ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรรม เพราะไร้ คุณธรรม  (อ่าน 4163 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ลำใย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 83
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กรรม เพราะไร้ คุณธรรม
« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 12:26:06 pm »
0
----- Forwarded Message ----
From: สิงห์ รณยุทธ์

Subject: [noolex] กฏแห่งกรรม กรรมเพราะไร้คุณธรรม

 

จากหนังสือ “โลกลี้ลับ” ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๒๓๕ เดือน กรกฎาคม ๒๕๔๗
พิมพ์ส่งมาให้เป็นธรรมวิทยาทาน โดย คุณ Lilly
................. ................

เรื่องที่ผู้เขียนเขียนมานี้เกิดขึ้นกับหลานของผู้เขียนที่ชื่อ ไชยา มันเป็นเวรกรรมที่ตามทันตาเห็นจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าเลย เรื่องก็มีอยู่ว่า

พ่อของไชยานั้น เขาเป็นคนที่ร่ำรวยในหมู่บ้าน มีที่สวนไร่นามากมาย แต่ออกจะตระหนี่ขี้เหนียวซักหน่อย แต่ก็เพราะความตระหนี่ของเขานี่แหละ ถึงทำให้เขามีความร่ำรวย เขามีลูก 4 คนด้วยกัน เป็นผู้ชายหนึ่งคนก็คือ ไชยา และอีกสามคนเป็นผู้หญิง สำหรับเมียเขาออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเอามากๆ

ต่อมาไชยา ได้ไปรักกับหญิงสาวคนบ้านใกล้กัน พ่อก็จัดการแต่งงานให้ ได้อยู่กินกันจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ด้วยความที่รักลูกชายมาก จึงไม่อยากให้ลูกต้องไปทำงานอยู่ที่อื่น เลยหาซื้อรถยนต์ให้ลูกชายหนึ่งคัน เพื่อให้วิ่งโดยสารรับส่งผู้คนแถวบ้าน เพราะจะได้อยู่ใกล้บ้าน และใกล้พ่อแม่

วันหนึ่งผู้เขียนได้ไปว่าจ้างให้ไชยาเอารถไปบรรทุกวัวไปส่งบนดอย เพราะจะเอาวัวไปฝากคนที่อยู่บนดอยเลี้ยง พอตอนเช้าของวันนัด ผู้เขียนและไชยาก็ช่วยกันเอาวัวขึ้นรถบรรทุกไปส่งบนดอย ตอนเอาไปเราเอารถไปคนละคัน ไชยากับเพื่อนที่ชื่อ สนั่น ไปรถคันที่บรรทุกวัว ส่วนผู้เขียนเอารถไปอีกคัน ขากลับผู้เขียนได้กลับมาก่อน ส่วนไชยานั้นหลังจากลงมาจากบนดอยก็เลยไปหาเพื่อนที่ อำเภอท่าวังผา เป็นเพื่อน ๆ ที่วิ่งรถสองแถวด้วยกัน ก็เลยพากันดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อน ส่วนสนั่นนั้นได้แยกทางกันกับไชยาตั้งแต่ลงมาจากดอย ไชยานั่งดื่มตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนก็เมาได้ที่ จึงขอตัวกลับบ้าน พวกเพื่อนก็ขอร้องให้นอนค้างคืนที่บ้านเขา แต่ไชยาไม่นอน เพื่อน ๆ ก็เลยให้กลับเพราะเห็นว่ายังพอกลับได้

ไชยาขับรถออกจากบ้านเพื่อนมาได้ประมาณ 25 นาที พ้นเขตอำเภอท่าวังผาก็เข้า เขตอำเภอบัว (ซึ่งเป็นอำเภอที่ผู้เขียนและไชยาอยู่) เข้าเขตอำเภอบัวมาได้ประมาณ 5 กิโลเมตร พอมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านนาก้อ ซึ่งเป็นทางโค้งนิดหน่อย ได้มีรถมอเตอร์ไซค์กำลังขับอยู่ข้างหน้า ด้วยความเมาไชยาจึงไม่เห็นรถคันดังกล่าวจึงขับรถไปชนเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ สองผัวเมียที่ขับมาได้รับบาดเจ็บและรถมอเตอร์ไซค์ของเขาหักเป็น 2 ท่อน คนที่บาดเจ็บนั้นนอนสลบอยู่ที่ถนน แต่ แทนที่เขาจะช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล เขากลับไม่ทำแล้วยังขับรถหนี เอารถไปซ่อนไว้ที่บ้านเพื่อนของผู้เขียน

พอรุ่งเช้า พ่อของเขาก็มาหาผู้เขียน แล้วให้ผู้เขียนไปส่งเพื่อซื้ออะไหล่รถในตัวเมือง จึงได้ถามพ่อของเขาว่า “ไปซื้ออะไหล่มาใส่รถคันไหนอีก”

เขาบอกว่า “เมื่อคืนไชยาได้ขับรถไปชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ตอนนี้ให้เอาไปซ่อนไว้ที่บ้านของสิงห์ทอง ที่กลางป่าโน้น “ (สิงห์ทองคือเพื่อนของผู้เขียนเอง) ต่อจากนั้นเขาก็หาช่างมาซ่อมรถจนเสร็จ หลังจากนั้นไชยาก็ได้นำรถออกไปขับโดยสารต่อ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่ารถของไชยาหายไป ไม่มาวิ่งในวินหลายวัน ตำรวจก็เลยถามว่า “รถหายไป เอาไปไว้ไหน”

ไชยาจึงได้บอกไปว่า “เอารถไปให้น้าเขาใช้ที่ต่างจังหวัด” ตำรวจมาดูที่รถ ก็เห็นมีรอยทำสีใหม่ แต่ตำรวจเขาก็ไม่อยากซักถามเท่าไหร่ เพราะเป็นคนมีเงินและก็มีอิทธิพลนิดหน่อย และเขาก็ได้บอกตำรวจว่า “ไม่ต้องมาสงสัยถ้ารถชนจริงไม่หนีหรอก เรื่องแค่นี้จะยอมใช้ให้หมด”

แต่ญาติๆ ของผู้เสียหายปักใจว่าเป็นรถคันนี้ชนแน่นอน แล้วแม่ของไชยาก็ได้สาบานต่าง ๆ นานา อย่ามาหาว่ารถฉันชน ถ้ารถฉันได้ชนจริง ๆ ก็ขอให้มีอันเป็นไป

เพราะแม่ของไชยาไม่เชื่อเรื่องสาบาน แต่จะเชื่อเพียงว่า ใครมีเงินมาก คนนั้นก็ชนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร จากนั้นมาประมาณปีกว่า ไชยามีธุระต้องเข้าไปในเมือง โดยเอารถคันดังกล่าวนั้นขับไป พอขากลับไชยาขับมาคนเดียว โดยไม่มีใครอาศัยมาด้วย เวลานั้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม พอไชยาขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ รถของไชยาก็เกิดยางระเบิด พลิกคว่ำลงข้างทาง เป็นเหตุให้กระดูกท่อนคอของไชยาหัก ผู้ที่อยู่บ้านใกล้เขาเห็นเหตุการณ์ จึงนำตัวไชยาส่งโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลอำเภอบัวส่งต่อมาโรงพยาบาลในตัวเมือง หมดได้ช่วยกันเข้าเฝือกคอของไชยาที่หักไว้ จากนั้นก็จะนำส่งไปที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ แต่ไชยาทนพิษบาดเจ็บที่ลำคอไม่ไหว กระดูกที่เข้าเฝือกไว้ได้เคลื่อนที่ จึงได้เสียชีวิตลงกลางทาง ยังความเศร้าโศกให้แก่พ่อแม่ของไชยาเป็นอย่างมาก

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟัง ผลกรรมมันตามทันตาเห็นจริงๆ ใครที่ก่อกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นจริงๆ ผู้เขียนก็ไม่ได้มีความอาฆาตพยาบาทใครๆ ที่เล่าให้ฟังเพราะ กฎแห่งกรรมมีจริง เพราะความตระหนี่นี่เอง กลัวว่าจะเสียเงินให้เขา จึงทำให้ลืมคำว่าคุณธรรม ลืมคำว่าเวรกรรม ลืมคุณค่าของความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ของไชยา เพราะความเห็นแก่ตัวห่วงแต่ลูกตนว่าจะมีความผิด ลงทุนแม้กระทั่งสาบาน โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา จึงต้องมาเสียใจกับผลกรรมนั้นในที่สุด

สำหรับผู้เขียนเองก็อยากจะเห็นมนุษย์เรากระทำแต่ความดีมีศีลธรรมอยู่ในใจ บ้าง มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน อย่างน้อยสิ่งที่เราทำลงไปเราก็ควรจะรับผิดชอบบ้าง เพื่อจิตใจเราจะได้สบาย ไม่สร้างกรรมสร้างเวรต่อกัน จะได้เป็นสุขกันพร้อมหน้า

............ .............

คัดลอกจาก
http://www.lekpluto.com/index02/kram.html
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: กรรม เพราะไร้ คุณธรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 12:41:47 am »
0
หรือ เวรกรรม จะตามมา
         
 
         เรื่องราวของ กฎแห่งกรรม ยังคงถูกพูดถึงอย่างไม่จบไม่สิ้น  เรื่อง ราวต่างๆ ถูกเผยแพร่เพื่อมาตอกย้ำ

มากมาย แต่ถึงอย่างไร คำบอกกล่าวเหล่านั้นก็เป็นเพียงความเชื่อของบุคคลที่ไม่อาจหาหลักฐานมายืน ยันได้ว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นมาจากผลกรรมที่เขาได้กระทำจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น

       จาก ตอนที่แล้ว เป็นเพียงวิบากกรรมที่กระทำกับสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังส่งผลให้ชีวิตต้องพบเจอกับสิ่งเลวร้าย

และความเจ็บปวดไม่ต่างจากสัตว์ เหล่านั้น  และถ้าหากเป็นเวรกรรมที่ก่อขึ้นกับคน จะได้รับผลกรรมมากหรือ

น้อยกว่าแค่ไหน ลองไปพบกับเรื่องเล่าตัวอย่าง
 

เรื่องที่1 ลูกเนรคุณ

มี ครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ผู้เป็นพ่อชื่อส่วย แม่ชื่อสาย มีอาชีพหลักคือ ทำนาทำไร่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย

จำนวนมากเอาไว้ขาย มีลูกชายอยู่สองคน คนโตแต่งงานแล้ว ได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัวของคนรักที่หมู่บ้านอื่น

ส่วนคนที่สอง ชื่อนายรอง ได้แต่งงานกับสาวบ้านอื่น ชื่อ นางเนียน

พ่อส่วยแม่สายได้รับเอาลูกสะใภ้คนนี้เข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน นางเนียนได้ช่วยทำไร่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายด้วยดี

เสมอมา แต่ 5-6 ปีให้หลัง นางเนียนเกิดความโลภ ด้วยเห็นว่าพ่อแม่สามีแก่มากแล้ว ตนก็มีลูกถึง 2 คน จึง

อยากได้สมบัติทั้งหมดมาเป็นของตัวเองคนเดียว เนื่องจากกลัวว่าจะถูกแบ่งสมบัติให้พี่ชายของสามีด้วย  จึง

พยายามหาเรื่องต่างๆ นานา มาฟ้องสามี ด้วยการโกหกว่าพ่อแม่มาบ่นมาด่าจู้จี้จุกจิก อยากจะแยกบ้านกันอยู่ 

แรกๆ นายรองก็คอยปลอบใจเมีย บอกให้อดทน แต่ภรรยาก็ทำท่าไม่ยอม แถมขู่ว่าจะพาลูกๆ กลับไปอยู่บ้านตัว

เอง ด้วยความกลัวว่าภรรยาจะหนีไป จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกับพ่ออยู่บ่อยๆ
 
ตอน แรกนายรองพูดกับพ่อแม่ว่า "อยากจะให้พ่อแม่ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่อื่น" ซึ่งพ่อแม่ก็บอกว่าจะให้

ไปอยู่ที่ไหน เรือกสวนไร่นาเหล่านี้พ่อแม่ก็สร้างมาเองทั้งนั้น  แต่ด้วยความเขลาที่หลงเชื่อแต่คำพูดภรรยา ก็ยัง

ดึงดันจะให้พ่อกับแม่ย้ายออกไป


         ทุกๆ วันมักจะได้ยินเสียงพ่อลูกคู่นี้ทะเลาะกันเป็นประจำ บางครั้ง จะได้ยินเสียง ของแม่ ร้องห่ม ร้องไห้

ขอร้องว่า "อย่าไล่พ่อและแม่ ออกจากบ้านไปเลยนะ พ่อแม่ก็แก่ มากแล้ว อยู่กับพวกลูก คงไม่นาน ก็จะตาย

จาก พวกเจ้าไปแล้ว พอพ่อแม่ตาย สมบัติต่างๆ ก็จะเป็นของพวกเจ้า ทั้งสอง เท่านั้นเอง" แม้จะมีใครมาพูดจา

หว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่เป็นผล ขนาดพูดเรื่องบาปบุญที่จะตกมาถึงตัวในภายหลังนายรองก็ยังไม่สน พวกชาวบ้าน

ให้ความเคารพนับถือแก่พ่อส่วยแม่สายมาก จึงปรึกษากันว่า "หากจะให้ สองพ่อลูก คู่นี้ทะเลาะกันอยู่อย่างนี้

สงสัยผู้เป็นพ่อและแม่ จะไม่แก่ตายแน่ แต่ทว่า จะอกแตกตาย ต่างหาก" พวกชาวบ้านจึงพากันหาไม้มาสร้าง

บ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ในที่สาธารณะท้ายหมู่บ้าน แล้วก็ไปเชิญพ่อส่วยแม่สายให้มาอยู่อาศัย  แม้ไม่อยากจาก

ไป เพราะรักลูกและหลานๆ ทั้งสอง แต่ก็จำใจยอม เพราะอยากจะให้ปัญหามันหมดไป แม่เฒ่าร้องไห้อาลัย ดูไป

ก็น่าสงสารยิ่งนัก หลังจากสองตายายมาอยู่บ้านหลังนี้แล้วแกก็ทำมาหากินอะไรไม่ไหว เพราะแก่ด้วยกันทั้งคู่

แล้ว เรื่องอาหารการกินนั้น ลูกชายลูกสะใภ้ ไม่เคยหาอาหารมาให้กินเลย เรื่องนี้จึงตกเป็นภาระ ของชาวบ้าน

ทุกครัวเรือน ทุกๆ วันชาวบ้าน จะพากันมาส่ง ข้าวปลาอาหาร ราวกับว่า ตายายคู่นี้ เป็นพระอยู่ที่วัด ส่วนที่บ้านลูก

ชาย และลูกสะใภ้ของสองตายาย พวกชาวบ้านพากันรังเกียจ จึงไม่ค่อยมีใครไปคบค้าสมาคม จะมีก็แต่พวกขี้

เหล้า เมายา พวกนักเลงการพนันเท่านั้น ที่ไปคบหาสมาคม นอกนั้น ก็เป็นพวกมาหาซื้อ วัวควายเท่านั้น ที่ไปมา

หาสู่ หลังจากสองตายายคู่นี้ได้ย้ายออกมาเป็นปีที่สาม คือปี ๒๕๐๗ ในปีนั้นพอถึงฤดูหนาว อากาศ จะหนาว

มาก พอตกตอนเย็น พวกชาวบ้าน จะพากันก่อไฟผิงกันหนาว สองตายายก็เหมือนกัน เมื่อบ้านน้อยอยู่ริมทุ่ง

ยามลมหนาวพัดมา ก็ไม่มีบ้านหลังอื่น บังลมหนาวให้ สองตายาย จึงพากันก่อไฟผิง ตกดึกก็เข้านอน เป็นอยู่

อย่างนี้ไม่นาน เรื่องอันน่าสลดใจ ก็เกิดขึ้น คืออากาศมันหนาวมาก จนทำให้สองตายายคู่นี้ ทนไม่ได้ ถึงกับ

หนาวตาย ด้วยกันทั้งคู่ในปีเดียวกันนั้นเอง

       สองตายายตายไป ผู้เป็นลูกชายคนโตและชาวบ้าน ช่วยกันจัดการงานศพให้ ส่วนลูกชาย คนที่สอง และ

นางเนียน ลูกสะใภ้ ไม่เคยมาเหลียวแลเลย ในเรื่องการจัด งานศพพ่อแม่ ช่างใจจืด ใจดำ เสียนี่กระไรใจคน สม

แล้วที่เรียกว่า "ลูกเนรคุณ" หลังจากที่สองตายายตายไปแล้ว พวกนักเลงทั้งหลายก็หมดความเกรงใจ อีกต่อไป

มีแต่พวกขี้เหล้าเมายาที่พากันไปหลอกล่อเอาทรัพย์สมบัติ ด้วยการทำเป็นตีสนิท ชวนดื่มเหล้า เล่นการพนัน จน

ต้องขายวัวควายข้าวของที่มีไปจนหมด  เล่นเท่าไหร่ ก็เสียเพราะโดนคนอื่นโกง ไม่นานเข้าก็ติดทั้งเหล้าทั้งการ

พนันงอมแงม ข้าวของเงินทองที่มีก็เริ่มร่อยหรอ เริ่มเป็นหนี้เป็นสิน สุดท้ายทรัพย์สมบัติที่โลภอยากได้มาจากพ่อ

แม่นักหนาก็เป็นอันต้องหมดสิ้นไป นายรองกลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก กินเหล้าเมามายทุกวัน พอเมาแล้วก็เหมือนคน

เสียสติ มักจะพูดว่า "เอาสมบัติของกูคืนมา เอาสมบัติของกูคืนมา" และแล้วคืนวันหนึ่งในฤดูหนาวของปี ๒๕๑๓

เขาได้เดินหายออกจากบ้านไป พร้อมกับ ความเมาเหล้า อย่างเต็มที่ มันเป็นคืนที่เขาจากไปโดยไม่มีวันกลับมา

อีก ชั่วชีวิตนี้ ตอนเช้ามีคนไปพบว่า เขาได้กลายเป็นศพ นอนหนาวตายอยู่ข้างทางในหมู่บ้านนั้นเอง สันนิษฐาน

ว่า เขาเมาหนัก ไม่มีแรงเดิน จึงยึดเอาข้างถนนเป็นที่หลับนอน และเพราะ ความหนาวเย็น ของฤดูหนาว เขาจึง

หนาวตาย ในที่สุด "นี่แหละหนอ กรรมที่เขาเคยทำเอาไว้กับพ่อแม่อย่างไร ผลของกรรมนั้น มันก็ย้อน มาสนอง

เขา เช่นกัน" ส่วน นางเนียน บัดนี้ทรัพย์สมบัติที่เคยขี้โลภโกงเอามานั้น มันได้อันตรธานหายนะไปหมดแล้ว แม้

กระทั่งสามีก็มาตายไป นางเนียนจึงพาลูกน้อยทั้งสอง หอบหิ้ว กันเดินทาง กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านเก่า นี่

แหละคือ ผลกรรม ความขี้โลภ ของลูกเนรคุณ
 


เรื่องที่ 2 กรรมของการทำแท้ง
 (เรื่องเล่าจากพญ.ชัญวลี ศรีสุโข)
 
คุณหมู (นามสมมุติ) เป็นคนไข้รายหนึ่งมาหาหมอด้วยเรื่องอยากมีประจำเดือน

“หนูไม่มีประจำเดือนมาสองปีแล้วค่ะหมอ” เธอบอก

          เมื่อ ถามรายละเอียด พบว่าอยากมีประจำเดือน เพราะเธอเข้าใจว่าการไม่มีประจำเดือนทำให้เธอไม่มีลูก ตอนนี้

เธออายุแค่ ๒๒ ปี แม่ของสามีขู่ว่า ถ้าไม่มีลูก จะหาภรรยาใหม่ให้สามี เธอจึงวิตกกังวลและปรึกษามาหลายหมอ

แล้ว ประวัติ ของเธอคือ เมื่ออายุ ๒๐ ปี เธอมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก จนตั้งท้องได้ ๓ เดือน เมื่อไม่พร้อมเธอจึงไป

ทำแท้ง ให้หมอเถื่อนดูดและขูดมดลูกเอาเด็กทารกออก หลังทำแท้ง เธอสังเกตว่า ประจำเดือนมาน้อยมาก และ

ต่อจากนั้น ก็ไม่เคยมีประจำเดือนอีกเลย หลังจากเอาเด็กออก เธอก็แยกทางกับคู่รักและมาแต่งงานกับสามี ซึ่งมี

ฐานะดี และมีอายุมากกว่า ๑๐ ปี สามีเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จึงอยากมีลูกหลายๆ คน ก่อนมาหาดิฉัน เธอได้

ตรวจพิเศษเพิ่มเติมหลายอย่าง ผลการตรวจที่เธอนำมาให้ดูอย่างหนึ่งคือ รูปเอกซเรย์การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกนั้น เป็นการสืบค้นอย่างหนึ่ง เพื่อดูว่าปากมดลูก โพรงมดลูก ตลอดจนท่อรังไข่ตีบตัน

หรือมีเนื้องอกอะไรในอวัยวะภายในหรือไม่ ใช้สืบค้นสำหรับผู้มีบุตรยาก

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกของคุณหมูนั้นพบว่า  ไม่สามารถจะฉีดเข้าไปได้เลย ทางรังสีแพทย์วินิจฉัยว่า โพรง

มดลูกตีบตัน (Asherman’s Syndrome) เมื่อไม่มีโพรงมดลูก ก็ย่อมไม่มีประจำเดือน และไม่มีการตั้งครรภ์ 

โพรง มดลูกตีบตันนั้น พบได้ร้อยละ ๑๓ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขูดมดลูก จนมีการ

ทำลายเยื่อบุมดลูก และ/หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก  โดยทั่วไปสามารถรักษาได้

โดยใช้กล้อง (Hysteroscope) ส่อง เข้าไปในโพรงมดลูก จี้สลายพังผืด เพื่อให้โพรงมดลูกกลับมาปกติดัง

เดิม แต่สำหรับคุณหมูนั้น โพรงมดลูกตีบตันอย่างรุนแรง เนื่องจากเยื่อบุมดลูก ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นจากการ

ทำแท้งเถื่อน แสดงว่าต้องมีการขูดมดลูกที่รุนแรง และ/หรือมีการอักเสบติดเชื้อตามมา การไม่มีประจำเดือน

และการไม่มีลูก ล้วนแต่เป็นผลจากการทำแท้ง และเนื่องจากวิทยาการปัจจุบัน ยังไม่สามารถสร้างเยื่อบุมดลูก

เทียมได้ (ถ้ายังเหลือเยื่อบุมดลูกบ้าง การใช้ฮอร์โมนกระตุ้น ก็อาจได้ผล) จึงไม่สามารถให้มีลูก และทำให้

ประจำเดือนกลับมามีเป็นปกติได้ อยากมีลูก จึงมีวิธีเดียวที่ทำให้สมหวังได้ คือ “อุ้มบุญ” คือใช้ไข่ของคุณหมู

ผสมกับอสุจิของสามี และ นำไปฝากครรภ์คนอื่น ซึ่งวิธีนี้ คุณหมูก็รู้มาจากคุณหมอคนก่อนๆ แล้ว แต่เธอเล่าว่า

แม่สามีบอกว่า ถ้าจะหาคนอุ้มบุญ หาเมียใหม่ง่ายกว่าตอนนี้ แม้คุณหมูจะร้องไห้ จนน้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจ

แก้ปัญหา อยากมีลูกเองได้ นอกจากดิฉันจะอธิบายเหมือนหมอคนอื่นๆ ดิฉันก็ยังคิดในใจว่า...นี่กรรมจากการทำ

แท้งเถื่อนโดยแท้   ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องกรรมจากการทำแท้งนั้นพบได้มากมาย คนไข้คนหนึ่งไปทำแท้งเถื่อนตอน

ท้องได้ ๒ เดือน แต่ทารกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่รู้ สงสัยอยู่ว่า ทำไมมีเลือดออกอยู่เรื่อย มารู้อีกทีตอนท้อง ๖

เดือนแล้ว พบว่าภายหลังทารกคลอดออกมา เป็นเด็กพิการปัญญาอ่อน มีนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ครบ ทำให้คนเป็นแม่

ทุกข์ทรมานจาการเลี้ยงลูกปัญญาอ่อนพิการจนถึงปัจจุบัน คนไข้อีกคนหลังทำแท้งเถื่อน มีอาการปวดมดลูก

ตลอดเวลา ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้ เมื่อมาตรวจก็ไม่พบความผิดปกติ ภายหลังเธอตัดมดลูกทิ้งไป

ทั้งๆ ที่ยังไม่มีลูกสักคน เพราะเข้าใจว่าอาการปวดเกิดจากตัวมดลูก แต่ตัดมดลูกไปแล้ว ก็ไม่หายปวดท้อง

คนไข้อีกรายหนึ่งบอกว่า ตนยากจน เมื่อท้องได้ ๗ เดือน ได้ซื้อยาบีบมดลูก ที่ลักลอบขายมาเหน็บทำแท้งตน

เอง และมาแท้งลูกที่โรงพยาบาล เด็กยังอ่อนนักก็เสียชีวิต ตามธรรมเนียมเมื่อมีทารกตาย ก็จะแนะนำให้ญาตินำ

ศพเด็กไปทำบุญที่วัด ทำบุญนี้คือ ให้สัปเหร่อช่วยนิมนต์พระมาสวดและเผาศพ ใช้ค่าใช้จ่ายเพียงร้อยสองร้อย

แต่รายนี้เมื่อเด็กแท้งออกมา พ่อของเด็กคงนึกเสียดายค่าทำบุญ จึงนำศพลูกไปกดทิ้งในโถส้วมที่ปั๊มน้ำมันแห่ง

หนึ่ง ปรากฏว่าเด็กปั๊มแจ้งตำรวจ

เพราะคิดว่ามีการฆาตกรรมเด็ก ตำรวจจึงตามมาสอบสวน ผลคือ คนไข้รายนี้ต้องเสียเงินหลายพันบาท เป็นค่าปิด

ปากเด็กปั๊มและตำรวจ
                               
   
                       
                               
            ฟัง เรื่องเล่าทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา และได้ยินกันอยู่ทั่วไป บางคนก็รู้สึกสม

น้ำหน้า สะใจ กับคนที่ได้รับผลกรรมเหล่านี้ เพราะเขาสร้างเวรสร้างกรรมกันเองแท้ๆ แต่หากมีซักคนที่ฟังแล้วทำ

ดีมากขึ้น ทำชั่วน้อยลง นั่นก็ถือว่าเรื่องเล่าเหล่นี้มีประโยชน์มาขึ้นทีเดียว
 
          หลายครั้งหลายคราที่เราได้ฟังเรื่องเล่า เวรกรรมตามสนอง ผู้ประพฤติไม่ดี แต่น้อยคนนักที่จะมาเล่า

ถึงผลของกรรมดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นหมายความว่าเจ้ากรรมนายเวรจะตามจองล้างจองผลาญแต่กรรมชั่วอย่าง

นั้นหรือ  แล้วคนที่ทำดีมาตลอดชีวิตไม่มีเรื่องเล่าดีๆ บ้างหรือไร แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการ

ทำดีมีเกิดขึ้นถมไป เพียงแต่มันอาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นตกใจ หรือเป็นเรื่องราวยิ่งใหญ่อะไรนักเท่านั้น  แต่เชื่อเถอะ

ว่าคนที่มีความสุข ไม่ประสบทุกข์ร้อนใดๆ อยู่ทุกวันนี้ก็คือผลดีที่คุณได้รับจากการกระทำของคุณแล้ว  แม้มันจะ

เป็นแค่ความเชื่อ แต่ความสำเร็จอีกมากมายก็มีจุดเริ่มต้นจากความเชื่อไม่ใช่หรือ
 
หากความเชื่อ... ไม่ว่าเรื่องงภูตผีวิญญาณ สิ่งลี้ลับใดๆ

ช่วยให้คนสำนึกดีขึ้นมาได้แม้เพียงนิด

...เชื่อไว้ก็ดีนะ...





อ้างอิง : http://www.praphansarn.com/new/c_town/detail.asp?ID=28
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2010, 02:18:51 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา