ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - อัจฉริยะ
หน้า: [1] 2
1  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 02:42:43 pm
กิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘
http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=5


สหรคต    ส่วนมากจะกล่าวถึงธรรมะอย่างหนึ่งที่เป็นไปกับธรรมะอย่างหนึ่งคือไปพร้อมกัน ประกอบกัน

ขอเรียนแบบหยาบๆ เพราะผมก็ไม่ได้เรียนหรือเชี่ยวชาญบาลีหรือเก่งทางศัพท์บาลีนัก
อธิบายตามความเข้าใจเอง ผิดถูกช่วยแก้ไขด้วยครับ

เวทนา ๖ คือ เวทนาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นได้ ๖ ที่ คือที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เวทนา ๑๘ คือ จะต่อเนื่องจาก เวทนา ๖ ที่นั้น เพราะเกิดร่วมด้วยมี ๓ อย่าง
คือ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา  เพราะฉะนั้น ๖x๓=๑๘

เวทนา ๓๖ ก็ต่อเนื่องจากเวทนา ๑๘ เพราะว่า แบ่งจากการเกิด คือ กาม และ วิปัสสนา

เคหสิตานิ   =  อาศัย กามคุณ   ๑๘

เนกขัมมสิตานิ  = อาศัย วิปัสสนา  ๑๘     รวมกันเป็น เวทนา ๓๖

จาก  เวทนา ๓๖ จำแนกโดยเวลาที่จะเกิดคือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ๓ เวลา

ดังนั้น เวทนา ๓๖x๓ = เวทนา ๑๐๘



ขอบคุณภาพจาก http://www.sahavicha.com
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย.ผงะ!! พบลูกชิ้นปลา-ปลาเส้น ทำจากเนื้อปักเป้า เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2012, 09:10:23 am


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

อย.เผยผลตรวจลูกชิ้นปลา-ปลาเส้นจากโรงงานสมุทรสาคร พบมีส่วนผสมปลาปักเป้า มีพิษเตโตรโดท็อกซิน สั่งเอาผิดโรงงาน 2 ข้อหา

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า จากการสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา และปลาเส้นจากโรงงานลูกชิ้นปลายิ้ม ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ไปตรวจสอบ ล่าสุด ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างพบว่า ปลาเส้นตราปลายิ้ม ลูกชิ้นปลาตราหงส์ทอง ลูกชิ้นปลาตราหนุ่มร้อยแรง และปลาเส้นตราหงส์ทอง มีส่วนผสมของเนื้อปลาแล่เป็นปลาปักเป้าสายพันธุ์ L.spadiceus และพบปริมาณสารพิษเตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) เท่ากับ 1.01 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ ทาง อย.ได้แจ้งดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ 2 ข้อหา คือ ผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายที่มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง โดยไม่แจ้งวันผลิต และวันหมดอายุ ซึ่งข้อหานี้ มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท ส่วนอีกข้อหาคือ ผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท

ทั้งนี้ นพ.พิพัฒน์ ยังได้กล่าวเตือนผู้ประกอบการ ว่า ต้องแสดงฉลากวันผลิต วันหมดอายุบนผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน และถูกต้อง ส่วนเ รื่องปลาปักเป้านั้น ผู้ผลิตไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่รู้ เพราะถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ผลิตโดยตรง โดยปลาปักเป้าถือเป็นอาหารที่ห้ามผลิตและจำหน่าย เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว สารพิษในปักเป้ายังก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย

3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จำเป็นต้องเข้าใจ อนัตตา หรือไม่ครับ หรือเพียงแค่ภาวนา ก็เพียงพอ เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2012, 01:32:19 pm
คือโดยรวมก็ไม่เข้าใจว่า อนัตตา เกี่ยวกับกรรมฐาน ส่วนไหน แล้วเราจำเป็นต้องเข้าใจ อนัตตา อย่างไร?
อนัตตา กับ สุญญตา เหมือนกันหรือไม่ ครับ หรือ ว่า อนัตตา คือ พระอรหันต์
แล้วพระอรหันต์ ทุกรูป ต้องรู้จักอนัตตาทุกรูป ทุกองค์หรือไม่ครับ
   :smiley_confused1: :c017: :s_hi:
4  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การเห็็น ทุกข์ มีความจำเป็นอย่างไร ในการภาวนา และ เกี่ยวข้องอย่างไรกับกรรมฐาน เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2012, 01:30:16 pm
คือไม่ค่อยจะเข้าใจในส่วนนี้เลยครับ ว่าการเห็นทุกข์ มีความจำเป็นกับการนั่งกรรมฐาน ด้วยหรือครับ ในเมื่อเรานั่งกรรมฐาน ก็เพียงแต่ให้ใจสบาย บางครั้งก็ไม่ได้ทุกข์ใด ๆ ถึงได้นั่งกรรมฐาน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมนั่งกรรมฐาน ต้องไปเข้าใจเรื่องทุกข์ด้วยครับ

การเห็็น ทุกข์ มีความจำเป็นอย่างไร ในการภาวนา และ เกี่ยวข้องอย่างไรกับกรรมฐาน
 :c017: :s_hi: :smiley_confused1:
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การเห็นว่า เป็นอนิจจัง ควรเริ่มอย่างไรในการภาวนา ครับ ^_^ เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2012, 01:28:07 pm
การเห็นว่า เป็นอนิจจัง ควรเริ่มอย่างไรในการภาวนา ครับ ?

   เรียนถามชาวธรรม ทุกท่านนะครับ ว่าการมองเห็นอนิจจัง มีหลักการภาวนาปฏิบัติอย่างไร ในการมองเห็นอนิจจัง หรือเข้าใจเห็นแจ้ง อนิจจัง เกี่ยวกับสิ่งนี้มีวิธีการปฏิบัติอย่างไรครับ

   :c017: :s_hi:
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 กระบวนท่า แก่ การวีน ( วีนคือ อารมณ์ไม่ดี ) เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 09:43:39 am
10 กระบวนท่า...บอกลานิสัย ขี้วีน



ยิ่งนานไปภาพหนุ่ม-สาวจอมวีนรา วกับตัวร้ายในละครเริ่มปรากฏให้เห็นในชีวิตจริงมากขึ้นทุกวัน ...ซึ่งในละครมักไม่ได้บอกว่า หากคุณอาละวาดใส่ผู้คน สิ่งที่คุณจะเสีย อาจไม่ใช่แค่เสียหน้า เสียใจหรือเสียความนับถือในตัวเองเท่านั้น แต่อาจทำให้คุณเสียงานที่คุณรัก เสียคนที่คุณรักอย่างไม่มีวันหวนกลับ หรืออาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตตัวเองก็เป็นได้
ด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง Secret จึงต้องขอกระซิบบอกเคล็ดวิชา 10 กระบวนท่า บอกลานิสัยขี้วีน ให้เหล่าตัวร้ายในยุทธภพได้ลองนำไปฝึกฝนดู

กระบวนท่าที่1 รำพึงขออภัย
คนเรามักเกิดอาการขัดเขินหรืออาย ในการที่จะพูดคำว่า "ขอโทษ" ทันที หลังจากอาละวาดไปแล้ว ทั้งๆที่คำๆนี้ควรเป็นคำแรกที่พูดหลังจากคุณก่อเหตุสะเทือนขวัญไป secretจึงขอแนะนำวิธีกล่าวคำ "ขอโทษ"ให้คล่อง ด้วยการซ้อมพูดหน้ากระจกบ่อยๆ เพราะมันจะทำให้เราสามารถเปล่งคำๆนี้ออกมาได้ง่ายขึ้นในสถานการณ์จริง
แต่อย่าลืมว่าการพูด "ขอโทษ"บ่อยๆโดยไม่ปรับปรุงตัวเองไปด้วย อาจทำให้คำๆนี้กลายเป็นคำที่ไร้ค่าได้นะจ๊ะ
 
กระบวนท่าที่2 ปิดทวารรับสื่อ
ยุคนี้การเสนอภาพรุนแรง โดยเฉพาะภาพดาราวีน-เหวี่ยง-กรี๊ด กลายเป็นเรื่องธรรมดาของละครทุกช่อง ซึ่งการที่เรารับชมบ่อยๆนั้น ทำให้เกิดความเคยชินและรู้สึกว่าการวีนหรือเหวี่ยง เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนเขาทำกัน... เพราะฉะนั้นใครไม่อยากเป็นนางร้ายตัวจริง(ไม่อิงละคร) กรุณาลดการเปิดรับสื่อรุนแรงด่วน ...ทราบแล้วเปลี่ยน!
 
กระบวนท่าที่3 เฟ้นหายอดสหาย
การคบเพื่อนที่มักมีพฤติกรรมร้ายๆเช่นเดียวกันกับคุณ ไม่ได้ช่วยกู้ภาพลักษณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้เลย ทั้งยังอาจทำให้อารมณ์เดือดของคุณพุ่งสูงมากกว่าเดิม ...การหาเพื่อนที่ดี รักสงบ และมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้คุณยอมรับได้ เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเบรคอารมณ์ ‘ปรอทแตก'ของคุณได้
ฉะนั้นอย่ารอช้า รีบเปิดตาและเปิดใจมองหาเพื่อนดีๆที่มีอยู่รอบตัว...ช้าหมด อดไม่รู้ด้วย...
 
กระบวนท่าที่4 ทำลายปราณวีน
ทุกครั้งที่โมโห ให้หยุดด่าทอ ลดเสียงและใช้เหตุผลในการพุดคุย เพราะเมื่อใดที่คุณระบายอารมณ์แบบ ‘จัดหนัก' กับคนรอบข้างไปแล้ว ตัวคุณเองอาจรู้สึกดีขึ้น ทว่าเมื่อเปิดตาเปิดใจมองไปรอบตัว คุณจะเห็นว่า คนอื่นไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับคุณ คำพูดที่คุณพูดเพื่อทำร้ายคนอื่นอย่างสะใจ อาจกลายเป็นชนวนใหญ่ที่จะทำให้เกิดละครดราม่าในชีวิตจริงได้ ...เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่โกรธจัดๆ ลองคิดถึงผลเสียที่จะตามมา รับรองว่า ความโกรธจะหายวับไปกับตา
 
กระบวนท่าที่5 สละพิโรธร้อยลี้
โยนความคิด "เมื่อเราวีน เราจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ" ทิ้งลงขยะซะ!...คนที่มีนิสัยขี้วีนอยู่เป็นประจำมักคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ สามารถควบคุมคนอื่น หรือเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย ด้วยการ ‘วีน'หรือ ‘เหวี่ยง'... แต่สิ่งที่คุณไม่รู้เลย คือ เบื้องหลังของพฤติกรรมแสดงอำนาจแห่งชัยชนะนี้ คือความเกลียดชังของคนรอบข้างที่พร้อมจะแทงข้างหลังของคุณ ดังนั้นหากไม่อยากถูกแทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจ ก็รีบเก็บอารมณ์วีนเข้ากรุด่วน !
 
กระบวนท่าที่6 ความเครียดทะยานฟ้า
บางครั้งเมื่อคนเราจัดเก็บความเครียดไว้ในตัวมากๆ แม้เพียงถูกกระทบเพียงครั้งเดียว ก็อาจก่อให้เกิดการระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นพยายามคลายเครียดเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้มีขยะอารมณ์มาหมักหมมอยู่ในใจ โดยการออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ไปปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ ระบายความเครียดให้เพื่อนที่ไว้ใจฟัง ทำงานบ้าน หรือทำงานอดิเรกที่ชอบๆ ฯลฯ เพียงเท่านั้น ไฟที่ลุกโชนในใจก็จะมอดไหม้ไปในเวลาไม่นานเกินรอ...
 
กระบวนท่าที่7 ถอยทัพ
คนที่รักการ ‘วีน'มักมีลักษณะ "แพ้ไม่เป็น" ยามเมื่อใครมาสบประมาทตัวตน ผลงาน สิ่งที่ชอบหรือดับความคาดหวังของตัวเอง อารมณ์จะเริ่มร้อนขึ้นจนต้องระบายออกมา เพื่อสู้กับอีกฝ่ายให้ชนะให้จงได้ หรือให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง
การรู้จักถอย ยอมแพ้และปล่อยวาง ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนป๊อด หรือขี้แพ้ แต่เป็นการเอาชนะสิ่งที่ชนะได้ยากที่สุด คือตัวเอง... เราขอบอกว่าทันทีที่ทำ บ่าที่เคยแบกอีโก้และตัวตนของคุณไว้จะโปร่ง โล่งและเบาสบายขึ้นทันตาเห็นเลยเทียว
 
กระบวนท่าที่8 สกัดจุดโกรธ
ยามใดที่อารมณ์เริ่มประทุ ให้ลอง ‘หยุด' ...หยุดกาย วาจา ใจ ไว้ซะ อย่าได้ทำ พูด หรือคิดอะไรในเวลานั้น วิธีที่ดีที่สุดในการหยุดอารมณ์เดือดให้ทันท่วงทีนั้น ต้องอาศัยการฝึกสติอยู่เป็นประจำ เพื่อให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น ก่อนที่จะแสดงท่าทางและคำพูดไม่ดีออกไป ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียได้...แต่หากมั่นใจว่าหยุดอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่ทันแน่ๆ ขอแนะนำให้หนีออกจากจุดเกิดเหตุมาตั้งหลักเสียก่อนเป็นยอดดี...
 
กระบวนท่าที่9 วิชาตัวเบา
เชื่อว่าทุกคนยามโกรธคงอยากจะชกใบหน้า-กรี๊ดดังๆ-วีนแรงๆ หรือขว้างปาสิ่งของเพื่อระบายอารมณ์ใส่ฝั่งตรงข้ามจนข้าวทุกอย่างเสียหาย แต่จะดีกว่าไหม หากเราระบายอารมณ์ด้วยวิธีอื่นที่สร้างสรรค์กว่า เช่น ยามใดที่หัวใจถูกเผาด้วยไฟ ลองเปิดคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์ทุกอย่างที่รู้สึก ณ ตอนนั้นออกไป ใส่อารมณ์ทั้งหมดลงไปในตัวหนังสือ รูปที่วาด หรือถักโครเชย์ด้วยความเร็วสูงสุดตามอารมณ์ที่ปรี๊ดด...ขึ้นมา แล้วคุณจะพบว่า อยู่ดีๆใจก็เบาได้แบบไม่รู้ตัว!
 
กระบวนท่าที่10 จอมยุทธปราบมาร
การที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้บ่อยๆ อาจมีปัจจัยมาจากหลายอย่าง เช่น สภาพแวดล้อมรอบตัว เรื่องราวในอดีต ฮอร์โมนในร่างกายฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งนอกเหนือความสามารถที่เราจะช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นอย่าอายที่จะอาศัยมืออาชีพมาช่วยขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป
อาทิ หากคนรอบตัวบอกว่าคุณโกรธง่ายผิดปกติ ลองปรึกษาจิตแพทย์ หรือแพทย์เฉพาะทางดู อาจค้นพบสาเหตุที่แท้จริงได้ หรือหากไม่อยากเสียสตางค์ การไปฝึกให้รู้เท่าทันตัวเอง ด้วยการปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์มืออาชีพ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
 
...เมื่อใดที่คุณฝึกวิชาได้ครบ10 กระบวนท่านี้ Secret ขอรับรองว่า อาการ "วีนแตก"ของคุณจะลดลงหรือไม่มาปรากฏให้ผู้คนในยุทธภพเห็นอีกแน่นอน..
7  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตือนภัย! เจอโรคจิตช่วยตัวเองในลิฟท์กลางห้างดัง เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 09:07:14 am


เตือนภัย! เจอโรคจิตช่วยตัวเองในลิฟท์กลางห้างดัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (15 ก.ค.) ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อความพร้อมภาพจากทวิตเตอร์ของหญิงสาวหน้าตาดี รายหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อแอคเคาท์ทวิตเตอร์ว่า @Chuanpachi ได้เล่าเหตุการณ์ถูกชายโรคจิตช่วยตัวเองในห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ของวันนี้ โดยเหตุการณ์ที่คุณChuanpachi เล่าผ่านทวิตเตอร์มีดังต่อไปนี้
"เจ็บใจนักโดนชักว่าวใส่ ตอนอยู่ในลิฟท์ที่ห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ขนาดมากับแฟนนะ
ตอนอยู่ในลิฟท์รู้สึกว่าอะไรมาโดนก้น คนก็เบียด เราก็มองโลกในแง่ดีว่าอาจเป็นกระเป๋า ก็เขยิบออกมา ตอนลิฟท์เปิดเอ๊ะอะไรอุ่นๆโดนขา
ดันคิดดีอีก ว่าเด็กฉี่ใส่ !! กะออกมาเช็ดข้างนอกลิฟท์ เพราะคนเบียดเดินออกชุลมุน พอออกมาจากลิฟท์ ช็อกค่ะ เลอะเสื้อกางเกงขา
ดีที่ใส่เสื้อคลุม เลยทิ้งเสื้อซื้อกางเกงใหม่ ฟอกๆๆๆๆสบู่ให้มากที่สุด แล้วไปขอดูกล้องวงจร เจ้าหน้าที่ห้างร่วมมือดีมากต้องขอบคุณจริงจัง
ไปดูกล้องปรากฏว่าไอ้โรคจิต มันอยู่ในลิฟท์มา45นาทีแล้ว มาแจ็กพอตที่เราT-T มันเนียนมากอะเอาเสื้อผูกเอวไว้ไม่เป็นที่สังเกตเลย
ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ด้วยนะคะ โดนกับตัว ไม่กลัวหรอกแค่โรคจิต แต่ห่วงคนในครอบครัว และกลัวพวกนี้จะมีพัฒนาการไปทำชั่วกว่านี้
เราคือเสื้อแขนยาวสีเทาจุดดำ ยิ่งเห็นแล้วยิ่งแค้น "

fwd mail

 :smiley_confused1:
8  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักวิทย์สูตินารีพยากรณ์อีก 10 ปีข้างหน้า สามีภรรยาจะไม่พึ่งเซ็กส์-หันผลิตลูกผ่าน เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 09:01:29 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.dmc.tv/

นักวิทย์สูตินารีพยากรณ์อีก 10 ปีข้างหน้า สามีภรรยาจะไม่พึ่งเซ็กส์-หันผลิตลูกผ่านหลอดแก้วแทน

นาย จอห์น โววิช แพทย์ด้านสูตินารีเวชจากมหาวิทยาลัยเมอร์ดอค ในเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย พยากรณ์ว่า ในปี 10 ข้างหน้า คู่สามีภรรยา จะเลิกมีเซ็กส์เพื่อมีลูก แต่จะหันมาใช้กระบวนการทำกิ๊ฟท์หรือเด็กหลอดแก้วแทน ซึ่งจะให้ผลสำเร็จถึง 100 %

โดยระบุว่า ในช่วงอีก 10 ปีข้างหน้า ผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวจะมีโอกาสมีลูกผ่านการมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 1 ใน 4 ของทุกเดือน และ 1 ใน 10 ของทุกเดือนในวัยที่เกินกว่า 35 ปี ในขณะที่กระบวนการสร้างเด็กหลอดแก้ว จะประสบความสำเร็จสามารถผลิตทายาทให้คู่สามี นายโยวิช ระบุว่า ภายใน 5-10 ปี คู่สามีภรรยาที่มีอายุใกล้เข้า 40 จะคิดถึงกระบวนการเด็กหลอดแก้วในการมีบุตรก่อนเป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ปัจจุบัน กระบวนการผลิตเด็กหลอดแก้วมีโอกาสประสบความสำเร็จ 50 % สำหรับคู่สามีภรรยาที่แข็งแรง



อ่านแล้วยังไม่คิดว่าจะเป็นจริง
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติคม อ่านดีมีประโยชน์ ส่งเสริมวันธรรมสวนะ ( วันพระ ) เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 07:58:07 am
สิ่งที่แข็งที่สุด..
  เอาชนะได้ด้วย..สิ่งที่อ่อนที่สุด
  ------------
  เมื่อประตูบานหนึ่งปิด.. อีกบานหนึ่งก็เปิด..
  แต่บ่อยครั้ง..ที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด
  จนไม่ทันเห็นว่า..มีอีกบาน-ที่เปิดอยู่
  -----------
  อย่ามัวค้นหา..ความผิดพลาด
  จงมองหา..หนทางแก้ไข
  -----------
  อารมณ์ขัน..เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด..
  ที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้...
  เพราะทันที-ที่เกิดอารมณ์ขัน
  ความรำคาญ..และความขุ่นข้อง-หมองใจ..จะหายไป
  กลับกลายเป็น..ความเบิกบานแจ่มใส..ของจิตใจ
  เข้ามาแทนที่
  ------------
  อย่ากลัว..ที่จะนั่งหยุดพัก..
  เพื่อคิด
  -----------
  1 นาที..ที่คุณโกรธ
  เท่ากับ..คุณได้สูญเสีย 60 วินาที
  แห่งความสงบในจิตใจ..ไปแล้ว
  ------------
  หนทางเดียว..ที่จะรักษาภาพพจน์ได้..คือ..
  การซื่อสัตย์..ตลอดเวลา
  -------------
  ผู้ชนะ..ไม่เคยลาออก
  และผู้ลาออก..ก็ไม่เคยชนะ
  ------------
  ออกซิเจน..สำคัญต่อปอดเช่นไร
  ความหวัง..ก็เป็นเช่นนั้น
  ต่อความหมาย..ของชีวิต
  -------------
  การมีชีวิตอยู่-นานเท่าใด..
  มิใช่..สิ่งสำคัญ
  สิ่งสำคัญ..ก็คือ ..มีชีวิตอยู่-อย่างไร
  -------------
  เราเข้าใจชีวิต..
  เมื่อมองย้อนหลัง..เท่านั้น
  แต่..เราต้องดำเนินชีวิต..ไปข้างหน้า
  ------------
  ไม่มีสิ่งใด..ช่วยให้คุณ..ได้เปรียบคนอื่น
  มากเท่ากับ..
  การควบคุมอารมณ์..ให้สงบนิ่ง..อยู่ตลอดเวลา
  ในทุกสถานการณ์
  ------------
  ความอดทน..
  คือ..เพื่อนสนิท..ของสติปัญญา
  -------------
  พรสวรรค์ยิ่งใหญ่..ของมนุษย์
  คือ..การที่เราสามารถ..เอาใจเขา-มาใส่ใจเราได้
  -------------
  ในธรรมชาติ..ไม่มีสิ่งใดดีพร้อม
  แต่ทุกอย่าง..ก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง
  ต้นไม้..อาจบิดเบี้ยว-โค้งงอ..อย่างประหลาด
  แต่ก็ยังคง..ความงดงาม
  -------------
  มักพูดกันว่า..
  กาลเวลา..เปลี่ยนทุกสิ่ง
  แต่จริงๆ แล้ว..
  คุณ..ต้องเปลี่ยนทุกสิ่ง..ด้วยตนเอง

www.kiatnakin.co.th
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'โนเกีย'เล็งปลดพนักงานนับหมื่น เดินหน้าพัฒนา'ลูเมีย' เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 07:47:00 am

เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนว่า โนเกีย ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ของโลก มีแผนปลดพนักงานกว่า 10,000 คน ภายในสิ้นปี 2013 เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท หลังยอดจำหน่ายโทรศัพท์ลดลง ผลประกอบการตกต่ำ

โดยทางบริษัท โนเกีย ได้เปิดเผยว่า ภายในสิ้นปี 2013 นี้ จะปิดโรงงานผลิตในประเทศฟินแลนด์ เยอรมนี และแคนาดา และจะปลดพนักงานกว่า 10,000 คนทั่วโลก ไม่เพียงเท่านั้น โนเกียยังจะขายธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่สุดหรู "เวอร์ทู" (Vertu) ให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่งอีกด้วย จากนั้น ทางโนเกียก็จะมาทุ่มเทให้กับการผลิตและพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ "ลูเมีย" อย่างจริงจัง เพื่อผลักให้ลูเมียเป็นที่นิยมในตลาดโลกและขยายฐานผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น

จากแถลงการณ์ของบริษัท ระบุว่า โนเกียเริ่มปรับโครงสร้างครั้งใหญ่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมาตรการการปลดพนักงานจะช่วยลดค่าใช้จ่ายรายปีลงได้ราว ๆ 2.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าจะลดรายจ่ายลงได้อีก 6.4 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นปีหน้า

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โนเกียได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างมาก หลังจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือคู่แข่งรายใหญ่ของโลกอย่าง แอปเปิล ซัมซุง และเอชทีซี ได้เร่งสปีดพัฒนามือถือแอนดรอยด์ออกมาสู่ตลาด และเมื่อต้นปีนี้ โนเกียก็เพิ่งถูกซัมซุงเบียดร่วงจากตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก หลังจากครองตำแหน่งยาวนานติดต่อกันมากว่า 14 ปี

11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Art in Paradise พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ ( อยู่ที่พัทยา นะครับ ) เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 07:43:08 am
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  คุณ เดี๋ยวก็รู้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ไป เที่ยวพัทยากันเถอะ! ฟังดูคุ้นเค๊ย คุ้นเคย แต่ไม่เชยนะจ๊ะ เพราะวันนี้ที่พัทยาเขามีทีเด็ดมาให้แวะเที่ยวกันอีกแล้ว หลายคนคงเคยเห็นภาพวาด 3 มิติ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงสุด ๆ จากต่างประเทศกันมาบ้าง ทั้งจากฟอร์เวิร์ดเมล รูปถ่าย หรือคลิปวิดีโอ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นของจริงสักที ว่าภาพ 3 มิติเหล่านั้นจะเหมือนจริงขนาดไหน -_-'

          โชคดีเป็นของคุณ! เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหาดูไกลถึงต่างประเทศแล้วจ้า เชิญตรงดิ่งไปพัทยาแล้วแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ Art in Paradise ให้เพลินตาเพลินใจกันได้เลย เพราะที่นี่เขารวบรวมศิลปะภาพวาด 3 มิติ แบบเหมือนจริงสุด ๆ มาไว้ให้ได้เข้าชมกันเป็นร้อยรูปเลยล่ะ แถมวันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ได้นำเอารีวิวภาพของ  คุณ เดี๋ยวก็รู้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม  มาให้ชมเป็นการเรียกน้ำจิ้มด้วย ส่วนจะเด็ดแค่ไหนต้องตามไปดูกันเลย...












































ขอบคุณภาพเนื้อหา จาก http://board.postjung.com
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไม เวลาพูดถึงการปฏิบัติธรรม แล้วต้องนั่งหลับตา ทำสมาธิครับ เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2012, 09:25:14 am
ทำไม เวลาพูดถึงการปฏิบัติธรรม แล้วต้องนั่งหลับตา ทำสมาธิครับ

  คือสงสัยว่าทำไมการปฏิบัติธรรม ภาวนา ทำในเวลาการทำงานกลมกลืนกับชีวิตประจำวันไม่ได้หรือครับ ทำไมต้องไปนั่งหลับตา ทำสมาธิ ให้ปวดเมื่อย ปวดขา ปวดหลัง แท้ที่จริงการภาวนาในหลักธรรม นั้นน่าจะสอดคล้องกลมกลื่นกับชีิวิตประจำวันใช่ หรือไม่ครับ

 เรียนถามผู้รู้ทุกท่าน ด้วยความสงสัยครับ
  :c017: :smiley_confused1:
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มีที่ไหน! ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาทก็อยู่ได้ ขายมา 20 ปีแล้ว จากหมูโลละ70 ถึง 130 บ เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2012, 10:55:42 am

ผู้สื่อข่าวจ.สตูลรายงานว่า ร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูแดงของนางเพ็ญ วงศ์เทเวศร์ ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล ยืนหยัดขายก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาท ในท่ามกลางสภาวะราคาสินค้าแพงขึ้นแทบทุกชนิดไม่ว่าพืชผัก เนื้อหมู นางเพ็ญต้องการเอาใจลูกค้าและเป็นทางเลือกของผู้มีรายได้น้อยมีชอบกินก๋วยเตี๋ยว แม้จะขายในราคาถูกเหมือนเดิมกำไรน้อยลงก็ตาม แต่มีลูกค้าเดินทางมารับประทานกันมากขึ้นกว่าเดิม
 
นางเพ็ญ วงศ์เทเวศร์ อายุ 44 ปี  เล่าว่า เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวหมูแดงสืบต่อจากมารดามาประมาณ 20 ปีแล้วและขายอยู่ในราคา 10 บาทมาตลอด ตั้งแต่หมูเนื้อแดงมีราคากิโลกรัมละ 70 บาท ปัจจุบันแพงขึ้นเป็นก.ก.ละ 130 บาทแล้ว พืชผักก็มีราคาแพงขึ้น ทุกวันนี้จะขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วจะได้กำไรวันละประมาณ 700-800 บาท ที่ร้านใช้ไม้ฟืนหุงต้มปรุงอาหารและทำก๋วยเตี๋ยวแทนการใช้ก๊าชหุงต้มที่มีราคาแพงเพื่อลดต้นทุนจึงทำให้ยืนหยัดขายก๋วยเตี๋ยวหมูแดงในราคา 10 บาทเหมือนเดิม



14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทโธเป็นอย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 08:45:55 am

ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammada.net


พุทโธเป็นอย่างไร

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพเมื่อ 31 มีนาคม 2521

ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า
พุทโธเป็นอย่างไร หลวงปู่เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออก
ความรู้อะไรทั้งหลายทั่งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำราหรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาให้มันรู้

รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบจะรู้เอง
ต้องภาวนาให้มากๆ เข้า
เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความอะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนี่แหละเป็นความรู้ลึกซึ้ง ที่สุด
ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี
คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว

อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ที่จิต
แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธอยู่นั่แหละ

แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่าพุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง
...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย

: หลวงปู่ฝากไว้
: พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้แพ้-ผู้ชนะ เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 08:43:44 am


ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com

ผู้แพ้-ผู้ชนะ
ในความเป็นจริงไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ หากเลือกได้ทุกคนอยากเป็นผู้ชนะ แต่ในความเป็นจริง คนๆเดียวเป็นได้ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ซึ่งจะถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบความคิดและพฤติกรรม การจำลองพฤติกรรม
ออกมา 2 ลักษณะในรูปแบบ ผู้แพ้ และผู้ชนะ น่าจะเป็นกระจกได้สะท้อนให้เห็น พฤติกรรมบางส่วนของตนเอง เพื่อการปรับเปลี่ยนตนเอง
ไปสู่จุดสมดุลย์ได้
       
      ผู้ชนะ     ก้าวไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ
      ผู้แพ้       มีสองระดับความเร็วคือ
                    อารมณ์รุนแรง และความหม่นหมอง

      ผู้ชนะ      ทำในสิ่งจำเป็นที่ต้องทำด้วยความฉลาด
                    และสงวนกำลังไว้ใช้ในสถานการณ์ที่มีทางเลือก
       ผู้แพ้       ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ด้วยความไม่พอใจ
                     จึงไม่เหลือพลังไว้ใช้ในสถานการณ์ที่มีทางเลือก

       ผู้ชนะ      ทำงานหนัก ได้ทั้งงานและมีเวลาเหลือ
       ผู้แพ้        ยุ่งอยู่ตลอดเวลากับสิ่งที่เรียกว่าจำเป็น
                      แต่ไม่ได้การได้งานอะไร

        ผู้ชนะ      ไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่น
                       และทำบ้างก็อย่างมีเป้าหมายสูงกว่า
        ผู้แพ้        ไม่ต้องการทำร้ายใครเลย
                       แต่ทำร้ายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว

        ผู้ชนะ       ประทับใจ สุขใจ ในความสามารถของตนเอง
                       และยอมรับข้อจำกัดของตนเองอย่างโปร่งใจ
        ผู้แพ้        สับสน ไม่รู้ว่าอะไรคือความสามารถ
                       และอะไรคือข้อจำกัด

         ผู้ชนะ      นำปัญหาใหญ่มาแยกย่อยให้เป็นส่วนๆ
                       แก้ทีละส่วนจากง่ายไปสู่ยาก
         ผู้แพ้       นำปัญหาย่อยๆ มาปะปนกัน
                       จนเป็นปัญหาใหญ่ ไม่รู้จะเริ่มแก้ที่จุดใด

  ข้อความบางส่วนจากหนังสือ The Winner and The Loser
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป "Let it go and get it out" เมื่อ: มีนาคม 31, 2012, 09:23:08 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://variety.teenee.com

คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป "Let it go and get it out"
ก่อนมันจะเกิด ต้อง "Let it go." ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารับความเอาความไม่สบายใจไว้

ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้ พอมีสติรู้สึกตัวว่า ความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในต้อง Get it out!
ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจ มันจะเคยตัว
ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอ ออดแอด ทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bloggang.com

เพราะความไม่สบายใจนี้แหละ เป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบ
ประสาทสมองไม่ปกติ เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายไปด้วย
ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสเป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี
เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส

ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไรหรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว
ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่น รื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์ เป็นสุขสบายอู่เสมอ
เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ "Enjoy living" มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน
สมองจึงจะเบิกบานจะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจง่าย
เหมือนดอกไม้ที่แย้มบานต้องรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น


fwd mail
17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เรียนกรรมฐาน ให้ได้ผลดี ควรเรียนเรื่องอะไรครับ และ เชื่อเรื่องใดดีครับ เมื่อ: มีนาคม 10, 2012, 11:45:10 am
คือ ผมยังมีความสับสนอยู่ในเรื่องกรรมฐาน ถึงแม้จะมีผลการภาวนาทีได้แล้วเป็นบางส่วน แต่ก็มีความสงสัยอยู่ว่าถ้าเราต้องการภาวนาให้ได้ผลโดยไวที่สุด ควรภาวนาแบบใดดี ต้องวางจิตอย่างไรถึงจะให้ผลได้ดีที่สุดครับ

 :25:
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งสมาธิ แล้ว มีความรู้สึกว่า ร้อนมาก ขนาดพัดลมก็เอาไม่อยู่ เมื่อ: มีนาคม 04, 2012, 08:12:31 am
คือ วันก่อนเกิดอาการ นั่งสมาธิ แล้วรู้สึกว่า ร่างกายร้อนมาก ขนาดเหงื่อออกเลยครับ ไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน ก็เลยเปิดพัดลมช่วยด้วย แต่ความร้อนก็ยังไม่ลดครับ รู้สึกร้อนมาก ๆ ครับ ก็เลยหยุดนั่งสมาธิ กว่าจะหายก็ 2 คืนเข้าไปครับ อยากทราบเป็นเพราะอะไรครับ และ จะแก้ไขด้วยวิธีใด ๆ ครับ

ปฏิบัติตาม กรรมฐาน มัชฌิมา ครับ ( แต่ยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน ครับ )

  :25:
19  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watbanpho.org/ วัดบ้านโพธิ์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2012, 09:52:11 am


http://www.watbanpho.org/
วัดบ้านโพธิ์




ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี
งานประจำปี ประเพณีบุญสงกรานต์
สืบสานบุญผะเหวด เทศน์มหาชาติ ปีที่ ๒๑
 ณ วัดบ้านโพธิ์ ตำบลหนองบัว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
วันที่ ๑๕-๑๕ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕
20  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.wathualampong.com วัดหัวลำโพง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2012, 09:47:34 am


http://www.wathualampong.com

วัดหัวลำโพง


วัดหัวลำโพง ตั้งอยู่เลขที่๗๒๘ ถนนพระราม๔ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อวัดวัวลำพอง เป็นวัดราษฎร์ ใครเป็นคนสร้างและสร้างเมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่คาดว่าคงสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ ทั้งนี้โดยอาศัยการสันนิษฐานจากรูปทรงของอุโบสถหลังเก่าและเจดีย์ด้านหลัง ซึ่งสร้างคู่กันมา

ความเป็นมาของวัดนี้ มีผู้รู้ประมวลไว้ โดยอาศัยจากการเล่าต่อๆ กันมาว่า ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าทำลายเผาผลาญบ้านเมือง ตลอดวัดวาอารามจนในที่สุดได้เสียกรุงแก่ข้าศึก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๓๑๐ ซึ่งเป็นการเสียกรุงครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ การสงครามครั้งนี้ประชาชนเสียขวัญและได้รับความเดือดร้อน บางพวกไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ถิ่นเดิมต่อไปได้ จึงพากันอพยพครอบครัว ลงมาทางใต้ตั้งถิ่นฐานที่บริเวณวัดหัวลำโพงในปัจจุบันนี้เห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะ ยังไม่มีเจ้าของถือกรรมสิทธิ์ มีลำคลองเชื่อมโยงสะดวกต่อการสัญจรไปมา จึงได้ตั้งหลักฐานและจับจองที่ดิน นานปีเข้าต่างก็มีหลักฐานมั่นคงเป็นปึกแผ่นทั่วกัน 

http://www.wathualampong.com/issue.php?id=70

21  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.phrabatnampu.org/ วัดพระบาทน้ำพุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2012, 09:41:34 am


http://www.phrabatnampu.org/ 
วัดพระบาทน้ำพุ

22  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไมการทำสมาธิ จึงมีผลบุญมากกว่า การบวช ครับ เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 02:30:25 pm
อานิสงส์ การ บวชพระ บวชชีพราหมณ์
(บวช ชั่วคราวเพื่อ สร้างบุญ, อุทิศ ให้พ่อแม่ เจ้ากรรมนายเวร)
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวร จะ อโหสิกรรม หนี้กรรม ในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่ พระนิพพาน ในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็น สัจธรรม แห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่ เมตตามหานิยม ของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่า เทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงิน ไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัย ของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและ รักษาหาย
10. ตอบแทน พระคุณ ของ พ่อแม่ ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่ บวช ไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่าง ๆ ก็สามารถได้รับ อานิสงส์ เหล่านี้ ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้ บวช สนับสนุนส่งเสริม อาสาการให้คนได้บวช

ที่มาของอานิสงค์การบวช http://board.palungjit.com/f130/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-74143.html


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้คือ....


๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัชฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีบุญวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์ และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานแก่ผู้มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓. ให้ทานแก่ผู้มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้ที่มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพระพุทธศาสนาแม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ"ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้


๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากกว่า ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อให้ได้ความเท่านั้น)

๗. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทาน ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะได้ถวายสังฆทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า การถวายวิหารทาน แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม วิหารทานได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทาง อันเป็นสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อนึ่งการสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

๑๔. การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆ ขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรคผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์ การแจกหนังสือธรรมะ

๑๕. การธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทาน ก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่านทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ "โทสกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานสูงกว่าการให้ทานทั้งปวง


ที่มาเนื้อหาส่วนสรุปผลบุญ http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3-19673.html




ที่ผมแปลกใจ คือ การบวช มีศีล นั้น กับ มีบุญน้อยกว่า การให้ธรรมทาน เสียอีก เป็นเพราะอะไรครับส่วนนี้





23  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / พุทธประวัติ ฉบับบ ฺBBC เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 10:21:58 am
The Life of Buddha: (BBC): 1/5
!

The Life of Buddha: (BBC): 2/5


The Life of Buddha: (BBC): 3/5


The Life of Buddha: (BBC): 4/5


The Life of Buddha: (BBC): 5/5 



นำมาฝากครับ ลองดู และ ตรวจสอบดูครับ ว่ามีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากฉบับไทยหรือไม่ครับ

 :49:
24  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watphokk.com/ วัดโพธิ์ บ้านโนนทัน เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2011, 12:15:29 pm


http://www.watphokk.com/
วัดโพธิ์ บ้านโนนทัน
25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่ เมื่อ: ตุลาคม 24, 2011, 12:41:21 pm
๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่

[๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.

ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิด ทิฏฐิอันชั่วช้าเป็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.

ครั้ง นั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงพากัน เข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่า

ดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก จริงหรือ?

ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส. ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะ การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อ ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่าง หนักแน่นอย่างนั้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อ ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจาก อาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอ โอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับ นิมนต์โดยดุษณีภาพ.

[๑๙๙] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้วเข้าไปหาท่านยมกะ ถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่านยมกะว่า ดูกรอาวุโสยมกะ ทราบว่า ท่านเกิด ทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ดังนี้ จริงหรือ? ท่านยมกะตอบว่า อย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร.

สา.(ท่านสารีบุตร) ย.(ท่านยมกะ)
สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ
สา. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ
สา. เพราะเหตุนี้นั้นแล ยมกะ พระอริยสาวกผู้ใดสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก.

[๒๐๐] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน??
ท่านเห็นรูปว่าเป็น สัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นเวทนาว่าสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นสัญญาว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นสังขารว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นวิญญาณว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.


[๒๐๑] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคล มีในรูปหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในเวทนาหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสัญญาหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสังขารหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในวิญญาณหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

[๒๐๒] สา. ดูกรยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

(พิจารณาธรรมบทนี้ให้ดีครับ)
[๒๐๓] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่า สัตว์ บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

สา. ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควร แลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น แต่ เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของ ท่านพระสารีบุตร.

[๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้า ชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร?

ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่ารูปแลไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไป แล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้.
......................

[๒๐๖] สา. ดูกรท่านยมกะ ข้ออุปมานี้ฉันใด ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ทั้งหลาย ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นรูป โดย ความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ. เขาย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตา ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่งว่า อันปัจจัยแต่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า. เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา. อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึด มั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.

[๒๐๗] ดูกรท่านยมกะ ส่วนพระอริยสาวกผู้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาด ในอริยธรรม ได้รับแนะนำในอริยธรรมดีแล้ว ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ฉลาดในสัปปุริสธรรม ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรมดีแล้ว ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อม ไม่เห็นรูปในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในรูป ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ เห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีวิญญาณ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่เห็นตนใน วิญญาณ. เขาย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตา ว่า เป็นอนัตตา. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัย ปรุงแต่ง ว่าปัจจัยปรุงแต่ง. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า. เขาย่อมไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา. อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึด มั่นแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน.

ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ข้อที่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้เช่น นั้น เป็นผู้อนุเคราะห์ ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ว่ากล่าวพร่ำสอน ย่อมเป็นอย่างนั้นแท้ ก็แล จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านสารีบุตร.


ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.ph...7&A=2447&Z=2585
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เป็นพระ ต้องอยู่วัด เสมอไปหรือไม่ครับ เมื่อ: กันยายน 23, 2011, 11:44:34 am
คือ หาพระที่วัด ภาวนาก็ไม่ค่อยเจอ อยากทราบว่า การที่พระอยู่ตามถ้ำ หรือ ที่พัก ที่ไม่ใช่วัด นี้ ถูก หรือ ผิด ครับและ นอกวัดจะหาพระดี ยังมีอยู่หรือไม่ครับ

  :41: :smiley_confused1:
27  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / กรรมฐานกับการงาน หลวงพ่อสุรศักดิ์ เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 12:49:04 pm
กรรมฐานกับการงาน หลวงพ่อสุรศักดิ์



นำมาฝากครับ สำหรับผุ้ที่ยังไม่เข้าใจการภาวนากับการงาน ครับ

 :s_hi:
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อึ้ง! สาวตั้งครรภ์ 3 ปี ท้องไม่ยุบ เชื่อกรรมตามทัน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:51:17 pm
อึ้ง! สาวตั้งครรภ์ 3 ปี ท้องไม่ยุบ เชื่อกรรมตามทัน
นางกัญญารัตน์ ตาเสือ หรือ "พยอม" อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 4 ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดเผยทั้งน้ำตา ด้วยความเจ็บปวดสุดทรมานว่า เมื่อ 20 ปีก่อน แต่งงานกับสามีเป็นชาวสระบุรี มีบุตรเป็นหญิงด้วยกัน 3 คน และสามีมีอาชีพเป็นคนฆ่าหมูในโรงฆ่าสัตว์ส่วนตนเองทำหน้าที่ผ่าท้องชำแหละ สุกรที่สามีฆ่า เหมือนเวรกรรมมีจริงเร็วทันตาเห็น ต่อมาเมื่อปี 2544 นางพยอม ตั้งท้องลูกสาวคนที่ 3 แทนที่จะเหมือนกับคนปกติ แต่กลับกลายเป็นว่า ตั้งท้องนานถึง 3 ปี ไปหาหมอก็บอกว่าตั้งท้องมีบุตรแต่ในท้องมีแต่รก ตัวเด็กอวัยวะของร่างกายยังมีไม่ครบ จนกระทั่งครบ 3 ปี 8 เดือน จึงได้ผ่าท้องคลอดลูกออกมา ซึ่งลูกก็แข็งแรงเป็นปกติ แต่ท้องของตนเองกลับไม่ยุบ และนับวันจะโตขึ้นๆ ใหญ่กว่าคนตั้งท้องปกติ ถึง 3 เท่า ขณะนี้วัดรอบท้องได้ถึง 56 นิ้ว และมีน้ำหนักตัวเกือบ 100 กิโลกรัม และเจ็บปวดมากนอนหงายก็ไม่ได้ เพราะหายใจไม่ออก
ปัจจุบัน ลุกเดินก็ไม่ไหว อีกทั้งมีโรคแทรกซ้อนถึง 5 โรค ตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึงทุกวันนี้ ตนต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งลูกทั้งผัวต่างไม่แยแสกับอาการป่วย จึงต้องทุรนทุรายหอบสังขารมาขออาศัยพี่สาว อยู่ที่บ้านเกิด ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร แต่พี่สาวก็มีฐานะยากจน จึงไม่มีเงินพาไปหาหมอที่ท้องป่องใหญ่ขึ้น ปริแทบจะแตก จึงทรมานมาก แต่ที่ทนทรมานอยู่ทุกวันนี้ ก็ตัดใจคิดว่าคงเป็นเพราะ "กรรมลิขิต" ที่เมื่อตอนอยู่กับสามีทำอาชีพฆ่าหมู และผ่าท้องชำแหละหมู จึงอยากวอนสังคมเมตตา และช่วยเหลือพร้อมทั้งขออภัยกับ "อดีตบาป" และกรรมที่ตนสร้างไว้ด้วย
สำหรับท่านที่มีจิตเมตตาและอยากช่วยเหลือนาง กัญญารัตน์ ตาเสือ หรือ " พยอม " ให้พ้นทุกข์ทรมาน สามารถติดต่อได้ที่ นางทองคำ นิลพัฒน์ ผู้เป็นพี่สาว โทร 089-7102284 หรือจะเมตตาโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาทับคล้อ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 237-223-235-0 หรือจะไปเยี่ยมดูอาการก็ได้ ซึ่งบ้านของเธออยู่ข้าง ร.ร.วังหลุม ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

ชมภาพที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ที่นี่ครับ

http://www.fwdder.com/out.php?d=http%3A%2F%2Fnews.sanook.com%2Fgallery%2Fgallery%2F967047%2F181884%2F
29  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / โอวาท หลวงพ่อเงิน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:32:23 pm
หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) จ.พิจิตร

"การศึกษากรรมฐานควรทำให้แจ้งและถูกต้องตามหลักธรรมวินัย
เพราะเมื่อคิดผิดสอนผิด  พิจารณาด้วยสัญญาผิดๆก็จะทำให้เสียเวลา
ทั้งยังเป็นผู้ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย"

"กรรมเก่าของเราเคยทำไว้อย่างไร ก็ตายด้วยโรคเก่านั้น"
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตั้งข้อหาหญิงในคลิปฉาว'จับลูกแมวโยนลงถังขยะ'โทษถึงจำคุก!! เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:24:31 pm
ตั้งข้อหาหญิงในคลิปฉาว'จับลูกแมวโยนลงถังขยะ'โทษถึงจำคุก!!
  เอเอฟพี - สตรีชาวอังกฤษ ผู้เป็นต้นตอของเสียงโกรธเกรี้ยวบนโลกอินเตอร์เนท หลังถูกกล้องวงจรปิดจับภาพขณะที่เธอจับลูกแมววัยไม่ถึง 1 ปี โยนลงถังขยะอย่างเลือดเย็น ถูกตั้งข้อหาก่อความทุกข์ทรมานแก่สัตว์โดยไม่จำเป็นเมื่อวันจันทร์(20) ขณะที่โทษสูงสุดถึงขั้นติดคุก
       
       นอกจากนี้ แมรี เบล พนักงานธนาคารวัย 45 ปี ยังถูกตั้งข้อหาไม่จัดหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่แมวอีกกระทงด้วย โฆษกของราชสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศอังกฤษระบุ
       
       เบล จะไปปรากฎตัวต่อศาลในเมืองโคเวนทรี ตอนกลางของอังกฤษ ในวันที่ 19 ตุลาคม เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ทั้งนี้หากพบว่ามีความผิดจริงเธอมีสิทธิ์ถูกลงโทษห้ามเลี้ยงสัตว์และอาจถึง ขั้นถูกจำคุกเลยก็เป็นได้
       
       ภาพอันน่าสะเทือนใจดังกล่าวถูกจับได้โดยกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ ในบริเวณบ้านของแดรัลล์และสเตฟานี แมนน์ เจ้าของลูกแมวน้อยตัวนี้'โลลา' โดยในคลิปปรากฎภาพหญิงวัยกลางคนทำทีเป็นลูบหัวเจ้าโลลาขณะกำลังเดินเล่นอยู่ บริเวณริมรั้ว ก่อนโยนมันลงถังขยะจนติดอยู่ในนั้นราว 16 ชั่วโมง
       
       โชคดีที่เจ้าของแมวได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเจ้า “โลลา” ขณะกำลังจะออกไปทานข้าวนอกบ้าน จึงสามารถนำตัวมันออกมาได้ทันเวลา ด้วยความที่สงสัยว่ามันเข้าไปอยู่ในถังขยะได้อย่างไร ทั้งคู่จึงนำเทปจากกล้องวงจรปิดมาลองตรวจสอบดู
       
       วิดีโอดังกล่าวถูกนำไปโพสต์บนยูทิวบ์และเฟซบุ๊ค ขณะที่ผู้แสดงความคิดเห็นบางคนแสดงความโกรธกริ้วถึงกับขู่เอาชีวิตของเบลเลย ทีเดียว
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง) เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:22:49 pm
10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง)
ที่มา  mythland

อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง
     
       - ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่
     
       ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์ กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น
     
       - 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก
     
       ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844
     
       เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆ กับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง
     
       - ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน
     
       โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย”
     
       - ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก
     
       ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คน หนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆ คนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆ บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว”
     
       - ปี 1982 วันพิพากษา
     
       ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตร คริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึง วันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์
     
       - ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด
     
       เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่าง ดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้
     
       แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้อง โทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997
     
       - เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส
     
       ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้น สุดของโลก
     
       - “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่
     
       ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000
     
       ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
     
       - 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก
     
       แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000
     
       - ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง
     
       จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์
     
       “ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า
     
       คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก”
     
       ทว่า วัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่า ที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่าง แม่นยำ
32  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญสัมมนา ฟรี! ฮวงจุ้ยรับโชคประจำปี 2554 ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 04:43:50 pm
เชิญสัมมนา ฟรี! ฮวงจุ้ยรับโชคประจำปี 2554

ในปีขาล 2553 ที่ผ่านมา อ.มาศ เคหาสน์ธรรม ได้ใช้หลักวิชาฮวงจุ้ยทำนายไว้อย่างแม่นยำ
ทั้งเรื่อง ประเทศไทยจะเกิดไฟไหม้เป็นข่าวใหญ่ระดับโลก ในเดือน พ.ค.53
ทั้งเปิดศึกช่วงชิงอำนาจ ชาวไทยเทาะเลาะวิวาท ใช้มีดปืนห้ำหั่นต้องเสียเลือดเนื้อ คนดังปีเถาะเสียชีวิต
(ซึ่งเสธ.แดงเกิดปีเถาะ เสียชีวิตท่ามกลางสื่อมวลชน) หรือ เหตุการณ์ระดับโลก ในรอบ 40-50 ปีได้ทำนายว่า
เดือน เม.ย.53 ฟ้าถล่มแผ่นดินทะลายในยุโรปที่ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งในไอแลนด์เกิดปะทุจนต้องปิดน่านฟ้าเป็นเวลานาน
รวมถึงการพยากรณ์หุ้นและทอง ไว้ได้อย่างถูกต้องทุกเดือน

สำหรับปี 2554 นี้ อ.มาศ ตั้งชื่อว่าเป็นปี กระต่ายโศก-สันต์ จังหวะทิศทางของโลกและของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ท่านที่รู้ก่อนก็จะคว้าโอกาสให้ได้ก่อนและต้องป้องกันเรื่องร้ายในปี 2554 อย่างไร
และพลาดไม่ได้สำหรับการจัดฮวงจุ้ยบ้านและออฟฟิศแบบไหนทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
งานนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้านะครับ

ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
วันที่ 30 มกราคม 2554 เวลา 13.00 น. ถึง 17.00 น.


ผู้ที่สนใจขอให้ท่านโทรศัพท์สำรองที่นั่งได้ที่ 089-0146888 หรือ 086-098-4475
http://www.fengshui100.com/

33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขุนเขา พรรณพฤกษา... ดอยหลวงเชียงดาว เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:47:14 pm
ขุนเขา พรรณพฤกษา... ดอยหลวงเชียงดาว

เรื่อง/ภาพ อำนวยพร ( tava  )


































            ในบรรดายอดเขาสูงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย  “ ดอยหลวงเชียงดาว ” นับว่ามีรูปร่าง ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เขาหินปูนหยึกหยักตระหง่านเงื้อม เมื่อมองจากบริเวณใดใกล้ไกล ยอดดอยแห่งนี้ก็คงความแปลกตาชวนมองยิ่งนัก เชียงดาวเผยโฉมให้เห็นได้ในหลายสถานที่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบนทางหลวงหมายเลข 107 ซึ่งผมเคยนั่งรถผ่าน ห้วยน้ำดังสถานที่ชื่อดังแห่งการชมทะเลหมอก ที่นี่ในยามเช้าเราจะพบสายหมอกล่องลอยอยู่กลางหุบเขาโดยมียอดเชียงดาวสูง ตระหง่านเด่นเคียงคู่กัน กลายเป็นภาพคุ้นเคยและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของสถานที่นี้ ตลอดจนการมองเชียงดาวในที่ห่างไกลอย่างบนยอดดอยลังกาหลวง ซึ่งมีความสูงอันดับห้าของประเทศแห่งอุทยานแห่งชาติขุนแจ ก็คงค้นพบว่ามัน ยังไม่ลดความยิ่งใหญ่ลงแม้แต่น้อย.... เชียงดาวที่มองจากภายนอกจึงโดดเด่นกว่ายอดเขาใดๆ
 

  เชียงดาว...ในความรู้สึก ความประทับใจที่สัมผัสนั้น ส่วนตัวผมจึงมีทั้งการมองเห็นจากภายนอกและสัมผัส เห็นจากภายใน โดยส่วนของภายในนั้นผมกำลังหมายถึง การก้าวเท้าสู่ยอดดอยแห่งนี้ ดินแดนที่มากกว่าความหมายแห่งผู้พิชิต


1 ...

       การเดินทางขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวปัจุบันเปิดให้ขึ้น-ลงสองเส้นทาง ด้วยกันคือ เส้นทาง “ปางวัว” และ “เด่นหญ้าขัด” ( หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก ) ทั้งสองเส้นระยะทางแตกต่างกัน กล่าวคือ ปางวัวจากจุดเดินเท้าระยะทางประมาณ ๖ กิโลเมตร ส่วนเด่นหญ้าขัด ระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร เส้นทางนี้จะไกลกว่า และยังต้องนำรถไปส่งจุดเดินเท้าซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าดอยหลวงเชียงดาวหลายสิบกิโลฯด้วยกันหรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และในฤดูฝนรถที่เข้าไปส่งจะต้องเป็นรถประเภทขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ส่วนเส้นทางปางวัวอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการเขตฯ ใช้เวลาเพียง 20 นาที เป็นถนนราดยางสะดวกสบายจนถึงจุดเดินเท้า เส้นทางปางวัว จึงได้รับความนิยมกว่าเด่นหญ้าขัด แต่ถ้าไม่รวมระยะทางรถยนต์ ทั้งสองเส้นทางใช้เวลาเดินเท้าพอๆ กัน
 

           ขณะที่ทางเด่นหญ้าขัดก็มีความโดดเด่นทางภูมิประเทศที่ไม่เหมือนทางปางวัว กลายเป็นจุดดึงดูดใจไม่น้อยทีเดียวกล่าวคือ จากจุดเริ่มต้นหน่วยฯ เด่นหญ้าขัด หรือ ขุนห้วยแม่กอก ลัดเลาะผ่านเส้นทางที่ต้องเดินบนสันเขามองเห็นทิวทัศน์ในมุมกว้าง และเดินอยู่ท่ามกลางดงสนสามใบ เพลิดเพลินกับการชมทิวสน ฟังเสียงทิวสนปะทะลมจนเกิดเป็นท่วงทำนองเสียงธรรมชาติไพเราะเสนาะหู บางช่วงต้องลุยป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัว ซึ่งบริเวณเหล่านี้หรือหลายๆ ที่ในอดีตเคยเป็นไร่ฝิ่นของชาวม้งมาก่อน คนที่เคยมาเยือนเชียงดาวเมื่อ สิบกว่าปีก่อน จะได้พบเห็นไร่ฝิ่นที่ออกดอกสะพรั่งทั่วหุบดอย ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ซึ่งมี การปลูกฝิ่นมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย แต่ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือร่องรอยให้เห็น ตลอดเส้นทางไม่ชันมากนัก ทำให้ความต่างของระยะทางเทียบกับปางวัวแล้วใช้เวลาเดินพอๆ กัน
 

 ทางด้าน ปางวัว จะชันกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกในการนำรถมาส่งที่จุดเริ่มต้น จากนั้นเดินไต่ขึ้นเขาจนถึงดงไผ่หกและเดินทางราบในหุบเขาจนถึงดงกล้วย ซึ่งบริเวณดงไผ่หก จะเป็นจุดที่ทางเขตฯ อนุญาตให้กางเต็นท์พักแรมค้างคืนได้สำหรับกรณีที่ต้องการแบ่งช่วงครึ่งทาง ของการเดิน แต่ถ้าเดินรวดเดียวถึงแค้มป์อ่างสลุงใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เช่นเดียวกับเส้นทางเด่นหญ้าขัด โดยทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบกันระหว่างครึ่งทาง หรือเลยแค้มป์ดงกล้วยมาเล็กน้อย...ไหนๆ มาถึงเชียงดาวทั้งที ต้องเดินให้ครบทั้งสองเส้นทาง ผมและชาวคณะมิตรสหายจึงวางแผนเดินขึ้นทางปางวัว เดินรวดเดียวให้ถึงแค้มป์อ่างสลุง ค้างบนนี้สักสองคืนแล้วขากลับเลือกลงทางเด่นหญ้าขัด






          ...ต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนเริ่มต้นที่ทางเขตรักษาพันธุ์ฯ เชียงดาว กำหนดเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเที่ยวชมศึกษาธรรมชาติบนดอยหลวงเชียง ดาว จนถึงเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี เพื่อให้ป่าได้พักฟื้นตลอดช่วงฤดูฝน และเหมือนว่าปีนี้ฟ้าฝนอากาศผิดแปลกไป ฝนยาวล่วงเลยมาถึงต้นเดือนพฤศจิกายน พอหมดฝนอากาศหนาวขึ้นมาทันที เข้าหนาวได้สองสามวันอุณหภูมิลดฮวบๆ จนทำให้บนยอดดอยสูงๆ อากาศหนาวเย็นสุดขั้ว ยอดดอยสูงสุดของประเทศอย่างอินทนนท์อุณหภูมิลดต่ำสุดถึง 0 องศา เกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้ง ขณะเดียวกันที่เชียงดาวก็ดูจะไม่ต่างสักเท่าไหร่ และก็เป็นช่วงเดียวกันที่พวกเราเดินทางมาตรงกับความหนาวนี้พอดี มันจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอนกับการเผชิญความหนาวบนยอดดอยแห่งนี้ ขนาดแค่ช่วงวันระหว่างที่เราเดินอยู่นั้น แสงแดดแผ่จ้าเท่าไหร่แต่มันก็ไม่รู้สึกถึงความร้อน มันเหมือนว่าพลังแสงแดดคงไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นนี้ไปได้ แต่กลับทำให้พวกเราเดินกันอย่างสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป แม้ว่าบางช่วงของเส้นทางชันที่เราต้องใช้เรี่ยวแรง เรียกเหงื่อขับความร้อนจากร่างกายปะทะความเย็นรายรอบตัว ไม่นานความร้อนความเหนื่อยนั้นก็หายไปในบัดดล จะหลงเหลือก็เพียงความเมื่อยเขม็งตึงของกล้ามเนื้อบริเวณขา พาให้หยุดพักหลายช่วงด้วยกัน  ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขในสภาพภูมิอากาศเช่นนี้ แต่ก็ไม่อยากนึกถึงเวลาค่ำคืน ซึ่งมันจะหนาวเหน็บเพิ่มเป็นทวีคูณแค่ไหน
 

 ระหว่างพักหลายคนสนุกกับการพูดคุยหยอกล้อ และบางคนรวมถึงผมต่างง่วนอยู่กับการบันทึกภาพ ซึ่งมีให้หยุดคว้ากล้องออกจากกระเป๋าเป็นระยะ ทางเดินช่วงชั่วโมงแรกมองออกไปทิศตะวันตก เห็นหมู่บ้านตั้งโดดเด่นอยู่บนเนิน คือบ้านนาเลา ชุมชนชาวลีซอ กลุ่มชาวเขาที่ยังอาศัยอยู่รอบๆ ป่าเชียงดาว และชาวลีซอบางส่วนก็มารับจ้างแบกหามสัมภาระนักท่องเที่ยวขึ้นดอย เช่นเดียวกับชาวบ้านจากบ้านถ้ำที่เป็นลูกหาบสมัยแรกๆของการท่องเที่ยว ธรรมชาติบนเชียงดาว คนที่นี่หรือชาวบ้านรอบๆป่าเชียงดาวนอกจากจะมีอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างทั่วไปแล้ว ช่วงฤดูท่องเที่ยวเชียงดาว เขาจะมีรายได้จากการเป็นลูกหาบ บางคนมีรายได้หลายหมื่นบาทตลอดห้าเดือน นับเป็นรายได้พอเลี้ยงตัวและไม่มี ต้นทุนอะไร นอกจากลงแรง อาศัยความขยันและอดทน
 

        นกชนิดแรกที่ทำให้เราได้หยุดดูคือ แซงแซวหัวขาว ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนยอดไม้หลายสิบตัวด้วยกัน คงได้ดูแต่ตาเพราะถ้าบันทึกภาพก็คงต้องใช้เลนส์ตัวโตๆ สัก 500 มม. นกชนิดต่อมาที่พบเห็นคือกลุ่มนกพญาไฟ เอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่มีสีสันแดงสด และนกชนิดที่ตามมาติดๆ เมื่อเลยดงไผ่หกเพื่อไปยังดงกล้วย เราได้บันทึกภาพกันเต็มๆ และดูจะยอมให้ถ่ายภาพใกล้ๆ ไม่บินหนีไปไหน เพราะนกชนิดนี้ไม่ใช่สัตว์ หากมันคือ “เทียนนกแก้ว” ( Impatiens psittacina Hook. f. ) พันธุ์ไม้ในวงศ์เทียนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายนกแก้วกำลังโผบิน จนเป็นที่มาของชื่อซึ่งใช้เรียกเทียนชนิดนี้ เทียนนกแก้วเป็นพืชหายากชนิดหนึ่ง พบเฉพาะที่เชียงดาวและจีนตอนใต้ ขึ้นอยู่ในป่าดิบเขาตั้งแต่ความสูง 1,400-1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความแปลกที่คล้ายนกแก้วนี้เองทำให้กลายเป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงของ ผู้คนที่เดินทางมาเยือนเชียงดาว หวังจะได้พบเห็นกับตาสักครั้ง ท่านใดอยากพบตัวเป็นๆ ก็ต้องมาช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม พบมากบริเวณช่วงระหว่างเส้นทางดงไผ่หกจนถึงดงน้อย







 

 ป่าเชียงดาวสามารถพบเห็นนกมากมายหลายชนิด เป็นที่นิยมของนักดูนกเส้นทางหนึ่งโดยเฉพาะเส้นทางเด่นหญ้าขัด จังหวะดีๆ ในเส้นทางนี้อาจได้เห็น ไก่ฟ้าหลังขาวกับไก่ฟ้าหางลายขวาง สัตว์ปีกซึ่งหาชมได้ยากในถิ่นอื่นแต่สามารถพบได้ที่นี่และไม่กี่แห่งใน ประเทศไทย ถัดจากดงกล้วยเดินทางราบชั่วครู่ก็ตัดขึ้นทางชันอีกเล็กน้อย บรรจบกับทางแยกระหว่างเด่นหญ้าขัดกับปางวัว ซึ่งมีป้ายบอกเส้นทางไว้ ขวาไปเด่นหญ้าขัด และซ้ายที่เราจะไปต่อคืออ่างสลุงหรือยอดดอย เดินเลาะไปตามไหล่เขาขึ้น-ลงเล็กน้อย และลงทางราบแอ่งหุบเขา มองเห็นยอดพีระมิดทางด้านซ้าย ยอดดอยสามพี่น้องทางด้านขวา และหันหลังกลับไปคือดอยหนอก ส่วนด้านหน้าคือกำแพงเขาหินปูนที่เราต้องข้ามผ่าน มองไปบนยอดกำแพงเขาหินปูนหรือแนวสันเขาเห็นต้นค้อดอย ( Trachycarpus oreophilus Gibbons& Spanner) ยืนต้นเป็นทิวแถวท้าทายสายลมแสงแดดอย่างน่าทึ่ง เวลาผ่านไปมากเท่าไหร่หรือ เดินผ่านดอยสามพี่น้องลึกเข้าไป เมื่อมองย้อนกลับมาการมองเห็นรูปร่างของดอยสามพี่น้องก็จะชัดเจนขึ้น คือเห็นเป็นยอดดอย 3 ยอดเรียงซ้อนทำมุมทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์ในช่วงบ่ายพอดี เกิดเป็นลำแสงส่องผ่านตามช่องระหว่างยอดทั้งสาม สร้างความรู้สึกถึงมิติลึกลับน่าเกรงขาม จนต้องหยุดมองและบันทึกภาพเป็นระยะ ทั้งสามยอดมีความสูงไล่เลี่ยกันโดยยอดที่สูงสุดคือ 2,150 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
 

 ช่วงสุดท้ายก่อนตัดข้ามเขาเพื่อมายังอ่างสลุงนั้น จะเป็นทางลาดชันที่ทำให้ต้องไต่เดินฉุดเรี่ยวแรงไม่น้อย มองไปรอบๆ สภาพป่าเป็นทุ่งหญ้าซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน ตามไหล่เขาลงมาโขดหินน้อยใหญ่สีดำเทาผุดขึ้นแทรกออกมาจากดงหญ้าเป็นหย่อมๆ เหมือนมีใครนำมาตั้งเอาไว้จนเกิดเป็นประติมากรรมแท่งหินหรือสวนหินธรรมชาติ ที่แปลกตาชวนมองและจินตนาการ หนทางชันที่พาข้ามกำแพงเข้ามายังบริเวณที่ราบซึ่งเรียกว่าดงเย็น ลักษณะเป็น หย่อมป่าดิบเขาที่เหลือรอดจากการบุกรุกทำไร่ฝิ่นสมัยก่อน บริเวณแถบนี้พบพันธุ์ไม้หลายชนิด ได้แก่ เอสเตอร์เชียงดาว กลีบดอกสีขาวเล็กๆ เรียงซ้อนกันมีเกสรสีเหลือง, บัวคำหรือบัวทอง ดอกสีเหลืองสด, เหยื่อจง ดอกมีสีขาวรูปร่างสั้นป้อม เมื่อก้าวออกป่าดิบเขาพื้นที่โล่งเตียนเดินไปตามทางตัดผ่านดงต้นสาบเสือ ที่โดนแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็งเมื่อคืนก่อน เกาะจนทำให้ตามใบปรากฏสีดำไหม้เป็นวงกว้าง เดินผ่านมาได้สักครู่เห็นชมพู พิมพ์ใจออกดอกช่อใหญ่สีชมพูสดสะดุดตาตัดกับสีครามของท้องฟ้า นับเป็นอีก หนึ่งพันธุ์ไม้เด่นบนเชียงดาวนี้








2 ...

          เรามาถึงอ่างสลุงเวลาบ่ายอ่อนๆ อ่างสลุง เป็นจุดแค้มป์ตีนดอยแห่งเดียวที่พักแรมได้ ซึ่งอยู่ใกล้กับยอดสูงสุดและยอดเขาสำคัญของดอยหลวงเชียงดาว คำว่าอ่างสลุง ภาษาถิ่นแปลว่าแอ่งรับน้ำ ในลักษณะทางธรณีวิทยา คือ หลุมยุบเกิดจากการที่น้ำฝนละลายหินปูนไหลซึมผ่านลงไปใต้ดิน กัดกร่อนนานวันเข้าจนเกิดเป็นช่องว่างใต้ดินไหลเป็นทางน้ำธรรมชาติ ต่อมาเมื่อผุกร่อนมากขึ้นก็ยุบตัวลงเป็นอ่างใหญ่ แม้จะเป็นอ่างใหญ่แต่ก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้ เพราะบริเวณนี้และทั่วไปเป็นพื้นดินซึ่งมีชั้นหินปูนที่ผุกร่อน ฝนที่ตกลงมาไม่นานก็ซึมหายลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีแหล่งน้ำใดๆ เลย คนที่ขึ้นมาบนนี้จึงต้องตระเตรียมน้ำกันเอง
 

 อ่างสลุง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,950 เมตร จากตรงนี้มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังดอยหลวงเชียงดาวซึ่งเป็นยอดสูงสุด และอีกทางหนึ่งไปยังดอยกิ่วลมใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที ส่วนการขึ้นยอดดอยหลวงใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที ผมมีเวลาอยู่บนนี้ 2 คืนในการวางแผนสำรวจถ่ายภาพ โดยช่วงอาทิตย์ตกซึ่งกำลังใกล้เข้ามานี้ จะขึ้นไปยังยอดดอยหลวงเชียงดาว เช้าวันรุ่งขึ้นไปชมอาทิตย์ขึ้นยังดอยกิ่วลม อยู่จนสายๆ เพื่อเก็บภาพพันธุ์ไม้ให้ทั่วถึงโดยกิ่วลมแบ่งออกเป็น กิ่วลมเหนือ และกิ่วลมใต้ ตกเย็นถ้าไม่ขี้เกียจก็อาจขึ้นยอดดอยหลวงอีกทีหรือไม่ก็กิ่วลมใต้เพราะมีจุด ให้ชมทิวทัศน์ด้านทิศตะวันตกได้เหมือนกัน พอถึงวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับเลือกเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวถ่ายภาพ อาทิตย์ขึ้นและบริเวณโดยรอบ เป็นโปรแกรมปิดท้ายการเยือนดอยหลวงเชียงดาวอย่างสมบูรณ์แบบ
 

       ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย ตามลักษณะภูมิประเทศของดอยหลวงเชียงดาวถ้ามองมุมสูงหรือมุมนกมองจะเห็นเป็น รูปเกือกม้าหันหน้าไปทิศตะวันออก ปลายเกือกม้าหันสู่ทิศตะวันตก ความกว้างอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ความยาวอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตกประมาณ 24 กิโลเมตร และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 350 -2,225 เมตร ด้านบนมียอดเขาแหลมที่มีความสูงใกล้เคียงกันวางตัวเรียงรายไปตามแนวเกือก ม้า คือ ดอยพีระมิด ซึ่งสูง 2,175 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยสามพี่น้อง สูง 2,150 เมตร 2,080 เมตรและ 2,060 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดดอยหนอก 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยกิ่วลม 2,140 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และยอดดอยหลวงเชียงดาว สูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยยอดดอยพีระมิด และดอยสามพี่น้อง ทางเขตรักษาพันธุ์ฯ ไม่อนุญาตให้เข้าไปท่องเที่ยวเพราะเป็นพื้นที่อาศัยของ สัตว์ป่า โดยเฉพาะ กวางผา สัตว์ป่าสงวนของไทย สัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่กระนั้นการได้ชมทิวทัศน์ความงาม เหนือหุบผาทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกของทั้งสองยอด ยากที่ใครจะปฏิเสธในการขึ้นมาสัมผัสด้วยตาตนเองสักครั้ง





 

  บนยอดดอยหลวงเชียงดาว หรือเรียกสั้นๆ ว่าดอยหลวง ซึ่งเป็นยอดสูงที่สุดและเป็นตัวเลขสถิติความสูงเป็นอันดับสามของประเทศไทย ถ้ามองในด้านความงามของทัศนียภาพข้างบนนี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทุกทิศทุกทางเลยทีเดียว ทิศตะวันออกเห็นที่ราบในเขตอำเภอเชียงดาวจรดแนวเทือกเขาฝั่งตะวันออก หากมองเยื้องไปทางใต้จะเห็นทิวเขายอดลังกาหลวง ซึ่งมีความสูง 2,031 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงเป็นอันดับห้าของประเทศ ส่วนทางด้านใต้เห็นยอดกิ่วลมและไกลออกไปลิบๆ คือดอยอินทนนท์ เจ้าแห่งความสูงที่สุดของเมืองไทย (2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ย้อนกลับไปทางทิศเหนือ มองเห็นแนวภูเขาสลับซับซ้อนจรดเขตอำเภอฝาง ปรากฏยอดดอยสูงอันดับสองของประเทศ คือดอยผ้าห่มปก (2,285 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) และในทิศตะวันตกซึ่งเป็นไฮไลท์ประจำดอย ประมาณว่ามุมทิวทัศน์ด้านนี้เสมือนสัญลักษณ์ของเชียงดาว ข้างหนึ่งคือภูเขารูปหยึกหยักของดอยสามพี่น้อง อีกด้านหนึ่งภูเขาที่งอกเด่นตะหง่านเงื้อมของดอยพีระมิด เป็นสองผู้ยิ่งใหญ่ที่เสมือนเผชิญหน้ากัน ขณะที่ตรงช่องระหว่างเขามองลอดผ่านไปพบคลื่นทะเลภูเขาทอดยาวสลับซับซ้อนเป็น อาณาบริเวณกว้าง เวลาพระอาทิตย์อัสดงแสงสีเหลืองแดงผสมผสานทาทาบไปทั่วผืนฟ้าและทิวเขา มันจะเป็นภาพที่สะกดตาและใจใครๆ ที่พบเห็นได้เสมอ และเช่นเดียวกันหากมุมนี้เวลาเช้ามืดของวันช่วงที่มีทะเลหมอก ปรากฏการณ์อัศจรรย์แห่งธรรมชาติ คนที่มองผ่านมาจากทางห้วยน้ำดัง จะเห็นทะเลหมอกคลอเคลียอยู่กับยอดดอยสามพี่น้อง ครั้งหนึ่งผมก็เคยมองมาจากที่นั่น หากวันนี้ผมยืนอยู่บนยอดดอยหลวง มองย้อนกลับไปยังห้วยน้ำดัง ความรู้สึกจึงเป็นความหมายพิเศษ เช่นเดียวกับการได้มองยอดเชียงดาวจากหลายๆ ที่ และกลับมามองจากยอดนี้ ... ผมกำลังคิดถึงห้วงเวลาการเดินทางบนดอยนั้นๆ “ดอยลังกาหลวง ดอยลังกาน้อย ดอยผ้าห่มปก และห้วยน้ำดัง”
 

       ฉากแสงสุดท้ายกำลังสิ้นลงไปเรื่อยๆ พวกเราจึงชวนกันกลับเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ที่ทยอยลงจากดอยเพื่อไปจุดแค้มป์พักแรมด้านล่าง ขณะที่อุณหภูมิลดต่ำลง สัญญาณแห่งความหนาวผสมผสานกับสายลมระลอกแล้วระลอกเล่าที่พัดพาเอาความเย็นยะ เยือกให้เพิ่มเป็นทวีจนผมไม่อาจทานทนความหนาวนี้ได้นาน เสื้อกันหนาวเป็นทางเดียวที่จะทำให้อบอุ่นขึ้น ความหนาวเย็นเป็นตัวเร่งให้เรารีบกลับลงยังแค้มป์ที่พัก พร้อมกับช่วยกันประกอบอาหารในมื้อค่ำ
 

      ค่ำคืนนี้เป็นเดือนสว่างพระจันทร์เต็มดวง แต่ก็มองเห็นหมู่ดาวเกลื่อนกระจายสุกสกาว จนเห็นดาวตกวาบแสงกลางฟ้า แม้จะอยู่ในหุบแอ่งแต่ความหนาวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย บนนี้มีกฎห้ามก่อกองไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดไม้ อีกอย่างหนึ่ง ควันไฟอาจส่งผลร้ายกับพันธุ์ไม้อันบอบบาง หลังอาหารมื้อค่ำเราจึงได้แต่นั่งจับกลุ่มสนทนากลางผืนฟ้า ไม่นานต่างคนก็ต้องกล่าวราตรีสวัสดิ์ เพราะไม่อาจทนความหนาวเหน็บและความอ่อนล้าจากการเดินทางตลอดวันไปได้






3 ....

  ความหนาวแบบสุดขั้วทำให้ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนแม้ว่าเราจะอยู่ในชุดเสื้อกันหนาวหลายชั้นและชุกตัวอยู่ในถุงนอนก็ ไม่อาจต้านความหนาวระดับอุณหภูมิ 1-2 องศาไปได้ ใกล้รุ่งเช้าราวตีสี่จึงลุกขึ้นมาแบบไม่ขี้เกียจ เตรียมออกเดินมุ่งหน้าไปยังดอยกิ่วลมซึ่งตั้งตระหง่านเป็นเงาตะคุ่มไม่ไกล จากแค้มป์ ทางเดินที่เปิดรับด้วยความชันที่แฝงตัวอยู่ในความมืด มีหยาดหยดน้ำค้างใสๆ จับเกาะอยู่ตามยอดหญ้า บางช่วงในแอ่งที่ราบก่อนเดินขึ้นทางชัน เมื่อส่องไฟฉายไปตามใบไม้ใบหญ้า จะพบน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ประกายแวววาวสะท้อนกับแสงไฟ ขณะที่ไต่ทางชันหยาดหยดน้ำค้างใสๆ ซึ่งจับตัวอยู่ตามยอดหญ้าสองข้างทางจะทำให้ชายกางเกงเปียกฉ่ำเมื่อต้องลุย ผ่านอย่างไม่มีทางเลือก ผสานผสมกับอุณหภูมิเลขตัวเดียวที่สร้างความหนาวเหน็บสุดขั้ว
 

 ยิ่งสูงขึ้นก็รับสายลมหนาวที่พัดแรงมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามมาชมภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าบนยอดกิ่วลมในระดับ ความสูง 2,140 เมตร ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ทะเลหมอกที่ดูหนาแน่นไหลเลื่อนปกคลุมแอ่งเชียงดาว และทั่วทิศในที่ราบแอ่งหุบเขาใกล้-ไกล ขณะแสงสีส้มแดงตรงปลายขอบฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับอาทิตย์ดวงกลมโผล่พ้นขึ้นมาให้เห็น ภาพบรรยากาศเช่นนี้คือวัฏจักรธรรมดาของธรรมชาติ แต่ในแง่ของนักเดินทางด้วยกันแล้ว นี่คือการแสวงหาหนึ่งที่รอคอยเสมอกับการก้าวสู่ดินแดนแห่งนี้ 
 

      หลังจากใช้เวลากับภาพประทับใจอยู่นานพอสมควร ฟ้าเริ่มเปิดสว่างจ้า หลังจากกระตุ้นสมองและสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกายด้วยกาแฟร้อนๆ ที่เตรียมเตาแก๊สสนามและกาน้ำร้อนมาต้มชงดื่มกันบนยอดดอยแห่งนี้ ต่อจากนั้นจึงค่อยออกสำรวจถ่ายภาพพันธุ์ไม้และทิวทัศน์โดยรอบอีกครั้ง หนึ่ง ทั้งที่กิ่วลมเหนือ-ใต้ และรวมถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวที่จะขึ้นไปอีกทีช่วงบ่ายๆ ไล่เรียงกันตั้งแต่ตามซอกหินปูนก็จะพบ “ ฟองหินเหลือง ” ( Sedum sarmentosum ) พืชต้นเล็กๆ ชูช่อดอกเหลืองเป็นกลุ่มแน่นขนัด เป็นพืชต้นเล็กๆ  ตามพื้นดินก็ยังได้พบพืชพันธุ์อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น “หญ้าดอกลาย” ( Swertia stiata ) ดอกสีขาวและเส้นขีดสีม่วงเข้มลากไปตามความยาวของกลีบ “หรีดเลื้อยเชียง ดาว” (Gentiana leptoclada ssp. Australis) และ “หรีดศรีเชียงดาว” ( Swertia chiangdaoensis ) โดยทั้งหรีดเลื้อยเชียงดาวและหรีดศรีเชียงดาว เป็นพืชถิ่นเดียวที่ไม่พบที่อื่นใดในโลก
 

 เหนือยอดหญ้าจะพบ “ชมพูเชียงดาว” ( Pedicularis siamensis ) แทงช่อดอกสีชมพูเข้มขึ้นมาอย่างโดดเด่น ไม้ล้มลุกชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่มันเป็นพันธุ์พืชเฉพาะถิ่นบนดอยหลวงเชียง ดาวหรือมีแห่งเดียวในโลก อีกชนิดหนึ่งที่สวยงามไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “ชมพูพิมพ์ใจ” ( Luculia gratissima ) เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง นี่ก็เป็นอีกชนิดที่พบเฉพาะดอยหลวงเชียงดาว




 

 “คำขาวเชียงดาว” หรือกุหลาบพันปีดอยเชียงดาว ( Rhododendron ludwigianum ) ก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่เป็นพืชถิ่นเดียว และมีความโดดเด่นไม่แพ้พืชชนิดอื่นๆ เป็นกุหลาบพันปีที่มีดอกใหญ่ที่สุดในบรรดากุหลาบพันปีท้องถิ่นของไทยทั้งหมด แต่ตอนนี้มันยังไม่ออกดอก ถ้าใครอยากเห็นก็ต้องมาราวเดือนมีนาคมนั่นแหละครับ นอกจากนี้ยังมี “ขาวปั้น” ( Scabiosa siamensis ) ลักษณะดอกสีขาวบานรวมกลุ่มเป็นช่อกลมอยู่บนก้านเดี่ยว นับเป็นอีกพรรณพืชเฉพาะถิ่น “ฟ้าคราม” ( Ceratostigma stafiana ) ชูช่อดอกสีฟ้าอ่อนดูสบายตา และ “แสงแดง” (Colquhounia coccinea ) ลักษณะดอกเป็นหลอดมีสีแดงอมส้ม
 

 ...นอกจากที่กล่าวมา ทั่วดงดอยก็ยังพบเห็นพันธุ์ไม้สำคัญอีกมากมายหลายชนิด ทั้งที่ผมได้พบออกดอกและไม่ได้พบเจอก็อีกมาก แต่แค่นี้ก็ดูจะเพียงพอที่ทำให้การเดินทางช่างน่าจดจำ สามวันบนดอยหลวงเชียงดาวแม้ดูเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งน่าประทับใจเป็นประสบการณ์ดีๆ บนดินแดนโลกธรรมชาติแห่งนี้
 

 ดอยหลวงเชียงดาว แหล่งรวมพันธุ์ไม้ถิ่นเดียวและเป็นสังคมพืชกึ่งอัลไพล์แห่งเดียวของประเทศ ไทย เป็นความอัศจรรย์ยิ่งนัก สิ่งต่างๆ บนนี้ล้วนมีคุณค่า ดังนั้นทุกย่างก้าวที่เราเหยียบย่ำ จึงควรตระหนักให้ดีว่า เราอาจกลายเป็นผู้ทำลาย ทำให้เกิดการสูญเสียไม่มากก็น้อย และสิ่งที่ถูกทำลายนั้นอาจจะเป็นการสูญเสียอย่างไม่มีวันกลับคืนมา ไม่มีใคร ปฏิเสธถึงผลกระทบจากการเดินทางเข้าไปของมนุษย์ แต่เราก็มีทางเลือกที่จะรักษาหรือทำลายให้น้อยที่สุดได้เช่นกัน ซึ่งทำไม่ ยากเลย คำตอบนั้นก็อยู่ที่พวกเราทุกคน ... “ ดอยหลวงเชียงดาว จึงมีคุณค่ามากกว่าความหมายแห่งผู้พิชิต และไม่ว่าจะมองจากภายนอกและสัมผัส จากภายใน มันช่างวิเศษจริงๆ ครับ. ”
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประมวลภาพคลิบ เหตุการณ์พระสงฆ์ ถูกทำร้าย ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:30:48 pm


35  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความเพียร ในพระพุทธศาสนา นั้นวัดอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:46:11 am
การภาวนา สมถกรรมฐาน นั้นจัดเป็นความเพียร ถ้าเราทำอย่างนี้ ต้องทำบ่อย ๆ ใช่หรือป่าวครับ

แต่ ทำไมเราทำบ่อย ด้วยความเพียร แล้ว จึงไม่ลุ สิ่งที่ตั้งใจทำเสียทีครับ

 :25:
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตั้งคอร์สนอนในโลงศพ เพื่อให้เข้าถึงปรัชญาการเสียชีวิต เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 04:39:27 pm


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า

มหาวิทยาลัยเรนเด้ ของไต้หวัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์ได้ผุดไอเดียเก๋ให้แก่บรรดานักศึกษา

 ตั้งคอร์สนอนในโลงศพ เพื่อให้เข้าถึงปรัชญาการเสียชีวิต

โดยคอร์สดังกล่าว กำหนดให้นักศึกษาเขียนพินัยกรรม แต่งกายห่มขาว และก้าวลงในไปโลงศพ ก่อนจะถูกฝังใต้ไม้กระดานบอร์ดห้อง ก่อนจะปล่อยให้ออกมา

 

ด้านเซี่ยว หลิน นักศึกษารายหนึ่ง แสดงอาการชื่นชอบคอร์สนี้ บอกว่า เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ และคอร์สเช่นนี้ทำให้เขาได้เข้าใจถึงการมีชีวิตอยู่ทุกวินาที

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292132474&grpid=03&catid=&subcatid=
37  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เป็นไปได้ หรือ ป่าวที่สมัยนี้ จะมีพระอรหันต์ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 11:24:08 am
ในปัจจุบัน นี้มีพระอรหันต์ อยู่หรือป่าวครับ

 และเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นพระอรหันต์

 พระอรหันต์ ในเพศฆราวาส มีหรือป่าวครับ
 
:25:
38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮืออา ตายาย เฮง เมื่อ ตัวเงิน ตัวทองมาอยู่ด้วย เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 02:30:17 pm

 "ตัวเงินตัวทอง" หรือ "ตัวเหี้ย" ชื่อนี้หลายคนฟังแล้วอาจจะขยะแขยง ไม่อยากพบอยากเห็น และไม่อยากได้ยิน แต่สำหรับคุณตาบุญชู รสชุ่ม อายุ 75 ปี และคุณยายสมยา รสชุ่ม อายุ 65 ปี ที่อาศัยอยู่บ้านพักเลขที่ 127 หมู่ 3 ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี แล้ว พวกเขากลับยินดีที่จะเลี้ยงเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ไว้ หากว่ามันอยากที่จะอยู่ในบ้านด้วย

             ทั้ง นี้นายบุญชู กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผานมา ได้มีตัวเงินตัวทองน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ยาวประมาณ 2 เมตรเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่เกรงกลัวคนในครอบครัว และไม่ทำอันตรายใครเลย แถม เจ้าตัวนี้ยังมุดมุ้งเข้าไปนอนกับตน และภรรยาอีกต่างหาก ตื่นเช้ามาก็ยังไม่ไปไหน เหมือนมันจะมาขออยู่ด้วย และอาจจะมีความผูกพันกับครอบครัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  ตนกับภรรยายเลยคิดที่จะเลี้ยงมันไว้ หรือหากตัวเงินตัวทองจะไป ๆ มา ๆ บ้านตนก็ยินดี

             อย่างไรก็ตาม ในชุมชุมที่นายบุญชูอยู่มีตัวเงินตัวทองหลายตัว และก่อนหน้านี้เคยมีตัวเงินตัวทองไปอยู่หน้าบ้านเพื่อนบ้าน และเคยถูกลอตเตอรี่มาแล้ว 2 ครั้ง โดยล่าสุดชาวบ้านแถวนั้นต่างนำเอาบ้านเลขที่นายบุญชูไปซื้อหวยกันแล้ว
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อ ในการดื่มน้ำ อย่างไร ได้สุขภาพ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:03:45 pm
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น , น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ


ข้อหนึ่ง นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน



ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล . หรือ 7-8 แก้ว
( แก้วละ 200 มล .) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
( น้ำหนักตัว ( กก .) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก . เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล . หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่า น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไป เรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเรา ไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุด เลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าว นั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และ อย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวัน ครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย ( กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ )
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้ หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันที อีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม . ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย ? าหาร ด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่าง น้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย ครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม . ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ " กาแฟหอมนะหมอ " หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่าง ขอแถม นิดนึง คนไทยชอบ กินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ ไตทำงานหนัก นะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล . If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

--
เปิดประตูใจ เปิดรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาได้เสมอ
คุณล่ะพร้อมจะเข้ามามั๊ย ??

โสภาค  เพื่อนที่ดีของคุณๆ
40  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / แนะนำขั้นตอนการสมัคร สมาชิก เว็บ ครับ เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 02:30:09 pm
ไม่รู้จะโพสต์ อะไร กับเขา อยากทำบุญบ้าง ก็ขอทำ ทิป นี้ขึ้นมา

เพราะผมนึกขึ้นได้ตอนผม สมัคร ใช้เวลาพอสมควร เพราะไม่ค่อยเข้าใจ ขั้นตอนการสมัคร

ทั้ง ๆ ที่เว็บ ทั่ว ๆ ไป ก็มีขั้นตอนคล้าย ๆ กัน



เริ่มจาก คลิ๊กปุ่ม สมัคร สมาชิก เลยนะครับ



โปรดดูที่หมายเลขไปด้วย นะครับ

 หมายเลข 1 ให้เรา ใส่ชื่อ User เป็นภาษาอังกฤษ นะครับ

               ไม่แนะนำภาษาไทย สำหรับการสมัครครั้งแรกครับ เพราะว่าผมทดสอบแล้ว Login ไม่ผ่านครับ

               ถ้าใครต้องเป็นภาษาไทย ให้ไปเปลี่ยน ทีหลังครับ จะมีวิธีแนะนำท้าย ๆ ครับ


หมายเลข 2 ใส่ Email address ครับ ควรจะเป็น Email จริง ๆครับ แต่ถ้าไม่มี ก็ใส่ มั่วไปเลยครับ

              หรือ ควรจะไปสมัคร Email เพื่อเอาไว้รับ user และ พาสเวริด

              เดี๋ยวผมจะ ทิป สมัคร Email ของ ไมโครซอฟ ให้ท่านศึกษาด้วยครับ


หมายเลข 3 ใส่ พาสเวิร์ด ที่เราต้องการ ใส่เหมือนกันทั้งสองช่อง ระวัง อักษร ไทย อังกฤษ ด้วยนะครับ

             ถ้า Log in ไม่ได้ก็แจ้งไปที่ ผู้ดูแลเว็บ ได้ครับ


หมายเลข 4 ใส่ Code ที่ปรากฏในช่องด้านบน ตรงนี้ป้องกัน สมัครมั่ว ครับ เป็นการยืนยันของผู้สมัคร

หมายเลข 5 ตอบคำถาม เพื่อป้องกัน บอทเว็บ ดังนั้นต้องอ่านว่าคำถาม ๆ ว่าอะไร ก็เลือกคำตอบ

             คำถามไม่ยุ่งยาก เช่น ถามว่า Are you Human ? เรา ก็เลือกตอบ Yes

                                     ถามว่า Are you bot ? เรา ก็ตอบ No

                                     เป็นต้น ( ตรงนี้ทำให้ผมเสียเวลาเพราะผม ไม่ได้อ่าน นึกว่าไม่สำคัญ )

หมายเลข 6 เลือก Avartar หรือ รูปภาพประจำตัวเรา ถ้าเรามีภาพของเราอยู่แล้ว ก็เลือกไปก่อนเดี๋ยว

              ค่อยไปเปลี่ยน ครับ


จากนั้น ก็ทำการ Check box ตกลง ที่สุดท้าย นะครับ

เพียงเท่านี้ การสมัครสมาชิก ก็เสร็จสิ้นแล้วครับ

หน้า: [1] 2