่า สิ่งเดียวที่มีผลต่อโลกคือ แรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง แต่มีผลในที่นี้คือ มีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ชายเลน และไม่ได้มีผลต่อชะตาชีวิตมนุษย์

“ดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ดาวอังคารที่มีสีออกแดงๆ หรือดาวศุกร์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลก การเคลื่อนที่ของดวงดาวไม่ว่าดวงเล็ก ดวงใหญ่ สีไหน ดวงใดก็ตาม ต่างก็ไม่ได้มีผลต่อโลก” รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ยืนยัน

โดย ดร.ศรัณย์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ทำนายชะตาชีวิตว่า เรื่องราวจำพวกดูดวง การทำนายราศีลัคนา หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเชื่อเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างได้ แต่หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์และหักล้างความคิดนี้ได้ กล่าวขยายความให้เข้าใจได้โดยง่ายคือ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ผีมีจริง ซึ่งโหราศาสตร์ก็เช่นกัน


ระบบสุริยะ มีวัตถุมากมายนอกเหนือจากดาวเคราะห์


ความจริง VS ความเชื่อ...ความหมายดวงดาวทางดาราศาสตร์

โหราศาสตร์ : นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ได้อธิบายถึงชื่อเรียก และความหมายของดวงดาวต่างๆ ไว้ว่า ดวงอาทิตย์เปรียบเป็นชื่อเสียงเงินทอง หรือหน้าตาทางสังคม เนื่องจากพระอาทิตย์เป็นเจ้าแห่งระบบสุริยะ, ดาวเสาร์ คือดวงดาวที่โคจรได้ไกลที่สุดในระบบสุริยะ โดยดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความทุกข์เศร้า เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่ดาวเสาร์โคจรทับลัคนาของใครคนหนึ่ง จะส่งผลให้บุคคลนั้นๆ มีแต่ความทุกข์, ดาวศุกร์ คือดวงดาวที่มีความสว่างสดใส จึงถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของความสวยงาม นั่นก็คือ เหล่าดารานักแสดง นางงาม หรืออาชีพที่ต้องใช้ความสวยความงาม

ส่วนดาวพฤหัส คือตัวแทนแห่งความซื่อตรง ความเท่ียงตรงยุติธรรม, ดาวพุธ เปรียบเป็นดาวที่ซอกแซก เฉลียวฉลาด ติดต่อธุรกิจเก่ง หรือเป็นนักสื่อสาร, ดาวอังคาร เป็นดวงดาวแห่งสงคราม หากดาวอังคารปรากฏในช่วงเดือนที่ชะตาชีวิตไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ, ดวงจันทร์ เคลื่อนที่เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้โลกที่สุด ดังนั้น ดวงจันทร์จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงง่าย และราหู ไม่ใช่ดวงดาว แต่ราหูคือเงา

ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหรฯ ถึงการเปรียบเทียบดวงดาวแต่ละดวงว่า “ผู้คิดค้นหลักการเปรียบเทียบดวงดาวข้างต้นใช้หลักการอันใด?” ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหร ตอบกลับว่า ผู้คนในสมัยโบราณมีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก และบันทึกไว้เป็นสถิติ ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาว จึงมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์มีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือเศร้า


อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

ในทางโหราศาสตร์ ดวงอาทิตย์เปรียบเป็นชื่อเสียงเงินทอง หรือหน้าตาทางสังคม


ดาราศาสตร์ : ดร.ศรัณย์ กล่าวสวนทางกับการเปรียบเทียบดวงดาวในโหราศาสตร์อย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่า ความเชื่อที่ว่า ดวงดาวเปรียบเสมือนความกล้า สงคราม ทหาร ความรัก หรืออื่นๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณทั้งสิ้น

ดร.ศรัณย์ กล่าวตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เห็นดาวอังคารสีแดง จึงตีความว่าเป็นดวงดาวสีเลือด ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วบนดาวอังคารมีออกไซด์บนพื้นผิว จึงทำให้มีสีแดงเรื่อ ส่วนดาวศุกร์ที่มนุษย์บอกว่าสุกสว่าง เปรียบเสมือนดาวแห่งความรัก ซึ่งอันที่จริงแล้วดาวศุกร์มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ขณะที่ ดาวพฤหัส มนุษย์บอกว่า มีความสว่างคงที่ จึงเปรียบเป็นนักปราชญ์ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ดาวพฤหัสบดีเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า แม้กระทั่ง ดาวเสาร์ ที่มนุษย์ต่างเปรียบเทียบว่าเป็นความทุกข์ ความเชื่องช้า โดยให้เหตุผลว่า ใช้ระยะเวลาในการโคจรในทางโหราศาสตร์ประมาณ 2 ปีครึ่ง

“ในแต่ละศาสนาวัฒนธรรม ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อทางโหราศาสตร์แตกต่างกัน โดยเฉพาะในศาสนาอิสลาม ได้ระบุข้อห้ามไว้ชัดเจนว่า อิสลามไม่มีสิ่งสมมติ ดังนั้น ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง ห้ามถือโชคลางของขลัง โดยศาสนาอิสลามให้เหตุผลว่า เรื่องราวเหล่านี้ไร้สาระ เป็นวิชาของพวกผี และเป็นเรื่องไม่ควร” รอง ผอ. สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าว


ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนย้ายผ่านดาวพฤหัส


เชื่อสุดโต่ง VS ไม่เชื่อสุดใจ...

โหราศาสตร์ : “เราจะรู้ได้อย่างไรว่า โหราศาสตร์ คือ ความถูกต้องแม่นยำและพิสูจน์ได้ มิใช่เป็นเพียงแค่ความเชื่อ?” ผู้สื่อข่าวยิงคำถามไปที่นายกสมาคมฯ เขาตอบกลับมาในทันทีว่า โหราศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ กล่าวคือ เมื่อนาย ก.มาดูดวง สิ่งที่นักโหราศาสตร์ทำนายให้นาย ก. มีความแม่นยำตรงกันกับชีวิตนาย ก. หรือไม่ หากตรงก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แก่หลักโหราศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

“หากไม่ตรง ถือว่าเป็นความเชื่อ และไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้นหรือ?” ผู้สื่อข่าวถามต่อ โดยนายกสมาคมฯ ตอบมาในทันทีอีกว่า หากไม่ตรง ไม่ได้หมายความว่า โหราศาสตร์นั้น พิสูจน์ไม่ได้ แต่แปลว่า องค์ความรู้ของนักโหราศาสตร์ท่านนั้นๆ ยังขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ และขาดความเข้าใจโดยแท้

“ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น นักโหราศาสตร์ จะต้องมอบความจริง มอบคุณธรรมให้แก่ผู้ฟังคำทำนาย ส่วนผู้ฟังคำนายก็ควรฟังอย่างมีสติ และเมื่อรู้ผลการทำนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากผู้ฟังพบว่า ชะตาชีวิตเป็นไปในทางร้าย ก็ควรคิดวิเคราะห์หาทางแก้ไช และในทางตรงกันข้าม หากพบว่า ชะตาชีวิตในอนาคตนั้นดี ก็ไม่ควรประมาท เพราะหลักโหราศาสตร์คือทำให้รู้ความเป็นไปแห่งชีวิต และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” อ.ศิวนาถ นายกสมาคมโหรฯ เตือนคอดูดวงทั้งหลาย


กลุ่มดาวดวงเด่น

ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ที่มีระบบวงแหวนดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มากกว่าดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะ


ดาราศาสตร์ : “ในฐานะประชาชน คุณมีความเชื่อในเรื่องดวงชะตา โหราศาสตร์หรือไม่?” ทีมข่าวถามความเห็นจาก ดร.ศรัณย์ ซึ่งได้รับคำตอบว่า “ผมไม่เคยกดเข้าไปอ่านคำทำนายเหล่านี้ เหตุผลของผมก็คือ ผมไม่เชื่อ ซึ่งเรื่องราวที่ทำนายทายทักออกมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการตีความทางจิตวิทยา หากถามว่าทำไมผมไม่เชื่อ คงจะตอบได้ว่า ผมเคยเรียนวิชาดูดวง สุดท้ายก็ได้รู้ว่า เรื่องราวจำพวกนี้ มั่วไปมั่วมา”

รองผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงนักโหราศาสตร์ว่า บุคคลเหล่านี้มี 2 ประเภท ดังนี้ ประเภทที่ 1 บุคคลกลุ่มนี้ไม่ได้หลอกลวงประชาชน แต่เขาเชื่อเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องจริงของเขาเอง แต่ไม่จริงสำหรับคนอื่น และประเภทที่ 2 บุคคลกลุ่มนี้ยกตนเป็นผู้วิเศษ เรียกตนเองว่า หมอดู และหากินกับความเชื่อของประชาชน

“โดยธรรมชาติของคนไทย เป็นพวกสรรหาความงมงายอยู่เป็นนิจ หากเราเลือกสละความงมงาย แล้วเปลี่ยนมาใช้เหตุผลกับบ้านเมือง ผมเชื่อว่า สังคมจะดีขึ้นมาก” ดร.ศรัณย์ ทิ้งท้ายคมคาย


กาแล็กซี่


จิตแพทย์ เตือนใช้วิจารณญาณในการรับฟังคำทำนาย

จิตแพทย์ : ทีมข่าวสอบถามมุมมองความเห็นจาก นพ.ชิโนรส ลี้สุวรรณ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตถึงเรื่องราวความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งได้รับคำตอบว่า โหราศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ ประเทศ แต่สำหรับผู้คนในบางประเทศ ทันทีที่พวกเขาเกิดความไม่สบายใจ หรือความทุกข์ บุคคลเหล่านี้จะเลือกไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสวนทางกับประเทศไทย เพราะเมื่อคนไทยเกิดความเครียด คนไทยมักเลือกไปพบพระ หรือหมอดู ดังนั้น ทุกคนในสังคมไทยควรใช้วิจารณญาณ และคิดวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อจากค่านิยมที่ผิดเพี้ยน

“โดยส่วนตัวผมไม่อ่านเรื่องการทำนายดวงชะตา ราศี เนื่องจากไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจกับเนื้อหาที่ผ่านตาอยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก” รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวจากความรู้สึก

สุดท้าย โหราศาสตร์จะเป็น “เรื่องลวง” หรือ “ล่วงรู้” ไม่ได้อยู่ที่ “หมอดู”
แต่ขึ้นอยู่กับ “สติ” ของคุณเท่านั้นเอง


    สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์
    สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
    reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าว เฉพาะกิจ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/568508
11639  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สังคมส่ายหน้า คณะพระสงฆ์จัดทริป ทัวร์ดำน้ำดูปะการัง เมื่อ: มกราคม 27, 2016, 08:34:46 pm


     ans1 ans1 ans1 ans1

     หลายปีก่อนผมเคยคุยกับพระรูปหนึ่ง ท่านบวชมาตั้งแต่เด็กไม่เคยสึกเลย
    พ่อแม่บอกให้สึกออกมามีครอบครัว เตรียมเจ้าสาวไว้ให้แล้ว ท่านก็ไม่ยอมสึก
    ตอนนั้นจำได้ว่า ท่านบวชพระมาได้ประมาณ ๒๑ พรรษา ตอนนี้ก็ร่วม ๓๐ พรรษา
    ท่านปรารภว่า "เค้าว่าดำน้ำจะทำให้สมาธิดี ว่าจะไปดำน้ำบ้าง" (มีสหธรรมิกของท่านเคยไปดำน้ำ)
    เท่าที่สัมผัสท่านได้ ท่านมีสมาธิดี ท่านมีตาทิพย์สามารถเห็นโอปาติกกะและสัพเวสีได้
    คุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ อย่าซีเรียส


     :25: :25: :25: :25: :25:
11640  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สังคมส่ายหน้า คณะพระสงฆ์จัดทริป ทัวร์ดำน้ำดูปะการัง เมื่อ: มกราคม 27, 2016, 08:18:57 pm


สังคมส่ายหน้า คณะพระสงฆ์จัดทริป ทัวร์ดำน้ำดูปะการัง

ภาพแชร์ว่อน คณะพระสงฆ์ลงเรือ ท่องเที่ยวทริปดำน้ำดูปะการัง ทั้งที่อยู่ในคราบผ้าจีวร สังคมไม่ปลื้ม สงสัยว่ากระทำได้ด้วยหรือ?

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพกิจกรรมดำน้ำท่องเที่ยวที่ทะเลแห่งหนึ่งกลายเป็นที่สนใจในโลกออนไลน์ เนื่องจากพบว่านักท่องเที่ยวที่เห็นอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นพระสงฆ์จำนวนหลายรูป สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

ตามรายงานระบุว่า ภาพและข้อความจากเฟซบุ๊กคุณ Chayathon Robrujane ถูกแชร์ส่งต่อไปทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลังโพสต์ดังกล่าวถูกลงเอาไว้เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เป็นภาพกิจกรรมดำน้ำ โดยบนเรือพบพระสงฆ์และผ้าจีวรพาดตากเอาไว้จำนวนหนึ่ง พร้อมกับข้อความไว้ว่า "วันนี้มาเกาะเหลายา (จ.ตราด) มาเจอคณะทัวร์พระไทยกำลังจะดำน้ำ ส่วนใดไหนเดี๋ยวสอบถามให้ทีหลัง"


 :96: :96: :96: :96: :96:

ซึ่งภายหลังจากรูปภาพดังกล่าวถูกโพสต์ออกไป มีผู้ให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และเห็นได้ชัดเจนว่ากิจกรรมดังกล่าว ไม่ได้เข้าข่ายเป็นกิจของสงฆ์ อีกทั้งยังสงสัยว่ากระทำเช่นนี้พระสงฆ์ทำได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลอีกว่า พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวเป็นคณะพระลูกวัดที่รวมตัวมาจากวัดหลายแห่งในกรุงเทพฯ ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังมีการแชร์พฤติกรรมอื่นๆ ที่คล้ายกันของพระสงฆ์ มีกิจกรรมท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่พุทธศานิกชนเห็นแล้วต้องประหลาดใจ

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/1938766/
หน้า: 1 ... 289 290 [291] 292 293 ... 708