ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์ (โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)  (อ่าน 4172 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ดนัย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 179
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
                                   

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ


ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

    ธรรมบรรยายที่จะแสดงต่อไปนี้ เป็นธรรมที่มีอยู่ในตัวของพวกเราท่านทั้งหลายแล้วทุกคน แต่โดยมากพวกเราไม่ค่อยจะสนใจโดยเข้าใจว่า ธรรมคือ ตำราที่ท่านจารึกเป็นอักษรไว้ในหนังสือหรือคัมภีร์ต่างๆ หากไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนในนั้นแล้วจะไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เข้าถึงธรรมดังนี้ เป็นต้น

    หรือบางท่านก็จะเข้าใจไปเสียว่าธรรมนั้นเราศึกษาเล่าเรียนไว้ให้มากๆ แล้ว ได้โอกาสจึงปฏิบัติเอา เหมือนกับเราหาทรัพย์ไว้ให้มากๆ แล้วจึงนั่งกินนอนกิน ดังนี้ก็มี หรือมิฉะนั้นเราก็เห็นไปว่า ธรรมเป็นเรื่องของพระที่อยู่ในวัด มิใช่เรื่องของฆราวาส หรือธรรมเป็นของสูงเหลือวิสัยที่จะปฏิบัติได้ หรือเห็นว่าเป็นของล้าสมัยไปเสียแล้ว ฯลฯ

    ขอโทษท่านผู้อ่านทั้งหลาย ความเข้าใจทั้งหมดดังที่ว่ามานั้น ยังไม่ตรงกับความจริง และถูกต้องตามประสงค์ของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง แต่มันไปถูกตามพระประสงค์ของพระเจ้าของเรา (คือ กิเลส) ข้อเท็จจริงถ้าท่านสนใจสักหน่อย ขอกรุณาได้ติดตามธรรมบรรยาย ที่ข้าพเจ้าจะแสดงต่อไปนี้

    อาจพบธรรมว่ามีอยู่พร้อมในตัวของเรานี้แล้ว ไม่ต้องหาธรรมที่อื่นและเห็นหรือได้หรือเข้าถึงที่อื่นเลย ลงมือพิจารณาคิดค้นได้แล้ว มิใช่เรื่องของใครทั้งหมดแต่มันเป็นของแต่ละบุคคลจะต้องพิจารณาให้รู้ให้เข้าใจ เห็นด้วยปัญญาอันชอบของตนเองเท่านั้น เป็นของไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่นอก ไม่ใน ไม่ลึก ไม่ตื้น ไม่หยาบ ไม่ละเอียด พอดีๆ แก่นิสัย วาสนาของตนๆ ซึ่งบุญกรรมตกแต่งมาให้ไว้เป็นสมบัติของแต่ละบุคคลเพื่อให้มาใช้ มาดู มารู้ มาเห็น อันจะเป็นประโยชน์แก่ตัวของตัวเอง เมื่อพากันเข้าใจอย่างนี้แล้ว ขอเชิญตรวจดูบรรยายธรรมต่อไปได้เลย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 03:57:11 pm โดย danai_siriangkawoot »
บันทึกการเข้า
"พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

ดนัย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 179
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 01:56:09 am »
0
(๒/๙)
ธาตุ ๔
   ธาตุ ๔ เป็นวัตถุเป็นที่ตั้งมูลฐานของสิ่งทั้งปวง แม้แต่ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นนิยยานิกธรรม อันจะดำเนินให้ถึงวิมุตติ ก็จะหนีจากธาตุสี่นี้ไปไม่ได้ แต่ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับนามธรรมใด ๆ เลย ท่านจำแนกออกเป็นกอง ๆ ตามลักษณะของธาตุนั้น ๆ เช่น

ธาตุดิน
   สิ่งที่มีอยู่ในกายนี้มีลักษณะข้นแข็ง ท่านเรียกว่าธาตุดิน มี ๑๘ อย่าง คือ ผม ๑ ขน ๑ เล็บ ๑ ฟัน ๑ หนัง ๑ เนื้อ ๑ เอ็น ๑ กระดูก ๑ เยื้อในกระดูก ๑ ม้าม ๑ เนื้อหัวใจ ๑ ตับ ๑ พังผืด ๑ ไต ๑ ปอด ๑ ไส้ใหญ่ ๑ ไส้น้อย ๑ อาหารใหม่ ๑ อาหารเก่า ๑ (ถ้าจะเติมกะโหลกศีรษะ และมันสมองศีรษเข้าด้วยกันก็เป็น ๒๐ พอดี แต่ที่ท่านไม่เติมเพราะไปตรงกับกระดูกและเยื่อในกระดูก จึงยังคงเหลือ ๑๘)     

ธาตุน้ำ
    สิ่งใดที่มีลักษณะเหลว ๆ ท่านเรียกว่าธาตุน้ำ มี ๑๒ คือ น้ำดี ๑ น้ำเสลด ๑ น้ำเหลือง ๑ น้ำเลือด ๑ น้ำเหงื่อ ๑ น้ำมันข้น ๑ น้ำมันเหลว ๑ น้ำลาย ๑ น้ำมูก ๑ น้ำมันไขข้อ ๑ น้ำมูตร ๑

ธาตุไฟ
   สิ่งใดที่มีลักษณะอบอุ่น ท่านเรียกว่าธาตุไฟ มี ๔ คือ ไฟทำกายให้อบอุ่น ๑ ไฟทำกายให้ทรุดโทรม ๑ ไฟช่วยเผาอาหารให้ย่อย ๑ ไฟทำความกระวนกระวายให้แก่ร่างกาย ๑

ธาตุลม
   สิ่งใดที่มีลักษณะพัดไปพัดมาอยู่ในร่างกายนี้ สิ่งนั้นท่านเรียกว่าธาตุลมมี ๖ คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบนทำให้มึนง่วงเหงาหาวนอน ๑ ลมพัดลงเบื้องล่างทำให้ระบายผายลม ๑ ลมในท้องทำให้ปวดเจ็บท้อง ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ๑ ลมในลำไส้ทำให้โครกครากคลื่นเหียนอาเจียน ๑ ลมพัดไปตามตัวทำให้กายเบาและกายละมุนละไม ขับไล่เลือดและโอชาของอาหารที่บริโภคเข้าไปให้กระจายซึบซาบไปทั่วสรรพางค์กาย ๑ ลมระบายหายใจเข้าออกเพื่อยังชีวิตของสัตว์ให้เป็นอยู่ ๑ หรือจะรวมเอาอากาศธาตุคือช่องว่างที่มีอยู่ในตัวของเรา เช่น ช่องปาก ช่องจมูก เป็นต้น เข้าด้วยกันก็ได้ แต่อากาศธาตุก็เป็นลมชนิดหนึ่งอยู่แล้ว จึงสงเคราะห์เข้าในธาตุลมด้วย วิญญาณธาตุก็อยู่ในนามธรรมอยู่แล้ว ในที่นี้ประสงค์จะแสดงวัตถุธาตุล้วน ๆ จึงไม่เกี่ยวกับวิญญาณธาตุมนุษย์ทั้งหลายที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เห็นกันอยู่นี้ ถ้าจะพูดตามเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นแต่สักว่าก้อนธาตุมารวมกันเข้าเป็นก้อนหนึ่ง ๆ เท่านั้น

   มนุษย์เราพากันสมมติ เรียกเอาตามความชอบใจของตนว่านั่นเป็นคน นั่นเป็นสัตว์ เป็นนั่นเป็นนี่ต่าง ๆ นานาไป แต่ก้อนธาตุนั้นมันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของคนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม สมมติว่าหญิง ว่าชาย ว่าหนุ่ม ว่าแก่ ว่าสวย ไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าที่ของมันเมื่อมาประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้ว อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมันก็แปรไปตามสภาพของมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลาย แยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิมของมันเท่านั้นเอง ใจของคนเราต่างหากเมื่อเกิดไม่เข้าใจตามเป็นจริงแล้ว ก็ไปสมมติว่าเป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย สวย ไม่สวย สวยก็ชอบใจรักใคร่ อยากได้มาเป็นของตน ไม่สวยก็เกลียดเหยียดหยามดูถูก ไม่ชอบใจ ไม่อยากได้อยากเห็น ใจไปสมมติเอาเองแล้วก็ไปติดสมมติของตัวเอง เพิ่มพูนกิเลสซึ่งมันหนักหมมอยู่แล้วให้หนาแน่นขึ้นอีก กิเลสอันเกิดจาความหลงเข้าใจผิดนี้ ถ้ามีอยู่ในจิตสันดานของบุคคลใดแล้ว ย่อมทำให้บุคคลนั้นตลอดโลกวุ่นวายเดือดร้อนมากและน้อย ตามกำลังของมันแล้วแต่มันจะบันดาลให้เป็นไป

   ความจริงธาตุ ๔ นับเป็นธาตุล้วน ๆ มิได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเกิดกิเลส หลงรัก หลงชอบเลย ถึงก้อนธาตุจะขาว จะดำ สวย ไม่สวย มันก็มีอยู่ทั่วโลกแล้วก็มีมาตั้งแต่โลกโน่น ทำไมคนเราพึ่งเกิดมาชั่วระยะไม่กี่สิบปี จึงมาหลงตื่นหนักหนาจนทำให้สังคมวุ่นวายไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร มืดมนยิ่งกว่ากลางคืน ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายผู้ทรงมีพระประสงค์ความสันติสุขของโลก จึงทรงจำแนกสมมติที่เขาหล่านั้นพากันหลงติดอยู่เหมือนลิงติดตัง ออกจากสมมติให้เห็นว่าสักแต่เป็นธาตุ ๔ ดังจำแนกมาแล้วข้างต้น หรือจะเรียกว่าพระองค์ทรงบัญญัติให้เห็น เป็นไปตามสภาพเดิม เพื่อให้เขาเหล่านั้นที่หลงติดอยู่แล้วให้ค่อย ๆ จากออกจากสมมติแล้วจะเห็นสภาพของจริง บัญญัตินี้ไม่เป็นตนเป็นตัว เป็นสภาพธรรมอันหนึ่ง แล้วบัญญัติเรียกชื่อเป็นเครื่องหมายใช้ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าผู้มาพิจารณาเห็นกายก้อนนี้เป็นสักแต่ว่าธาตุ ๔ แล้ว จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาก้อนธาตุมาเป็นอัตตาเลย อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสหยาบช้า ฆ่าฟันกันล้มตายอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากความหลงเข้าไปยึดก้อนธาตุว่า เป็นอัตตาอย่างเดียว

    ธาตุ ๔ เมื่อผู้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าธาตุสักแต่ว่าเป็นธาตุ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของมัน ธาตุมิได้ก่อกวนให้ใครเกิดกิเลส ความรัก และความชัง หรือโลภ โกรธ หลง อะไรเลย ใจของคนเราก็เป็นธาตุเหมือนกันเรียกว่า มโนธาตุ หากผู้พิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งปวงเป็นสักแต่ว่า ธาตุ คือเห็นธาตุภายใน (คือก้อนธาตุนี้) และธาตุภายนอก (คือ นอกจากกายของเรา) และมโนธาตุ (คือ ใจ) ตามความเป็นจริงแล้ว ความสงบสุขก็จะเกิดมีแก่เหล่าประชาสัตว์ทั่วหน้ากัน สมตามพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ตั้งปณิธานไว้ทุกประการ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 11:44:25 am โดย danai_siriangkawoot »
บันทึกการเข้า
"พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:56:59 am »
0
 st11 st12 st12 thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:05:55 am »
0


มัชฌิมาลำดับฐานเรียนรู้หยั่งธาตุ เพื่อหยั่งลงสู่ อุเบกขา (เธอวางได้ เห็นเพียงแต่สักว่าธาตุนั้นเชียว ใช่เลย!)
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ดนัย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 179
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 10:01:33 am »
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า
"พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

lamai54

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 138
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นาน ๆ จะได้เห็น หลวงปู่เทสก์ ท่าน อธิบายแบบ นี้ นะคะ

 st11 st12
บันทึกการเข้า
แข่งขันในโครงการ yamaha นะฮะ อย่าเข้าใจว่าเป็นพวกเสื้อแดง.... เราไม่ใช่....

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

      ธาตุพุทธคุณตั้งขึงตรึงอุรา   ลมหายใจพัดไปมายื้อ..ปล่อยไป

    วนธาตุเชือกวัวพันหลัก        พินิจกระบวนล้างธาตุ

     ธรรมครูมัชฌิมา            เรียนแล้วไม่มีหาว

     พระสนธยาอาจารย์ฉัน     ท่านเป็นผู้สั่งสอน

      รู้สุขวางสุขเถอะยุคสุขมาก     มันจะหลงเดี๋ยวลำบาก...มันจะสาย

      กลอนตามอารมณ์  เขียนประกอบเรื่องธาตุไป

       ไม่มีอะไร  ไม่คิดมาก  ใจลำบากนาน

        ขออนุโมทนา........

           ................ขอท่านทั้งหลาย....ร่วมแรงร่วมใจ......เข้ามาช่วยกันดูแล....สละเวลากันเข้ามาซักวันละหน่อยละนิด 

          ใครมีไอเดีย   อะไร   ก็นำเสนอกันไปตามสไตล์ของท่านทั้งหลาย  ก็คิดว่าเข้ามาช่วยครูอาจารย์ท่าน คิดเป็นบุญ

                 หลายๆคนก็มีหลายอัพเดด     สีสัน     จะได้       หลาก   อรรถรส 

                        ที่นี่...เว็บ กรรมฐาน มัชฌิมา สระบุรี

                          .......ยินดีต้อนรับ พุทธศาสนิกชนผู้ฝักไฝ่ในธรรมพระตถาคต ทุกๆท่าน


                                            ขออนุโมทนาบุญเทอญ

บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา