ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชาตาชาดก(ภรรยา 7 ประเภท)  (อ่าน 2213 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
ชาตาชาดก(ภรรยา 7 ประเภท)
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 05:33:37 pm »
ชาตาชาดก(ภรรยา 7 ประเภท)


ได้ยินว่า นางสุชาดานั้นเข้าไปยังเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เต็มไปด้วยยศอย่างใหญ่หลวง นางสุชาดานั้นคิดว่า เราเป็นธิดาของตระกูลใหญ่ จึงเป็นผู้ถือตัวจัด มักโกรธ ดุร้าย หยาบช้า ไม่กระทำวัตรปฏิบัติแก่พ่อผัว แม่ผัว และสามี เที่ยวคุกคามเฆี่ยนตีคนในเรือน ครั้นวันหนึ่ง พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปยังเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ประทับนั่งอยู่ ฝ่ายมหาเศรษฐีก็เข้าไปนั่งใกล้พระศาสดา ฟังธรรมอยู่ ขณะนั้น นางสุชาดาทำการทะเลาะกับพวกทาสและกรรมกร พระศาสดาทรงหยุดธรรมกถาตรัสว่า นี่เสียงอะไร ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีหญิงสะใภ้ในตระกูลคนหนึ่ง ไม่มีความเคารพ นางไม่มีวัตรปฏิบัติต่อพ่อผัว แม่ผัว และสามี ไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เที่ยวก่อแต่การทะเลาะทุกวันทุกคืน
พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเรียกนางมา นางสุชาดามาถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสถามนางว่า ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษมี ๗ จำพวก เธอเป็นภรรยาพวกไหน ในบรรดาภรรยา ๗ จำพวกนั้น นางสุชาดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่ทราบความแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสโดยย่อ ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่หม่อมฉันโดยพิสดารเถิด พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงเงี่ยโสตสดับ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :

ภรรยาคนใดของชายมีอาการอย่างนี้คือมีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี ยินดีรักใคร่ในบุรุษอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามีผู้ถ่ายมาด้วยทรัพย์ ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมอเพชฌฆาต
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ สามีได้ทรัพย์สิ่งใดมา โดยทางศิลปวิทยาก็ดี โดยทางค้าขายก็ดี ทางกสิกรรมก็ดี แม้จะน้อยมากเพียงใด ก็มอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยานั้นไม่รู้จักเก็บงำปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดเปลืองไป ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า โจรีภริยาภรรยาเสมอดังโจร
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ ไม่ปรารถนาทำการงานเกียจคร้าน กินจุ หยาบช้า ดุร้าย ปากคอเราะราน ประพฤติข่มขี่พวกคนผู้คอยรับใช้ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า อัยยาภริยาภรรยาเสมอดังเจ้า
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ โอบอ้อมอารี ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีคล้ายมารดาตามรักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมอดังมารดา
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ มีความเคารพสามีของตน มีความละอายใจ ประพฤติตามอำนาจ ความพอใจของสามี คล้ายกับน้องหญิงมีความเคารพพี่ชายฉะนั้น ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า ภคินีภริยา ภรรยาเสมอดังน้องหญิง
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ เห็นสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับหญิงสหาย เห็นมิตรสหายมาเรือนของตนฉะนั้น เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่าสขีภริยา ภรรยาเสมอดังเพื่อน
ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้ คือ เป็นคนไม่มีความขึ้งโกรธ ถึงจะถูกคุกคามด้วยการฆ่าและลงอาญา ก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี ไม่โกรธ ยอมประพฤติตามอำนาจสามีภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า ทาสีภริยาภรรยาเสมอดังทาส

         ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษมี ๗ จำพวกนี้แล บรรดา ภรรยา ๗ จำพวกนั้น ภรรยา ๓ จำพวกเหล่านี้ คือ ภรรยาเสมอดัง เพชฌฆาต ๑ ภรรยาเสมอดังโจร ๑ ภรรยาเสมอดังเจ้า ๑ ย่อมบังเกิดในนรก ส่วนภรรยา ๔ จำพวกนอกนี้ ย่อมบังเกิดในเทวโลก ชั้นนิมมานรดี ครั้นพระศาสดาตรัสจำแนกภรรยา ๗ จำพวก ด้วยพระคาถาแล้ว จึงตรัสนิคมพจน์ดังนี้ว่า :
ก็ภรรยาใดในโลกนี้ที่เรียกว่าวธกาภริยา โจรีภริยา และอัยยาภริยา เป็นคนทุศีลหยาบช้า มิได้เอื้อเฟื้อ ภรรยานั้น ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมไปสู่นรก
ส่วนภรรยาใดในโลกนี้ ที่เรียกว่า มาตาภริยา ภคินีภริยาสขีภริยา และทาสีภริยา เป็นคนดำรงอยู่ในศีล สำรวมระวังดีตลอดเวลานาน ภรรยานั้น ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมไปสู่สุคติ

        เมื่อพระศาสดาทรงแสดงภรรยา ๗ จำพวก ด้วยประการ อย่างนี้แล้ว นางสุชาดาได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล เมื่อพระ ศาสดาตรัสว่า ดูก่อนสุชาดา บรรดาภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอเป็นภรรยาพวกไหน? นางสุชาดาจึงกราบทูลว่า กระหม่อมฉัน ขอเป็นภรรยาเสมอด้วยทาส พระเจ้าข้า แล้วถวายบังคมขอขมาพระศาสดา พระศาสดาทรงทรมานนางสุชาดาหญิงสะใภ้ ด้วยพระโอวาทครั้งเดียว เท่านั้น ด้วยประการดังนี้ ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้วเสด็จไปพระวิหารเชตวัน เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรแล้ว จึงเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงพระคุณของพระศาสดาในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงทรมานนางสุชาดาหญิงสะใภ้ด้วยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น ให้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล
พระศาสดา เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราก็ได้ทรมานนางสุชาดาด้วยโอวาทครั้งเดียวเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :






ที่มา  http://www.intaram.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=34&thispage=4
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ