ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - แมนแมน
หน้า: 1 [2] 3
41  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ควันหลงจากการไปดูหนัง เรื่องนี้ เห็น...... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 09:22:54 am

ตัดตอนมาจากเว็บนี้นะครับ เพราะที่เหลืออ่านไม่ได้ครับตัวหนังสือดูไม่ได้

http://board.dserver.org/w/wisuttipom/00000012.html



เถรวาท - มหายาน แตกต่างกันอย่างไร
ข้อความ : ผมอยากรู้ว่าพุทธศาสนาแบบ เถรวาท กับ มหายาน นั้นแตกต่างกันที่ตรงไหน แบบไหนดีกว่ากันครับ แล้วความเป็นมาอย่างไรพุทธศาสนาจึงแยกออกเป็นสองสายได้ครับ ผมอยากรู้จริงๆ

จาก : สมเกียรติ - 05/04/2001 09:53 


ข้อความ : ดีใจครับที่มีผู้ตั้งกระทู้นี้...เพราะผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า ผมจะเข้าใจถูกหรือเปล่า....เมื่อก่อนยังไม่มี มหายาน มีแต่หินยาน ( ซึ่งต่อมาเรียกว่าเถรวาท ) เนื่องจาก หินยาน มีความยากที่จะเข้าใจและปฏิบัติ ( ชื่อก็บอกแล้วว่า หิน ) จึงได้มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง แยกตัวออกมาและนำเอาคำสอนของหินยานมาประยุกต์ (ย่อย ) ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจและปฏิบัติได้ง่ายขึ้น...จากการประยุกต์นี้เองทำให้ มหายานมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากหินยาน ดังนี้....ของหินยานจะเน้นในเรื่องการปฏิบัติ (ทางจิต )เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์....ส่วนมหายานจะเน้นในเรื่อง การปฏิบัติ (ตัวตน ) ให้เป็นคนดีเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ ได้พบพระพุทธองค์...และถ้าจะว่าในรายละเอียดแล้ว ทั้งสองอย่างจะแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องพิธีกรรม...ประเทศในแถบเอเซีย ( ไทย ,พม่า , ลาว ,เขมร ) จะนับถือหินยาน ( แต่ปัจุบันเรายังเข้าใจและปฏิบัติกันผิดๆอยู่มาก..เรามักจะนำเอาพิธีกรรมและความเชื่อของมหายานเข้ามาปน ) ส่วนประเทศจีน , เวียดนาม จะนับถือมหายาน...

จาก : ว.สุวัจ - - bteerasak@hotmail.com - 10/04/2001 10:08 


ข้อความ : จริงๆแล้วทั้งสองนิกายก็ดีกันไปคนละแบบ อยู่ที่ผู้ศรัทธาครับ จะเลือกนับถือแบบไหน...ผมเข้าใจว่าจุดสูงสุดของมหายาน ก็อยู่ที่การพ้นทุกข์เหมือนกัน...แต่แนวทางปฏิบัติจะแตกต่างจากหินยาน ( อย่างมากๆ)
ที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านั้น ถ้าผู้รู้ท่านใด เห็นว่ายังไม่ถูก ยังไงก็ขอความกรุณาชี้แนะให้ด้วยครับ......

จาก : ว.สุวัจ - - ิbteerasak@hotmail.com - 10/04/2001 10:40 


ข้อความ : แล้วใครเป็นผู้ตั้งชื่อว่าปฏิบัติอย่างนี้ควรเรียกว่า หินยาน แบบนี้ควรเรียกว่า มหายาน

จาก : สมเกียรติ - 11/04/2001 08:19 


ข้อความ : เรื่องใครเป็นคนตั้งชื่อนี่ ผมเองก็จนด้วยเกล้า เหมือนกันครับ....คงต้องรบกวนผู้รู้....ให้ท่านช่วยอธิบายเพิ่มเติมแล้วล่ะครับ....

จาก : ว.สุวัจ - - bteerasak@hotmail.com - 11/04/2001 10:26 


ข้อความ : เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานใหม่ๆ พระฉันนะเป็นพระที่บวชเมื่อแก่ หัวเราะดีใจว่าจะได้ไม่มีใครมาจู้จี้จุกจิกว่าไอ้นี่ควรทำ ไอ้นี่ไม่ควรทำ ขนาดพระพุทธองค์เพิ่งปรินิพพานไม่นานยังมีคนจาบจ้วงขนาดนี้ พระมหากัสสปะจึงได้ริเริ่มรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่ากระทำสังคายนาที่เขาสัตตบรรพต มีพระอรหันต์เข้าร่วมสังคายนาจำนวนหนึ่ง มีพระอีกจำนวนหนึ่งแยกออกไปทำสังคายนาอีกที่นึง เรียกว่ากระทำมหาสังฆิกะ จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของมหายาน พวกมหายานเขาว่าเขาเป็นยานใหญ่ เขาจะขนเหล่าสัตว์ให้หมดก่อนถึงจะตามไป จะช่วยคนอื่นให้หมดโลกก่อนแล้วค่อยช่วยตัวเอง พวกนี้จึงยกตัวเองว่ายิ่งกว่าพวกเถรวาท เรียกเถรวาทอีกชื่อนึงว่าหินยาน ยานต่ำกว่า มหายานว่าเถรวาทว่าเป็นยานเล็ก เพราะเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดก่อนช่วยผู้อื่น การเผยแพร่ของ 2 สายนี้ไปกันคนละเส้นทาง เถรวาทนี่จะลงมาทางใต้ ส่วนมหายานขึ้นเหนือไปทางเส้นทางสายไหม ไปจีน ไปไต้หวัน ญี่ปุ่น มหายานเหมือนจิ้งจกมีการพัฒนาให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนที่เข้าไปเผยแพร่เพื่อให้สามารถอยู่ได้ คำสอนจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ต่างจากเถรวาทที่ไม่เคยเปลี่ยนมา 2, 544 ปีแล้ว มหายานจึงปรับไปเรื่อยๆ จากจีวรไม่สะดวกเพื่อความสะดวกจึงเปลี่ยนเป็นกางเกง เห็นฆราวาสมีภรรยาก็ปรับว่าเป็นพระก็มีภรรยาได้ เห็นฆราวาสกินข้าวเย็นก็ปรับว่ากินข้าวเย็นได้ พัฒนาจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วมังคะ

จาก : MaiY - 19/05/2001 14:00 


ข้อความ : ขอบคุณ คุณMaiY มากครับสำหรับคำอธิบายเพิ่มเติม ในเรื่องชื่อ
ว. สุวัจ

จาก : ว . สุวัจ - - wsuwaj@hotmail.com - 21/05/2001 10:09 


ข้อความ : มหายานหรือหินยาน ไม่แตกต่างกัน ด้วยเหตุที่มีจุดหมายเหมือนกันคือ นิพพาน (เข้าใจอย่างง่ายๆว่า ผู้ที่เป็นชาวพุทธนั้น ควรจะมีศีลห้าเป็นพื้นฐาน) พยายามปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นจะโลกสงสารนี้
"พระพุทธศาสนานั้นมิได้สอนให้ วอนขอ แต่สอนให้ปฏิบัติ"

จาก : ศิษย์มหายาน - 26/03/2003 19:55 


ข้อความ : พระมหายานนั้น ไม่สามารถที่จะมีภรรยาได้นะครับ และเหตุที่ใส่เสื้อและกางเกงนั้น เนื่องจากว่าภูมิประเทศมีอากาศหนาวเย็น และ พระภิกษุต้องทำไร่นาเองด้วยครับ

จาก : ศิษย์มหายาน - 26/03/2003 20:08 


ข้อความ : พระมหายานไม่สามารถมีภรรยาได้นะครับ ด้วยเหตุที่มีศีลในพระพุทธศาสานาเหมือนกับทางเถรวาททุกประการ
การที่พระภิกษุในมหายานนั้นใส่เสื้อ และ กางเกง เนื่องจากภูมิประเทศมีอากาศหนาวเย็น และวัดบางแห่งก็อยู่บนเทือกเขานะครับ

จาก : ศิษย์มหายาน - 26/03/2003 20:16 


ข้อความ : บุคคลหนึ่งคน สามารถนับถือสองนิกายได้หรือเปล่า

จาก : TUK - - www.chonda_4754112124.hotmail.com - 26/12/2004 12:40 


ข้อความ : เถรวาทกับมหายานก็คงไม่แตกต่างกันมากนะคะ เพราะว่าก็คงสอนให้ปฏิบัติดีเหมือนกัน ปฏิบัติให้บรรลุนิพพานเหมือนกันก็แล้วแต่ความเชื่อของคนที่จะเลือกนับถือแต่อยากรู้ว่าการเปลี่ยนนิกายไปนับถือนิกายอื่นจะทำได้ไหมคะ แล้วการนับถือศาสนาพุทธในต่างประเทศจะมีกี่นิกายคะ แล้วปฏิบัติกันอย่างไรคะ

จาก : นางสาว กนกวรรณ เรื่องฤทธิ์ - - www.d@khggo.com - 24/05/2005 12:07 

42  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Re: 49 ข้อสังเกตแปลกๆ บนสังคมเว็บ เมื่อ: มกราคม 20, 2011, 10:04:33 pm
สุดยอดครับ เจ๊หมวย ผมคงต้องเริ่มป่วน member ดัง ๆ อย่างเจ๊หมวยแล้วครับ
 :91:
43  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เดินเที่ยวชมเมืองแก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อ: มกราคม 20, 2011, 09:55:03 pm
















รายละเอียดเรื่องอ่านที่เว็บนี้ครับ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sompop&month=03-04-2010&group=13&gblog=30
44  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากทราบความหมาย ของคำว่า อธิษฐาน คืออะไรครับ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:54:53 pm
ผมยังอดที่จะนึกถึงคำว่า อธิษฐาน ในพระพุทธศาสนา

 กับ อธิษฐาน ที่ผมเข้าใจนั้นเป็นการอ้อนวอนขอร้อง เหมือนกันหรือไม่ครับ

 ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนี้ แล้วคำว่า อธิษฐาน ในพระพุทธศาสนานั้นแท้จริง หมายถึงอะไร ครับ

 :c017: :c017: :c017:
45  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จิตปภัสสร เป็นเช่นไร เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 03:08:21 pm
การวิปัสสนา ในปฏิจสมุปบาท

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1464.0

อ่านเสริมเรื่องนี้ด้วยนะครับ กับเรื่องอายะตะนะ
 :25:
46  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: แบทแมน (batman) เมืองไทย เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 03:27:14 pm
แมนแมน ก็อยากรู้จัก แบทแมน แต่ไม่กล้าทำอย่างแบทแมนเพราะกลัวโดนระเบิดครับ

 :13:
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม่ผัว กับ ลูกสะใภ้ ( อีกเรื่องที่เป็นอุทาหรณ์ ) เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:40:46 pm
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนของผมคนหนึ่งที่บ้าน โดยภรรยาเขาเป็นผู้รับสาย  ผมได้ทราบว่าเพื่อนผมไม่อยู่ไปราชการต่างจังหวัดหลายวันด้วยความคุ้นเคยที่ ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับผม ทำให้ผมเลยได้มีโอกาสพูดคุยทำนองปรับทุกข์กับภรรยาของเขาเป็นเวลานาน
 
เธอเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากที่เธอแต่งงานกับเพื่อนผม และเธอได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านของครอบครัวสามี ซึ่งมีคุณแม่ของสามีอาศัยอยู่ด้วย เธอรู้สึกอึดอัดมาก ปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ที่มักเคยปรากฏตามหนังสือ นวนิยาย หรือละครโทรทัศน์ก็เกิดขึ้นกับเธอ  ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบแม่สามีเอามากๆ เธอรู้สึกว่านางเป็นคนแก่ที่จู้จี้ ขี้บ่นและน่ารำคาญเป็นที่สุด  ตัวเธอมีเรื่องทะเลาะกับแม่สามีได้ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้เธอคิดที่จะแยกออกไปอยู่ต่างหากฉับสามีภรรยาเพื่อให้พ้นหูพ้นตาแม่สามี ไปเสีย เธอเอ่ยถามเพื่อขอความเห็นจากผมในฐานะเพื่อน

ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายเป็นอย่างดีเลยขอให้คำแนะนำเธอด้วยการเล่า นิทานให้เธอฟังเรื่องหนึ่ง   เป็นเรื่องระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้เหมื่อนอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่ 

         การที่แม่สามีและลูกสะใภ้ต้องทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่เสมอทำให้ ผ่ายชายซึ่ง เป็นสามีและเป็นลูกได้แต่เอามือกุมขมับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะนั่นก็แม่นี่ก็เมียเลยมักที่จะหลบหน้าออกไปทำงานให้ไกลๆจะได้ไม่ต้องมา รับรู้ปัญหาระหว่างแม่และเมีย

แล้ววันหนึ่งก็เกิดปัญหาทะเลาะกันอย่างที่เคย ตัวภรรยาเองรู้สึกแค้นแม่ของสามีมากจึงตัดสินใจวางแผนที่จะฆ่าแม่สามีให้ ตาย

เธอจึงเดินทางไปหาเพื่อนพ่อของเธอที่เป็นพ่อค้าขายสมุนไพร และเอ่ยปากขอให้เจ้าของร้านจัดยาพิษให้เพื่อเธอจะได้วางยาฆ่าแม่สามีให้ตาย สมใจปรารถนา เจ้าของร้านได้นำเอาผงสมุนไพรมาให้เธอถุงหนึ่งและบอกเธอว่ามันจะช่วยแก้ ปัญหาให้กับเธอได้อย่างแน่นอน แต่ผงสมุนไพรนี้จะต้องถูกนำไปผสมกับอาหารที่แม่สามีชอบ และต้องให้ทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาด

ที่สำคัญคือเธอต้องเป็นผู้วางยานี้ด้วยตนเอง เขาขอให้เธอทำดีกับแม่สามีเพื่อให้เธอตายใจ อย่าไปชวนทะเลาะ หรือขัดใจ เพื่อให้แม่สามียอมรับประทานอาหารที่เธอจัดให้จนหมดโดยพงสมุนไพรนี้จะออก ฤทธิ์ที่ละน้อยๆ ให้แม่สามีค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ และไร้ร่องรอย

ลูกสะใภ้ดีใจและรีบนำยาพิษนั้นกลับไปผสมอาหารให้แม่สามีทานทุกมื้อ เธอพยายามปรุงอาหารคาวหวานที่ล้วนเป็นของชอบเป็นอาหารโปรดของแม่สามี ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามเอาใจ ด้วยการขยันทำงานบ้านไม่เถียงไม่ทะเลาะกับแม่สามีอีก เธอพยายามทำดีกับแม่สามีเพื่อที่จะไม่ให้มีใครสงสัย โดยคิดอยู่เสมอว่าอย่างไรเสียแม่ของสามีจะต้องตายอย่างแน่นอน

           แต่พอทำดีกับแม่สามีไปนานวันเข้า เธอเริ่มมองเห็นความดีของแม่สามีซึ่งนอกจากจะไม่ด่าไม่ว่าเธออีกต่อไปแล้ว   หลายๆ ครั้งนางยังช่วยเธอทำงานบ้าน แถมยังแอบไปชมเธอให้บรรดาเพื่อนบ้านฟังอยู่เรื่อยๆ 

ตัวสามีเองเมื่อเห็นว่าบ้านมีความสงบก็ไม่ออกไปไหนไกลๆ กลับบ้านทุกเย็นได้อยู่พูดคุยกันด้วยความสนุกสนานทั้งสามคน ครั้นแล้วตัวลูก สะใภ้เองเริ่มรู้สึกว่าบ้านมีความสุข เธอก็รู้สึกผิดไม่สบายใจและรีบไปที่ร้านสมุนไพรอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอยาแก้ พิษก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นกับแม่สามีและสามีจะรู้

ที่ร้านขายยาเจ้าของร้านบอกกับเธอว่า  ไม่มียาแก้พิษหรอก......  เมื่อเธอได้ยิน ถึงกับหน้าซีด เธอดูผิดหวังและเสียใจอย่างมาก แต่เจ้าของร้านก็พูดต่อว่า

ความจริงแล้วผงสมุนไพรที่ให้ไปมันเป็นยาบำรุงไม่ใช่ยาพิษตามที่เข้าใจ

เพราะจริงๆ แล้วยาพิษนั้นมันอยู่ในใจของเธอ อันได้แก่ความพยาบาท ความเกลียดชัง ทิฐิ และการเห็นแก่ตัว ซึ่งเธอได้ถอนออกจากใจของเธอจนหมดแล้ว การตอบแทนความเกลียดชังด้วยความ เกลียด นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นในจิตใจของคนเราอีกด้วย…….

พอผมเล่าจบเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความเห็นอะไรจากผมอีก ผมเข้าใจว่าหลังจากเธอวางสายไปเธอคงเข้าใจว่า 

หากเธอต้องการความรักความเข้าใจจากใครก็ตามสิ่งที่เธอต้องมีและให้กับคนนั้นก่อน  ก็คือความรักและความเข้าใจ และด้วยการแสดงออกของความรักและความเข้าใจของสมาชิกทุกๆ คนในครอบครัว

      จะเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้ทุกๆ เรื่อง หากเราพบความขัดแย้ง ความเกียจชังหรือความไม่ดีไม่งามในชีวิต การตอบโต้กับความขัดแย้ง ความเกียจชัง และความไม่ดีไม่งาม ด้วยความอาฆาตพยาบาทนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรง มากยิ่งขึ้นอีก จงจำไว้ว่า หากเราต้องการเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้นเราต้องพยายามที่จะคิดว่าเราจะสร้างความดีและมอบความรักให้กันให้ มากขึ้นได้อย่างไร?.....?

 

By: พี่ชาย
fw ma
48  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ หลวงพ่อแพ เขมังกโร วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 03:31:25 pm

ประวัติ หลวงพ่อแพ เขมังกโร วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี    

๏ อัตโนประวัติ

“พระธรรมมุนี” หรือ “หลวงพ่อแพ เขมังกโร” มีนามเดิมว่า แพ ใจมั่นคง เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๘ ตรงกับขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านสวนกล้วย เลขที่ ๙๓/๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี บิดาชื่อ นายเทียน ใจมั่นคง มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง

เมื่ออายุได้ ๘ เดือน โยมมารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม ดังนั้น นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ สามีภรรยาซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอเด็กชายน้อยๆ ที่มีอายุเพียง ๘ เดือน จากนายเทียน ใจมั่นคง โยมบิดาผู้บังเกิดเกล้า โดยรับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม

๏ การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้น

เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี โยมบิดา-มารดาบุญธรรม (นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์) ได้นำเด็กชายแพไปฝากอยู่วัดกับสำนักอาจารย์ป้อม เพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม คือ การเรียนภาษาไทย ภาษาขอม นอกจากนั้น ยังได้เรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจ ทางธรรมก็มีพระมาลัยสูตร และยังได้หัดอ่านพระธรรมเจ็ดคัมภีร์

ปี พ.ศ.๒๔๖๑ เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี โยมบิดา-มารดาบุญธรรมได้ส่งไปศึกษาต่อที่สำนักวัดอาจารย์สม ภิกษุชาวเขมร วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ การศึกษาในกรุงเทพฯ ขั้นแรกได้เริ่มเรียนหนังสือโบราณท่องสนธิ (อัตโถ อักขระสัญญโตฯ), เรียนมูลกัจจายนสูตร เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมา ก็ไปเป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

๏ การบรรพชา

ครั้นต่อมาปี พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อศึกษาหาความรู้จนอายุได้ ๑๖ ปี ก็ได้เดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อเยี่ยมเยียนโยมบิดาผู้ให้กำเนิดและโยมบิดา-มารดาบุญธรรม เมื่อบุพการีทั้งสามของท่านเห็นว่าท่านโตพอสมควรแล้ว จึงได้ให้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ ณ วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพัน จันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์

ครั้นเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้เดินทางกลับไปอยู่วัดชนะสงคราม ตามเดิม จนเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ ท่านสามารถสอบไล่นักธรรมชั้นตรีได้ (ในสมัยนั้นผู้เข้าสอบต้องอายุ ๑๙ ปีจึงจะมีสิทธิ์ เข้าสอบได้) นอกจากนี้แล้ว ท่านยังได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อไปอีก จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ นับว่าได้นำเกียรติมาสู่วัดชนะสงคราม เป็นอย่างมาก จากนั้นท่านได้ไปเล่าเรียนที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยเป็นศิษย์ของ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี)

ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ นายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ได้ถึงแก่กรรม ท่านจึงเดินทางกลับไปจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อจัดการศพโยมบิดา แล้วกลับมาอยู่วัดชนะสงครามเช่นเดิม

๏ การอุปสมบท

สามเณรเปรียญแพ ขำวิบูลย์ ได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในวันขึ้น ๖ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันพุธที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๙ ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมังกโร” แปลว่า “ผู้ทำความเกษม”

ภายหลังจากอุปสมบทแล้ว พระแพ เขมังกโร หรือมหาแพ ก็ได้เดินทางกลับสู่วัดชนะสงคราม เพื่อตั้งใจศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ให้ได้ในระดับสูงที่สุด เพื่อที่จะได้นำความรู้ ความสามารถที่ได้ฝักใฝ่ศึกษาเล่าเรียนนั้น นำไปสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์ต่อชุมชนและพระพุทธศาสนาอย่างเต็ม ที่ พระแพ เขมังกโร พยายามที่จะศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ อ่านหนังสือตำราเรียนอยู่เสมอ และในปีเดียวกันนั้นท่านสอบนักธรรมชั้นโทได้

โดยความมุมานะพยายาม โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขหรือตะเกียง โดยส่วนมากเพราะสาเหตุนี้ นัยน์ตาอันเป็นส่วนสำคัญของสังขาร ก็เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ตรากตรำอ่านหนังสือมากเกินไปในที่สุด นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้แนะนำไม่ให้อ่านหนังสืออีกต่อไป มิฉะนั้น นัยน์ตาอาจพิการได้

ดังนั้นภายหลังจากสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมก็ต้องยุติลง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจใฝ่การศึกษา พระแพ เขมังกโร จึงได้ศึกษาและปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐานในสำนักของพระครูภาวนาฯ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จนชำนาญและดำเนินการสั่งสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป

ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๗๑-๒๔๗๒ ท่านได้รับหน้าที่เป็นครูสอนบาลี โดยสอนตามคณะต่างๆ ของวัดชนะสงคราม

๏ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง

ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ พระอาจารย์หยด พวงมสิต เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขา ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างเว้นลง ชาวบ้านพิกุลทองและชาวบ้านจำปาทองจึงนิมนต์ให้พระแพ มารับเป็นเจ้าอาวาส ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๗๔ ขณะนั้นท่านได้เดินทางกลับมาเยี่ยมโยมบิดาและญาติพี่น้อง ซึ่งท่านได้พำนักอยู่ที่วัดพิกุลทอง

ท่านเห็นว่าวัดพิกุลทองเป็นวัดบ้านเกิดเมืองนอน ตอนนี้เสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะพระอุโบสถซึ่งสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๐ และขณะนั้นท่านได้หยุดพักรักษานัยน์ตา ประสงค์จะพักผ่อนหาความสงบ คิดว่าเมื่อตาหายดีแล้ว ก็จะไปศึกษาบาลีนักธรรมต่อตามความตั้งใจเดิม จึงรับปากว่าจะมาอยู่วัดพิกุลทอง ในระหว่างที่ยังว่างเว้นเจ้าอาวาสอยู่ ซึ่งในขณะนั้นพระแพ มีอายุเพียง ๒๖ ปี

ปี พ.ศ.๒๔๘๒ คณะสงฆ์แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลถอนสมอ และในปีเดียวกันหลวงพ่อพิจารณาเห็นว่าพระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมาก เมื่อพระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรมแต่ละครั้ง ต่างกลัวไม้หลังคากระเบื้องจะหล่นถูกศีรษะ ไม่มีจิตเป็นสมาธิ ท่านจึงริเริ่มคิดที่จะบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ

๏ เริ่มเรียนจิตศาสตร์

เมื่ออายุประมาณ ๒๔-๒๕ ปี สมัยยังศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านได้เริ่มสนใจในทางปฏิบัติเพื่อหาความสงบทางใจ จึงเข้าอบรมและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในสำนักพระครูภาวนาฯ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ท่าเตียน) ได้ความรู้ในแถวทางปฏิบัติมาพอสมควร และยังได้ศึกษาจากท่านอาจารย์พระครูใบฎีกาเกลี้ยง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเป็นพระฐานานุกรมและศิษย์ผู้ใกล้ชิด สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านสร้าง-ลบผงพุทธคุณ พระครูใบฎีกาเกลี้ยงท่านได้เมตตาสั่งสอนอบรม และมอบตำราเกี่ยวกับจิตศาสตร์วิทยาคมให้

ต่อมาทราบว่าในท้องที่อำเภอบางระจัน มีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมอยู่รูปหนึ่ง มีคนนับถือและเกรงกลัวมากเพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชื่อ หลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ ท่านจึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ จนมีความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อศรี เป็นอย่างยิ่ง

ท่านเล่าว่า หลวงพ่อศรี เมตตาสอนวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบังอำพราง และในขณะที่ก่อสร้างพระอุโบสถ หลวงพ่อศรีก็แนะนำให้ท่านสร้างแหวน และทุกครั้งที่ท่านได้สร้างเสร็จ ท่านจะนำไปถวายหลวงพ่อศรีปลุกเสก (ท่านถามหลวงพ่อศรีว่า สร้างแล้วคนนิยมกันไหม หลวงพ่อศรี ท่านบอกว่านิยมมาก ให้สร้างมากๆ ท่านจะสนับสนุน) ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อศรีนี้เอง ทำให้ท่านได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ได้สำเร็จในเวลา ๒ ปีเศษ

๏ หล่อสมเด็จทองเหลือง

เมื่อหลวงพ่อมีบารมีมากขึ้นตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ท่านเป็นประธานในการก่อสร้างวัด พระวิหาร และถาวรวัตถุต่างๆ มากมายหลายวัด และเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทางวัดทางแถบอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ก็ได้นิมนต์ท่านไปร่วมงาน

หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์ โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิดว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลาเช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่ามมีเพียงของเล็กๆ น้อยๆ แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของที่แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก

ญาติโยมช่วยกันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ ไม่สามารถติดตามคืนได้ หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจากอาจารย์หยด ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อน

ด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่ออธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จขึ้นใช้เอง และแจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธา จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๙๔ ประมาณเดือน ๖ ท่านได้นำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้านใต้โบสถ์หลังเก่า โดยได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธีนำมาหล่อ เช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก

๏ ไปประเทศอินเดีย

ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๔ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่คับคั่งไปด้วยศิษยานุศิษย์เกือบจะเต็มศาลาการเปรียญ วันนั้นหลวงพ่อได้กล่าวออกมาด้วยความปิติต่อชุมชนว่า การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ เสมือนกับบุตรไปเยี่ยมภูมิประเทศบิดา เพื่อเป็นการถวายสักการบูชา เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ ในเมื่อมีโอกาสก็ควรจะกระทำ ซึ่งการเดินทางไปอินเดียในครั้งนี้จะประกอบกิจเป็นกรณีพิเศษ ๒ ประการ คือ

ประการที่หนึ่ง เพื่อตั้งใจนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล อันได้แก่ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน ซึ่งนับว่าเป็นมหากุศลพิเศษ

ประการที่สอง เพื่อเดินทางไปสร้างพระสมเด็จรุ่นพิเศษ พิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อมวลสารประกอบด้วยผงวิทยาคม ที่ (ได้ลบผง) สะสมไว้แล้ว จะผสมดินที่พระพุทธเจ้าของเราประสูติ ตรัสรู้ และปฐมเทศนาด้วย

เวลา ๑๔.๐๐ น. หลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถ นมัสการพระประธาน แล้วไปนมัสการรูปหล่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ณ วิหารสมเด็จของวัด แล้วเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักที่วัดชนะสงคราม คณะ ๑๐ หนึ่งคืน

วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๔ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ถึงประเทศอินเดีย จากนั้นเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ของอินเดีย และเดินทางสู่พุทธคยาในตอนค่ำ

วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ได้เดินทางไปนมัสการต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ หลวงพ่อและคณะได้นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงแล้ว ได้เริ่มผสมผงเพื่อพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์เป็นปฐมฤกษ์ หลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิจิตรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เสกพิมพ์พระปรกโพธิ์ แล้วจึงกดพิมพ์ ด้วยจิตที่มุ่งส่งกระแสจิตเพื่อบรรจุในองค์พระ ณ ควงไม้โพธิ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าพิมพ์ปรกโพธิ์ที่สร้างขึ้น มีมงคลฤกษ์ ณ สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นำไปบูชา

เวลา ๑๑.๐๐ น. เดินทางกลับมาที่วัดไทยพุทธคยา เพื่อฉันภัตตาหารเพล พักผ่อนพอสมควรแล้ว ตอนบ่ายหลวงพ่อได้เดินทางไป ณ ควงต้นศรีมหาโพธิ์ อีกครั้งหนึ่งเพื่อนมัสการเป็นคำรบสอง และปลุกเสกพิมพ์พระ และผงที่ผสมในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ โดยประสงค์เพื่อจะนำกลับมาเพื่อเป็นชนวนผสมสร้างพระให้พอเพียงแก่ผู้มีจิต ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ จะได้นำไปบูชาสักการะและติดตัว เพื่อคุ้มครองทุกหนทุกแห่ง

และหลังจากนั้นหลวงพ่อได้เดินทางไปยังสถานที่ปฐมเทศนา ปรินิพพาน และประสูติ ตามลำดับ และยังได้เดินทางไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ อีกมากมาย ท่านได้เดินทางกลับประเทศไทย ในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๔ ใช้เวลาเดินทางรวม ๑๓ วัน

๏ บูรณะค่ายบางระจัน

ค่ายบางระจันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนท้องถิ่นและผู้ไปเที่ยวชมมากต่อมาก โดยเฉพาะก้อนอิฐ ซึ่งแต่ละก้อนจะประทับดอกจันทร์ไว้ ชาวบ้านเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และต้นไม้แดงซึ่งมีมากบริเวณค่าย ไม่มีใครสามารถตัดได้ แม้แต่กิ่งแห้งเหี่ยวหักตกลงมา ชาวบ้านหรือแม้กระทั่งพระในวัด นำไปเป็นฟืนหุงต้มยังวิบัติ และสิ่งสำคัญและศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งก็คือสระน้ำหน้าวิหารพระอาจารย์ ธรรมโชติ สมัยก่อนมีปลาชุมคลักอยู่ก้นบ่อ ผู้ใดจับไปกินจะเกิดอาเพศต่างๆ แม้น้ำในบ่อเคยมีคนนำไปเติมหม้อน้ำรถ หม้อน้ำก็ยังระเบิด

ชาวบ้านบางระจันจึงพร้อมใจยอมรับกันว่า มีแต่หลวงพ่อเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำในการบูรณะครั้งนี้ โดยแต่เดิมท่านก็ได้ดูแลมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๘ จนในปี พ.ศ.๒๕๐๘ คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งให้ท่านเป็นกรรมการฟื้นฟูและบูรณะค่ายบางระจัน และปลูกต้นโพธิ์ อีก ๘ ต้น รวมกับต้นเก่าที่มีอยู่แล้ว อันเป็นสัญลักษณ์ของวัดโพธิ์เก้าต้น

๏ ไปประเทศศรีลังกา

วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๕ หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปกับคณะพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เพื่อไปร่วมประชุมและสังเกตการณ์ โดยมีพุทธศาสนิกชนจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศศรีลังกา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้หลวงพ่อแพท่านได้ประทับพิมพ์พระสมเด็จฐานสิงห์เป็น ปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ณ วัดศรีมหาโพธิ์

๏ สร้างพระอุโบสถหลังใหม่

หลวงพ่อแพ ท่านได้ตัดสินใจสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในวันเพ็ญเดือน ๓ ตรงกับวันมาฆบูชา เพื่อให้เพียงพอสำหรับพระภิกษุและสามเณรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และในวันสำคัญในศาสนา ประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลในพระอุโบสถได้มากขึ้นด้วย

แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ การหาเงินปัจจัยในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งท่านต้องใช้งบจำนวนมาก ซึ่งท่านได้เตรียมพระสมเด็จปรกโพธิ์ซึ่งท่านได้ตั้งใจสร้างล่วงหน้าไว้ ณ ประเทศอินเดีย เพื่อมอบให้แก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถ จึงได้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕ ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง ๑ ปีเศษ เป็นพระอุโบสถที่หลังใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดที่มีอยู่ในภูมิภาค เป็นปูชนียสถานที่มีการแกะสลักลวดลายประตูหน้าต่าง อย่างวิจิตรงดงามตระการตา เป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของผู้พบเห็น

อีกทั้งยังสร้าง “พระพุทธสุวรรณ มงคลมหามุนี” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวสิงห์บุรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่งปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หน้าตักกว้าง ๑๑ วา ๒ ศอก ๗ นิ้ว สูง ๒๑ วา ๑ คืบ ๓ นิ้ว ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ ๒๐ ล้านบาท

๏ งานด้านการศึกษา

ด้านการศึกษาท่านได้ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทำการเปิดสอนแผนกธรรมและภาษาบาลีขึ้น ในวัดพิกุลทองตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๗๕

๏ งานด้านสาธารณประโยชน์

นับตั้งแต่พระแพ เขมังกโร ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ภายในวัด และสาธารณประโยชน์ทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ ดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ, ศาลาการเปรียญ, หอสวดมนต์, หอประชุมกุฎิสงฆ์, หอไตร, หอฉัน, ศาลาวิปัสสนา, โรงฟังธรรม, ฌาปนสถาน, ศาลาเอนกประสงค์ และเขื่อนหน้าวัด เป็นต้น รวมทั้ง ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่สาธุชนและประชาชน ทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้

๑. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอท่าช้าง

๒. เป็นประธานในการก่อสร้างที่ว่าการอำเภอท่าช้าง

๓. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีตำรวจอำเภอท่าช้าง

๔. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีอนามัยตำบลพิกุลทอง

๕. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดพิกุลทอง

๖. เป็นประธานในการหาทุนสมทบในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภออินทร์บุรีและสะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอท่าช้าง

๗. ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี ดังนี้

พ.ศ.๒๕๒๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๘๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น มูลค่า ๑๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ๘๙ เตียง ปัจจุบันเป็นอาคารหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกชาย-หญิง, หอผู้ป่วยหู-ตา-คอ-จมูก และหอผู้ป่วยพิเศษ พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่อาพาธในโรงพยาบาลสิงห์บุรี เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)

พ.ศ.๒๕๓๒ ก่อสร้างอาคารเอ็กซเรย์ (อาคารหลวงพ่อแพ ๘๖ ปี) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๒ ชั้น มูลค่า ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๓ ปัจจุบันเป็นอาคารกลุ่มงานรังสีวิทยา สำนักงาน และห้องประชุม

พ.ศ.๒๕๓๔ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๖ ชั้น มูลค่า ๓๕,๐๙๕,๕๕๕ บาท (สามสิบห้าล้านเก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) อาคารหลังนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ เวลา ๐๙.๐๙ น. และเปิดให้บริการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๗ โดยชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๕ เป็นหอผู้ป่วยสามัญ ชั้นที่ ๖ เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน ๑๕ ห้อง และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๙ พ.ศ. ๒๕๓๘

พ.ศ.๒๕๓๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร ๙๔ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๙ ชั้น มูลค่า ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๘ อาคารหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย ๑๑,๔๓๐ ตารางเมตร โดย ชั้นที่ ๑-๒ เป็นแผนกบริการผู้ป่วยนอก ชั้นที่ ๓-๔ เป็นฝ่ายอำนวยการ ชั้นที่ ๕-๙ เป็นห้องผู้ป่วย จำนวน ๖๐ ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๑

นอกจากด้านศาสนาแล้ว ท่านยังช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วย มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย โดยเฉพาะในส่วนของโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้รับความอนุเคราะห์จากพระเดชพระคุณ หลวงพ่อแพ ดังจะเห็นได้จากการก่อสร้าง อาคารหลวงพ่อแพ ๘๐ ปี, อาคารหลวงพ่อแพ ๘๖ ปี (อาคารเอ็กซเรย์), อาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี ที่เด่นเป็นสง่า และดูสวยงามภายในโรงพยาบาสิงห์บุรี และปัจจุบันกับอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร ๙๔ ปี ที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ด้วยเพราะบุญบารมีของหลวงพ่อแพ ที่ท่านมอบต่อสาธุชนด้วยเมตตาธรรม อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พัฒนาและก่อสร้างศาสนสถานให้กับวัดอื่นๆ อย่างมากมาย

๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ.๒๔๘๒ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลถอนสมอ

พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ และเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง

พ.ศ.๒๔๘๔ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง

พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี

๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ.๒๔๘๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ทำกิจปริยัติธรรมวินัย ในราชทินนามที่ พระครูศรีพรหมโสภิต

พ.ศ.๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ พระสุนทรธรรมภาณี

พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชสิงหคณาจารย์

พ.ศ.๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพสิงหบุราจารย์

พ.ศ.๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ ในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ ๕๐ ปี (พระราชพิธีกาจญนาภิเษก) ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมมุนี

๏ เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย

หลวงพ่อแพ เป็นพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ มีเมตตาเป็นที่สุด มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง อาทิเช่น ประเทศฮ่องกง, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย เป็นต้น วัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้นทุกรุ่นของท่านนั้นปรากฏพุทธคุณสูงเยี่ยมในทุกๆ ด้าน ล้วนได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นที่เลื่องชื่อลือชาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีประสบการณ์มากมาย ทั้งแคล้วคลาด คุ้มครอง โชคลาภ ค้าขายร่ำรวย

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อแพ ท่านได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างเอนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมา ท่านเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไป ได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่างๆ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวสิงห์บุรีและพุทธศาสนิกชนทั่วไป จนได้รับความเคารพยกย่องถึงกับมีการขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย”

๏ การมรณภาพ

ในระยะหลัง หลวงพ่อได้งดรับกิจนิมนต์ โดยคำแนะนำจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากไม่สามารถพยุงตัวเองได้ รวมทั้งมีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน และโรคชรา จนเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ทางคณะแพทย์ไดเห็นสมควรนำหลวงพ่อเข้าพักรักษาพยาบาล ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากตรวจพบว่าหลวงพ่อเป็นโรคปอดอักเสบ ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนอาการดีขึ้น

ต่อมาในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ท่านอาการทรุดลง จนกระทั่งเวลา ๐๑.๓๐ น. ของวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ท่านได้มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้สึกตัว และหัวใจหยุดเต้น ทางคณะแพทย์ได้ทำการช่วยจนหลวงพ่อฟื้นคืนชีพได้สำเร็จ และทางได้ถวายดูแลรักษาจนอาการดีขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงพ่อท่านได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้อง ๙๐๑ ชั้น ๙ อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร ๙๔ ปี โรงพยาบาลสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี สิริอายุรวม ๙๔ พรรษา ๗๓

ปัจจุบัน ทางวัดพิกุลทองยังคงประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อแพเอาไว้ เพื่อให้ศรัทธาญาติโยมและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้สักการบูชากราบไหว้ตลอดมา

ที่มาเนื้อหา
http://www.buddhawax.com
49  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค อ.ตาคลี นครสวรรค์ เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 03:20:38 pm

หลวงพ่อพรหม ถาวโร

ถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปี มะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พศ. 2426 ณ.ตำบลบ้านแพรก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บุตรนายหมี-นางล้อมโกสะลัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน คือ

1.นางลอย

2.นายปลิว

3.หลวงพ่อพรหม

4.นางฉาบ

ทุกคนถึงแก่กรรม

หลวง พ่อพรหมในขณะเยาว์วัยได้ศึกษา อ่านเขียนกับพระในวัดใกล้บ้าน ศึกษาอักษรขอมควบคู่กับภาษาไทยตั้งแต่ก่อนอุปสมบท เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดเขียนลาย ต.บ้านแพรก อ.บ้านแพรก จ.อยุธยา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2447 ได้รับฉายาว่า "ถาวโร" โดยมีหลวงพ่อถม วัดเขียนลาย เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมจนชำนาญและเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

หลวง พ่อพรหมเริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมกับอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ชื่ออาจารย์พ่วง ต่อมาเมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษาอสุภกรรมฐาน สมถะกรรมฐาน วิปัสสนา จากหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ไม่ทราบวัดอยู่ประมาณ 4 ปี ในพรรษาที่ 5 อาจารย์พ่วง ได้พาไปฝากอาจารย์ปู่วอน ซึ่งเป็นฆราวาส และได้ศึกษาวิชาแขนงต่างๆเป็นเวลา 5 ปีเต็ม จนกระทั่งอาจารย์ปู่วอนถึงแก่กรรม ซึ่งในภายหลังหลวงพ่อพรหมได้นำกระดูกมาเก็บไว้ที่วัดช่องแค จากนั้นหลวงพ่อพรหม ก็ไม่ได้ไปศึกษากับอาจารย์ท่านใดโดยตรงมีแต่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิชากับอาจารย์ รุ่นพี่และรุ่นเดียวกันในระหว่างธุดงค์ เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นต้น

หลวง พ่อพรหมจะเดินธุดงค์ทั้งเส้นทางใกล้และไกล โดยหลวงพ่อเคยเดินธุดงค์ไปประเทศพม่าถึงเมืองร่างกุ้ง และได้มีโอกาสที่มนัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง และเดินธุดงค์ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ และธุดงค์อยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน จึงเดินทางกลับประเทศไทยทางด่านแม่ละเมา จ.ตาก และเดินเรื่อยๆไปจนถึงเขาช่องแค ต.พรหมนิมิตร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกิดฝนตกหนัก หลวงพ่อได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อเห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม จึงเริ่มปลูกต้นไม้แห่งศรัทธาลง ณ. ช่องเขาแห่งนี้

ขณะที่หลวงพ่อจำศีลปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ที่วัดช่องแคมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่แล้ว 2 รูป แต่ยังไม่มีเจ้าอาวาส ภายในวัดยังไม่มีเสนาสนะใดๆ บริเวณวัดรกร้าง

ต่อ มาชาวบ้านในแถวนั้นซึ่งมีความนับถือเลื่อมใสหลวงพ่อได้นิมนต์ให้หลวงพ่อลงมา จำพรรษาข้างล่าง คือวัดช่องแคในปัจจุบัน หลวงพ่อพรหมจึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดช่องแค โดยที่ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคที่ดินเพิ่มขึ้น หลวงพ่อพรหมได้เริ่มต้นสร้างวัดจากวัดที่รกร้างไม่มีเสนาสนะใดๆ เมื่อปี 2460 มาเป็นวัดที่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซึ่งส่วนหนึ่งของทรัพย์สินมาจากการขายสมบัติส่วนตัวและมรดกของหลวงพ่อเอง ต่อมาเมื่อทางวัดจะสร้างโบสถ์ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์สูง คณะกรรมการของวัดจึงขอ อนุญาติหลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลขึ้น

หลวงพ่อพรหม ชอบระฆัง การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมีรูประฆังและกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่อพรหม

หลวงพ่อพรหมไม่เคยย้ายไปอยู่วัดใดเลยตลอดระยะเวลา 58 ปี โดยที่หลวงพ่อได้ลาออกจากเจ้าอาวาสเมื่อปี 2514 รวมเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแค 54 ปี เพื่อให้พระปลัดแบงค์ ธมมวโร เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน หลวงพ่อพรหม มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2518 เมื่อเวลา 15.00 น. ณ.โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี รวมอายุได้ 91 ปี 71 พรรษา

หลัง จากหลวงพ่อพรหม มรณภาพแล้ว คณะกรรมการวัดได้บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้ว อยู่บนศาลาการเปรียญ ศพของหลวงพ่อพรหมไม่เน่าเปื่อย มด ไร มอด และ แมลง ไม่ได้รบกวนทำลายชิ้นส่วนใดๆในร่างกายของท่านแม้แต่น้อย คล้ายกับหลวงพ่อนอนหลับอยู่ แม้ว่าท่านจะมรณภาพมาแล้วถึง 30กว่าปี

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ หลังจากหลวงพ่อได้มรณภาพแล้วศพของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อย แถม

1.เส้นผมงอกยาว 5-6 มม.

2.เส้นขนคิ้วงอกยาว 5-6 มม.

3.เส้นขนตางอกยาว 1 ซม.

4.หนวดงอกยาว 5-6 มม.

5.เคราใต้คางยาว 5-6 มม.

6.เล็บมืองอกยาว 1 ซม.

7.เล็บเท้างอกยาว 4-5 มม.

หลวง พ่อพรหม มีวิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะปลุกเสกในบาตร ถ้ามีเทียนชัยจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในบาตรน้ำมนต์แล้วนำเทียนชัยวน รอบๆ 9 รอบ แล้วจึงนำดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบๆโดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิตอัดพลังแล้วจึงนำน้ำพระพุทธ มนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลายแล้วหลวงพ่อจับบาตรใส่วัตถุมงคล เพ่ง กระแสจิตอีกครั้งจนกระทั่งวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมอีกครั้งเป็นเสจ็รพิธี

ดังนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าพระเนื้อผงของหลวงพ่อจะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนในบาตร

ดังนั้นพระที่มีรอยบิ่นจึงสันนิษฐานได้ว่า ได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อโดยตรง.

 

เผยแผ่ประวัติ โดย อิทธิปาฏิหาริย์ พระเครื่อง

http://www.itti-patihan.com
50  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อวยพรส่งท้ายปีเก่า 2553 และ ต้อนรับปีใหม่ 2554 กันเถอะคร้า.... เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 04:29:37 pm
51  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อวยพรส่งท้ายปีเก่า 2553 และ ต้อนรับปีใหม่ 2554 กันเถอะคร้า.... เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 05:44:11 pm


โชคดีที่ผมมี Backup

52  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: 4โจรชั่วทุบพระชราก่อนจับมัดปล้นเงิน4พัน เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 02:46:35 pm
เรื่องนี้ คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่อง ธรรมดา

สำหรับ ผมเห็นว่า มันแสดงถึงจิตใจ และ ความปลอดภัยของพวกเราทุกคน

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

   ขนาดนักบวช พระ ยังทำร้าย ได้ลงคอ แล้ว

   อย่างพวกเรา คนธรรมดา จะปลอดภัยได้อย่างไร

   เรื่องนี้ ควรร่วมกันประนาม และ ช่วยกันจับคนพวกนี้ให้ได้ เพราะหากปล่อยไว้ คนชั่วพวกนี้

 จะทำร้ายคนต่อไป ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

 :32:  ไม่ยอมรับคนพวกนี้ เพราะคงต้องบำเพ็ญหลายชาติ

     จริงอยู่ แม้ฆ่าคนตาย เป็นหมื่น เป็นพัน ยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ผมว่าคนเช่นนี้ต้องระดับ

  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะโปรดได้ .....

     :character0029: :character0029: :character0029:
53  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นำไตเติ้ล ตัวอย่าง วีดีโอ กรรมฐาน ชุดพิเศษ จะจัดทำเดือน ก.พ. หรือ มี.ค. เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 11:55:31 am
ชอบครับ ไตเติ้ล ดีครับ พระอาจารย์จะเริ่มจัดทำเมื่อไรครับ จะได้บอกบุญกับเพื่อน ๆ ล่วงหน้าก่อน
 :25:
54  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 100 ข้อที่ทำให้ผู้หญิงหมดราคา เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 01:47:31 pm

100 ข้อที่ทำให้ผู้หญิงหมดราคา

01. หยิ่ง
02. จองหอง
03. ผยอง
04. อวดรวย
05. ไฮโซ ในความจน
06. ปากจัด
07. โหวกเหวกตะโกนโวยวาย
08. เรื่องมาก
09. มากเรื่อง
10. "หึง" มาเนียลิซึ่ม
11. เบื่อง่าย
12. โกรธง่าย
13. หายยาก
14. อวดสวย
15. ซกมก
16. ทำตัวหรู แ ด ก ส้มตำ ไก่ย่างไม่เป็น
17. บ้าแบรนด์ ปู่กรูผลิตร๊อกซี่ ยายกรูทำหลุยส์
18. เลือกกิน
19. กระแดะ
20. ใช้เวลาในการแต่งตัว กว่า ครึ่งหนึ่งของชีวิต
21. แรดเลเซอร์ สัตว์สงวนชนิดหนึ่ง ตามแหล่งวัยรุ่น
22. โกหก
23. หลอกลวง
24. กรูเป็นคนเลว เมิงอ่ะดีเกินไป กรูชอบคนชั่ว
25. เหตุผล ข้างๆคูๆ
26. สายเดี่ยว ส้นตึก เที่ยวดึก ต อ แ ห ล
27. ชู้เยอะ
28. เจ้าแม่สับราง
29. วิชา โบ๊ะ หน้า วอก
30. สรรพนาม สุดหรู ว่า กู กับ เ มิ ง กลางห้างดัง
31. งี่เง่า
32. บ้าผู้ชาย
33. วิชา น้ำยาอุทัย ปราบมาร จนแก้มแดงเหมือนโดนตบมา
34. กูนี่แหละใหญ่
35. ผู้ชายมีเงิน เท่านั้น
36. บ้าเซ็กซ์
37. ขายตัว
38. ดูหนังในโรงภาพยนตร์ แล้ว โทรศัพท์
39. ทะเลาะ กับคนในโรงหนังเพราะ ตัวเองโทรศัพท์
40. ตบกับคนในโรง เพราะ ตัวเองโทรศัพท์
41. ถ้าผู้ชายหล่อ มี 1 แสนคน กุจะขอเบอร์ 99,999 คน
42. ถ้าเมิงขอหมดเลย กรูว่า เมิงอย่าเป็นเลยผู้หญิง
43. หน้าด้าน
44. ไร้ยางอาย
45. ตบแย่งผัว
46. ต่อย พ่อ เตะแม่
47. ด่าบุพการี
48. ยอมเสียตัว เพราะ กรูได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผัว
49. เมื่อยามเป็น นักเรียน มัธยม กรูชอบดึงถุงเท้าขึ้นสูงๆ ( สงสัย จะไปเตะบอล )
50. หมดเงินไปกับผู้ชาย
51. หมดเงิน ไปกับ เครื่องสำอาง
52. จากข้อ 51 ถ้าสวยเพื่อ แฟน กรูจะไม่ว่า แต่ถ้าสวยเพื่อล่อผู้ชาย อีกเรื่องนึง
53. กินเหล้าแล้วเมาเหมือน ห ม า
54. กินเหล้า แล้ว อ้วกแตกใส่เพื่อน
55. มองผู้ชายทุกคนที่ผ่านหน้ากู
56. ตบกับผู้หญิงทุกคนที่ จีบผู้ชายที่กรูแอบชอบ
57. หลอกลวงผู้ชาย 10 คนได้เวลาเดียวกัน
58. ร้องเพลง อย่างคิดว่า เสียงกู ผู้ชนะการประกวด เดอะสตาร์
59. โชวว์พาวWER
60. ชอบมีเรื่อง
61. มีเรื่องทีไร ให้ ผั ว เคลียร์ อ้าว อิ เ ห รี้ ย หน้าตัวผู้
62. จะจีบกรู …มีรถหรือเปล่า
63. รถ ญี่ปุ่นหรอ กูไม่นั่ง
64. มีเงินเลี้ยงกู เดือนละ 2 หมื่นมั้ย?
65. คุยโทรศัพท์ เสียงดังเกิน 150 เดซิเบล
66. งอนจนกว่า ทศกัณฐ์ จะชนะพระราม
67. เผาแฟน ตัวเองให้เพื่อนฟัง
68. บอกเลิก ปี ละ 3 ร้อยกว่าคน
69. อายุ 15 กูก็แม่คน
70. ด่ารถทุกคัน ที่ ขับมาดีๆ แล้ว ตัวเองปาดหน้าเขา
71. แปรงฟัน 2 อาทิตย์ครั้ง
72. คลั่งดาราจนเลิกกับแฟน
73. ชาติที่แล้ว กูคือนกหงส์หยก กรี๊ส ได้วันละ 250 ครั้ง
74. บ้าหวย
75. แทงบอลหมดตรูด
76. ชอบบังคับ แฟนตัวเองให้ทำตามดาราที่ตัวเองชอบ
77. เปลี่ยนมือถือทุกเดือน ทุกรุ่นที่มีในประเทศ
78. ใส่ส้นตึก มากกว่า 5 นิ้ว
79. " 2000 มั้ยพี่ "
80. ต่อราคาของจนแม่ค้าอยากเอา ต รี น ลูบ หน้า
81. เลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ เพราะ ชุดน.ร
82. โง่
83. จากข้อ 82 สวยไปก็เท่านั้น
84. ขี้อิจฉา
85. ขี้นินทา
86. เ สื อ ก
87. ชีวิตชาวบ้าน คือ สตอรี่ ที่ต้องผ่านหูกู
88. ขี้เมาท์
89. ขี้หงุดหงิด
90. ชอบเหยียดหยามเพศพ่อ
91. อนาคตกุจะเปงดีไซน์เนอร์ จนต้องดีไซน์ชุดนักเรียนให้ผิดระเบียบ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
92. ลืมพ่อ ลืมแม่ ลืมบุญคุณ
93. ถ่ายนู้ด เพื่อเงิน แล้วก็บอกว่า " เพื่อ ศิลปะ "
94. ชีวิตคือความ เว่อร์
95. ร่าน
96. พูดไทยคำอังกฤษ คำ และก็ออกเสียงผิด
97. ด่าผู้อื่นไปทั่ว ยกเว้นตัวกรูเอง ที่ประเสิรฐศรี
98. มองผู้ชายเป็นเครื่องมือ
99. ไร้สาระ ต่อชีวิต ของตัวเองและ คนรอบข้างเป็นที่สุด
100. ผู้หญิงนั้นลืมยาก…..แต่ ผู้ชาย นั้นลืมไม่ได้หว่ะ

ถ้าคุณเป็นอาการแบบนี้เกิน 30 ข้อขึ้นไป แก้ไขด่วน เพราะจะทำให้คนใกล้ตัวเบื่อหน่าย…
55  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ความเพียร ในพระพุทธศาสนา นั้นวัดอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:48:22 am
อะไรเป็นเครื่องวัดในการบรรลุธรรม ครับ

 :25:
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สั่งปลด ป้ายสำนักสงฆ์ บังคับน.ร. นอนในโลงศพ เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 06:27:37 pm
สั่งปลด ป้ายสำนักสงฆ์ บังคับน.ร. นอนในโลงศพ

โดย summer4

ปล่อยงูเหลือมรัดเกือบตาบอด-สติแตก

สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดพิจิตรสั่งผลดป้าย-ยุบสำนักสงฆ์บ้านสะพานยาวสั่งเด็กนักเรียน นั่งปฏิบัติธรรม นอนในโลงศพ จนสติแตก 13 คน วางงูเหลือมไว้บนตักถูกรัดจนตาเกือบบอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่  30 พฤษภาคม   2552  นายณรงค์ หอมมาลัย   นาย อำเภอ บางมูลนาก จ. พิจิตร  เปิดเผยว่า  ได้รับคำสั่งจาก นายสมชัย  หทยตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ให้เดินทางไปร่วมกับ นาย ประพันธ์  ตันวัฒนา  ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดพิจิตรพร้อมด้วยเจ้าคณะอำเภอบางมูลนาก  เข้าไป ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่ โรงเรียนบางมูลนากภูมิ พิทยาคม  ได้นำเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ .4 เข้าฝึกอบรมฟื้นฟูปฏิบัติธรรมนักเรียนเข้าใหม่ ที่สำนักสงฆ์ ปฏิบัติธรรม   บ้านสะพานยาว หมู่ที่ 11  ตำบลเนินมะกอก อำเภอบางมูลนาก จ. พิจิตร การฝึกอบรม  พิสดาร ทางโรงเรียนปล่อยให้ทางวัดจัดให้นักเรียนชายหญิง  นุ่งขาวห่มขาว ลอยน้ำ กลางคืน ทางสำนักสงฆ์ ยังให้นั่งปฏิบัติธรรม  ให้เด็กนักเรียน นอนในโลงศพ ให้อยู่กับงูเหลือม  ซึ่งมีเด็กนักเรียนสติแตก 13 คนถูกงูรัด บาดเจ็บ

นายณรงค์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่า สำนักสงฆ์แห่ง นี้ ได้ให้นักเรียน นอนในโลงศพจริง ยังเอางูจริง มาฝึกสมาธิเด็กจนงูรัดคอเด็ก สั่งให้ พระอาจารย์ สายฝน ปณุฑิโต ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ดังกล่าวหยุดการปฎิบัติธรรมอย่างนี้กับเด็ก เพราะว่าเด็กนักเรียนไม่มีวุฒิภาวะที่จะรับการทดสอบในการปฎิบัติธรรมแบบนี้  ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นด้วยกับโรงเรียนให้นักเรียนมาปฎิบัติธรรมอย่างนี้  เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กอย่างมาก

นายณรงค์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดการสอบโรงเรียนขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่การศึกษาว่าจะตั้งกรรมการ สอบอย่างไร เพราะการนำนักเรียนไปปฎิบัติธรรมจะต้องมีอาจารย์ ควบคุมดูแล ไม่เข้าใจว่าปล่อยให้พระทำอย่างนี้กับเด็กได้ อย่างไร เรื่องนี้ นายสมชัย หทยตันติ  ผู้ว่าราชการเองก็ได้ให้ ผอ. เขตพื้นที่การศึกษาที่ 2 ชี้แจงอย่างเร่งด่วน

ทางด้าน   นาย ประพันธ์ ตันวัฒนา   ผอ. สำนักพุทธศาสนา  จังหวัดพิจิตร  กล่าวว่า  เจ้าคณะจังหวัดพร้อมด้วยเจ้าคณะอำเภอบางมูลนากและนาย อำเภอลงไป ที่สำนักสงฆ์ ปฏิบัติธรรม เนินมะะกอก จุดเกิดเหตุที่โรงเรียนบางมูลนากภูมิพิทยา พาเด็กนักเรียนไปนั่งสมาชิจนงูเหลือมรัดจนได้รับบาดเจ็บ  และได้มีการประชุมคณะกรรมการสงฆ์ ได้มีมติออกมาว่าจะยุบสำนักสงฆ์แห่งนี้ซึ่งขึ้นอยู่กับวัดชัยมงคล  อำเภอบางมูลนาก  คืนให้กับวัดชัยมงคล ไป และสั่งให้ปลดป้ายออก คืนไปให้กับวัดชัยมงคลอีกด้วย

นาย ประพันธ์  กล่าวอีกว่า  พระอาจารย์สายฝน  ที่ดูแลสำนักสงฆ์  แห่งนี้ขอย้ายสำนักสงฆ์ ไปตั้งแห่งใหม่ ซึ่ง ทางสำนักงานพุทธศาสนา แห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตรคงต้องดูอย่างเคร่งคัดว่าจะมีการ อนุญาตให้ ตั้งสำนักสงฆ์แห่งใหม่หรือไม่

ทางด้าน นางเพียงระวี   ต๊ะผัด อายุ 41 ปี  แม่ นางสาว รติรถ ต๊ะผัด  นักเรียน ม.4 ที่ถูกงูรัด กล่าวว่า ไม่พอใจทางโรงเรียนบางมูลนากภูมิมาก ที่พาลูกสาวไปนั่งปฎิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์จนถูกงูรัดตาแทบจะบอด  อีกทั้งยังไม่พอใจ ที่ ทางพระสายฝน ซึ่งเป็นพระที่ดูแลสำนักสงฆ์ แห่งนี้ออกไปให้ข่าวกับสื่อบางฉบับว่า ลูกสาวของตนสมัครใจไปนั่งปฎิบัติธรรมเอง ทั้งที่โรงเรียนนำไป นั่งปฎิบัติธรรมในสำนักสงฆ์แห่งนี้ เท่าที่ทราบลูกสาวตนเองถูกบังคับให้เข้าไปในกรงอยู่กับงู

“พระสายฝน ยังออกมาพูดว่า งูเหลือมนั้นเป็นงูปลอมไม่ใช่งูจริง ถามหน่อยเถอะว่าถ้างูปลอมลูกสาวของตนเองจะเป็นถึงขนาดนี้นอกจากนี้ยังกล่าว หาว่าลูกสาวตนเองเป็นโรคเลือด อีกด้วย ลูกสาวตนเองตั้งแต่เกิดไม่เคยเป็นโรคเลือดอะไรทั้งสิ้น เป็นพระอย่าพยายามโกหก ซึ่งสภาพจิตใจลูกสาว ยังหวาดผวา ไม่อยากไปโรงเรียน  ตนเองไม่อยากให้ลูกอยู่ในสภาพนี้ขณะนี้ตนเองและสามีคือนาย เพียร ได้เตรียมปรึกษาญาติ ซึ่งเป็นพี่ชาย ว่าจะนำเรื่องนี้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บางมูลนาก นอกจากนี้ยังฝากไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรให้ช่วยตรวจสอบ ในเรื่องนี้ด้วยไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือ ทางสำนักสงฆ์ อีกทั้งโรง”นางเพียงระวี กล่าว

ทางด้าน นางสาว   รติรถ   ต๊ะผัด   นักเรียนสาว ม4. ที่ถูกงูเหลือมรัดเล่านาทีระทึกให้กับผู้สื่อข่าวฟังว่า ทางโรงเรียน ได้ให้นักเรียนที่เข้าใหม่ชั้น ม.4 ไปนั่งปฎิบัติธรรมที่นักนักสงฆ์สะพานยาว ตำบล  เนินมะกอก   3 วัน 2 คืนตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม ปรากฏว่าทางพระอาจารย์ สายฝนได้ให้ พวกตนเลือกว่าจะไปนั่งกับโลงศพ หรือจะไปอยู่ในกรงงูเหลือม ซึ่งตนเองก็เลยเลือกที่จะอยู่ในกรงงูเหลือมเพราะกลัวเนื่องจากเห็นเพื่อนๆ ที่ไปนั่งในโลงศพ กลับออกมาสติแตกหลอนจนร้องหวีดว่ากลัวผีเหมือนคนบ้าจนน่ากลัว ซึ่งเป็นโลงศพจริง ไม่ใช่โลงศพปลอม พอถึงเวลา 23.00 น. มีแม่ชี ใช้ผ้ามัดตา จากนั้นให้ตนเองนั่งท่อง “พองหนอยุบหนอ”  4 คำ นำงูเหลือมขนาดใหญ่มาวางบนตัก จากนั้นงูเหลือมได้เลื้อยขึ้นมาบริเวณแขนถึงลำคอ และรัดลำคอจนหายใจไม่ออกแทบจะขาดใจตาย จึงได้สติร้องให้คนช่วยนานกว่า 10 นาที ตอนนั้นก็ถูกบังคับให้นั่งปฎิบัติธรรมต่อ ซึ่งเจ็บที่บริเวณใบหน้าลำคอดวงตาเป็นอย่างมาก จนกระทั้งรุ่งเช้าเพื่อนมาเห็นเข้าจึงได้ไปตามอาจารย์มาและถึงได้ไปหาหมอ ซึ่งก่อนจะไปหาหมอ พระอาจารย์ สายฝนบอกว่า ไม่ต้องไป   อาการอย่างนี้เข้าญาณแล้ว 3-7 วันก็หาย

 ทางด้าน พระอาจารย์ สายฝน   ปณุฑิโต   ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ ปฏิบัติธรรมวัดชัยมงคล    บ้านสะพานยาว  กล่าว่า” เรื่องทางโรงเรียน บางมูลนากภูมิได้พาเด็กนักเรียนม4 มานั่งปฎิบัติธรรมแล้วเกิดสติแตก บางคนถูกงูรัดเป็นเพราะ อุบัติเหตุเพราะเด็กมีเคราะห์อยู่แล้ว ส่วน ใบหน้าที่มีแผลเขียวนั้น น่าจะถูกรถคว่ำมา ซึ่งไม่เกี่ยวกับงู กรณีนักเรียนที่สติแตก ต้องใช้เวลา 5-7 วัน ต้องอยู่กับพระ จึงจะหายเป็นปกติเพราะว่า มีขั้นตอนในการบัดรักษา  ส่งงูเหลือมนั้นมีทั้งงูปลอมงูจริง เหตุที่ใช้งูเพราะจะใช้ฝึก จิตร ให้เข็มแข็ง เท่านั้น  อีกทั้งไม่ได้บังคับเด็กแต่เป็นความสมัครใจ

ที่มา
http://watpato.wordpress.com/2009/06/03/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94-%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C-%E0%B8%9A%E0%B8%B1/
57  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประมวลภาพวันที่ ๑๑ ธ.ค. ๕๓ ณ ศาลา ๑ วัดแก่งขนุน สระบุรี เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 05:33:20 pm
สาธุ ถ้าจัดได้ใกล้ ๆ บ้านก็ดีนะครับ

 :25:
58  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อพระ ณ วัดหนองบัวหิ่ง ราชบุรี เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:35:22 pm
โบสถ์สวยครับ แปลกดี เหมือนระฆัง

   วัดที่สร้างโบสถ์เหมือนระฆัง ก็เป็นมีวัดที่สระบุรี ที่หนึ่ง

  อนุโมทนาสาธุ กับผู้นำข่าวบุญมาแจ้งให้ทราบครับ
 :25:
59  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:05:35 pm
ในรูป ใช่พระอาจารย์ หรือป่าวครับ
60  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทุกคนเปรียบดั่งดอกบัว เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 02:56:58 pm





เมื่อ ครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว ๔ เหล่า ได้แก่

๑.พวก ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

๒.พวกที่มีสติ ปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)

๓.พวก ที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
61  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อันตรายจากความเครียด..มะเร็งที่คุณไม่ต้องการ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:30:13 pm
อันตรายจากความเครียด..มะเร็งที่คุณไม่ต้องการ
พลังมหัศจรรย์..คลื่นสมองบำบัด by preutipong

ความเครียดที่เกิดจากทำงาน
.
ได้มีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความเครียดพบว่าหนึ่งในสี่ของคนงานบอกว่าได้รับความเครียดจากที่ทำงาน
สามในสี่บอกว่าความเครียดจากที่ทำงานมากว่าสมัยอดีต
และพบว่าความเครียดจากที่ทำงานทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เศรษฐกิจและครอบครัว
โดยมีการสำรวจพบว่ามีความเครียดจากที่ทำงานร้อยละ 26-40
.
น.พ. ณรงค์ สุภัทรพันธ์ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า
ความเครียดมีส่วนที่จะทำให้เกิดมะเร็งได้มี 2 ประการคือ

ความเครียด กับ มะเร็ง
.
ประการแรก ความเครียดทำให้คนบางกลุ่มหันไปใช้สารอย่างอื่นเพื่อลดความเครียด สารพวกนี้อาจจะทำให้เกิดเป็นมะเร็ง
เช่น คนที่ลดความเครียดด้วยการสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
.
ประการทีสอง จากการทดลองในสัตว์ พบว่า การมีความเครียดทำให้มีผลต่อสารภูมิคุ้มกัน
ซึ่งจะลดความสามารถในการกำจัดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และสารที่ก่อให้เกิดขึ้นจะไปมีผลต่ออวัยวะ เกิดการแบ่งตัวมากขึ้นทำให้เกิดมะเร็ง
.
ในปัจจุบันเชื่อกันว่า ร่างกายคนเราตามปกติมีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
และร่างกายสามารถกำจัดสารพวกนี้ได้ทำให้ไม่เกิดมะเร็ง
แต่เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถขจัดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้
.
ดังนั้นอันตรายจากความเครียด..คุณก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณไม่ต้องการ จริงไหมครับ???
.
วิธีแก้เครียด
เมื่อเครียดและจะทำอย่างไรให้ความเครียดน้อยลงนั้น ต้องรู้ว่าตนเองเกิดความเครียด
ถ้าหากรู้ว่าตัวเองเกิดความเครียด คงจะต้องหาวิธีฝึกผ่อนคลายความเครียด
.
เช่น พยายามปล่อยให้ร่างกายคลายเครียด ฝึกกล้ามเนื้อให้มีการหย่อนคลาย
ต้องเข้าใจว่า ความเครียดเกิดจากอะไร
ต้องพิจารณาว่า ทำไมภาวะนี้ก่อให้เกิดความเครียดมากนัก
มีผลมาจากอะไร และการพยายามฝึกจิต หรือการทำสมาธิต่าง ๆ
จะทำให้เข้าใจสถานการณ์และเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น
.
หรือการผ่อนคลายด้วยดนตรีบำบัดแก้อารมณ์และความเครียด
การออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นการผ่อนคลายความเครียดได้ด้วย
ในวงการแพทย์พบว่า การวิ่งเป็นประจำ มีส่วนกระตุ้นสารเอ็นดอร์ฟิน
สารนี้มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟินมาก ถ้าวิ่งถึงระยะที่มีการหลั่งของเอ็นดอร์ฟินแล้ว
จะมีอาการคล้ายกับได้รับสารมอร์ฟิน หรือฝิ่น ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน เคลิบเคลิ้ม
.
แล้ววันนี้..คุณเครียดจากการทำงาน..แล้วคุณหาทางป้องกันมะเร็งแล้วหรือยัง
เพราะ เมื่อเป็นมะเร็ง รักษายากมาก และเสี่ยงกว่าการป้องกันมะเร็งเสียอีก
62  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 11:53:30 am
ผมเอง ก็ได้รับ ความรู้ทางธรรม กับเว็บนี้มาก ครับเรื่องหลักธรรม เพื่อน ๆ สมาชิก ล้วน

ช่วยตอบปัญหา ให้ด้วยดี จริง ๆ ครับ
 :08:
63  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:57:27 am
ผมจำได้ว่า มีเรื่องของ ลมปราณเกือบ 12 เรื่อง

มีลมปราณ 7 ดาว ไท้แก็ก จันทร์ในบ่อ อานาปานสติ ธาตุ ชี่กง จักรา 7

ต้อง เสริชช์ครับ เคยอ่านเจอกระทู้ ตอนนี้กระทู้เยอะมากครับ เริ่มจะหายากขึ้น
 :25: :25:
64  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: อุบัติเหตุสยองกระชากร่างชาย เคราะห์ร้ายขาดออก เป็น 2 ท่อน ยังไม่ตายนะคร้า... เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 12:10:26 pm
นึกไม่ออกเลย ปัสสาวะ อุจจาระ อย่างไร ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยเครื่องช่วยหลายอย่างแน่ ๆ

ส่งใจ ให้สู้ต่อครับ  อย่างนี้เป็นเพราะสร้างกรรมอะไรครับ จึงเป็นเช่นนี้

 :03:
65  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ใครรู้จักสมาธิแบบมัฌชิมา แบบลำดับบ้างครับ....... เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 03:04:07 pm
เรื่องนี้ อ่านแล้ว มันส์ ครับ เพราะว่า วิจารณ์ กันตามทักษะของคนที่ชอบ และ ไม่ชอบ ทำให้มองเห็นมุมของ

ผู้รู้จัก กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ที่จริง แล้วไม่รู้ก็ปฏิเสธ ครับ

ตัวผมเอง ก็ไปคุยกับพระ วัดแถวบ้านครับ ไม่มีพระรูปไหนสนใจ หรือ รู้จักกรรมฐานนี้เลยครับ ที่บอกกันก็เพียงแต่

ว่าปฏิบัติตาม มหาสติปัฏฐาน บ้าง อานาปานสติบ้าง พุทโธ บ้าง จริง ๆ แล้ว พระ แถวบ้านผมไม่สนใจกรรมฐาน

มัชฌิมา แบบลำดับ กันด้วยซ้ำไป ว่าคือ กรรมฐาน อะไร อาจจะเป็นเพราะระบบ นักธรรม ที่ท่านศึกษาเห็นว่า

เยิ่นเย้อ หรือ ไม่ก็เห็นว่าเป็นการเผยแผ่ นิกายใหม่ ประมาณนี้ครับ

หัวอกเดียวกัน ....

 :34: :73: :34:
66  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พ่อจ๋า อย่าร้องไห้ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 01:36:28 pm
เป็นเรื่องราวของลุงใบ้ที่มีอาชีพเก็บขวดและของเก่าขาย โชคชะตานำพาให้พบทารกหญิงถูกทิ้งไว้ข้างกอง
ขยะลุงใบ้เรียกทารกหญิงนี้ว่า อาเหม่ย ลุงใบ้อาศัยอยู่กับหลานสาวแต่สุดท้ายก็ได้ทอดทิ้งให้ลุงใบ้ใช้ชีวิตตาม
ชะตากรรมกับอาเหม่ยเพียงสองคนคำแรกที่อาเหม่ยพูดได้คือ พ่อจ๋า ทำให้ลุงใบ้สุดแสนดีใจหาอะไรเปรียบไม่
ได้เมื่ออาเหม่ยโตเป็นเด็กหญิงน่ารัก วันหนึ่งเธอพบกับลูกหมาถูกตีบาดเจ็บจึงเก็บมาเลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบ
ครัวในเวลานั้นซ้อหม่านเพื่อนบ้านที่แสนดีผู้ที่เสียสามีในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้ทั้ง 2 ครอบครัวมีความสนิท
สนมเห็นอกเห็นใจกัน ต่อมาอาเหม่ยเติบโตเป็นสาวได้มีโอกาสเข้าไปเป็นนักร้องให้กับค่ายเพลงดัง ผู้จัดการจึง
สร้างภาพให้อาเหม่ยเป็นคุณหนูลูกผู้ดีมีชาติตระกูล และให้ย้ายจากบ้านมาอยู่คอนโดมีระดับ ลุงใบ้จึงไม่มี
โอกาสได้เจอลูกสาวได้แต่นั่งดูอาเหม่ยผ่านทางหน้าจอทีวีเท่านั้น ในเวลาต่อมา อาเหม่ยโด่งดังมีชื่อเสียงมาก
และมีผู้ไม่หวังดีคิดเปิดโปงฐานะที่แท้จริงของอาเหม่ยลุงใบ้จึงกัดฟันปฏิเสธความเป็นพ่อลูกกับอาเหม่ยด้วย
ความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้ลูกสาวต้องอับอายลุงใบ้ไม่มีโอกาสได้เจอกับอาเหม่ยอีกเลยและใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า
หมาที่เก็บมาเลี้ยง วันหนึ่งลุงใบ้เกือบถูกรถมอเตอร์ไซด์ชนเจ้าหมากระโดดเอาตัวช่วยชีวิตลุงใบ้ไว้ทำให้มันต้อง
จากลุงใบ้ไปตลอดกาล ความทุกข์ใจถาโถมเข้ามาในชีวิตลุงใบ้เมื่อลุงใบ้คิดถึงอาเหม่ยเมื่อใดจะเป่าแตรอย่าง
อ้างว้างเสมอ เสียงแตรนี้อาเหม่ยชอบฟังตอนเด็กๆ ได้ยินครั้งใดจะหยุดร้องไห้ทันที ทำให้เสิ่นเจิ่นผู้จัดการส่วน
ตัวของอาเหม่ยที่แอบมาเยี่ยมลุงใบ้ได้ยิน จึงเขียนเพลงจากทำนองนี้เพื่อให้อาเหม่ยร้องในคอนเสิร์ตครั้งสำคัญ
และถ่ายทอดสดเพื่อให้ลุงใบ้ได้ฟัง เพลงนี้คือ จิ๋วกันทังโบ่ยบ่อ แปลว่า "พ่อจ๋าอย่าร้องไห้"ในวันคอนเสิร์ตลุง
ใบ้เฝ้าชมคอนเสิร์ตผ่านทีวีอย่างเคย แต่ได้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจากการเป็นโรคความดันโลหิตสูงเป็น
เวลานาน ซ้อหม่านไปตามอาเหม่ยที่งานคอนเสิร์ตเพื่อมาดูใจลุงใบ้เป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่ทันการณ์ อาเหม่ย
กลับไปเล่นคอนเสิร์ตให้จบด้วยความปวดใจ ผู้คนนับพันนับหมื่นต่างได้ฟังเพลงนี้ มีเพียงลุงใบ้ผู้เดียวที่ไม่มี
โอกาสได้ฟัง ซึ่งเป็นคนที่อาเหม่ยอยากให้ได้ฟังมากที่สุด
-----------------------------------
รักพ่อ-แม่เยอะๆนะครับ กลับไปเยี่ยมเยียนท่านบ้าง บางทีพ่อแม่ไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรจากเราหรอก
ท่านแค่อยากให้เรา....กลับไปกอดท่านบ้าง อยู่เป็นเพื่อนท่านบ้าง ก็พอแล้ว

 

เพลง พ่อจ๋าอย่าร้องไห้

 

 
เครดิต ScareCrow Never Die
67  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: โรงเรียน บนดอย "โมโล่ตู" เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 09:51:38 pm
ผมเองอยู่ภาคเหนือ งานไปเข้าค่าย และ่ ช่วยเหลือ ชาวเขาในเขต ลำปาง มีหลายทีครับ ที่ อ.งาว ก็มี ชาวเขา

ครับ และอีกหลายทีก็ มีครับแล้วแต่ว่า คณะใด ๆ จะเข้าถึงครับ แต่ส่วนใหญ่ คนจะมุ่งไปที่ เชียงราย เชียงใหม่

กันเลยครับ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตอนนี้พวก คริสตจักรส่วนใหญ่ ก็จะเข้าไปช่วยเหลือก่อนครับจะมากัน

เป็นทีม และ สมาคม ชาวดอย ที่เป็นพุทธ นั้นจึงหายากมาก ๆ ครับ เพราะชาวดอยเขาอยากได้เป็นหลัก ครับ
 :25:
68  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลานั่งกรรมฐาน ไปแล้ว ถ้า ปวดขา เป็นเหน็บ เราควรทำอย่างไร ครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:25:56 pm
เวลานั่งกรรมฐาน ไปแล้ว ถ้า ปวดขา เป็นเหน็บ เราควรทำอย่างไร ครับ

ผมเองเวลาปฏฺบัติ กรรมฐาน ไปนาน ๆ สักประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะปวดขา เป็นเหน็บ

อยากทราบวิธีการที่ จะชนะ การปวดขา เป็น เหน็บ เหล่านี้ ควรทำอย่างไรครับ
 :25:
69  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถ้ามองเป็น ก็ไม่เห็นต่าง เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:19:10 pm
การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นหรือคนหมู่มาก แน่นอนว่าแต่ละคน แต่ละใจ ย่อมมีความคิดเห็น
ที่แตกต่างกันไปบ้างจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะในครอบครัวของเราเอง กับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน
หรือแม้กระทั่งกับคนรู้ใจก็ตาม การคิดต่างนานวันเข้าอาจสะสม และลดทอนความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อกัน
วันนี้มีข้อแนะนำดีๆ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งให้ทุกวันที่อยู่ด้วยกันมีแต่รอยยิ้ม ไมตรีจิตและความเข้าใจที่หยิบยื่นให้กันค่ะ ^^




1. เปิดใจรับฟัง

     การโต้เถียงกันส่วนใหญ่มักเป็นความต้องการให้อีกฝ่ายมาเห็นด้วยกับความคิดของเรา
หรือไม่ก็ฝ่ายหนึ่งถูกขัดจังหวะหรือขัดแย้งในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ไม่ชอบ
ถ้างั้นเราลองเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเริ่มรับฟังความคิดเห็นของเขาก่อน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของเราแล้ว
เขาน่าจะอารมณ์เย็นลงและเปิดใจฟังเราบ้าง อันจะนำไปสู่การลดปัญหาความขัดแย้งหรือการทะเลาะเบาะแว้งต่อกัน

2. ทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

     พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่ามันจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเขารู้สึกว่าคุณตั้งใจ
ที่จะทำความเข้าใจในตัวเขา ฉากการทะเลาะกันจะจบลงเร็วกว่าที่คิดไว้แน่นอน

3. เก็บถ้อยคำร้ายๆ เอาไว้

     อย่าเผลอตัวปล่อยใจหลุดถ้อยคำที่ไม่ทันยั้งคิดออกไปเพราะเมื่อพูดไปแล้วมันยากที่จะเรียกคำนั้นกลับคืนมา
ต้องทำใจเย็นๆ สงบนิ่งไว้ก่อน เตือนสติตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะปล่อยถ้อยคำรุนแรงออกไป เรื่องที่ว่าแย่จะได้ไม่แย่ไปกว่าเดิม

4. ลืมอดีตเสียบ้าง

     หากว่าเรายังจมอยู่กับเรื่องราวความผิดพลาดในอดีตแล้วคอยหยิบมาโต้แย้งในยามที่ทะเลาะกัน
นอกจากจะทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ยังจะทำให้การทะเลาะบานปลายขึ้นไปอีก ให้นึกเสียว่าไม่มีใคร
ที่ไม่เคยทำผิดพลาด ให้โอกาสกันและกันเพื่อปรับปรุงตัวและทำลืมๆ ที่จะพูดถึงมันย่อมจะดีกว่า

5. เรียนรู้ที่จะประนีประนอม

     ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการประนีประนอมแทนการพยายามที่จะเอาชนะกันดู แล้วจะพบว่าความขัดแย้งนั้นลด
น้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่ยังไงเราก็ไม่เห็นด้วย ก็ให้ลองใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คงไม่ทำให้ใครต้อง
เสียศักดิ์ศรีเท่าไรหรอก

6. นึกถึงความสัมพันธ์ดีๆ เอาไว้

     ในยามทะเลาะกัน เรามักไม่เคยนึกถึงความสัมพันธ์และเรื่องราวดีๆ ของอีกฝ่ายมุ่งแต่จะสรรหาถ้อยคำ
ดุเด็ดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบเอาชนะกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายมีสติยั้งคิดและลองนึกถึงสัมพันธภาพดีๆ ที่เคยมีต่อกันมาเรื่องใหญ่
อาจกลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องเล็กก็อาจกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ ขำๆ ก็ได้

     อยู่ใกล้กัน “ลิ้น” กับ “ฟัน” ย่อมมีกระทบกันเป็นธรรมดา สำคัญอยู่ที่ใจของเราทุกคนว่าพร้อมจะยอมเปิดรับ
รู้จักให้อภัย และให้กำลังใจที่ดีต่อกันหรือเปล่า หากเราร่วมกันมองทุกปัญหาอย่างเข้าใจและสร้างสรรค์ทุกความขัดแย้ง
ก็เป็นเพียงบททดสอบให้เราร่วมกันฟันฝ่า แล้วเราจะยิ่งรักและเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือระหว่างวารสารสื่อชุมชน และวิชาการดอทคอม
70  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:48:06 pm
อ้างถึง
ตามเว็บต่างๆที่มีจิตใจคับแคบก็เซ็นเซ่อร์กระทู้ และหาเหตุผลไล่ผมออกจากเว็บอีก

ลุง ถ้าเว็บเขาจิตคับแคบจริง นะครับ ลุงไม่ได้โพสต์ข้อความแบบนี้หรอกครับ

แต่ผมตามอ่านมาตั้งแต่ต้นเหมือนกัน สิ่งที่ปรากฏเห็นในสิ่งที่ลุงนำเสนอนั้น ไม่มีแนวทางการปฏิบัติ

ประการต่อมา สิ่งที่ผมเห็น ก็การกล่าวอวดอ้างความวิเศษของตนเอง ทำอย่างกับผู้อ่านที่นี่ทั้งหมดเป็นคนเลวร้ายหาดีไม่ได้ มีแต่ฉันเท่านั้นที่ดี

ประการต่อมา ก็ข้อความหมิ่นในธรรมผู้อ่านว่าเป็นมาร ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ใจลุงประกอบด้วยความสับสน

ประการต่อมา สิ่งที่ผมเห็นการโต้ตอบของลุง ใช้วาจาหยาบคาย ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติผู้แสดงธรรม อนูปวาโท อนูปฆาโต สันดานมันควรจะเปลี่ยนถ้าใจบริสุทธิ์

ประการต่อมา พระอริยะแท้ คนที่มีสติ เขาไม่พิมพ์ผิด พิมพ์ถูก เหมือนคนลนลาน

พูดง่าย ๆ ก็คือ ผมเองยังไม่เชื่อเลยครับ กับการอวดอ้างของลุง นะ

เท่าที่ผมทราบมา การยกเลิก User ของ ยอร์ดนี้ ลุงเป็นคนแรกนะครับ ที่ผมเห็นโดนลบ 4 user และ User apisit ใหม่นี้อีก

 :smiley_confused1: :smiley_confused1:
71  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: รณรงค์ อ่านกระทู้เก่า กันนะคะ วันนี้ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:20:52 pm
 :08:

เห็นด้วย ๆ มีเรื่องที่ยังไม่ได้ อ่านอีกหลายเรื่องเลยครับ

72  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อริยสัจจะ 4 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:08:06 pm


ไม่มีกระทบกระเทียบผู้ใดครับ
 :25: :25:
73  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เว็บบอร์ด นี้มีจุดประสงค์อะไร ? เพื่ออะไร ? เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 11:16:37 am
คือตอนนี้ กำลังเกิดข้อกังขาว่า เว็บบอร์ดนี้ มีจุดประสงค์อะไร? เพื่ออะไร?

ทำไมถึง เปิดโอกาส ให้คนต่างขั้วแสดงความเห็นในเว็บ ?

ผมสมมุติว่า แค่ 2 กลุ่ม คือ

   1. หินยาน เถรวาท มีพระไตรปิฏก อยู่ สูงสุด 91 เล่มฉบัับ มกุฏ จุฬา 45 เป็นต้น

   2. มหายาน มีพระไตรปิฏก แต่มีเรื่องที่ไม่ปรากฏ ในฉบับในหินยาน มากมาย เช่น เรื่อง พุทธเกษตร เป็นต้น นั้น

   ดังนั้น ความคิดย่อมต่างขั้ว แนวทางการภาวนา ก็ย่อมต่างกัน หลักการแบบเซ็น นิยมมากใน มหายาน

   ในขณะที่ ฝ่าย หินยาน นั้นยังคงยึดพระดำรัส คือ ธรรม และ วินัย เป็นพระศาสดา จึงไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ

     ความคิดกับเรื่อง พุทธบริษัท ก็ยังมีความต่างเพราะฝ่าย หินยาน ให้ความสำคัญกับ พระภิกษุ ภิกษุณี อย่างชัดเจน จัดเป็นเนื้อนาบุญด้วย มีความสูงส่งแตกต่างเรื่องเนกขัมมะ

                                             
     ฝ่ายมหายาน พุุทธบริษัท 4 เป็นสงฆ์ทั้งหมด เสมอภาค จึงไม่ได้ให้ความสำัคัญเฉพาะ ภิกษุ ภิกษุณี


      จะเห็นว่า เอาแค่ 2 พวกนี้ก็มีความเห็น ต่างขั้วกันไปแล้ว จะให้ปรับทิฏฐิรูปแบบ เป็นเหมือนกัน นั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่ผล หรือ ยิ่งไปกันใหญ่

      ยิ่งแสดงพระคัมภีร์ ก็ยิ่ง มีความขัดแย้ง เพราะฝ่ายมหายาน เชื่อเรื่องการบำเพ็ญกันยาวนาน สั่งสมกันมายาวนาน เชื่อเรื่องการช่วยสรรพสัตว์ ด้วยศักดานุภาพของปวงเทพ


       ฝ่ายหินยาน เชื่อมั่นในหลักภาวนา และรู้เห็น ตามความเป็นจริง ในปัจจุบัน ถึงแม้จะสร้างบุญกุศล ก็มุ่งมั่นที่จะดับทุกข์ ในปัจจุบันเป็นหลัก

       คนเข้ามาอ่านและตอบส่วนใหญ่ ผมเชื่อมั่นส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นศิษย์กรรมฐาน รวมทั้งผมด้วย

       เป็นแต่สมาชิกเว็บ


       ดังนั้นเชิญศิษย์ ตัวจริง หรือ พระอาจารย์ มาแจงวัตถุประสงค์ของเว็บ ได้หรือป่าวครับ

 :25: :25:
                           
74  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกระทำของ ผู้บรรลุธรรมอันโสมม เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 08:56:45 pm
ผมเป็นปุถุชน ยังไม่ได้ บรรลุธรรมอะไรหรอกครับ

  แต่การกระทำของผู้บรรลุธรรม น่าเกลียดมาก

  เหมือนพวกผมทำกันในหมู่เพื่อน ด้วยการตบหัว แล้วบอกว่า "มึงอ่านหนังสือนี่ซะ จะได้ฉลาด"

 ผมว่าชาวเว็บที่นี่ ก็ยังเป็นผู้ปฏิบัติอยู่ ก็ยังเป็น ปุถุชน เป็นส่วนใหญ่

  คุณจะให้เรายอมรับ ก็หยุด พฤติกรรม อันโสมม เสีย


  ถาม จริง ๆ  พ่อ แม่  พี่ น้อง ของคุณ ลูก หลาน ญาต มิตร ยอมรับคุณเป็น พระเมตตรัย หรือยัง

 ผมว่า พี่คุณที่ป่วย อยู่ ก็จะยังคงไม่ยอมรับ หรอก ครับ

   ถ้าวิธีการที่คุณยังแบบนี้ ต่อให้หนังสือนั้นดีอย่างไร ก็ไม่มีใครสนที่จะอ่าน

  เพราะอะไร หรือ ครับ เพราะทุกคน มีทางเลือก เหมือนคุณเลือก ว่าที่นี่ โต้ตอบคุณ

  คุณก็ไปที่อื่น

  หยุดนิสัยที่เสีย ซะเถิด แล้ว มาพูดกันอย่างชาวธรรม

  ผมอยากคุย กับ คุณ ซึ่ง ๆ หน้า โต้ กันตรงหน้า ไม่ต้องผ่านเว็บ

  msn กันเลยดีไหมติดกล้อง ติดไมค์ pivate ทั้งกลุ่ม สด ๆ

  จะได้ดูสีหน้า ด้วย รู้จักกันด้วย

   :021: :021: :021:

 
75  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:55:08 pm
อ้างถึง
1. นี่พวกคุณเรียนพุทธศาสนาภาษาอะไรกัน

ถามทำไมครับ ? จะต่อยตีกับชาวบ้านหรือ ? นัดสถานที่กันเลยดีหรือป่าว  1 คน จะไหวหรือ ? พี่น้อง บ้านคุณ

โปรดได้หมด หรือ ยัง เขาเชื่อคุณ หรือ ป่าว ทั้งที่เป็นสิ่งที่ควรจะทำในท่ามกลาง หรือ ที่สุด

 คำตอบมันอยู่ในตัวแล้ว ครับ ก็เรียนเหมือนที่คุณเรียนนั่นแหละ

อ้างถึง
กา. ดูกรคฤหบดี ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ไม่ได้คิด
อย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม) ฯ

  ข้อความตรงส่วนนี้ ไปเช็คภาษา บาลี ที่วงเล็บไว้ด้วย มีความหมายว่าอย่างไร

พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ตามลำดับ  กับชนกลุ่มมาก ชื่อว่า อนุปุพพิกกถา

มีเหตุผล เพื่อปรับความพร้อมของจิต

       เริ่มตั้งแต่ ทาน ศีล สัคค อาทีนว และ เนกขัมมะ

  คุณบอกระลึก ชาติ ได้ คุณจะให้ผมเชื่อ

  ส่วนผมบอกว่า ผมก็ระลึกชาติได้ คุณจะเชื่อไหม

 เรื่องอย่างนี้ เขาไม่กล่าวกันพร่ำเพรื่อ หรอกครับ อีกอย่าง

   คนที่ปฏิบัติได้ บรรลุธรรม ได้ ไม่ได้มีคุณเพียงคนเดียว

  การที่จะกล่าวว่า เราเป็นผู้มาช่วยเหลือคนทั้งโลก ก็เป็นคำกล่าว ที่เกินไป

  บรรดา พระพุทธเจ้า ทั้งหมดไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ได้ทั้งหมด คุณทำได้ทั้งโลก ก็เก่งเกินแล้ว


ผม เห็นคุณอธิบายเพิ่มเติม มาแล้ว ก็ยังไม่เห็นคล้อยตาม ยังเห็นตามคุณ Lastman อยู่ดี
 
 :96:


76  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วัตถุมงคล เช่น พระสมเด็จ และ ตะกุด จะช่วยป้องกันภัย ได้จริงหรือครับ เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 10:31:56 am
ผมสนใจมาก ครับดูแล้ว หวาดเสียวครับ


หลวงพ่อท่านเอาขวานสับกลางหลัง ครับ

สับ สับ สับ

แถมเอาขวานกดแ้ล้วกรีด ด้วยครับ
77  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อคิดดีดี..จากคนตัดต้นไม้ เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 02:57:25 pm
ข้อคิดดีดี..จากคนตัดต้นไม้
มีคนตัดไม้คนหนึ่ง

นำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืนซึ่งร้านขายฟืน

ก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก

ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทน

โดยการจะตัดไม้ให้ได้เป็นจำนวนมากๆ

ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ 20 ต้น

แล้วนำมาให้ร้านขายฟืนซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อ

คนตัดไม้อย่างดี

แต่พอในวันที่ 2

คนตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้นแต่ปรากฏว่ากลับตัดได้เพียง 18 ต้น

ในวันรุ่งขึ้นก็กะว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้นแต่ก็กลับเหลือ 16 ต้น

ยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ตัดได้น้อยลงเรื่อย ๆ

จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจ

จึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน

แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า

คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"

คนตัดไม้ตอบว่า

ผมไม่มีเวลาหยุดลับขวานเลย

เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้"

ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า

คุณลองคิดดูสิว่าหากคุณหยุดลับขวานให้คม

โดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย

คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้

เปรียบได้กับการทำงาน

ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพักหยุดคิด

เปรียบได้กับคนตัดไม้

คุณก็จะล้าลงไปเรื่อย..
..
..
..
ทำงานหนักขนาดใหนก็อย่าลืมมีเวลาให้กับตัวเองแล้วกันนะ
78  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 12:52:26 pm
เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ
tag:เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ

เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ

      1. บ้านพักที่ใหญ่โตเกินไป แต่ในบ้านมีคนพักน้อย ไม่เป็นมงคลจะทำกินไม่ขึ้น ในครอบครัวจะดีมาก ทำให้อบอุ่น ทำกินร่ำรวย

      2. บ้านที่มีหลังบ้านข้างบ้านมีตึกสูงกว่าดี แต่อย่าชิดเกินไป

      3. บ้านสองบ้านที่เล็งกัน บ้านฝั่งที่ต่ำกว่านับว่าไม่เป็นมงคล, บ้านที่สร้างขวางทางยาว แต่กินที่แคบไม่ลึกไม่เป็นมงคล

      4. บ้านใดที่ปลูกต้นไผ่ แล้วคนภายนอกมองไม่เห็นคนในบ้าน จะทำให้คนอยู่อาศัยจะพบความเจริญ

      5. บ้านของลูก ๆ ไม่ควรสร้างในลานบ้านของพ่อแม่ ครอบครัวจะยากจนลง แต่ลูกคนโตไม่เป็นไร ให้หันประตู6. บ้าน ตามรหัสราศีปีเกิด หรือตามทิศของโป้ยข่วย คือ ทิศตะวันออก

      7. บ้านที่มีตึกสูงอยู่ใกล้ แสดงถึงมีผู้มาให้ความช่วยเหลือคุ้มครองและอย่านำต้นไม้ที่เป็นรากมาประดับ โดยแ­ขวน รากชี ฟ้าจะไม่เป็นมงคล

      8. บ้านที่มีลานโล่งห้ามล้อมรั้วกลางลานโล่งจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคตา หัวใจ

      9. บ้านที่อยู่รวมกัน ห้ามเอาหลังคาชนกันจะไม่เป็นมงคล บ้านชั้นเดียว ถ้าคับแคบให้ปลูกเพิ่มเติม ต้องแก้เคล็ด

      10. บ้านควรปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไม่ควรปลูกส่วนเกิด ส่วนขาด จะเป็นอัปมงคล เสียหาย

      11. บ้านอย่าแขวงเครื่องประดับมากเกินไป โดยเฉพาะนอแรด เขากระทิง หัวสัตว์ที่ดุร้ายไม่ควรแขวนเลย เพราะ วิญญาณมักจะตามมาทวงและรบกวนเจ้าของบ้าน

      12. บ้านเล็กอย่าสร้างประตูใหญ่จะเกิดปากเสียงทำกินไม่ขึ้น

      13. บ้านไม่ควรเจาะหลังคา นะไม่เป็นมงคล ถ้ากลัวว่าทึบก็ให้ใช้กระเบื้องใสแทน

      14. บ้านหลังเดียว ควรมีประตูหลังบ้านถึงจะเป็นมงคล

      15. บ้านผู้ดีมีเงินมักสร้างศาลาพักผ่อนยื่นออกมา ตามหลักฮวงจุ้ยห้ามสร้างบ้านยื่น ขาด เว้า แหว่ง จะมีอันเป็นไป ต้อง ปลุกต้นไม้รับตัวบ้านและศาลาที่สร้างต้องรวมกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม

      16. บ้านที่มีกำแพงเก่าควรทาสีให้ใหม่เสมอ เวลากลางคืนควรติดไฟให้สว่างจะพบแต่ความเจริญ

      17. บ้านที่มีที่ดินด้านหลังบ้านแคบหน้าบ้านกว้างไม่เป็นมงคลให้แก้เคล็ดโดย การติดก­ระจก บริเวณที่แคบทั้งสองด้าน เพื่อเวลามองแล้วจะรู้สึกกว้าง ลึก

      18. บ้านที่มีหน้าบ้านแคบแต่หลังบ้านกว้างเป็นถุงเงินถุงทองดี บ้านที่ปลูกแล้วดูเป็นรูป W, L ไม่เป็นมงคล

      19. บ้านที่มีกำแพงสูงมากเกินไป เช่นสูงเกิน 2 เมตร ไม่เป็นมงคล (เหมือนคุก)

      20. บ้านที่สร้างแล้วมีความลึกมากกว่าความกว้างงอยู่แล้วจะเจริญรุ่งเรือง, บ้านที่สร้างตามความลึกเป็นมงคล

      21. บ้านที่มีการปลูกหน้าบ้านยาวแต่แคบไม่เป็นมงคล , บ้านหรือที่ดินบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเป็นมงคลยิ่ง

      22. บ้านสร้างบ้านอยู่บนเนินเขา ไม่ดี, บ้านสูงต่ำ เล่นระดับ ไม่ดี, บ้านมีห้องใต้ดินอยู่กลางบ้าน ไม่ดี

      23. บ้านที่แหว่งบางส่วน คนในบ้านจะมีอันเป็นไป เช่น ถ้าแหว่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึงแม่หรือหญิงเจ้าของ บ้าน ถ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือ พ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน

      24. บ้านที่แหว่งทิศตะวันออก และตะวันตกผลกระทบ คือลูกชายคนโต และลูกสาวคนเล็ก ไม่เป็นมงคล ต้องแก้เคล็ด

      25. บ้านหรือพื้นที่เว้าแหว่ง ทิศเหนือและใต้จะเสียหายแก่ลูกสาวงคนกลาง (ทิศใต้) ลูกชายคนกลาง (ทิศเหนือ) จะมีเรื่องคดีความ, บ้านด้านหนึ่งมีปล่องควันปล่องควันแทนก้านธูปไหว้คนตายไม่ดี

      26. บ้านที่ตะวันออกเฉียงเหนือแหว่งจะเกิดเสียหายแก่ลูกชายคนเล็กและระบบย่อยอาหาร

      27. บ้านหรือที่ดินที่เว้า แหส่ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีผลกระทบกับพ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน และผู้คนในครอบครัว บ้านที่เป็นรูปทรงหน้ากว้างหลังแคบจะเก็บเงินไม่อยู่ จะยากจน

      28. บ้านที่แหว่งจะทำให้ครอบครัวไม่มีความเจริญรุ่งเรือง และถ้าแหว่งทางทิศตะวันออกจะมีผลกระทบเกี่ยวกับลูกชายคนโต บ้านที่มีหลังคาด้านซ้ายยาว ด้านขวาสั้น ภายในครอบครัวจะพบภัยพิบัติ

      29. บ้านเวลาปลูกอย่าตั้งเสาข้างหนึ่งสูงข้าง ข้างหนึ่งเตี้ย จะแสดงถึงการทำกิน ธุรกิจง่อนแง่น

      30. บ้านที่เก่าถ้าจะเข้าไปอยู่ใหม่ควรทาสีให้ใหม่ กลอนประตูควรจะเปลี่ยนใหม่ จะนำโชคลาภมาให้

      31. บ้านถ้าอยู่ใกล้สุสานไม่ดี , บ้านที่มีสะพานพุ่งแทงเข้ามาให้แก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้ไผ่บังสายตา

      32. บ้านที่มีบ่อน้ำที่มีมุมแหลมพุ่งตรงสู่หน้าบ้านไม่เป็นมงคล ควรแก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้บังบ่อตรงมุมแหลม จะพบความสุข , บ้านที่มีหลังคาเป็นรูปโค้งไม่ดี

      33. บ้านที่มีบ่อน้ำอยู่หลังให้ระวังเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคท้อง

      34. บ้านที่เพดานเฉียง ไม่ดี, บ้านมีคาน ไม่ดี, บ้านที่มีคานไม่เสมอกัน ไม่ดี, บ้านสร้างคล้ายรูปตัวยู ไม่ดี

      35. บ้านที่มีถนนโค้งออก อยู่แล้วไม่เจริญ , บ้านที่มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้านไม่เป็นมงคล , บ้านที่มีทางโค้งออกอยู่ไปจะทำให้ยากจน, บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกให้ตั้งประตูใหญ่ให้ถูกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน และอีกส่วนด้านให้ปลูกต้นไม้แทนภูเขาเพื่อแก้เคล็ด

      36. บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกระวังขโมยขึ้นบ้านบ่อย และถ้าถนนตัดกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ คนในบ้านมักจะมั่วกาม

      37. บ้านมีสองบันได ไม่ดี , บ้านรูปทรงตัว H ถือว่าบ้านเว้าแหว่ง จะเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง

      38. บ้านเว้าแหว่ง รูปทรงกากบาท หมายถึงป่วย ความตาม ไม่ดี

      39. บ้านที่มีรูปทรงแปลก ๆ ผิดปกติ เฉียงเอียงเว้าแหว่งล้วนไม่ดี, บ้านมีคนพักอาศัยมากจะทำให้คนในบ้านอบอุ่น

      40. บ้านที่มีลานหน้าบ้านกว้าง เป็นฮวงจุ้ยที่ดี, บ้านถูกทางแทง ไม่ดี ต้องแก้ไข

      41. บ้านเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่าถังขยะ ธุรกิจเจ๊ง เป็นมะเร็ง อัมพาต

      42. บ้านแตกร้าว ในบ้านจะเกิดปากเสียง ไม่ดี, บ้านตรงข้ามโบสถ์ จะมีแต่ความเสื่อมเสีย มีเรื่องชู้สาว

      43. บ้านรูปแปดเหลี่ยมดี บ้านที่มีเหลี่ยมตึก หน้าจั่วแทงด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ไม่ดี

      44. บ้านที่อยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง อันตรายเวลาฝนตก, บ้านอยู่ตรงข้ามโรงไฟฟ้าไม่ดี ต้องแก้ไข

      45. บ้านติดโรงพยาบาลไม่ดี การค้าสะดุด การเงินเป็นหนี้ สุขภาพไม่ดี

      46. บ้านร้างที่อยู่ใกล้บ้านใหม่ จะทำให้บ้านใหม่ไม่ดีไปด้วย, หน้าบ้านมีกองขยะ หรือสิ่งรก ๆ ไม่ดี

      47. บ้านที่อยู่ระหว่างช่องว่างของตึกสูง เรียกว่าลมพิฆาต ไม่ดี วิบัติรุนแรง

      48. บ้านมีต้นไม้เอียงเบนห่างออก ไม่ดี ขาดผู้สนับสนุน, บ้านถูกทางน้ำ หรือบันไดแทง ไม่ดี

      49. หน้าบ้านที่มีบ้านมุมบ้านแหลม หันมาแทงบ้านของตัวเอง, หน้าบ้านมีบ่อรูปสามเหลี่ยม ไม่ดี

      50. หน้าบ้านมีบ่อน้ำสองบ่อ เรียกว่าบ่อน้ำตา ไม่ดี, หน้าบ้านห้ามมีศาลเจ้า โบสถ์ วัด

      51. หน้าบ้านทางด้านซ้ายมือมีสระน้ำอยู่มุมมังกรเขียว ผู้อยู่อาศัยจะเจริญรุ่งเรือง

      52. หน้าบ้านถ้ามีต้นไม่ใหญ่ตายยืนควรจะโค่นตัดทิ้งเลย มิฉะนั้นจะพบความยากจน

      53. หน้าบ้านมีรูปเหมือนรูปปืนที่ยิงใส่หน้าบ้านตลอด อยู่ใกล้ไปจะยากจน , หน้าบ้านมีท่อระบายน้ำหรือแทงค์น้ำอยู่ไม่ดี

      54. หน้าบ้านมีเสาเครื่องหมายจราจรอยู่ไม่ดี,หน้าบ้านมีทางเข้าออกของรถ ของบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ตรงกัน แทงกันเองไม่ดี

      55. หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่เหมือนมีมีดมาฟันบ้าน ไม่ดี, ประตูใหญ่อย่าสร้างประตูเล็กไว้ 2 ข้าง แต่ให้สร้างข้างเดียวคือ หันหน้าอกสร้างตรงซ้ายมือ (มุมมังกรเขียว) , ประตูตรงกันไม่เป็นมงคล,ประตู เสา และฝาบ้าน ต้องเลือกไม้ที่ไม่มีตามาก ๆ

      56. ประตูหน้าบ้านห้ามตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคฝีหรือโรคมะเร็งได้, ประตูบ้านที่มีซุ้มสูงกว่าหลังค่าไม่เป็นมงคล ให้แก้ไข จะได้พบแต่ความสุข, ประตูที่ทำซุ้มแบบซุ้มประตูของศาลเจ้าหรือมูลนิธิ บ้านคนธรรมดาห้ามสร้างจะไม่เป็นสิริมงคล, ประตูบ้านไม่ควรจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลางประตู

      57. ประตูหน้าบ้านมีสะพานพุ่งเข้าหน้าบ้านไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูใหญ่ตรงประตูห้องน้ำไม่ดีจะทำให้เงินเข้าบ้านไม่ดี สุขภาพไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคภัย ธุรกิจสะดุด

      58. ประตูใหญ่ตรงกับประตูห้องนอน จะเกิบเงินไม่อยู่ มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามใหญ่กว่าบ้านเราไม่ดี

      59. ประตูตรงกันหลายบาน ตรงกับเตา ทำให้ร้อนเงิน มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูตรงห้องนอนห้ามตรงกับบันได ไม่ดี

      60. ประตูห้องส้วมตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูครัว ทำให้เกิดปากเสียงเงินเก็บไม่อยู่

      61. ประตูด้านซ้ายควรใหญ่กว่าด้านขวา, ประตูรั้วสูงกว่ากำแพงไม่ดี

      62. บันไดตรงกับประตูห้องนอน ไม่ดี, บันไดตรงประตู ไม่ดี, บันไดตรงห้องน้ำ ไม่ดี, บันไดอยู่กลางบ้านตรงประตูเข้าออก ไม่ดี

      63. ห้องนอนติดกับเตา หรือห้องครัวไม่ดี, ห้องนอนของคนชราควรอยู่ชั้นล่าง เพราะอายุมากกระดูกไขข้อเริ่มเสื่อม

      64. ห้องนอนควรที่จะเก็บแต่เสื้อผ้าใหม่และข้องใหม่ จะเป็นมงคล, ห้องนอนควรอยู่ให้ถูกกับรหัสราศีของตัวเอง

      65. ห้องนอน ผ้าห่ม หมอน ควรที่จะแห้ง สะอาดอยู่เสมอ, ห้องนอนอยู่ใต้ห้องน้ำจะเจ็บป่วย

      66. ในห้องนอนเจ้าบ้านควรอยู่ทิศในรหัสราศีของตัวเองถึงจะเป็นมงคล

      67. ห้องนอนประตูห้องนอนไม่ควรตรงกับประตูหน้าบ้าน, ห้องนอน เตียงนอนไม่ควรจะตรงกับประตูห้องหนอและไม่ควรเป็นห้องเก็บของ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

      68. กระจกอย่าวางไว้ที่หัวนอน เพราะจะทำให้เสียสุขภาพ

      69. เตียงนอนอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ดี ไม่เป็นมงคล

      70. ใต้เตียงนอนไม่เหมาะที่จะเก็บถ้วยชามที่ร้าว จะทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพ

      71. เตียงนอนตรงกับประตู ไม่ดี, เตียงนอนห้ามตั้งอยู่บนเตาไฟ จะทำให้คนนอนสุขภาพไม่ดี

      72. เตียงนอนห้ามอยู่ใต้บันได เพราะจะมีคนขึ้นลงอยู่ประจำ, การตั้งเตียงเป็นมุมทะแยง ไม่ดี จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

      73. ด้านหัวนอนของเตียงและปลายเท้าห้ามตั้งกระจก, ห้ามนอนเอาเท้าหันไปสู่ประตู

      74. หิ้งลอย ตู้ลอย ไม่ควรอยู่บนหัวนอน จะทำให้เครียด เกิดโรคทางสมอง

      75. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งตรงบันได หรือใต้บันได ไม่เป็นมงคล, การตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามเอาหลังอิงห้องน้ำ ไม่เป็นมงคล

      76. ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งในห้องนอนถ้าเป็นคนโสดไม่เป็นไร ถ้ามีคู่แล้วห้าม

      77. สิ่งศักดิ์สิทธ์ตั้งอยู่บนห้องน้ำ เป็นสิ่งไม่สมควร ควรแก้ไข

      78. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามตั้งอยู่ใต้คาน รวมทั้งคนด้วยเช่นกันก็ห้ามอยู่ใต้คาน

      79. ห้องพระไม่ควรรวมกับห้องนอน ถ้าที่คับแคบจำเป็นต้องรวมให้กั้นฉากเป็นสัดส่วน ห้องนอนอย่าอยู่หน้าห้องรับแขก

      80. บ่อน้ำไม่ควรเป็นที่ทิ้งขยะ ไม่ดี, บ่อน้ำอยู่หลังบ้าน หรือหลังเตียงนอน ไม่ดี

      81. คานอยู่หน้าประตูไม่ดีจะส่งพลังกดทับทำให้เงินหรือพลังไม่คล่อง คานต่ำ เพดานต่ำ จะทำให้ชี่ (เงิน) เข้าบ้านไม่สะดวก

      82. คานห้ามอยู่บนหัวนอน จะเป็นมะเร็งในสมอง เส้นโลหิตในสมองแตก, คานทับเตาไฟ ทำให้เงินขาดมือ

      83. ห้องน้ำอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคล, ห้องน้ำอยู่บนประตูใหญ่ไม่ดี ทำให้เงินไม่ไหลเข้า, ห้องน้ำอยู่เหนือเตาไฟ ไม่ดี

      84. ด้านหลังของเตียงเป็นห้องน้ำไม่ดี

      85. ห้องน้ำกลางบ้านไม่ดี, เครื่องซักผ้าตรงกับเตาไม่ดี, ห้องครัวถ้ามีขื่อพาดอยู่ ไม่ดีจะเจ็บป่วย ยากจน

      86. ห้องครัวห้ามอยู่ติดกับห้องนอน ถ้าจำเป็นจะตั้องกั้นผนังห้องครัวและห้องนอนอย่าให่มีอากาศเข้าถึงกันได้

      87. เตาตรงกับประตู เท้ากับชักนำเพื่อนเข้ามากิน แล้วก็จากไป แต่ตัวเราจะจนลง ไม่ดี

      88. เตาแก๊สห้ามตั้งติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม ไม่ดี

      89. การตั้งเตาควรหันที่ปิดเปิดให้ถูกโฉลกและเป็นมงคลกับเจ้าบ้าน

      90. หัวเตาแก๊สควรมี 3, 5, 7 เตาดีที่สุด, ไม่ควรสร้างเตาไฟเล็งไปที่ประตู

      91. ไม่ควรวางเตาไว้บนท่อระบายน้ำหรือท่อ น้ำประปา, ด้านหลังเตาแก๊สห้ามมีบ่อน้ำ

      92. ด้านหลังเตาอย่าให้ห่างผนังมากเกินไป

      93. ครัวเตาไฟไม่ควรจัดไว้หน้าบ้าน จะไม่มีทรัพย์สินเก็บจะมีคนในบ้านตายทุก 3 ปี

      94. ตัวเตาในบ้านอย่าให้คนนอกบ้านเห็นจะไม่เหลือเงินเก็บ, การตั้งเตาอย่าใกล้สระน้ำ หรือน้ำประปา

      95. หน้าเตาไฟหันไปสู่ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ดี เป็นมงคล แต่ถ้าจะให้ดีต้องถูกรหัสราศีทิศของเจ้าของบ้านด้วย

      96. ไม่ควรสร้างเตาในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน แต่ควรหันหัวเตาให้ถูกโฉลกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน

      97. ห้องนั่งเล่นโซฟารูปสามเหลี่ยมไม่ดี, ข้างบ้านมีเครื่องระบายความร้อนพุ่งมาหาบ้านอีกฝ่ายหนึ่งไม่ดี

      98. ต้นไม้ชิดบ้านเกินไปไม่ดี แต่ถ้าห่างประมาณสิบเมตรดี จะมีผู้สนับสนุน, หลังบ้านมีบ่อน้ำตรงกับเตา ไม่ดี

      99. ห้องนั่งเล่นเป็นหลุมเป็นแอ่งกระทะ ไม่ดี, ท่อน้ำอยู่ใต้เตาไม่ดี เพราะน้ำกับไฟเป็นศัตรูกัน

      100. การตั้งโต๊ะทำงาน ควรตั้งในมุมทรัพย์ จะร่ำรวยมาก, ถ้าด้านซ้ายมือของบ้านมีสะพานให้แก้เคล็ด

      101. ถ้าสุสานอยู่ทางทิศตะวีนออกของบ้านให้แก้เคล็ด, หลังบ้านอย่าให้มีรอยแตกร้าว จะเป็นอัปมงคล

      104. หลังคา เพดานบ้าน อย่าให้รั่ว ถ้ารั่วให้รีบซ่อมเสีย ถ้าไม่แก้ไขเงินทองจะเก็บไม่อยู่ยากจน

      105. ขื่อบ้านถ้าร้าว หักควรรีบแก้ไข เพราะไม่เช่นนั้นในบ้าน จะเกิดขาดผู้ช่วยสนับสนุนเงิน ทองร่อยหรอลง เจ็บไข้ได้ป่วย

      106. ในบ้านมีหญิงมีครรภ์ ไม่ควรต่อเติมบ้าน หรือย้ายเตียง ถ้าฝืนทำแล้วหญิงในบ้านอาจแท้งบุตรได้ หรือบุตรคลอดออกมาไม่สมประกอบ

      107. พื้นที่นอกบ้านควรจะต่ำกว่าพื้นในบ้าน จึงเป็นมงคล, ห้ามทำราวตากผ้าผ่านเตาไฟ จะเป็นอัปมงคล

      108. โรงรถควรจะมีความกว้างเสมอกับบ้านอย่าให้ยื่นเกินออกมา

      109. ผู้ที่เกิดราศีทิศตะวันออก ธาตุไม้ ไม่ควรหันหน้าบ้านไปสู่ราศีตะวันตก ธาตุทอง เพราะเป็นศัตรูธาตุ

      110. ผู้ที่เกิดราศีทิศเหนือ ธาตุน้ำ ห้ามหันเข้าสู่ทิศใต้ ธาตุไฟ เพราะเป็นสัตรูธาตุ

      111. ผู้ที่เกิดราสีทิศตะวันตก ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศตะวันออก เพราะเป็นคู่ศัตรูกัน

      112. ผู้ที่เกิดราศีทิศใต้ ธาตุไฟ ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศเหนือ เพราะเป็นทิศคู่ศัตรูกัน

      113. จำนวนห้องที่กั้นในบ้าน ควรกั้นเป็นเลขที่เป็นมงคล คือ 1, 2, 5, 6, 7 ห้องดีเป็นมงคล

      114. ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ควรสร้างห้องนั่งเล่นจะไม่เป็นมงคล, ห้องนั่งเล่น หรือรับแขกตั้งอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

      115. การสร้างบันไดตรงดิ่งลงมาที่หน้าประตูอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

      116. ตรงกลางบ้านห้ามทำเป็นห้องน้ำ หรือห้องส้วม ทำเป็นห้องนอนดีที่สุด

      117. หน้าต่างมีได้ทุกทิศดีที่สุด แต่หน้าต่างและประตู ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกัน

      118. วงกบ เสาบ้าน ไม่ควรคดงอ จะทำให้เกิดเรื่องอัปมงคล, หน้าต่างหรือประตูควรจะสร้างกันสาดถึง จุเจริญรุ่งเรือง

      119. กำแพงบ้านอย่าสูงเกินไป (เกิน 2 เมตร) หรือต่ำเกินไป (1.40 เมตร)

      120. ตำแหน่งกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่าให้ชำรุดจะมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล

      121. สร้างบ้านไม่ควรสร้างกำแพงหรือภูเขาก่อนจะทำให้ยากจน หรือถูกคุมขัง

      122. กำแพงบ้านไม่ควรเจาะเป็นหน้าต่าง จะไม่เป็นมงคล, กำแพงบ้านสร้างเป็นรูปโค้งดีกว่าสร้างกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยม

      123. ไม่ควรสร้างกำแพงบ้านให้ชิดบ้านเกินไป, ตัวที่ดิน หรือตัวบ้าน ข้างหน้าแคบข้างหลังกว้างไม่เป็นมงคล

      124. ที่ดินที่เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่หนาแน่น ควรจุขุดรากถอนโคนให้หมดเสียก่อนค่อยปลูกบ้าน

      125.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสะพานจะดีแต่แรก จะแย่ในภายหลัง

      126. ร้านค้าหรือบ้านไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนภายนอกเห็น เพราะจะมีคนแกล้งเอาของสกปรกมาทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์

      127. ร้านค้าใดถ้าหากมีสะพานพุ่งตำเข้ามาหา จะเป็นทิศใดก็ตาม ควรประกอบอาชีพประเภท ขายอาวุธ ของมีคม ขายเนื้อ ซึ่งต้องใช้ของมีคมประจำ ถึงจะเจริญรุ่งเรือง

      128. ร้านค้าใดก็ตามควรจะตั้งหน้าบ้านให้ถูกรหัสราศีกับเจ้าของบ้านและตั้งเตาให้ ถูก­รหัสราศีของเจ้าของบ้านด้วย
79  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติธรรมจาก หลวงตาปัญญา แห่งวัดชล ฯ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 04:07:17 pm


 โลกกลมๆ  ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คน เราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจ ว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเรา เมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผล ของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลอง ก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า

ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทาง อันยาวไกลนับหมื่นลี้

ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหา ทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่า ของความอบอุ่น

เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตราย ที่สุดคือ การคาดหวัง

เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก

มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดี กับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุ ผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็น ขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวาน ก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวัง ว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

{{{{{{{{{{{{{{{{
เพื่อนทั่วไป อ่านแล้วทิ้ง เพื่อนแท้จะส่งต่อๆ ไป
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับคือ หมายถึง คุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว
{{{{{{{{{{{{{{{{
80  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เคยเห็นคน เอามีดเฉือนแขนตนเอง แล้วไม่มีรอยมีดเลยครับ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 04:00:54 pm
เป็นเรื่องตอนที่ผมอยู่ ป6 ครับ

ผมได้ไปดู เขาเล่นละครลิง เป็นเต๊นซ์ ที่หน้าอำเภอ

มีคนมุงดูอยู่มาก มีการแสดง เล่นละครลิง โดยใช้ลิง มาแสดง

และ มีการผูกผ้าเป็น กระรอก และ งู บอกว่าจะเสกผ้าให้เป็นสัตว์จริง ๆ

ผมก็เลยนั่งดู ในระหว่างที่คั่นรายการ ก็มีคนหนึ่ง ถือมีดแล่เนื้อหมูปลายแหลม

มาถึง ก็สับลงไปที่ต้นกล้วยที่เตรียมมา ขาดเป็น 2 ท่อน พร้อมกับสับต้นอ้อยอีก

หลายท่อน จากนั้นเขาก็เอามีดกรีดลงไปที่ยางรถยนต์ ปรากฏว่า ยางก็ขาด

จากนั้น เขาก็ชูแขนขึ้นมา พร้อมเบ่งกล้ามให้ดูด้วย จากนั้นก็เอามีดเฉือนไป เฉือนมา

ตอนแรกผมก็กลัว แล้วก็หลับตา แต่เห็นคนโอ้โห ปรบมือผมก็เห็นแขนเขาไม่เป็นอะไร

จา่กนั้น เขาก็เรียกเด็กคนหนึ่งจากคนดู ออกไปแล้วบอกว่า จะให้เด็กคนนี้สับมีดลงไปที่แขน

โดยพาเด็กไปสับต้นอ้อยก่อน ก็ขาดเป็นท่อน ๆ เหมือนกัน

จากนั้นก็ให้เด็ก มาสับที่แขน ซึ่งตอนนี้ผมไม่หลับตาแล้วครับ

เห็นเด็กคนนั้นสัปมีดลงไปที่แขนแล้ว มีดก็กระเด็นหลุดมือ เหมือนเอามีดสับลงไปบนหิน

จากนั้นก็มีโฆษณา บอกว่า เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ พระลำพูน จากกรุลำพูน เรียกว่า พระรอด

ปกติต้องไปบูชาที่วัดองค์ละ 999 บาท แต่วันนี้เรามาแจกให้เพียง 10 องค์เท่านั้นเพียงแต่

ท่านทำบุญช่วยค่าน้ำมันเราคนละ 100 บาท พอต่อชีวิตการแสดงไปได้

จากนั้นก็มีคนเดินถือถาดพระ ให้คนบูชา ใช้เวลาสักพักก็ยังไม่มีใครบูชา คนที่พากษ์ก็เลย

บอกว่า นั้นเราจะขออาสาคนหนึ่งมาถือพระไว้ แต่ท่านพี่น้องห้ามลองของนะครับเพราะว่าต้องทำ

พิธีอนุญาตก่อน ก็ประกาศออกไปก็ไม่มีใครอาสา สักพักคนพากษ์ก็มาขอเด็กที่ยืนอยู่ข้างผม

ผมก็ไม่รู้จักหรอกครับ บอกว่านั้นขอน้องคนนี้เป็นอาสาทดลองหน่อยนะ เดี๋ยวพีจะให้พระองค์หนึ่งเลย

เด็กคนนั้นก็ออกไป ก็ปรากฏว่าได้ผลคือมีดเฉือนเด็กคนนั้นไม่เข้า ผมเองก็อยากได้จึงวิ่งกลับบ้าน

ไปขอตังค์แม่ ๆ ก็ไม่เืชื่อ ใช้เวลาไปบ้าน 1 ชั่วโมงครึ่ง กลับมาคณะที่แสดงก็กลับไปหมดแล้ว

ถามชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า พอคณะจำหน่ายพระได้ร่วม 30 องค์ก็ประกาศปิดการแสดง เก็บเต็นซ์ไปแล้ว


เล่าซะยาวเลย

    จะถามว่า พระที่ปลุกเสกแล้ว จะมีอานุภาพจริง ๆ หรือป่าวครับ

     หรือว่า เป็นเรื่องหลอกลวง

    ถ้าเราจะปลุกเสกพระเอง ต้องฝึกกรรมฐาน ถึงขั้นไหนครับ

 :25: :25:
หน้า: 1 [2] 3