ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การงานไม่อากูล  (อ่าน 1182 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28431
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การงานไม่อากูล
« เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2020, 06:32:54 am »
0

 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิตตามหลักพุทธศาสนา | การงานไม่อากูล

สูตรสำเร็จในชีวิต (12) : การงานไม่อากูล (1)

สูตรสำเร็จในชีวิตต่อไปคือ การงานไม่อากูล ครับ คำนี้เป็นคำพระแท้ๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องแน่ ถ้าไม่อธิบาย การงานไม่อากูล ก็คือทำงานมิให้คั่งค้างนั่นแหละครับ

คนที่จะเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จในชีวิต นอกจากจะเลือกคบคนดี มีการศึกษา เล่าเรียนดี มีระเบียบวินัย ยกย่องคนควรยกย่อง ตลอดถึงปฏิบัติต่อลูกเมียดีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือ การทำงาน

ผู้รู้ท่านหนึ่งเปรียบการทำงานดุจคนขับรถ รถมันจะใหม่เอี่ยม เครื่องเคราดี ยี่ห้อโก้เก๋ทันสมัยอย่างไร ถ้าคนไม่ขับเคลื่อนที่มันก็เศษเหล็กธรรมดา ไม่ต่างจากขอนไม้ท่อนหนึ่งนั่นเอง นั่งขี่บนขอนไม้ กับนั่งในรถหรูคันนั้น ได้ผลเท่ากัน คือไปไม่ถึงที่หมาย

การจะไปถึงที่หมายได้ต้องสตาร์ตเครื่องแล้วก็ขับไป ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาแล้วนั่งนอนอยู่เฉยๆ งานการไม่ทำนอกจากจะไม่เจริญแล้ว จะพาลเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเอา เพราะฉะนั้น อยากเจริญต้องทำงาน และทำงานให้มีประสิทธิภาพ มิใช่สักแต่ว่าทำ

@@@@@@

วิธีทำงานมีอยู่ 2 แบบ คือ ทำแบบมงคล กับ ทำแบบอัปมงคล
    1. ทำแบบมงคล คือทำแล้วเจริญ มีหลักอยู่สั้นๆ 3 หลักคือ ทำดี – ทำเต็มที่ – ทำให้เสร็จ
    2. ทำแบบอัปมงคล คือทำแล้วล่มจมฉิบหาย มีหลักสั้นๆ เหมือนกันคือ ทำค้าง – ทำย่อหย่อน – ทำเสีย

งานอากูลก็คืองานค้างนั่นแหละครับ เป็นนิสัยคนทำงานประเภทหนึ่ง (รวมผมด้วย บางครั้ง) มักไม่ชอบทำอะไรให้เสร็จทั้งที่ควรให้เสร็จ ทำได้หน่อยหนึ่งแล้วทิ้งไว้ก่อน ผัดผ่อนไปเรื่อย “พรุ่งนี้ยังมีเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน” อะไรอย่างนี้เป็นต้น เหมือนคนแก่ฟันไม่ดี เคี้ยวอาหารให้ละเอียดไม่ได้ พอจวนจะละเอียดก็กะล่อมกะแล่มกลืนเข้าไป กินก็เท่ากับไม่กิน เผลอๆ อาหารที่กลืนเข้าไปไม่ย่อย หรือย่อยยาก เป็นโทษแก่ร่างกายอีก

ลักษณะคนทำงานคั่งค้างที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบจับจด ทำงาน ก ได้หน่อยหนึ่งเบื่อ หันไปจับงาน ข ไปได้หน่อยหนึ่ง หันไปจับงาน ค เลยไม่เสร็จสักอย่าง บางท่านคิดว่าคนเช่นนี้เป็นนักริเริ่ม เริ่มงาน หรือวางแผนงานเก่ง หามิได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าคนจับจดต่างหาก


@@@@@@

งานค้างเป็นอัปมงคลก็เพราะก่อผลเสียให้ทั้งทางกายและใจ คิดไม่ดีไม่เห็น ทางกายนั้นเห็นได้ชัดๆ คือ ทำให้เปลืองแรง ต้องลงแรงถึงสองครั้งเป็นอย่างน้อย แทนที่จะเป็นครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาไถนาไว้แล้วไม่ปักดำ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละเสียแรงงานไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอถึงเวลาจะปักดำจริงๆ ต้องมาไถใหม่อีก เปลืองแรงไปครั้งที่สอง

เรื่องที่เราทิ้งค้างไว้ พอถึงเวลาจะทำให้เสร็จจริงๆ ก็ต้องนำมาดูย้อนต้นใหม่อีก เพราะลืมไปแล้วว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไรนี่แหละครับที่ว่าเปลืองแรง

แล้วเปลืองใจล่ะเป็นอย่างไร งานที่ทิ้งค้างไว้นั้นแหละ พอมีคนถามถึงหรือนึกขึ้นมาได้เมื่อไร ใจหายวาบทุกที ยิ่งเป็นงานที่เขากำหนดเวลาแน่นอนว่าไม่เกินวันนั้นวันนี้ด้วยแล้ว มัวแต่เอ้อระเหยอยู่ นึกขึ้นมาได้เหลืออีกสองสามวันจะครบกำหนดต้องตาลีตาเหลือกรีบๆ ทำลวกๆ พอให้เสร็จ

ผลก็กลายเป็นว่าทำอย่างย่อหย่อน ทำเสียๆ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ถ้าไม่อยากเสียคนก็อย่าทำงานให้คั่งค้างอากูลนะครับ (บรรทัดสุดท้ายเตือนเจ้าของคอลัมน์นี้ด้วย)



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1-7 พฤษภาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_302131
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28431
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิต (13) การงานไม่อากูล (2)
คนจะทำงานไม่ให้อากูลคั่งค้างจะต้องมีอิทธิบาท 4 ประจำใจ


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พูดว่าคนทำงานคั่งค้างจะต้องได้รับผลเสียทั้งทางกายและทางใจ ทางกายนั้นต้องเปลืองแรงถึงสองครั้ง ทางใจนั้นเล่าเวลานึกถึงงานที่คั่งค้างเมื่อใดใจหายวาบเมื่อนั้น เสียสุขภาพจิตมิใช่น้อย คนจะทำงานไม่ให้อากูลคั่งค้างจะต้องมี "อิทธิบาท 4" ประจำใจคือ

@@@@@@

ฉันทะ : แปลกันว่าความพอใจ ยังไม่สื่อความหมายเท่าที่ควร ถ้าจะให้เข้าใจง่ายต้องแปลว่า ความรักงาน หรือเต็มใจทำ คนเราลองได้รักอะไรหรือรักใครแล้ว ย่อมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง นึกถึงสมัยยังหนุ่มยังสาวก็แล้วกัน (สำหรับท่านที่ชราภาพแล้ว) คนรักชอบอะไร ต้องการอะไร ก็อุตส่าห์หามาประเคนให้ด้วยความเต็มใจ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำงานก็ไม่แตกต่างกัน เราต้องมีความรัก เพียงแต่แปรความ “รักคน” มาเป็น “รักงาน” แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับงานได้เป็นอย่างดี

วิริยะ : พากเพียรพยายาม หรือแข็งใจทำ แข็งใจในที่นี้มิใช่ฝืนใจทำแบบซังกะตาย หากหมายถึงทำงานด้วยความเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าบุก ไม่ว่างานจะใหญ่โตหรือลำบากแค่ไหน พยายามทำเต็มที่ ไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก

จิตตะ : ตั้งใจทำ หมายถึงคิดถึงงานที่เริ่มไว้ตลอดเวลา เอาใจจดจ่ออยู่ที่งานนั้น คิดเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาเรารักใครสักคนเราจะคิดถึงแต่คนที่เรารัก คนที่รักกันคิดถึงกันย่อมไม่มีวันจะทอดทิ้งกันแน่นอน นอกเสียแต่จะหมดรักกันเท่านั้นฉันใด คนที่คิดถึงงานตลอดเวลา ย่อมไม่ทิ้งงาน มีแต่จะคิดหาทางปรับปรุงแก้ไขให้งานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉันนั้น

วิมังสา : เข้าใจทำ อันนี้หมายถึงทำงานด้วยการใช้ปัญญาทำอย่างฉลาด คนเราถึงจะรักงานเพียงใด พากเพียรเพียงใดเอาใจจดจ่ออยู่กับงานเพียงใด ถ้าขาดปัญญาความรู้ ความเข้าใจแล้วแทนที่งานจะสำเร็จ หรือก่อทุกข์โทษให้ก็ได้ว่ากันว่าคนโง่ขยันนั้นอันตรายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก เพราะแกจะขยันสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองและคนอื่น


@@@@@@

ดังตัวอย่างต่อไปนี้

บุรุษคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะไปธุระต่างเมือง สั่งให้หัวหน้าลิงช่วยดูแลสวนผลไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ๆ เจ้านายหายไปสามสี่วันต้นไม้ในสวนตายเรียบ ไม่ใช่เพราะลิงขี้เกียจทำตามที่เจ้านายสั่ง มันทำอย่างขะมักเขม้นทีเดียว

มันสั่งให้ลูกน้องช่วยกันตักน้ำมารดต้นไม้ทุกเช้า ขณะรดน้ำมันสั่งให้ลูกน้องถอนต้นไม้มาดูทุกครั้งว่ารากมันชุ่มน้ำหรือยัง ถ้ายังให้ราดน้ำลงไปใหม่ ถ้ารากชุ่มแล้วจึงยัดลงหลุมกลบดินใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวันแล้วอย่างนี้มันจะเหลืออะไร เจ้านายกลับมาเห็นต้นไม้ตายเกลี้ยงสวน แทบลมจับ นี่แหละโทษของการใช้ลิงโง่แต่ขยันรดน้ำต้นไม้

ที่สำนักงานแห่งหนึ่ง ผู้บริหารโง่ ผู้ช่วยงานก็โง่ แต่ขยันขันแข็งทำงาน บางทีเซ็นสั่งงานไปทั้งที่ไม่รู้ว่า เขาทำอะไร พอเขาถามว่าจะให้ทำอะไร ก็ตอบไม่ได้

เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ไหว เพราะพวกเขาขยันสร้างเงื่อนปมเสียจริง จนผู้บริการระดับสูงบ่นปวดศีรษะต้องมาช่วยแก้ปัญหาให้ไม่รู้จบสิ้น เวรกรรมจริงๆ คือเป็นกรรมของหน่วยงานนั้นที่มีผู้บริหารเวรๆ อย่างนั้น นี่คือโทษของการเอาคนโง่มาบริหารงาน

สรุปแล้วคุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานมิให้อากูลคั่งค้างจำต้องมีความเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ ใช้สูตรนี้สูตรเดียวการงานทุกอย่างไม่ว่าใหญ่ว่าเล็กรับรองประสบความสำเร็จแน่นอน




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8-14 พฤษภาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_304721
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ