ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องหลอนเรื่องที่สอง เกิดที่มหาลัย.. ประสพการณ์เรื่องสยองขวัญ  (อ่าน 2339 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มะยม

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 74
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เปลี่ยนบรรยากาศ อ่านเรื่องเบา ๆ บ้างนะครับ


เรื่องหลอนเรื่องที่สอง  เกิดที่มหาลัย..

เรื่องนี้มีผลกับชีวิตเรามาก และนำเรามาสู่การปฏิบัติธรรมแบบเต็มๆ


วัน นึงเขาจะรื้ออาคารโรงละครเก่า เพื่อจะเอาที่ตรงนั้นสร้างอาคารใหม่  ทางที่ทำงานเราก็เลยจัดพิธีซะหน่อย  ด้วยความเชื่อในเรื่องครูอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทั้งสถาบันนี่ก็คงจะมีแต่เด็กละครแหละที่เชื่อเรื่องอย่างนี้กัน  ทำละครทีก็มีบวงสรวงบ้าง จุดธูปไหว้บ้างตามเรื่อง


สมัยเรา เรียนก็จะออกแนวจุดธูปไหว้ อย่างมากก็มีน้ำบ้าง ก็เพื่อบูชาครู และท่านเจ้าที่เจ้าทางที่โรงละคร  แต่สมัยหลัง เด็กมันเพี้ยนกันไปใหญ่ ออกแนวมีอาหารคาวหวาน หัวหมู น้ำแดง เหล้า ด่ามันบอกมันก็ไม่เชื่อหรอก  คือมันเชื่อของมันไง  มันขลังดีใช่ไหม.. ก็สืบทอดกันมาจากพี่สู่น้อง (ไอ้เรื่องดีๆ น่ะมันไม่มีสีสัน มันเลยชอบสืบทอดเรื่องที่มีสีสัน แต่มันไม่ดีน่ะ..)


เราเองมารู้ทีหลังว่า.. ผีทั้งสถาบัน เขาก็คงมาชุมนุมกันแถวโรงละครเราแหละ... ก็เด็กมันไปเลี้ยงเขาไง  ใครจะเชื่อว่าจริง..  ไอ้ที่ทำกันก็ทำเพราะความเชื่อแหละ  แต่ที่จริงเด็กก็ไม่ได้เชื่อว่าจริงหรอก  ออกแนวสบายใจ แต่ไม่รู้ความจริง ไม่รู้ธรรมเนียมไง..


เราเคยออกปากเตือนไป แต่ก็เตือนไปด้วยความรู้สึก ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นจริงเหมือนกัน.. เตือนไปว่า.. ครูอาจารย์ท่านไม่กินเหล้ากินนำแดงหรอกนะ  พวกเธอไปเซ่นไหว้ผี แล้วอย่ามาร้องกลัวผีนะ...  ว่าเด็กไปอย่างนี้ ไม่นึกว่าจะจริง..


เรื่อง มากระจ่าง เมื่อวันทำพิธีรื้อโรงละครนี่แหละ  เขาไม่ได้ทำพิธีสงฆ์หรอก เขาเชิญอาจารย์ผู้หญิงคนนึงมาจัดพิธีให้ แล้วอาจารย์ของเราเป็นอาจารย์ใหญ่ท่านก็อ่านโองการ.. ทำพิธีเอง ก็ขลังๆ แหละ..   คนมากันเป็นร้อย อาจารย์หลายท่านก็มาเป็นสักขีพยาน..     


เรื่อง มันเริ่มจากอาจารย์คนนึงเขาพูดทักไว้ว่า  อาจารย์ที่ทำพิธีบอกว่า ถ้ามีอะไรก็ให้ปล่อยตามธรรมชาติ อย่าไปฝืน..  เราฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร..


ลืมเล่าไปว่า.. คืนนั้น ใครไม่รู้ไปปลุกด้วย แล้วบอกให้แต่งชุดขาว..  เราก็เชื่อ แต่งชุดขาวมา..   พอถึงพิธีได้ฤกษ์ เขาก็ให้อาจารย์ขึ้นไปบนเวที เด็กก็อยู่ข้างล่างกัน ก็ทำพิธี..
พอเริ่มอ่านโองการ สาธยายมนต์ เด็กก็เริ่มร้องไห้ ตัวสั่น ตัวโยก..     ไอ้เราอยู่บนเวทีก็ชักรู้สึกเหมือนกัน มันซ่านชาขึ้นมาจากขา..   อาการเหมือนจะเข้าสมาธิน่ะ  แต่ในใจมันรู้ มันไม่เอา เลยขยับตัวบ่อยๆ ดูตูดอาจารย์ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า (ขอโทษ ทำอย่างนั้นจริงๆ ดูตูดเขาแล้วคิดว่า ตูดใหญ่จัง.. คือมันคิดขึ้นมาเอง ว่าทำแบบนี้แล้วจะดำรงสติไว้ได้น่ะ)

ระหว่างนั้นก็รู้ได้ว่า..อ๋อ.. อาการผีเข้าเป็นแบบนี้นี่เอง.. แล้วทำไมเขาให้เด็กปล่อยใจฟระ..ไม่ยุ่งกันใหญ่เหรอเนี่ย..   ยังคิดไม่จบ    ผู้ทำพิธีเขาก็เอาค้อนทุบหิน (เป็นพิธี) ว่าทุบโรงละครดังปังใหญ่..   เสียงเด็กสาวๆ กรี๊ด.. สนั่น.. 

ยุ่งกันใหญ่ล่ะทีนี้  พอทุบเสร็จก็จบพิธีช่วงแรก แต่เด็กๆ ไม่จบละสิ.. เริ่มออกอาการ

บ้างก็ตัวโยก ร้องไห้  แบบว่าไม่มีสติน่ะ   บ้างก็เริ่มร้องเพลง..  ส่งเสียงทำนองแปลกๆ คนนึงร้อง อีกคนก็ร้องตาม  เลยร้องกันระงม..

เรา ก็คิดว่า.. เออ..นะ  อุปทานหมู่แหง๋ๆ เลย (ลืมนึกว่าตัวเองก็เจอ จนต้องดูตูดอาจารย์ไง)  คือเด็กเรียนศิลปะมันอ่อนไหวน่ะ  คงจะรู้สึกผูกพันกับสถานที่มาก เลยเศร้าเสียใจ

พอคนนึงทำท่าว่าผีเข้า เลยโน้มน้าวใจตามๆ กันไป..   สรุปผีเข้าไปสิบกว่าคน.



เวลา ผ่านไป เป็นชั่วโมง  ผีก็ยังเข้าเด็กอยู่ เริ่มวุ่นกันแล้ว เพราะมันเยอะมาก  อาจารย์ผู้ใหญ่ก็กลับคณะไปงงๆ  ส่วนอาจารย์ในภาคก็นั่งดูเหตุการณ์ว่าจะเอาไงดี  ถามอาจารย์ที่ทำพิธี  เขาว่า.. เดี๋ยวก็หาย ปล่อยไปอย่างนั้นแหละ..   อาจารย์(เยอะนิ) ผู้สอนเลยได้แต่นั่งดูตาปริบๆ


เราเห็นท่าไม่ดี เลยเข้าไปดูเด็กทีละคน  ก็ออกแนวปฏิบัติการจิตวิทยาไง.. เข้าไปปลอบโยนเด็กๆ คือเขาสมมติว่าเขาเป็นผีใช่ไหม  เราก็สมมติตามเขา แล้วคุยกับเขา

ปลอบ ใจเขา  บอกไม่เป็นไร ทุบแล้วจะสร้างใหม่.. ไม่ต้องกลัว  เดี๋ยวจะทำบุญให้ bla bla bla.. ก็ได้ผลนะ..  จับเนื้อจับตัว บีบนวด ส่งความรู้สึกดีๆ ให้ เขาก็ออกไป  เด็กก็หาย.. บางคนหายแล้วก็รีบกลับหอไปเลย   (แต่บางคนหายแล้วก็เข้าใหม่อีกก็มี)

เราปฏิบัติการจิตวิทยาไปสักสามสี่คน  เริ่มคิดแล้วว่ามันไม่ใช่อุปาทานซะแล้วแฮะ..

คือเวลาที่ผีเข้าเนี่ยมันนานมาก ราวๆ สามสี่ชั่วโมง  เด็กคงไม่อุปาทานอะไรนานขนาดนั้น
เด็กก็เหนื่อย ครูก็เหนื่อย..  (ส่วนแม่หมอ ไม่พูดไม่จา พูดกับผี ผีก็ไม่พูดด้วยซะงั้น)


ใน ช่วงชั่วโมงที่สองเกือบสาม  เคสเบาๆ ก็ออกไปหมดแล้ว เด็กๆ ก็เริ่มฟื้นตัวมีสติ ดื่มน้ำหวานกันได้  นั่งคุยกันมั่ง หนีกลับหอมั่ง   แต่บางเคสยังไม่ออก 


มีเคสนึง แกพูดจาโต้ตอบได้ด้วย  เป็นคุณป้าอายุร้อยกว่าปี  บอกชื่อเสร็จสรรพ แกเล่าว่าเป็นนางรำ สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นลูกคนจีน พ่อแม่มาทิ้งไว้แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก  แกก็เล่าว่าแกสวย ขาว รำเก่ง  เป็นคนที่เรียกว่าป๊อบปูล่า (เด็กที่โดนผีเข้าปี 4 แล้ว จะว่าแกแอคติ้งก็ได้ คือท่าทางเป็นคนแกขี้เล่นเลยนะ  แต่เรื่องที่เล่าเนี่ย..มันมีรายละเอียดมาก จนน่าสนใจว่าแกไม่น่าจะคิดบทละครสดได้ขนาดนี้)


คุณป้านี้ชื่อกิมจู (ขออนุญาตคุณป้านะ)  คุณป้าใจดีมากจนเด็กมันทะลึ่งถาม

เด็ก ถามว่าป้าดูละครธีซิสบ้างหรือเปล่า  ป้าก็บอกว่าดูทุกเรื่องแหละ ชอบ.. เค้าเล่นกันเก่งๆ ทั้งนั้น.. เด็กมันก็ล้อมเข้ามา ถามว่าป้าดูของหนูไหม ชอบไหม.. แย่งกันถาม

ป้าก็ว่าดู ดูทุกเรื่อง  เด็กคนนึงถามว่า.. ป้าชอบเรื่องไหนที่สุด.. (เราก็แอบกลั้นใจรอฟังคำตอบว่าป้าจะว่ายังไง)  ป้าบอกว่า.. ชอบหมด ดูเยอะจนจำไม่ได้หรอก ป้าชอบทุกเรื่อง.. ดูเชาว์ปัญญาป้านะ...


คราวนี้ครูถามมั่ง  ถามว่าเขาร้องเพลงอะไรกัน  ป้าบอกว่า เพลงนั้นเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวง ชื่อเพลงกรุณา (เริ่มขนลุกกันแล้ว)  แต่เขาไม่ร้องเนื้อ ร้องแต่ทำนอง ทำนองฟังดูขนลุกทีเดียว.. เด็กมันฮัมๆ ประสานกัน ได้อารมณ์มาก


เราก็เริ่มถามป้า ว่ารู้จักใครบ้าง ป้าก็บอกว่ารู้จักหลายคน บางคนเป็นคนเก่าคนแก่
บางคนก็ไม่รู้จัก อยู่มาก่อนที่ป้าจะมา  ป้าแกก็แนะนำได้หลายคน ว่าเป็นคนนั้นคนนี้..

ไอ้ครูก็เข้าทางป้าไง  บอกป้า.. ป้าสงสารเด็กมันนะ ป้าบอกเขาได้ไหมว่าให้ออกไป

ป้าก็บอกว่า.. เขากลัวกัน เขากลัวไม่มีที่อยู่ เขาต้องการจะอยู่ที่นี่ แต่เราไปไล่เขา

เราก็บอกว่า เราเป็นอาจารย์ เราให้สัจจะเลยว่าไม่ไล่หรอก แค่จะทุบตึกเก่าทำตึกใหม่น่ะ

พวกป้าก็อยู่กันต่อไปได้นี่..

ป้าว่า..แล้วจะอยู่กันยังไงล่ะ ทุบตึกแล้วจะไม่มีที่อยู่นะ.. จะให้ทำไง...

อาจารย์ อีกคนมาร่วมด้วย บอกป้า.. หรือช่วงนี้ไปอยู่ห้องอื่นก่อนไหม เรามีตึกเยอะ..ไปอยู่ตึกใกล้ๆ นี้ชั่วคราวก่อนก็ได้ ว่าแล้วอาจารย์ท่านนี้ก็ชวนป้าไปดูห้องพักใหม่กัน..

ป้ายอมไปแฮะ..  เราก็เลยพาป้ากิมจูไปดูห้องพักที่ตึกอีกหลังนึง..

จากคุณ    : chaosy
บันทึกการเข้า

มะยม

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 74
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ระหว่างทางป้าก็เมาท์ไปตลอดทาง ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย  ดูป้าจะตื่นเต้นมาก เหมือนว่าปกติไม่ได้ออกมาดูข้างนอกน่ะ..

เดินขึ้นบันได (ธรรมดาๆ ) ป้าก็จับบันไดแล้วบ่นว่า สวย.. บันไดสวย... คือป้าปลื้มคณะเรามาก..


เดิน ขึ้นไปที่ "ห้องนั้น" มีอาจารย์อีกภาคเขาโผล่ออกมา เขาก็คงงงๆ ยืนมองกลุ่มเราอยู่ ป้าก็มองหน้าแก ค้อนขวับ.. "จ้องชั้นทำไม.."  อาจารย์ชายนั้นก็งง ผลุบเข้าห้องไป..

เราพาป้าไปดูห้องที่คาดว่าจะให้มาอยู่กัน เป็นห้องเลคเชอร์ใหญ่ ทำกิจกรรมได้ด้วย..

ก็ โอ้โลมป้า ว่าห้องนี้ดีนะ มีแอร์เย็น พวกป้ามาอยู่กันก่อนได้ รอให้ตึกเสร็จแล้วก็ค่อยกลับไปอยู่โรงละครไง  ป้าก็เห็นดีเห็นงามด้วย.. 

เรา ก็พากันกลับมาที่โรงละคร..   เราก็ขอให้ป้าช่วยพูดกับคนที่เหลืออยู่ ว่าให้ออกไปได้แล้ว ให้พากันไปอยู่ที่ห้องใหม่.. คือขอให้ป้าช่วยอธิบายให้พวกเขาเข้าใจกันน่ะ..

ป้าก็ช่วยเต็มที่ (คิดถึงแล้วตลกมาก) ป้าก็บอก "โฮ้ย..สงสารลูกหลานมัน  พวกเรา ไปกันเถอะ เขาหาห้องใหม่ให้แล้ว เย็นด้วย เย็นฉ่ำ ห้องสวยมาก บันไดส้วย สวย.. ไปกันเถอะพวกเรา "  คือแกก็เชิญชวนเต็มที่น่ะ  พวกที่เชื่อแกก็มี แต่ไม่เชื่อก็มี

พอถึงตรงนี้ ป้าก็ออกไป  เด็กคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา.. 

ตัวเราเองก็วิ่งไปดูทีละคน แล้วก็เจรจาจนออกไปกันหมด ที่ออกเองก็มีบ้าง สรุปแล้วเวลาผ่านไปสามชั่วโมงกว่า เหลืออยู่สองราย ไม่ยอมออก


รายแรก.. เข้าหลายตน  สามสี่ตน เวียนเข้าเวียนออก (เด็กคนนี้จิตอ่อนเป็นทุน และมารู้ทีหลังว่าครอบครัวมีประวัติเข้าทรง) 

เรา ได้สังเกตอาการใกล้ชิดเลย อาการตอนผีออก และอาการตอนผีเข้า  เด็กคนนี้ไม่พูดนะ ร้องไห้อย่างเดียว ไม่พูด ตัวสั่นบ้าง ร้องเพลงบ้าง โดนเข้าไปหลายตน

ผีนางรำ ผีนักร้อง ผีเด็กกุมาร และผีที่น่ากลัวที่สุดคือผีผู้ชาย.. 


อาการ ทางร่างกายมันชัดมากเลย ทั้งเหงื่อ ลมหายใจ การกระตุกของกล้ามเนื้อง..เด็กแกไม่ได้แสร้งทำเอามันแน่นอน..  บางทีดิ้นจนกระโปรงเปิด เด็กผู้ชายเพื่อนเขาก็ต้องคอยปิดให้  เราใช้ทุกไม้ที่รู้ตอนนั้นน่ะ..  สวดมนต์ อุทิศกุศล  ทั้งขู่ทั้งปลอบ.. ทั้งสัญญา เอาบุญมาจูงใจ สารพัดเลย.. เอาพระไปคล้องคอ.. 

สุดท้ายเหลือผู้ชายคนเดียวที่ไม่ออก..  คนนี้ไม่พูดไม่จา นั่งหน้าง้ำ..


พวกอาจารย์ก็ไม่รู้จะทำไงดี กำลังคิดว่าจะต้องไปหาพระมาแล้วล่ะมั้ง..

ทันใดนั้น..คุณผีก็ช่วย.. ป้ากิมจูก็เข้าร่างเด็กอีก  ก็เลยถามป้ากิมจูว่า คนนั้นเป็นใคร
ป้าบอกไม่รู้จัก คนนั้นอยู่มานาน ไม่ยุ่งกับใคร เขาไม่คบใคร..

อีก คนที่ยังไม่ออกก็ผู้ชาย เป็นคนสวน คนนี้ป้าว่านิสัยไม่ดี.. สรุปว่าป้าไม่ยุ่ง ป้าเข้ามาเฮฮาอีกสักพัก ป้าก็ออกไปเป็นการถาวร โดยอาจารย์อีกคนกับเด็กกลุ่มนึงพาป้าไปส่งที่ห้องนั้น

ได้ความรู้ว่าป้าไปเองไม่ได้ คนต้องพาไป..

เวรกรรม...!!


ตัวเราเองก็คิดๆๆๆ  คิดขึ้นมาได้มุขนึง.. เคยได้ยินเขาเล่ามาน่าจะลองใช้..

เราก็ควักแบงค์ร้อยค่ะ  เอาแบงค์ออกมา เดินไปหาเด็กคนนั้น..

แล้วก็บอกเขาว่า.. ที่ว่าเป็นข้าราชบริพารน่ะ จริงไหม..

ได้ ผลนะ ร่างนั้นหันขวับมามอง (จากที่นั่งก้มหน้าอยู่)  เราก็เอาแบงค์ที่มีรูปในหลวงให้เขาดู..  นี่ๆ เห็นมั้ย..  เห็นในหลวงมั้ย.. เขาก็คว้าแบงค์ไป

เราก็เป็นครูไง อบรมเลย..  ในหลวงของคุณรัชกาลที่ 6 ใช่ไหม.. (เขาพยักหน้า)

นี่ ในหลวงของเราในแบงค์ รัชกาลที่ 9 แล้วนะ.. ผ่านมาตั้ง 3 รัชกาลแล้วนะ.. คุณรู้ไหม.. คุณรักในหลวงไหมล่ะ... ในหลวงองค์นี้นะ.. ใจดีมากๆ เป็นหลานของในหลวงของคุณไง..   (เราเห็นเขาโอนอ่อนโยนลงก็รีบเสริม)  ถ้าเป็นข้าราชการก็ต้องเคารพในหลวงใช่ไหม..  จะขัดคำสั่งไม่ได้นะ..  ต้องทำดีใช่ไหม..

นี่ๆ เด็กคนนี้ก็เรียนที่นี่ อยู่ในวังก็เป็นคนของในหลวงเหมือนกัน..  เด็กพวกนี้เป็นข้าราชบริพารเหมือนกัน  คุณทำร้ายเขาไม่ได้นะ..  เขาเหนื่อยมากแล้ว สงสารเขา ให้คุณออกไปก่อน แล้วจะให้เด็กคนนี้เอาเงินนี้ไปทำสังฆทานให้คุณโอเคไหม..

เขาก็ลังเล จับแบ้งค์กำแน่น ร้องไห้ด้วย..   เราก็ย้ำว่า เงินนี่น่ะ ถือไปเลย..

เดี๋ยวคุณออกไปแล้ว จะพาเด็กคนนี้ไปทำสังฆทานให้เลย..  อย่ามารบกวนกัน
เราเป็นอาจารย์เขา เรารับรองว่าจะไม่ให้เดือนร้อนกัน ให้อยู่กันต่อไปได้ โอเคไหม..

เขาพยักหน้า.. แล้วก็ออกไป..







อันนี้นี่เป็นฉากตื่นเต้นที่สุด  จบฉากไปแล้ว เพื่อนเข้าก็ปฐมพยาบาลเด็กคนนั้นก็มีสติกลับมาเป็นปกติ

เราก็ถอยมานั่งหมดแรง.. ใจยังเต้นอยู่เลย..   ในหลวงนี่แม้แต่ผียังรักเลย.. ใช้ได้ผลจริงด้วยแฮะ...

จากคุณ    : chaosy
บันทึกการเข้า